![]() |
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๘
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๘ |
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ จนป่านนี้ ในเรื่องที่ สส.พรรคหนึ่งออกมากล่าวจาบจ้วงพระสงฆ์จนกระทั่งพระพุทธศาสนา และอภิปรายเพื่อตัดงบประมาณทุกอย่าง ก็ยังไม่มีพระเถระที่เป็นระดับผู้ใหญ่พอออกมาพูดถึงเลยแม้แต่รายเดียว ส่วนใหญ่ก็เป็นปลาซิวปลาสร้อยอย่างกระผม/อาตมภาพนี่เอง..!
เป็นเรื่องที่น่าหนักใจมากว่า ในเรื่องที่ผู้อื่นรุกรานพระพุทธศาสนาที่เหมือนกับเป็นบ้านซึ่งท่านอาศัยอยู่ แต่ว่าท่านซึ่งเป็นใหญ่ในบ้าน แทนที่จะออกไปป้องปราม หรือว่าปราบปราม ต่อให้ไม่ออกไปป้องปราม หรือว่าปราบปรามเอง ก็สั่งผู้น้อยหรือเด็กในบ้านก็ได้ แต่ท่านกลับไม่ทำอะไรกันเลย นอกจากมองเด็ก ๆ ไปกระโดดโลดเต้น ซึ่งการที่เด็กออกไปแทนแบบนี้ โจรที่คิดจะปล้นบ้านท่านย่อมไม่มีความเกรงใจอยู่แล้ว..! ท่านทั้งหลายอย่าไปหลงติดในวาทกรรมคำว่า "พหุวัฒนธรรม" ถ้าไปแตะต้องแล้วจะเกิดการแตกความสามัคคีในประเทศ เนื่องเพราะว่าวาทกรรมนี้เป็นการตีกินเอาข้างเดียว ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งฉวยโอกาสยกทุกอย่างขึ้นมา เพื่อที่จะอุดปากพวกเราเอาไว้ไม่ให้ถกเถียง แล้วก็หลอกกินไปทุกเรื่อง ประมาณว่าหลอกด่าพวกเราว่าโง่เสียด้วยซ้ำไปในการประชุมของพวกเขา ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็เริ่มเห็นด้วยกับคำด่าของเขาแล้ว เนื่องเพราะว่าท่านทั้งหลายวางเฉยในเรื่องที่ไม่ควรวางเฉยนั่นเอง..! เพียงแต่ว่าวันนี้กระผม/อาตมภาพมีภารกิจ ต้องไปงานสวดพระอภิธรรมของพระครูกาญจนปัญญาวุฒิ (พูลศักดิ์ ปญฺญาวุโธ) อดีตเจ้าอาวาสวัดเขื่อนวชิราลงกรณ อดีตรองเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งมีการสวดพระอภิธรรมเป็นคืนสุดท้าย หลังจากนั้นก็จะไปทำพิธีพระราชทานเพลิง ประมาณช่วงเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคมปีนี้ ซึ่งช่วงก่อนหน้านี้ กระผม/อาตมภาพตรากตรำงานมากจนเกินไป พอช่วงค่ำมาลาเรียเรื้อรังก็กำเริบอยู่ทุกวัน ทำให้ออกงานไม่ได้ วันนี้เป็นตายอย่างไรก็ต้องไป เพราะว่าเป็นพรรคพวกเพื่อนฝูงกันด้วย เป็นพระเถระซึ่งเป็นเจ้าคณะปกครองระดับสูงของอำเภอทองผาภูมิด้วย ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนตามเวลา จึงต้องมาทำการบันทึกก่อนเวลาอยู่ในขณะนี้ |
แต่ว่าเรื่องที่จะกล่าวถึงนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ท่านผู้แทนราษฎรซึ่งทรงความเกลียดชังบรรดาพระสงฆ์ของเราทั้งหลาย หากแต่ว่าจะกล่าวถึงในเรื่องทุเรียนของอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งโดยปกติแล้วก็จะโดนพ่อค้ามาเหมาหมดสวนจนไม่มีเหลือ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นคนทองผาภูมิ ก็ไม่แน่ว่าจะมีทุเรียนทองผาภูมิไว้กินเอง..!
จนกระทั่งมีพ่อค้าแม่ค้านำทุเรียนที่อื่นแทรกเข้ามาขายแทน หรือไม่ก็เป็นทุเรียนพื้นเมือง ซึ่งไม่ใช่พันธุ์ทองผาภูมิ คำว่าทุเรียนทองผาภูมินี้ก็คือทุเรียนหมอนทอง ซึ่งโดนดัดแปลงสายพันธุ์จากธรรมชาติ กลายเป็นทุเรียนที่เนื้อเนียน รสชาติหวานมันอร่อย กลิ่นจาง กลายเป็นว่าเคยชนะเลิศในการประกวดทุเรียนโลกมาแล้ว ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าทำไมทุเรียนปีนี้จึงอยู่ในลักษณะมีจำหน่าย ? กระผม/อาตมภาพดูแล้ว เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกนั้นเกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลง ทำให้ทุเรียนออกดอกหลายรุ่น บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่เคยเหมาสวนแล้วตัดทีเดียวหมดสวน ไม่สามารถที่จะทำได้เหมือนเดิม เนื่องเพราะว่าทุเรียนออกหลายรุ่น ถ้าหากว่าตนเองเหมาไปแล้ว ไม่สามารถที่จะตัดได้ทีเดียว แค่ค่าขนส่งในการเดินทางหลายรอบก็แย่แล้ว ประการที่สองก็คือต่างประเทศที่รับทุเรียนของเรา โดยเฉพาะประเทศจีน กำหนดมาตรฐานสูงขึ้นอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปุ๋ย เรื่องของยาก็ดี ถ้าหากว่ามีสารต้องห้าม เขาจะส่งคืนมาทั้งหมด ซึ่งถ้าส่งคืนมาก็คือเน่าเสีย ขาดทุนยับเยินอย่างแน่นอน เพราะว่าระยะทางเดินทางทางเรือกันหลายวัน ประการต่อไป เมื่อมาตรฐานสูงขึ้น โอกาสที่จะพลาดมีมากขึ้น ทางล้งก็คือพ่อค้าผู้รับซื้อทุเรียน ก็ต้องมากดราคาทางสวนลงเพื่อชดเชยข้อผิดพลาดตรงนี้ พูดง่าย ๆ ว่าราคาต้องถูกลง เผื่อว่าตนเองพลาดแล้วขาดทุน ก็จะได้ขาดทุนน้อยลง จึงทำให้มีผู้ที่ยอมให้เหมาสวนน้อยลงไปด้วย |
ประการต่อไปก็คือประเทศจีนเอง บริเวณเกาะไห่หนาน หรือที่เราเรียกว่าไหหลำ ซึ่งมีบรรยากาศคล้ายคลึงกับประเทศไทย มีการปลูกทุเรียนเองเป็นพัน ๆ ไร่ ซึ่งเริ่มให้ผลผลิตเองแล้ว ตลอดจนกระทั่งประเทศลาวและเวียดนาม ก็มีทั้งนักลงทุนภายในประเทศของตนเอง และพ่อค้าจีนไปร่วมลงทุน ทำการปลูกทุเรียนเป็นจำนวนมาก แล้วเขาสามารถที่จะขนส่งตรงเข้าประเทศจีนได้เลย ทำให้ทุเรียนสดใหม่กว่า เนื่องเพราะว่าลาวมีทางรถไฟความเร็วสูง ที่มุ่งตรงสู่ประเทศจีนเลย
ส่วนประเทศเวียดนามนั้น ทางด้านตอนเหนืออย่างเช่นเมืองหล่าวกายที่กระผม/อาตมภาพเรียกเล่น ๆ ว่า "เมืองเล้าไก่" ก็มีพรมแดนติดกับประเทศจีน สามารถที่จะขนส่งทางรถยนต์ถึงภายในวันเดียว จึงทำให้ได้เปรียบในเรื่องของการค้า ก็คือต่อให้ทุเรียนรสชาติยังไม่ได้อย่างของประเทศไทย แต่ด้วยความที่ประหยัดในการขนส่ง ราคาก็จะถูกกว่า พ่อค้าจีนย่อมรับซื้อในสิ่งที่ถูกกว่าแล้วไปขายในราคาเดิม ซึ่งแพงเท่ากับทุเรียนไทย ก็ทำให้ได้กำไรมากกว่า จึงหาซื้อทุเรียนจากเมืองไทยน้อยลง เพราะว่าเมืองไทยเรามีการขนส่งทางเรืออย่างเดียว การขนส่งทางรถยนต์ จะผ่านประเทศลาวก็ดี ประเทศเวียดนามก็ดี ก็ยังเป็นระยะทางที่ไกลเกินไป และขนส่งได้ครั้งละไม่มากเหมือนทางเรือ เราจึงเสียเปรียบเขาทางด้านนี้ ประการสุดท้ายที่กระผม/อาตมภาพมองเห็น และบ่นทุกครั้งที่ได้เข้าร่วมประชุมในฐานะกรรมการจัดงาน เทศกาลผลไม้ของดีอำเภอทองผาภูมิ และสืบสานลานบ้านลานวัฒนธรรม ก็คือพ่อค้าของพวกเราไม่รู้หลักการค้า ถ้าเราขายราคาถูกลงแต่ขายได้มาก ก็เท่ากับกำไรมาก แต่นี่ท่านทั้งหลายกะจะเอารวยทีเดียว ขายทุเรียนกิโลกรัมละ ๑๘๐ บาทบ้าง ๒๐๐ บาทบ้าง ซึ่งราคานี้ลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สามารถที่จะเลือกซื้อในห้าง ชนิดที่เขาแกะเปลือกแล้วด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือราคานี้เป็นราคาประกันสินค้าเลย ว่าต้องได้ของดีแน่นอน ไม่ต้องมาลุ้นว่าเจอทุเรียนอ่อนหรือเปล่า ? |
ในเมื่อท่านขายราคาสูง เขาต้องเดินทางไกลมาเพื่อที่จะกิน แล้วคิดว่ามีใครเขาอยากที่จะเดินทางบ้าง ? ในเมื่อเดินแค่ไม่กี่ก้าว เข้าห้างตามบ้านก็กินได้แล้ว ถ้าหากว่าเรายังไม่มีการปรับราคาลง ท้ายที่สุดก็หาลูกค้าไม่ได้ กลายเป็นทุเรียนล้นตลาดด้วยสาเหตุต่าง ๆ ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น
แต่ก็เป็นความโชคดีจากบรรดาคอทุเรียนที่ไม่ย่อท้อ เนื่องเพราะว่าพอมาแล้วก็ได้ทุเรียนราคาถูก ซึ่งในปัจจุบันนี้ ราคาอยู่ที่ประมาณ ๓ กิโลกรัม ๑๐๐ บาท ต่างกับราคาปีก่อน ๆ เหมือนฟ้ากับเหว..! แต่ว่าปีนี้ทุเรียนเนื้อหาก็ไม่ค่อยจะดีนัก เนื่องเพราะว่ามีฝนตกลงมาอย่างหนักเป็นช่วง ๆ ทำให้เกิดอาการ "ไส้ซึม" ก็คือเนื้อภายในบางส่วนเละ ไม่อร่อยเหมือนเดิม จึงยิ่งกลายเป็นซ้ำเติมสถานการณ์ให้หนักขึ้นไปอีก ประกอบกับรัฐบาลของเราไม่มีฝีมือในการบริหารประเทศ ทำอะไรไม่เป็น แม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี หรือว่ารัฐมนตรี จะทำอะไรแต่ละทีก็ต้องมองหน้าผู้ใหญ่เสียก่อนว่า "เรื่องนี้ควรที่จะทำได้หรือไม่ ?" ทำให้เศรษฐกิจตกสะเก็ด ผู้คนหางานทำยาก หาเงินยาก หลายต่อหลายรายก็กลายเป็นขายของไม่ออก เจ๊งระนาวไปตาม ๆ กัน ก็เลยทำให้ผู้คนเซฟตัวเอง ด้วยการไม่จำเป็นที่จะต้องกินของชอบของแพงก็ได้ จนกว่าที่จะพ้นระยะไปก่อน แต่กระผม/อาตมภาพอยากจะบอกว่า ถ้าจากที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกกล่าวมานั้น ระยะเวลาค่อนข้างที่จะยาวนานหลายปี ท่านทั้งหลายคงจะมีโอกาสปรับตัว เปลี่ยนกำลังใจของตนเอง ในการที่จะทำให้ทุเรียนทองผาภูมิ ซึ่งโด่งดังมาก ออกสู่ตลาดในฐานะสินค้าที่มีแต่คนแย่งกันซื้อ โดยที่ราคาไม่สูงมากนัก |
แต่ขณะเดียวกัน เมื่อ "อุปสงค์" มีมาก ความต้องการมีมาก "อุปทาน" ก็ต้องมากตามไปด้วย เพราะว่าบุคคลที่โลภ ก็จะไล่ปลูกทุเรียนกันชนิดไม่ทำอย่างอื่น แม้กระทั้งปัจจุบันนี้ ก็มีการโค่นสวนยางเพื่อปลูกทุเรียนกันเป็นจำนวนมากแล้ว ครั้นถึงเวลาของออกสู่ตลาดมาก ราคาก็จะตกลงไปอีก..!
เรื่องพวกนี้เป็นวงจรอุบาทว์ตามปกติ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าเห็นเขารวยไม่ได้ ต้องการที่จะรวยด้วย แต่ว่าต้องขยับตัวให้เร็วหน่อย ถ้าขยับตัวช้า แทนที่จะรวยอาจจะกลายเป็นเจ๊งก็ได้..! กระผม/อาตมภาพอยากจะให้ท่านทั้งหลายปลูกผัก ปลูกหญ้า พืชผลการเกษตรอื่น ๆ อยู่ในลักษณะเก็บขายได้ทุกวันบ้าง เก็บขายได้ทุกอาทิตย์บ้าง เก็บขายได้ทุกเดือนบ้าง และเก็บขายได้ทุกปีบ้าง ซึ่งเรื่องพวกนี้กระผม/อาตมภาพในฐานะที่เป็นพระ และได้แนะนำทุกท่านมาหลายปีแล้ว ก็คงจะไม่ขอกล่าวถึง ว่าพืชผลการเกษตรแต่ละประเภทมีอะไรบ้าง ให้ท่านไปศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง รีบทำตอนนี้ ยังพอรับสถานการณ์เลวร้ายเหล่านี้ได้ทัน แต่ถ้าขยับตัวช้า นอกจากจะไม่ทันแล้ว ถึงเวลายังหากินไม่ได้อีกด้วย ก็จะทำให้ทุกคนต้องลำบากเดือดร้อนไปตาม ๆ กัน ถ้าอยู่ในสภาวะเช่นนั้น กระผม/อาตมภาพก็ได้กล่าวแค่ว่า เราเตือนคุณแล้ว..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:34 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.