![]() |
เกิดเป็นชาวทิเบต
ดูพวกชาวทิเบตเขากราบพระเป็นหมื่น ๆ ครั้ง เขาสวดมนต์กันทั้งวัน เห็นแล้วเสียดายกำลังใจ กำลังใจแบบนั้นถ้าตัดเข้าหาความเป็นพระอริยเจ้านี่สงสัยไปแทบยกประเทศ แต่ว่าของทิเบตเขามาสายพระโพธิสัตว์ มหายานนี่เน้นความเป็นพระโพธิสัตว์ เขาถือว่าหินยานหรือเถรวาทของเราเป็นการคับแคบ ไปแต่ตัว แต่ของเขาที่เรียกว่ามหายานเพราะสามารถขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสารได้มากต่อมาก ฉะนั้นกำลังใจเลยมุ่งไปทางด้านนั้น
ถาม : แล้วอย่างนี้ส่วนใหญ่คนที่อยู่ก็เป็นพุทธภูมิสิคะ ตอบ : ต่อให้ไม่ใช่พุทธภูมิ ก็ต้องโดนบังคับจนใช่ เพราะว่าเขานิยมกันอย่างนั้น ในเมื่อทุกคนไปทางนั้นกันหมดเขาก็ต้องตาม ถาม : อย่างนี้ก็เท่ากับว่าไม่ได้เป็นคนคิดเอง ตอบ : สิ่งแวดล้อมพาไป ของเดิมมาก็มี แต่ว่าการบวชพระ บวชเณรที่ทิเบตนั้นดีอยู่ตรงที่ว่าได้เรียนความรู้ใหม่ ๆ เพราะทันทีที่จะเข้าไปบวช อาจารย์จะตรวจดูแล้วว่า อดีตชาติคุณเป็นใคร ศึกษามาถึงไหนแล้ว เขาจะทวนของเก่าให้ แล้วหลังจากนั้นก็จะส่งไปให้อาจารย์ระดับนั้นที่เราจะต้องศึกษาสั่งสอนต่อไปอีก เป็นการสั่งสมความรู้ชาติแล้วชาติเล่า เพิ่มขึ้นไปเรื่อย เขาถามว่ามีพลาดไหม...มี แม้กระทั่งการคัดเลือกตัวดาไลลามะก็มีพลาดเหมือนกัน แต่ว่าพลาดน้อย ก็เลยยังเป็นที่เชื่อถือกันอยู่ หลายต่อหลายคนเมื่อสั่งสมกำลังสมาธิจนถึงระดับหนึ่งแล้วของเดิมกลับมา ก็ระลึกชาติได้ เห็นกายสังขารของตนเองชาติที่แล้ว ๆ ก็จำได้ว่า อ้อ นี่ตัวเอง เคยไปเกิดที่นั่นหลายหน ตอนที่เกิดที่นั่นส่วนใหญ่แล้วตามหลวงปู่ครูบาวงศ์ อาหารทางด้านนั้นก็ไม่มีอะไร มีแป้งซัมปา แป้งผสมน้ำ ปั้น ๆ หน่อยแล้วก็กิน กินกับชาใส่นม ชานมนี่ไม่ใช่นมเฉย ๆ แต่มีเนยด้วย ต้องบอกว่าอยู่ได้เพราะชามากกว่า แป้งมีส่วนน้อยเพราะอากาศหนาวจัดจริง ๆ ชาเขาใส่นมใส่เนย กินกันเช้ายันค่ำเลย |
ในครอบครัวถ้ามีลูกชายต้องส่งไปบวชหนึ่งคน ถ้าไม่มีลูกชายแล้ว เมื่อลูกสาวแต่งงานพ่อนั่นแหละต้องไปบวช เท่ากับบังคับเลย แล้วบ้านเขาคณะรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีจะเป็นพระเสียครึ่งหนึ่ง ส่วนผู้นำสูงสุดเป็นพระ เป็นดาไลลามะ คำว่า ดาไล แปลว่า มหาสมุทร หมายถึง มหาสมุทรแห่งปัญญา สั่งสมความรู้มากขึ้น ๆ คำว่าลามะ คือ พระอาจารย์ผู้ใหญ่
เมื่อนิมิตเกิด เวลาเห็นนี่ไม่ทราบคนอื่นเป็นหรือเปล่า คือเหมือนกับตัวเราอยู่ตรงนั้นจริง ๆ นิมิตตอนไปนั่งกินแป้งซัมปา กลืนลงไปติดคอ ยังรู้สึกว่าติดคอเราอยู่ตอนนี้ มันติดคอก็ต้องกรอกน้ำชาตาม ของประจำตัวของคนทิเบต ส่วนใหญ่เขาใส่ไว้ในอกเสื้อ ก็จะมีพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่าไม่ใช่แกะสลักจากพวกหินพวกแร่ ก็จะแกะจากไม้หรือไม่ก็จากดิน หรือไม่ก็ภาพที่เขียนอยู่บนแผ่นผ้า ที่เขาเรียก พระบฎ อย่างที่สองก็จะเป็นชามที่สารพัดประโยชน์ ส่วนใหญ่ก็ทำจากไม้เพราะว่าพวกชามอื่น ๆ นั้นแตกง่าย สมัยนี้น่าจะมีสเตนเลสแล้วนะ ทั้งใช้เป็นขันล้างหน้า ใช้เป็นชาม เป็นภาชนะบรรจุของ รวม ๆ ทั้งบรรจุพระหรือแผ่นพระบฎด้วย ถึงเวลาใส่เข้าไปในชาม ยัดเข้าไปในอกเสื้อ แล้วอย่างสุดท้ายก็คือผ้าขาว ที่เขาเรียกว่า ขะตะ เอาไว้ทำความเคารพอย่างเช่นแสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัย ต่อพระสงฆ์หรือผู้ใหญ่ |
ชาติหนึ่งที่เกิดที่นั่น หลวงปู่ครูบาวงศ์ท่านเป็นพ่อ ที่นั่นการทำมาหากินถ้าหาได้ชนปีก็ถือว่าเก่ง เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะหวังให้มีเงินเก็บนั้นน้อยมาก บรรดาการแสวงบุญต่าง ๆ ที่เราจะพึ่งพาหนะก็ยาก มีม้า มีลา มีวัว จามรีให้ขี่ ถือว่าดีแล้ว ที่เหลือก็คือเท้า เดินเอา เดินจนข้ามเดือนเลย ไม่ใช่ข้ามวัน ถ้าหากอยู่แคว้นคำ แคว้นโด จะห่างจากเมืองหลวงเยอะ แถว ๆ ชายแดนกว่าจะเดินทางถึงเมืองหลวง บางทีเป็นเดือน ๆ
ในเมื่อไม่มีเงิน จากความที่ต้องการมีพระประจำตัว พ่อลูกก็ช่วยกันทำงาน ปลูกผักปลูกหญ้าบ้าง ใช้แรงงานบ้าง ได้เงินมานิดหน่อยก็เก็บ เมื่อได้เงินจำนวนหนึ่งก็ไปจ้างช่างเขาให้แกะพระ ช่างเขาก็บอกว่าเงินน้อยไป ถ้าหากทำพระด้วยวัสดุอย่างอื่น เงินจำนวนนี้ไม่พอ ก็เลยจะปั้นพระด้วยดินเหนียวให้ จึงไปขุดดินมาร่อน ก็คือ เอาสิ่งสกปรกออกจนหมด ผสมน้ำนวด ย่ำแล้วย่ำอีก ทิ้งเอาไว้ หมักแล้วหมักอีก จนกระทั่งมั่นใจว่าดีแน่แล้วก็เชิญช่างเขามาปั้นให้ ปรากฏว่าช่างเขาทำแบบเสียไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นว่าพอถึงเวลาตรวจดูงาน เนื้อดินไม่เข้ากัน มีรอยร้าวอยู่ ก็ขอให้ช่างเขาทำใหม่ ช่างก็บอกปัด บอกว่า "ดินแห้ง แข็งแล้ว ทำไม่ได้หรอก" หลวงปู่ครูบาวงศ์ในชาตินั้นท่านก็ไปจับ ๆ คลำ ๆ ท่านฉลาดมากเลย ท่านถามว่า "ถ้าหากยังไม่แห้ง ก็ทำให้ได้ใช่ไหม" ช่างก็บอกว่า "ได้" หลวงปู่บอกว่า "ยังไม่แห้งหรอก ลองจับดูสิ" พอลองไปจับดูกลายเป็นนิ่มไปเลย ช่างก็เลยต้องทำให้ใหม่ พอได้พระมาคราวนี้ พ่อกับลูกก็กลับบ้าน ตั้งพระไว้บนหิ้งแล้วก็ปูแผ่นกระดาน ปูแผ่นหนัง แล้วก็กราบกันเป็นพัน ๆ ครั้ง กราบจนติดตาติดใจ ทุกวันนี้ยังทำได้เลย กราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ ปกติเบญจางคประดิษฐ์ เราจะกราบด้วยองค์ ๕ ส่วนอัษฎางคประดิษฐ์ จะกราบด้วยองค์ ๘ กราบแล้วก็ยืดราบไปกับพื้น พวกนักแสวงบุญนี่ถ้าเดินทางมาที่เมืองลาซา พอเริ่มเห็นพระราชวังโปตาลา ที่เป็นที่ประทับขององค์ดาไลลามะ เขาก็จะเริ่มกราบ กราบไปก็คืบไป จนกว่าจะถึง ระยะทางหลายกิโลเลยนะแต่เขาก็ทำอย่างนั้นแหละ นั่นนะศรัทธาขนาดนั้นน่าเสียดายมาก ถ้าหากเข้าถูกทางไปกันยกประเทศเลย เรื่องพวกนี้จริง ๆ เราก็เล่าสู่กันฟังเท่านั้น ถ้ามีโอกาสน่าจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนิมิต ไม่รู้ว่าจะมีเวลาหรือเปล่า เพราะพวกเราเรื่องปกติไม่ค่อยจะฟังกันหรอก แต่ถ้าเรื่องพวกนี้เราสนใจมาก ...(หัวเราะ)... เทศน์ที่บ้านอนุสาวรีย์ช่วงเย็น วันจันทร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๒ |
หลวงพ่อท่านบอกว่า เล่าสู่กันฟัง เถรีก็เล่าสู่กันฟังเป็นตัวหนังสืออีกทีหนึ่งค่ะ แฮ่ ๆ :154218d4:
|
พวกเราเรื่องปกติไม่ค่อยจะฟังกันหรอก ถ้าเรื่องพวกนี้เราสนใจมาก
ประโยคนี้เหมือนรู้ใจเลยครับ :msn_smileys-15: ฝากคุณเถรีเล่าสู่กันอ่านต่อไปนะครับ :onion082: |
มั่นใจว่า เคยเกิดเป็นพระลามะที่ทิเบต ทุกวันนี้ยังตั้งจิตอธิษฐานให้ได้กลับไปกราบครูบาอาจารย์ที่นั้น.....:onion_yom:
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:03 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.