กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=163)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=11048)

พิชวัฒน์ 13-06-2025 19:47

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๘
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๘



เถรี 14-06-2025 00:25

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ การประชุมคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิเพิ่งจะเสร็จเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพก็ต้องรับแขกผู้ใหญ่ ๒ ชุด ๓ ชุด ทั้ง ๆ ที่ตนเองก็ไข้จับ แถมยังปวดปัสสาวะแทบจะเล็ดอยู่แล้ว..!

ที่มากล่าวนี้ไม่ได้ขอความเห็นใจจากใคร เนื่องเพราะว่าทุกท่านคิดว่าหลวงพ่อเล็กเป็น "ซูเปอร์แมน" อยู่แล้ว ไม่ว่าสภาพอย่างไรก็รับไหว แต่ที่มากล่าวเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับท่านปู (พระพงษ์สิทธิ์ สนฺตจิตฺโต) ที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงขนาดเดินหาเลขาฯ พัฒน์ (พระมหาพัฒน์ ฐิตาจาโร ป.ธ. ๓) เพื่อที่จะถวายผางสัก ๔ - ๕ ที..! ยังโชคดีที่บุญรักษา เทวดาคุ้มครอง ท่านก็เลยหาไม่เจอ ไม่อย่างนั้นป่านนี้ถ้าไม่สึกหาลาเพศ ก็คงต้องย้ายไปอยู่วัดอื่นแล้ว เพราะว่าระเบียบวัดของเราระบุไว้ชัดเจนว่า "ห้ามมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน ผู้ใดทะเลาะเบาะแว้งกันจะไม่ฟังเหตุผล แต่ไล่ออกทั้งคู่..!"

สาเหตุก็มาจากแค่ว่ามีไม้กวาดสองอันวางอยู่ที่บริเวณบันไดขึ้นกุฏิของท่านปู แล้วท่านก็มั่นอกมั่นใจว่าเป็นเลขาฯ พัฒน์ เอาไปวางขวางทางขึ้นของท่านเพื่อกลั่นแกล้ง เนื่องเพราะว่าเคยตักเตือน เคยต่อว่า เคยงับหัวกันมาหลายครั้งแล้วว่าอย่าทำแบบนี้ ถึงขนาดประกาศในกลุ่มไลน์ว่าขอตบให้สะใจสัก ๔ - ๕ ทีแล้วจะยอมลาสิกขา ฟังดูแล้วเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง แต่ขออภัย..เรียนมายันปริญญาโทแล้ว บวชก็หลายปี ปัญญาในการปฏิบัติธรรมแทบจะไม่มีเอาเสียเลย..!

นี่คือจุดอ่อนใหญ่หลวงของบุคคลที่เอาแต่ภาวนา โดยที่ไม่ใช้ปัญญาในการพินิจพิจารณา บุคคลที่เอาแต่ภาวนา พอถึงเวลาก็จะอยู่ในลักษณะเก็บกด เนื่องเพราะว่า รัก โลภ โกรธ หลง โดนสมาธิกดดับชั่วคราว แต่ไม่ได้ตาย..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น กิเลสที่รอจังหวะอยู่ เมื่อถึงเวลา แทนที่เราจะคิด จะพิจารณา เรากลับเอากำลังที่เราปฏิบัติธรรมได้ ไปนึกคิดปรุงแต่ง ในด้านของ รัก โลภ โกรธ หลง แทน เหมือนอย่างกับเลี้ยงโจรไว้ปล้นตัวเอง..!

เถรี 14-06-2025 00:29

ท่านทั้งหลายจะสังเกตว่า ถ้าเราภาวนาบ่อย ๆ โดยไม่ใช่กำลังใจในการพิจารณา กำลังสมาธิของเราถ้ายังดี กดกิเลสอยู่ได้ก็แล้วไป แต่ถ้าฟางเส้นสุดท้ายวางลงมาเมื่อไร อูฐก็หลังหัก..! รัก โลภ โกรธ หลง จะไหลมาเทมาเหมือนฟ้าถล่มดินทลาย..! จากคนที่กำลังใจสงบ ระงับ เยือกเย็น กลายเป็นเร่าร้อน จนกระทั่งจะต้องไประบายใส่คนอื่น

จนมีคนกล่าวกันว่า "วิปัสสนาขี้โกรธ สันโดษขี้ขอ อุเบกขาบ้ายอ" เหล่านี้เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เกิดจากการที่เราเข้าสมาธิบ่อย ๆ จนจิตมีกำลัง แต่เราไม่เอากำลังนั้นไปใช้ในการพินิจพิจารณาวิปัสสนาญาณ เมื่อเราไม่ใช้ กิเลสก็ขโมยไปใช้แทน..!

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ถึงเวลาแล้วเราก็จะโกรธอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ สามารถคิดโกรธไปได้ทุกเรื่อง คิดแล้วคิดอีก ไม่รู้จักเลิก ขณะที่อีกฝ่ายที่เราโกรธไม่รู้เรื่องอะไรเลย..! นั่นคือการที่สภาพจิตของเราปรุงแต่งไปใน รัก โลภ โกรธ หลง โดยอาศัยกำลังสมาธิของเราไปปรุงแต่ง จึงมีกำลังกล้าแข็งจนเราระงับไม่อยู่ ถึงขนาดเดินหาเพื่อที่จะทำร้ายร่างกายของเพื่อนพระภิกษุสามเณรด้วยกัน ลืมแม้กระทั่งโอวาทปาฏิโมกข์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า อนูปวาโท อนูปฆาโต ก็คือพระภิกษุสงฆ์ของเราต้องไม่ว่าร้ายใคร ต้องไม่ทำร้ายใคร สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ผู้ที่ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย..!

ต้องบอกว่าตอนนั้นหน้ามืด ไอคิวก็พลอยเตี้ย ไอเดียก็พลอยต่ำ ปัญญาก็ไม่มี คิดอยู่อย่างเดียวก็คือต้องเล่นงานคนอื่นให้สะใจ ประมาณว่าชกให้หงายท้องลงไปแล้วต้องกระทืบซ้ำ ส่วนไหนของร่างกายกระดิกได้ กูต้องกระทืบให้นิ่งให้ได้ ลักษณะแบบนั้นแหละที่เราเป็นทาสกิเลสแบบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ และนักปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น..! เพียงแต่ว่าบุคคลนั้นมีจริตไปทางด้านไหน ถ้าราคะจริต กามารมณ์ก็จะกำเริบ ถ้าโทสะจริต ความโกรธก็จะกำเริบ ถ้าโลภะจริต ความโลภอยากได้สิ่งของของคนอื่นมาเป็นของตัว ก็จะกำเริบ เป็นต้น

เถรี 14-06-2025 00:30

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อไปก็ "อย่าเลี้ยงโจรเอาไว้ปล้นตัวเอง" อีก ก็คือเมื่อภาวนาจนอารมณ์ใจไปต่อไม่ได้แล้ว เหมือนกับบุคคลที่เดินไปชนกำแพง ก็ให้คลายกำลังใจออกมา ยกเอาข้อธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาพินิจพิจารณา จนกระทั่งรู้เห็นอย่างชัดเจน และสภาพจิตยอมรับตามนั้น

อย่างเช่น
เมื่อเห็นว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด จิตของเราก็ยอมรับว่าเป็นจริงตามนั้น โดยไม่มีข้อถกเถียงใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อพิจารณาเห็นว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ การเกิดก็เป็นทุกข์ การแก่ก็เป็นทุกข์ การเจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นทุกข์ การตายก็เป็นทุกข์ การพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ การได้สิ่งที่ไม่รักไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์

ความปรารถนาไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การกระทบกระทั่งกับอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ สภาพจิตของเราก็จะเห็นชัดเจน และยอมรับจริง ๆ ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นทุกข์ โดยไม่มีข้อแม้ให้ถกเถียงแม้แต่น้อย


เมื่อพิจารณาว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นเพียงส่วนประกอบของ ดิน น้ำ ไฟ ลม ที่มารวมตัวกันชั่วคราว พอมีหัว มีหู มีหน้า มีตา ตัวเราคือจิต ที่มาอาศัยอยู่ตามบุญตามกรรมที่สร้างไว้ เราก็ไปยึดว่าเป็นตัวกูของกู ถ้าลองแยกแยะดูจะเห็นว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ เท่านั้น ไม่มีอะไรหลงเหลือให้เป็นเราเป็นของเราเลย สภาพจิตถ้าเห็นชัดเจนแบบนี้ และยอมรับตามนี้ ก็จะไม่ไปรัก โลภ โกรธ หลงกับใคร

เมื่อสภาพจิตของเรารู้จักนำกำลังมาพินิจพิจารณา ก็ต้องรู้จักสังเกตด้วย ก็คือพอใช้กำลังจากการภาวนาไปจนหมด การพิจารณาของเราก็รู้สึกว่าฝืด รู้สึกว่าเฝือ มองอะไรก็ไม่ชัดเจน เราก็กลับไปภาวนาใหม่ พอกำลังใจเต็มที่ก็คลายออกมาพิจารณาอีก ต้องทำสลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้

เถรี 14-06-2025 00:32

เราจะไปหวังว่าภาวนาอย่างเดียว กดกิเลสไว้จนกิเลสตายจากเราไป นั่นเป็นเรื่องที่โคตรยาก..! เพราะว่าเผลอเมื่อไรกิเลสก็ตีกลับ กำลังใจเป็นพรหม เป็นเทวดา เป็นนางฟ้าอยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นแย่ยิ่งกว่าหมาเสียอีก..! หรือว่าเราจะตั้งหน้าตั้งตาพินิจพิจารณาอย่างเดียว เพื่อที่จะเข้าสู่ความเป็นพระอรหันต์ นั่นก็โคตรยาก..! เนื่องเพราะว่ากำลังที่จะช่วยตัดกิเลสนั้นไม่มี

สมถกรรมฐานคือการภาวนา เป็นการเพราะสร้างกำลังให้แข็งแรง วิปัสสนากรรมฐานคือการใช้ปัญญา เหมือนกับอาวุธที่คมกล้า ถ้ามีแต่กำลัง ไม่มีอาวุธ จะไปตัดไปหั่นอะไรก็ไม่ได้ ถ้ามีอาวุธ แต่ไม่มีกำลัง ยกอาวุธไม่ขึ้น จะไปตัดไปหั่นอะไรก็ยากลำบาก ทั้งสองอย่างจึงต้องทำร่วมกัน เหมือนคนที่ถูกผูกขาไว้ด้วยเชือกหรือโซ่สั้น ๆ ต้องผลัดกันก้าวทีละก้าว ถึงจะขึ้นหน้าได้ ถ้าก้าวเฉพาะข้างใดข้างหนึ่ง พอสุดโซ่หรือเชือกที่ผูกไว้ ก็จะโดนกระตุกกลับมาที่เดิม หรือถ้าหากว่ากำลังสมาธิดี ปรุงแต่งเก่ง ก็จะโดนกิเลสลากไปให้กำลังใจเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม..!

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ความจริงกระผม/อาตมภาพบอกกล่าวเอาไว้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แต่พวกเราไม่ค่อยจะเอามาใส่ใจ ฟังแล้วก็ผ่านหูไป ปฏิบัติก็เหมือนกับแก้บน แล้วก็โดนกิเลสจูงจมูกไปแบบที่ผ่านมา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปโทษใคร เพราะว่าเป็นตัวเราทำตัวเราเอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องยอมรับโดยหน้าชื่นตาบานว่า
เราโง่กว่ากิเลส โดนกิเลสจูงจมูกมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว แต่ก็ยังยอมให้มันจูงต่อไป ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้มีความสุขความเจริญก็แล้วกัน..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:54


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว