![]() |
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๘
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๘ |
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณขอบใจทุกท่าน ที่ร่วมกันเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงปู่สายประจำพรรษานี้ เรื่องการเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงปู่สาย กระผม/อาตมภาพทำต่อเนื่องมา ๒๔ ปี ถึงได้วางมือให้คนอื่นทำแทนบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วพอขาดความคล่องตัว ไม่รู้ว่าอะไรก่อนอะไรหลัง นอกจากจะเปลี่ยนไม่ได้อย่างใจแล้ว ยังอาจจะทำให้สังขารหลวงปู่ชำรุดเสียหายอีกด้วย..!
ถ้าถามว่า "ทำไมกระผม/อาตมภาพต้องมาทำหน้าที่นี้ ?" ก็เพราะว่าเจ้าอาวาสในยุคนั้น ก็คือ "พระอธิการสมเด็จ วราสโย" หรือว่า "ทิดสมเด็จ" ในทุกวันนี้ กลัวผีสุด ๆ ต่อให้เป็นครูบาอาจารย์ก็กลัว..! กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องมาทำหน้าที่เปลี่ยนผ้าครองให้ตั้งแต่ปีแรกมา จีวรชุดแรกที่หลวงปู่ใส่เกาะติดเนื้อ ชนิดที่ลอกกันเสียงดังคว่ากเลย..! เพราะว่าครองไว้เป็นปี แล้วก็โลงปิดทึบอยู่ ตั้งใจว่าจะเผา ปรากฏว่าสังขารหลวงปู่ไม่มีอะไรเสียหาย จึงเปลี่ยนเป็นเก็บ แล้วก็เก็บมาจนทุกวันนี้ ยุคที่หลวงพ่อเจ้าคุณณรงค์ - พระเดชพระคุณพระเทพเมธากร (ณรงค์ ปริสุทฺโธ ป.ธ. ๔) วัดราษฎร์ประชุมชนาราม (วัดท่ามะขาม) เป็นเจ้าคณะจังหวัด ท่านยุผมให้เผาหลายครั้ง ท่านบอกว่า "พระพุทธเจ้ายังเก็บแค่ ๗ วันเอง" ก็จริงของท่าน แต่ความด้วยที่ว่ายุคเราสมัยเรา ไม่ได้มีพระอรหันต์หรือพระอริยเจ้ามากมายแบบสมัยพุทธกาล กำลังใจในการยึดเกาะพุทธานุสติ สังฆานุสติ ถ้าหากว่ามีวัตถุให้เป็นเครื่องยึดก็จะง่ายขึ้น โดยเฉพาะตัวอย่างพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ซึ่งมรณภาพไล่ ๆ กับหลวงปู่สาย คือหลวงปู่สายมรณภาพวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๓๕ หลวงพ่อฤๅษีฯ มรณภาพวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ วันมรณภาพของหลวงพ่อฤๅษีฯ ของกระผม/อาตมภาพกับของทั่วไปไม่ตรงกัน เนื่องเพราะว่าทั่วไปเขาประกาศว่าหลวงพ่อมรณภาพวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ แต่กระผม/อาตมภาพได้ยินพระท่านพูดใส่หูชัด ๆ ก่อนหน้าท่านจะมรณภาพ ๓ เดือน บอกว่า "ให้ระวัง ๒๘" ด้วยความโง่ก็เลยตั้งใจไปดูว่าหวยจะออกหรือเปล่า ?! |
ปรากฏว่าพอวันที่ ๒๘ ตุลาคม หลวงพ่อท่านหมดสติ ต้องนำเข้าโรงพยาบาล แล้วท่านก็ทิ้งสังขารไปเลย เพราะว่าไม่อยากทนทุกขเวทนา ท่านบอกว่า "พยายามกลับมาหลายครั้ง แต่ขยับเท่าไร ร่างกายก็ขยับไม่ได้" ก็คือประสาทร่างกายชำรุดเกินเยียวยาแล้ว ท่านก็เลยตัดสินใจว่า "ทำงานแบบไม่มีร่างกายสบายกว่าตั้งเยอะ..!" เพียงแต่ว่าถึงท่านจะไปแล้ว แต่สังขารร่างกายเหมือนกับรถ เมื่อวิ่งมา ถึงเวลาเครื่องดับ ก็ยังมีแรงเฉื่อยให้ไหลไปได้อีกระยะหนึ่ง ดังนั้น..ท่านจึงไปหมดลมวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕
เรื่องนี้อย่าเอาไปเถียงกับคนอื่น ๓๐ ตุลาคม ๒๕๓๕ หรือ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ ก็ตาม ไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าหลวงพ่อท่านแสดงธรรมเป็นครั้งสุดท้ายให้เราเห็นอย่างชัดเจนว่า ครูบาอาจารย์ที่มีความสามารถเลิศในสามโลกขนาดท่าน ก็ยังอนิจจังไม่เที่ยงเหมือนกัน เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของท่าน เราก็จะทุกข์ เพราะว่าท้ายที่สุดไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขาอย่างแท้จริง ส่วนที่เราจะยึดก็คือคุณงามความดีของท่านที่เป็นสังฆานุสติ อย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกกับพระพี่พระน้องหลายต่อหลายรูปว่า "ต่อให้ผมโดนไล่ออกจากวัดเพราะว่าทำงานเสี่ยง ๆ เพื่อวัด ผมก็จะเอาหลวงพ่อนั่งเหนือหัวไปด้วย" นั่นคือลักษณะของสังฆานุสติ ที่ไม่ใช่การยึดตัวบุคคล แต่ยึดในคุณครูบาอาจารย์ที่เป็นสุปฏิปันโน สาวะกะสังโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องสังวรว่า ครูบาอาจารย์ท่านมีความสามารถเท่าไร เราเองในฐานะที่เป็นพระภิกษุสามเณร หรือญาติโยมวัดท่าขนุน เท่ากับว่าเราแบกคุณงามความดีของครูบาอาจารย์เอาไว้ ถ้าหากว่ามีอะไรผิดพลาด บกพร่องให้คนอื่นเขาตำหนิได้ เขาไม่ได้ตำหนิแต่เราคนเดียว ถ้าพูดว่า "พระรูปนี้เป็นพระวัดท่าขนุน" วัดเสียหายด้วย "พระรูปนี้เป็นลูกศิษย์หลวงปู่สาย" หลวงปู่เสียหายไปด้วย "พระเณรรูปนี้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเล็ก" กระผม/อาตมภาพเสียหายไปด้วย แล้วท้ายที่สุด ความเสียหายทั้งหมดก็จะถึงพระพุทธศาสนา..! |
ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ในปัจจุบันนี้ เรื่องราวเสียหายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มีฆราวาสจำนวนมากออกมาด่าพระกันอย่างสนุกสนาน เป็นการด่าที่ไม่ได้สำนึกเลย อย่างเรื่องหลวงพ่อวัดม่วง บางแค ท่านยังเป็นพระสงฆ์ ทรงผ้าไตรจีวรอยู่ ด่าโดยใช้คำว่า "พระ" นำหน้า..!
ก็จะเหมือนอย่างในพระไตรปิฎก ที่มีนักบวชต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ญาติโยมไปด่า ปรากฏว่าลงนรกไปด้วยกัน คนทำผิดลงนรกเป็นเรื่องปกติ แต่คนไม่ทำผิด ไปโกรธ เกลียด อาฆาต ด่าท่านเข้า กำลังใจตัวเองเสีย จึงกระโดดลงนรกไปด้วย เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก แต่คนสมัยนี้ไม่ค่อยจะเห็นนรกกัน ก็เลยไม่กลัว..! บางคนก็บอกว่า "นรกเป็นแค่ชื่อของน้ำพริก" ตายเมื่อไรแล้วเอ็งจะรู้ว่า ไอ้ที่ยิ่งกว่าน้ำพริกนั้นเป็นอย่างไร ?!! สำหรับวันนี้ คณะของครูบาแก้ว สนฺติโก เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรีสว่าง เมืองปากงึม แขวงกำแพงนครเวียงจันทน์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ขออนุญาตมาถวายมุทิตาสักการะ ในโอกาสที่กระผม/อาตมภาพได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เนื่องเพราะว่าวันฉลองตรงกับกาลเข้าพรรษาไปแล้ว ท่านไม่สะดวกที่จะเดินทางมา แต่ปรากฏว่าการมาถวายมุทิตาสักการะ ไม่ใช่เป้าหมายหลัก เป้าหมายหลักก็คือคณะของท่านสอบถามปัญหาการปฏิบัติธรรมที่ติดขัดอยู่ โดยเฉพาะครูบาแก้ว ท่านทำอสุภกรรมฐานมาก่อน เมื่อวานที่กระผม/อาตมภาพกล่าวถึง ท่านจึงนึกขึ้นมาได้ว่า ความจริงท่านทำไปมากแล้ว แต่เข้าใจผิด ก็คือท่านพิจารณากระดูก จนกระทั่งใสสว่างเหมือนกับหลอดไฟ ท่านคิดว่าอาจจะไปผิดทาง ก็เลยทิ้งไปเฉย ๆ..! ความจริงการปฏิบัติในอสุภกรรมฐานทุกอย่าง ถ้าเรารู้จักประยุกต์ร่วมกับอานาปานสติ ถ้าหากว่าถึงฌาน ๔ เต็มที่ ซากศพทุกประเภทจะเป็นแก้วประกายพรึกหมด จะขอให้มาก็ได้ ให้ไปก็ได้ ให้ใหญ่ก็ได้ ให้เล็กก็ได้ ต้องการให้อยู่ในสภาพไหนก็ได้ แบบที่หลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอกท่านทำ กระผม/อาตมภาพจึงถวายคำแนะนำว่า "ให้ครูบาท่านไปปฏิบัติใหม่ คนที่เคยทำแล้ว รู้ช่องทาง ไม่น่าจะยาก เพราะต่อจากนั้นอีกนิดเดียวก็ถึงที่สุดแล้ว" |
คำว่าถึงที่สุดก็คือเต็มที่ในการทรงสมาธิ ยังต้องมีการคลายจิตออกมาพิจารณาว่า สภาพร่างกายของเรา ท้ายที่สุดก็เหมือนกับศพซากนี้ จนกระทั่งถอนจิตจากความยึดมั่นถือมั่น เห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ต้องบอกว่าเหลือในการปฏิบัติแบบสมถะอีกเล็กน้อย แต่ว่าขาดในส่วนของวิปัสสนาญาณอยู่อีกมาก แต่ถ้าทำสมถะถึงที่สุดแล้ว วิปัสสนาก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ส่วนคณะที่มาด้วยมีปัญหา ปฏิบัติธรรมไปแล้วนึกปรามาสครูบาอาจารย์ทุกรูปทุกองค์ที่ใครเขาบอกว่าดี กระผม/อาตมภาพแนะนำว่าให้ขอขมาพระทุกวัน นักปฏิบัติถ้าเริ่มเข้าถึงความดี มารจะดลใจให้เราปรามาสในพระรัตนตรัย เพราะว่าถ้าปรามาสในพระรัตนตรัย ขาดความเคารพ เท่ากับว่าปิดทางการเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าขั้นต้น แต่ถ้าหากว่าเราตั้งใจว่า ถ้าสติสัมปชัญญะของเราสมบูรณ์ การกระทำที่น่าเกลียดน่าชังนี้ย่อมไม่มีสำหรับเรา ต่อให้โดนมารดลใจให้ทำก็ตาม แต่เราก็เต็มใจที่จะกราบขอขมาพระรัตนตรัย ถ้าหากว่าเราไม่หวั่นไหว กราบขอขมาทุกวัน มารรู้ว่าไม่สามารถจะกวนให้เราขุ่นได้ ทำให้กำลังใจเราเสียได้ เขาก็จะเลิกไปเอง เป็นเรื่องที่นักปฏิบัติจะต้องเจอกันทั้งนั้น มากน้อยตามแต่กำลังที่สั่งสมมา ทำไว้มากก็โดนขวางมาก เพราะเขากลัวว่าเราจะหลุดมือไป ทำไว้น้อยก็โดนขวางน้อย แต่ว่าโดนทุกคน..! คราวนี้ท่านอยู่กันถึงประเทศลาว เดินทางตะเกียกตะกายมาหาครูบาอาจารย์ นอกจากศึกษาและปฏิบัติตามแนวครูบาอาจารย์แล้ว ยังต้องคอยมาสอบถามเพื่อแก้ไขข้อติดขัด ส่วนพวกท่านทั้งหลายเหมือน "หนูตกถังข้าวสาร" ก็คืออยู่แค่นี้ แต่ไม่กระตือรือร้นอะไร ประมาณว่าอยู่ในถังข้าวสารจะกินเมื่อไรก็ได้ โปรดระวังไว้ว่า แมวมาถึงเมื่อไร ข้าวสักเม็ดก็จะไม่ได้กิน..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:29 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.