กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=162)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=10960)

ตัวเล็ก 03-05-2025 22:22

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๘



เถรี 04-05-2025 00:58

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘ เมื่อวานนี้ กระผม/อาตมภาพยังต้องเข้าประชุมผ่านระบบ ZOOM Meeting Online เพื่อเตรียมการจัดงานรับประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ และประกาศนียบัตรบริหารการปกครองท้องถิ่น ร่วมกับคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แล้วก็ได้ร่วมบุญในการจัดงานครั้งนี้ไปเป็นจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทถ้วน

สำหรับวันนี้พวกเรานัดกันด้วยเลข ๕ - ๖ - ๗ ทำให้ทุกคนต้องตื่นค่อนข้างที่จะเช้า เพราะว่าต้องเดินทางไปยังเมืองศิมลา ซึ่งออกเสียงได้ยากมาก อากาศช่วงเช้าอยู่ที่ ๑๔ องศาเซลเซียส ขณะที่พวกเราลงมานั่งรอบริเวณห้องอาหาร ซึ่งน้องการ์ตูน (นางสาวศรันย์พร บุรินทรโกษฐ์) กำลังจัดเตรียมผลไม้และกับข้าวที่นำมาจากเมืองไทย เพื่อเตรียมถวายพระและบริการให้กับทุกคน

เมื่ออาหารพร้อม พวกเราก็กวาดใส่ท้องกันแบบไม่ต้องสนใจรสชาติ แล้วมาตรวจสอบดูว่ากระเป๋าของตนได้รับการขนขึ้นไปบนหลังคารถตู้แล้วหรือยัง ? จากนั้นก็นั่งรถตู้วิ่งยาวลงมาประมาณ ๒๐ กว่านาที มาถึงบริเวณที่จอดรถบัส ทำการเปลี่ยนกลับไปที่รถบัสซึ่งเป็นคันเก่าที่จอดรอเรามา ๓ วันแล้ว กระผม/อาตมภาพนั้น นอกจากทำการทิปบรรดาเจ้าหน้าที่ตลอดจนกระทั่งพนักงานของโรงแรม ASIA SPA RESORT ไปคนละ ๕๐๐ รูปีแล้ว ยังมาทิปให้กับคนขับรถทั้งสองคน อีกคนละ ๕๐๐ รูปี รวมแล้วช่วงเช้านี้หมดไป ๕,๕๐๐ รูปีแล้ว..!

เมื่อขนข้าวของเข้าที่โดยเฉพาะกระเป๋า ทำการตรวจนับเรียบร้อย พวกเราก็ออกเดินทาง ซึ่งกระผม/อาตมภาพคิดว่าการเดินทางด้วยรถบัสไปยังเมืองศิมลานั้น เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะกล้าหาญมาก แล้วก็เป็นจริงตามนั้นเสียด้วย เนื่องเพราะว่าเมื่อเรามาถึงเมืองหะมิระปุระ ก็ต้องวนรถในสถานที่คับแคบ เพื่อจะหาร้านอาหารที่จับจองเอาไว้ ต้องวนแล้ววนอีก เพราะว่าสลับซับซ้อนมาก

ท้ายที่สุดก็ต้องลงจากรถบัส เพราะว่าคนอื่นบีบแตรด่าบรรพบุรุษสนั่นหวั่นไหวไปหมด..! แล้วให้นายวิกรมพาพวกเราเดินไปค่อนข้างจะไกล เข้าไปตามช่องเล็ก ๆ เพื่อทะลุไปยังห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มองไปก็ไม่เห็นว่าจะมีร้านอาหารสักแห่ง แต่ว่าเขาพาเราเดินขึ้นไปจนถึงชั้นที่ ๓ จึงได้เจอภัตตาคารชื่อ MAHADEVA พวกเราเข้าไปนั่งรออาหาร โดยที่น้องการ์ตูนกับคุณเอ (นายฉัตตริน เพียรธรรม) กรรมการผู้จัดการบริษัทเอ็นซีทัวร์ ช่วยกันจัดอาหารไทยมาถวาย มีทั้งห้อยจ๊อ ปลาทูต้มเค็ม แล้วก็ข้าวกล่องที่สั่งมาเผื่อถวายพระบนรถ จากโรงแรม ASIA SPA RESORT ด้วย

เถรี 04-05-2025 01:01

เมื่อได้อาหารมา พวกเราก็ตั้งหน้าตั้งตาฉันกันจนอิ่ม ปรากฏว่าอิ่มไปแล้วพักใหญ่ กว่าที่กับข้าวชนิดแรกของทางร้านอาหารจะมาถึง แล้วค่อยทยอยมากันทีละอย่างสองอย่าง ไปจนเกือบจะถึงลำดับสุดท้ายแล้ว ข้าวสวยเพิ่งจะมาถึง..! แล้วปิดท้ายด้วยไก่ผัดเปรี้ยวหวานและไข่เจียว

แต่พระทั้ง ๔ รูปฉันจนกระทั่งท้องกางไปแล้ว ก็เลยชิมอย่างโน้นคำอย่างนี้คำ แล้วมอบส่วนที่เหลือให้กับญาติโยมทั้งหลายไป ไม่น่าเชื่อว่าตั้งแต่ต้นจนกระทั่งอาหารจานสุดท้ายออกมา ใช้เวลาถึง ๑ ชั่วโมง ๒๐ นาที..! คุณเอบอกว่าทำอะไรกับคนอินเดียจะใจร้อนไม่ได้ เพราะว่าเขามีนิสัยทำงานให้ได้วัน ไม่ใช่ทำงานให้ได้งาน ดังนั้น..ยิ่งทำช้าเท่าไรก็เหนื่อยน้อยเท่านั้น..!

ในเมื่อยกอาหารให้คนอื่น และตัวเราไม่ได้ฉัน กระผม/อาตมภาพจึงเดินออกไปยังตลาดภายนอก เพื่อที่จะดูบ้านดูเมืองของเขา แล้วก็อาศัยนั่งพักอยู่ใต้อนุสาวรีย์มหาตมะ คานธี จนกระทั่งทุกคนพร้อมแล้วจึงมาขึ้นรถ ช่วงเช้านี้คำนวณระยะทางว่า พวกเราวิ่งมาได้ประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ใช้เวลาไป ๔ ชั่วโมง เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ ๑ ชั่วโมงต่อ ๒๐ กิโลเมตรเท่านั้น..!

จากตรงนี้ไปยังเมืองศิมลา ถ้าหากว่ายังอยู่ในอัตรานี้ก็มีหวังได้ถึงกันดึกดื่นเที่ยงคืนแน่นอน..! ถนนหนทางเริ่มคดเคี้ยวไต่ขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ บางแห่งก็มีเทวาลัย หรือว่าวัดในความหมายของเขาตั้งอยู่ ซึ่งเด็กรถของเราก็ชี้ให้พวกเรายกมือไหว้ไปเสียทุกแห่ง..!

เมื่อไปจนกระทั่ง "ไร้แรงบิน" กันดีแล้ว พวกเราก็มาจอดเข้าห้องน้ำกันอีกรอบหนึ่ง ตอนเวลาประมาณ ๑๖.๓๕ น. ปรากฏว่าการเข้าห้องน้ำนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่เสียแล้ว เรื่องใหญ่ก็คือทุกคนวิ่งไปซื้อหาน้ำอัดลมบ้าง กาแฟบ้าง มาใส่ท้องตัวเองเป็นการใหญ่ คาดว่าข้าวปลาอาหารเมื่อกลางวัน น่าจะโดนรถเขย่าจนกระทั่งละลายหายไปหมดแล้ว..!

จากนั้นพวกเราก็ขึ้นเขาสูงไปเรื่อย ๆ ถนนหนทางคับแคบ มีรถบรรทุกเป็นจำนวนมาก กว่าที่จะขยับ กว่าที่จะแซงได้ ก็ช้าเหลือเกิน แล้วถึงเวลารถใหญ่สวนมาก็ต้อง "ดูใจ" กันก่อน ก็คือใครจะเป็นคนจอด ใครจะเป็นคนขยับรถของตนเอง แต่ว่าคนอินเดียนั้นนิสัยน่ารักมาก แม้ว่าถนนหนทางจะคับแคบ และรถราหมาวัวเกะกะไปหมด แต่ทุกคนก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน คุณขยับบ้าง ผมขยับบ้าง ท้ายที่สุดรถก็ผ่านไปจนได้

พวกเราเดินทางขึ้นเขาสูงไปเรื่อย ๆ ขณะที่ตะวันก็ลับทิวเขาลงไป อากาศเยือกเย็นลงมา จนรู้สึกว่าเครื่องปรับอากาศในรถจะเย็นน้อยกว่าข้างนอกเสียอีก..! จนกระทั่งมืดมัวสลัวตาก็เริ่มเข้าเขตเมืองศิมลา ซึ่งเป็นเมืองที่ยาว ๆ ไปตามชายเขา ทำให้เป็นเมืองที่ยาวหลายสิบกิโลเมตร แต่ว่าบรรดารถนั้น ยิ่งเข้าตัวเมืองก็ยิ่งมาก จนกระทั่งเกะกะไปหมด ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะขึ้นหน้า ใครจะถอยหลัง พวกเราค่อย ๆ ฝ่าฟันกันไป แม้ว่าหลายคนจะหมดกำลังใจ นั่งหลับตาอย่างเดียวไปตั้งนานแล้ว

เถรี 04-05-2025 01:03

จนกระทั่งท้ายที่สุด เวลาประมาณทุ่มเศษ ๆ ของประเทศอินเดีย ถ้าหากว่าเป็นบ้านเราก็ตกประมาณ ๓ ทุ่มแล้ว พวกเรามาจอดรถใหญ่ มองเห็นทิวทัศน์รอบด้าน ที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ เหมือนดวงดาวเต็มภูเขาไปหมด จนกระทั่งมีคนปากร้ายแซวว่า "สลัมลอยฟ้า" ชัด ๆ..!

พวกเรารออยู่พักหนึ่งก่อนที่รถเล็กจะมาขนกระเป๋า แล้วยังมีที่ว่างอยู่ น้องการ์ตูนจึงพากระผม/อาตมภาพและทิดเฟิร์ส (นายบัณฑิต เอี่ยมตระกูล) เดินทางล่วงหน้าขึ้นไปโรงแรม The Zion ก่อน

เมื่อได้ห้องพักเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพเองก็รีบส่งงานทั้งหมด เพื่อที่จะไม่ให้เหลือคั่งค้าง แล้วมาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ญาติโยมทั้งหลายที่รอฟังอยู่ อาจจะสงสัยว่าทำไมถึงได้ช้านัก ก็เพราะว่าถนนหนทางเขย่าโครมคราม มีแต่เสียงแตรรถและเสียงเครื่องยนต์ ถ้าบันทึกเสียงจะมีเสียงรบกวนเป็นอย่างมาก..!

โรงแรม The Zion แห่งนี้ นอกจากจะสวยงามแล้ว ภายในห้องพักของกระผม/อาตมภาพ ยังมีพระพุทธรูปอยู่บนหิ้งเล็ก ๆ อีกด้วย แต่ว่าที่รู้สึกไม่เหมาะสมเลยก็คือ ทุกชั้นของเขาจะมีโต๊ะตั้งโทรศัพท์เตี้ย ๆ แล้วมีเศียรพระพุทธรูปอยู่ท่ามกลางพระหัตถ์ วางเป็นเครื่องประดับอยู่ ถ้าวางอยู่บนโต๊ะก็ไม่กระไรนัก แต่นี่วางอยู่ใต้โต๊ะเลย..! พูดง่าย ๆ ว่าเสมอกับเท้าของเรา ทำเอากระผม/อาตมภาพแทบไม่กล้าทีจะเดินเลยทีเดียว..!

ส่วนในล็อบบี้ ช่วงที่รับกุญแจนั้น มีรูปมหาเทพท่านหนึ่งยืนเป่าขลุ่ยอยู่ เป็นรูปปั้นสีขาว งดงามมาก ๆ เมื่อถาม "เจ้าแม่นภิสราเทวี" ว่าเป็นรูปของใคร ? ท่านบอกว่าเป็นรูปของพระกฤษณะ หรือถ้าหากว่าบางคนเรียกว่าพระรามบ้าง พระนารายณ์บ้าง แล้วแต่ว่าอยู่ในอวตารปางไหน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เป็นอันว่าคือ "พี่ใหญ่" ของพวกกระผม/อาตมภาพเอง ในเมื่อมี "พี่ใหญ่" คอยดูแลอยู่ด้วย คาดว่าคืนนี้จะได้พักกันอย่างมีความสุข

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:53


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว