![]() |
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๗ |
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ การตามประทีปถวายเป็นพุทธบูชาเมื่อคืนก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง กระผม/อาตมภาพได้ขอต่อเจ้าที่เจ้าทางและเทวดาฟ้าดินทั้งหลาย ให้ช่วยเลื่อนฝนไปหลัง ๔ ทุ่ม ซึ่งก็ทราบอยู่ว่าการที่ทำแบบนั้นเราจะต้องมีสิ่งทดแทน แต่ก็ต้องยอม เนื่องเพราะว่าความสวยงามของการแปรภาพแปรอักษรที่ปรากฏออกไปนั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่พบเห็นก็จะชื่นชมและชื่นใจ พร้อมทั้งได้อนุสติไปในตัวอีกด้วย
โดยเฉพาะงานนี้พระวินัยธรจิตศิลป์ เหมรํสี, ดร. ประธานสงฆ์สำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี ได้ออกแบบเป็นรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนาต่อปัญจวัคคีย์ แล้วในขณะเดียวกัน ท่านภีม (พระกวีวัธน์ สทฺธาธิโก) ก็ได้ออกแบบทั้งรูปและตัวอักษรบริเวณหน้าอุโบสถวัดท่าขนุน ได้สวยถูกใจกระผม/อาตมภาพที่สุดตั้งแต่เคยทำกันมา ปรากฏว่าพอมาถึงวันนี้ ซึ่งทางวัดท่าขนุนมีโครงการ "หิ้วตะกร้า นุ่งผ้าไทย นั่งแคร่ไม้ ใส่บาตรพระทุกวันอาทิตย์" ดังนั้น แม้ว่าจะแจ้งงดบิณฑบาตต่อญาติโยมทั่วไปว่า ของดบิณฑบาตเป็นเวลา ๒ วัน คือวันอาสาฬบูชาและวันเข้าพรรษา แต่วันอาสาฬบูชาเราก็ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในงาน "วันเสาร์ใส่บาตรตลาดริมแคว ยลวิถีเมืองท่าขนุน" และวันอาทิตย์นี้ก็ไปทำหน้าที่รับบิณฑบาตจากนักท่องเที่ยวและประชาชน แล้วเรื่องที่กระผม/อาตมภาพได้ปรารภต่อพระภิกษุวัดท่าขนุนทั้งหลาย ในช่วงฉันเช้าก่อนที่จะออกบิณฑบาตก็คือ "งานนี้ผมยังไม่รู้ว่าเขาจะเอาอะไรคืนบ้าง ถ้าหากว่าโดนทวงก็ทำใจยอมรับไปด้วยกัน" เมื่อได้ให้ศีลและให้พรจัดการจนเสร็จเรียบร้อย ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งพระตั้งแถวเพื่อรอรับบิณฑบาต ปัญหาก็ยังไม่มา ปัญหามาถึงทันทีทันใดที่ก้าวเท้าออกรับบิณฑบาต ก็คือฝนเทลงมาทันทีทันใด ทำเอาญาติโยมทั้งหลายที่กำลังยิ้มแย้มหน้าบานว่าอาทิตย์นี้ปลอดฝน กลายเป็นไก่ตกน้ำไปตาม ๆ กัน..! โดยเฉพาะครอบครัวนายแพทย์ประสิทธิ์ - คุณสุภาวดี จงเสริมศิริสกุล ที่พาลูกสาว ลูกเขย และหลานสาวมาถวายเทียนพรรษาและผ้าอาบน้ำฝน พร้อมทั้งมารอใส่บาตร "เมโกะ" หลานสาวตัวน้อยทำหน้าพิกล เมื่อเห็นหลวงตาเปียกมะล่อกมะแล่ก กระผม/อาตมภาพต้องบอกว่า "หลวงตาเปียกเกือบทุกวันที่ออกบิณฑบาต เป็นเรื่องปกติแล้ว หนูเพิ่งจะเปียกนิดเดียวเอง ไม่เป็นไรนะลูก" |
เมื่อรับบิณฑบาตเสร็จเรียบร้อย ก็ต้องไปสนทนาธรรมกับญาติโยมที่ศาลา ๑๐๐ ปี หลวงปู่สายวัดท่าขนุน เพื่อรอเวลาในการทำบุญวันเข้าพรรษา ครั้นแสดงพระธรรมเทศนาวันเข้าพรรษาเสร็จ กระผม/อาตมภาพก็ยังบอกกับทุกท่านว่า "สิ่งที่เราชดใช้ไปนั้นยังไม่คุ้ม กระผม/อาตมภาพก็ยังไม่รู้ว่าจะเจออะไรเข้าไปอีก" แต่ขออนุญาตเดินทางก่อน เพราะว่ามีนัดกับญาติโยมเอาไว้
ครั้นเดินทางมาถึงวัดอุทยาน ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร ปัญหามาเกิดเมื่อกระผม/อาตมภาพได้นำเอาผ้าเก่าทั้งหมดใส่ตะกร้า มอบให้น้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) นำไปซักกับเครื่องซักผ้าอัตโนมัติ ปรากฏว่าออกไปได้ไม่นาน น้องเล็กก็โทรศัพท์กลับมาว่าเกิดอุบัติเหตุ..! เป็นอันว่าในช่วงระยะทางอันยาวไกลจากวัดท่าขนุนมาถึงวัดอุทยานไม่มีปัญหาอะไร มาพลาดเอาแค่จังหวะที่กระผม/อาตมภาพไม่ได้อยู่บนรถนิดเดียวเท่านั้น เจอมอเตอร์ไซด์ทิ้งโค้งกินเลนมา เสยพังไปทั้งแถบ..! จนกระทั่งไม่สามารถที่จะเปิดประตูด้านคนขับลงมาได้ ตอนจะลงจากรถ น้องเล็กต้องใช้วิธีเปิดประตูด้านคนนั่งแล้วปีนออกมา แต่ก็ยังดีว่าในเรื่องของการขอคืน จากสิ่งที่เราขอไปเพื่อเป็นค่าตอบแทนนั้น ไม่มีการบาดเจ็บล้มตายด้วยประการทั้งปวง แค่เสียหายต่อทรัพย์สินเท่านั้นเอง..! ในส่วนนี้กระผม/อาตมภาพก็ได้แจ้งขอยืมรถจากทิดเดช ซึ่งไม่แน่ใจว่าปัจจุบันนี้ใช้ชื่อจริงว่าอะไร เพราะว่าเปลี่ยนชื่อใหม่มาหลายครั้ง แต่ทุกคนก็ยังเรียกทิดเดชอยู่เหมือนเดิมว่า "หลวงพ่อขอยืมรถอีกวาระหนึ่ง เพราะเกิดอุบัติเหตุอีกแล้ว รถเพิ่งออกจากศูนย์มาไม่กี่วัน ก็มาบุบบิบบู้บี้เหมือนเดิม..!" เรื่องพวกนี้ขอบอกว่าถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเจอเข้า อย่าได้อารมณ์เสีย แล้วขณะเดียวกันก็อย่าได้ท้อใจว่า ทำไมเราทำความดีเพื่อส่วนรวมแท้ ๆ ต้องมาเจอกับเรื่องพวกนี้ ? เนื่องเพราะว่าธรรมชาติ ลม ฟ้า ฝน ไฟ นั้น เป็นเรื่องปกติของเขาที่จะต้องมาตามวาระ แต่ว่าเราเองไปขอให้เร็ว ขอให้ช้า ขอให้ไปซ้าย ขอให้ไปขวา ขอให้ขึ้นบน ขอให้ลงล่าง สิ่งที่เราขอนั้นแม้ว่าจะไม่ถึงขนาดไปขัดธรรมชาติทีเดียว แต่ก็ไปเปลี่ยนแปลงผลกระทบที่มีต่อผู้อื่น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เราทำไปจึงเป็นผลสะท้อนย้อนกลับมา ให้เราจะต้องรับบางสิ่งบางอย่างเพื่อทดแทนกันไป ซึ่งต้องบอกว่าสมน้ำสมเนื้อกับสิ่งที่เราได้ขอให้เปลี่ยนแปลงไป |
ถ้าหากว่าขอมาก มีผลกระทบต่อส่วนรวมเป็นจำนวนมาก ก็ต้องรับเละมากเป็นปกติ..! แบบที่กระผม/อาตมภาพเป็นห่วงเจ้าคุณหลวงปู่ศิลา (พระราชวัชรธรรมโสภณ วิ.) วัดพระธาตุหมื่นหิน ว่าท่านปัจจุบันนี้ โดนญาติโยมรบกวนมากเหลือเกิน แล้วด้วยความเมตตา ท่านก็ปฏิเสธผู้คนไม่เป็นเสียด้วย
ไม่เหมือนกับกระผม/อาตมภาพ ถ้าเห็นนอกทุ่งนอกท่ามาก็เดินหนีไปเฉย ๆ แต่ว่าหลวงปู่ท่านรับตั้งแต่คนแรกจนคนสุดท้าย ความเมตตาทั้งหลายเหล่านี้นั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ตั้งใจอนุเคราะห์สงเคราะห์ต่อญาติโยมทั้งหลาย แต่บางส่วนก็เป็นการฝืนกฎของกรรม อย่างเช่นวาระของเขายังไม่ถึง แต่ไปอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้ สิ่งที่เราทำไปก็ต้องชดเชยคืนด้วยตนเอง สมัยก่อนกระผม/อาตมภาพเองก็เป็นห่วงครูบาอาจารย์บางท่าน อย่างเช่นหลวงปู่ครูบาธรรมชัย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) วัดทุ่งหลวง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ หลวงปู่ท่านรับรักษาโรคให้กับญาติโยมทั้งหลาย ก็มีแต่บุคคลไปรบกวนอยู่ตลอดเวลา โดยไม่ได้สนใจว่าหลวงปู่ยังไม่ได้ฉันอะไรเลย แม้กระทั่งเวลาเกือบจะเที่ยงอยู่แล้วก็ยังรุมล้อมไม่ห่าง จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพต้องไล่เตลิดเปิดเปิงแล้วนิมนต์หลวงปู่ไปฉันเพล เป็นต้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้บางท่านก็ลืมไปว่า การที่เราจะเอาแต่เรื่องของตนเองนั้น บางทีก็ทำให้ครูบาอาจารย์ต้องลำบาก กระผม/อาตมภาพจำสิ่งที่ "พระองค์ที่ ๑๐" ท่านบอกกล่าวไว้สมัยที่ไปวัดท่าซุง โดยที่ท่านตักเตือนว่า "อย่าทำให้พระลำบาก การทำให้พระลำบาก เราเองจะต้องลำบากในภายหลัง" หลังจากนั้น กระผม/อาตมภาพก็มีเรื่องต้องลำบากเดือดร้อนจริง ๆ แต่ก็ทำใจยอมรับว่าพระท่านเตือนแล้ว แต่ว่าเราไม่ฟังเอง ยังคงไปรบกวนท่านหัวไม่วางหางไม่เว้น จนกระทั่งท่านจะจากไปแบบไม่ปกติก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ต้องไปแบบบุคคลธรรมดา ก็คือนั่งรถที่โยมไปส่ง แต่ท่านเองก็ลงจากรถแล้วเดินหายไปเฉย ๆ โดยที่โยมก็ไม่ทราบว่าท่านหายไปไหน..!? |
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยากจะบอกกล่าวเอาไว้ เพื่อเป็นเครื่องสังวรระวัง อย่างที่กระผม/อาตมภาพในปัจจุบันนี้ ถ้าหากว่าเจอครูบาอาจารย์ที่อายุมากแล้วพักผ่อนอยู่ จะไม่พยายามรบกวนอย่างเด็ดขาด เพราะมั่นใจเหลือเกินว่าถ้าทำกรรมส่วนนี้ไปเมื่อไร ก็ย้อนกลับมาถึงตนเองอย่างแน่นอน..!
ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่ตั้งใจจะรบกวนพระภิกษุสงฆ์ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ไม่ได้คิดถึงว่าท่านจะยากลำบากขนาดไหน ก็โปรดดูตัวอย่างว่าขนาดกระผม/อาตมภาพทำเพื่อส่วนรวมแท้ ๆ และสิ่งที่ทำนั้นก็ยังเป็นไปในการรักษากำลังใจคนให้ได้อนุสติในกรรมฐานสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพุทธานุสติ การระลึกถึงพระพุทธเจ้า ธัมมานุสติ การระลึกถึงพระธรรม และสังฆานุสติ การระลึกถึงพระสงฆ์ก็ตาม ยังต้องได้รับผลตอบแทนขนาดนี้ แล้วท่านทั้งหลายคิดว่าตนเองเป็นใคร ? สิ่งที่ทำไปแล้วไม่ต้องรับเลยหรืออย่างไร ? การกระทำของเราทุกอย่างมีผลเสมอ ไม่ว่าจะทำดีหรือทำชั่วก็ตาม เมื่อถึงเวลาผลทั้งหลายเหล่านั้นก็ย่อมตอบแทนมา เราต้องการหรือไม่ต้องการก็ต้องรับเอาไว้ ใครที่เข้าใจและยอมรับกฎของกรรมได้ก็จะไม่ทุกข์ แต่ถ้าหากว่าไม่ยอมรับกฎของกรรม ท่านทั้งหลายก็อาจจะทุกข์ จะเครียด บางทีถึงขนาดซึมเศร้าไปเลยก็มี..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:15 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.