![]() |
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ กรกฏาคม ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ กรกฏาคม ๒๕๖๗ |
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพมีการประชุมออนไลน์สำหรับคณะกรรมการดำเนินงาน โครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ด้วยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (หมู่บ้านรักษาศีล ๕) โดยเฉพาะคณะกรรมการขับเคลื่อนหนกลาง จึงต้องบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเอาไว้ตั้งแต่บัดนี้ โดยที่ไม่ได้ลงทำวัตรค่ำ พระภิกษุสามเณรและญาติโยมที่รอฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่ ให้ไปเปิดฟังเอาในยูทูบแทน
สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพได้เป็นประธานในพิธีเปิดค่ายพุทธบุตรโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา ประจำปี ๒๕๖๗ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ เนื่องเพราะว่าเด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ซึ่งได้รับการเปิดค่ายอบรมไปเมื่อวานนั้น ส่วนมากเป็นนักเรียนที่มาจากที่อื่นทั้งหมด โรงเรียนทองผาภูมิวิทยาเป็นโรงเรียนมัธยม ไม่มีชั้นประถมมาก่อน ดังนั้น..จึงต้องนำเอานักเรียนมาปรับทัศนคติและความเข้าใจต่าง ๆ เพื่อที่จะได้รู้ว่าตัวเราควรที่จะวางตัวอย่างไรในสังคม โดยเฉพาะในวัด ในโรงเรียน ตลอดจนกระทั่งกับเพื่อนฝูงใหม่ ๆ ที่จะคบหาสมาคมกันตั้งแต่เทอมนี้เป็นต้นไป สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ นั้น ส่วนหนึ่งก็จะมีการย้ายเข้าออกกลางคัน เนื่องเพราะว่าเป็นการเริ่มต้นเรียนในระดับมัธยมปลาย จึงต้องนำมาเข้าค่ายด้วยเช่นกัน เผื่อที่จะมีเด็กที่หลงไปโดยที่ไม่เคยเข้าค่ายมาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ก็ต้องมาทนการจ้ำจี้จ้ำไชจากหลวงพ่อวัดท่าขนุนและคณะพระวิทยากร..! แต่เนื่องจากว่าวันนี้เราได้ใช้พระวิทยากรใหม่ ซึ่งก็คือหลวงตาปัญจทรัพย์ กนฺตธมฺโม ที่ท่านขอย้ายมาสังกัดวัดท่าขนุน เพื่อที่จะเรียนในระดับปริญญาโท สาขาวิปัสสนาภาวนา กระผม/อาตมภาพเมื่อทำพิธีเปิดเสร็จแล้วก็ไปทำงานของตน แต่หูก็ยังฟังคำบรรยายของท่านอยู่ ฟังแล้วก็รู้สึกว่าเด็กรุ่นนี้น่าจะหลับสบายกันทั้งหมด..! เนื่องเพราะหลวงตาปัญจทรัพย์ท่านกล่าวว่า "การศึกษาพระกรรมฐานนั้น ก็เพื่อให้เราเข้าใจในสมมติบัญญัติและปรมัตถ์ ฯลฯ" ซึ่งกระผม/อาตมภาพเองทั้ง ๆ ที่ฝึกกรรมฐานมา ๔๐ กว่าปี ได้ยินแล้วยังรู้สึกกลืนน้ำลายไม่ลง นี่เป็นลักษณะหนึ่งของผู้รู้ ที่ไม่สามารถจะบอกกล่าวความรู้ของตน ให้เหมาะสมกับผู้ฟังได้ |
แบบเดียวกับสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังทำหน้าที่อยู่ในส่วนเผยแผ่จริยธรรมของกรมป่าไม้ มีวิทยากรคู่หูก็คือดร.โกมล แพรกทอง ขออภัยที่เอ่ยชื่อท่านไว้ ณ ที่นี้ ดร.โกมล แพรกทองนั้นเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเป็นอย่างสูง ในการที่จะแนะนำเรื่องราวเกี่ยวกับเกษตรทฤษฎีใหม่ให้กับชาวบ้านที่เข้ารับการอบรม
แต่ว่าชาวบ้านที่เข้ารับการอบรมแถวทองผาภูมินี้ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นกะเหรี่ยง เป็นมอญ เป็นพม่า แล้วท่านดร.โกมล แพรกทองก็ใช้คำว่า "อุปโภคบริโภค" ซึ่งถ้าหากว่าชาวบ้านแถวนี้ก็ต้อง "ออหมี่" "ออที้" "เชียะฟาน" หรือแม้กระทั่ง "ทะมินซา" กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องขออนุญาตท่านเป็นระยะ ๆ ในการแปลภาษาไทยเป็นไทยให้กับผู้เข้ารับการอบรมอีกทีหนึ่ง แปลไปแปลมาได้ไม่นาน ปรากฏว่าวิทยากรทุกคนยกไมโครโฟนถวายหลวงพ่อเล็กไปเลย พูดง่าย ๆ ก็คือ ๖ ชั่วโมงนั้น ท่านรับไปคนเดียวก็แล้วกัน..! หลายต่อหลายครั้งก็เป็นดังนี้ ทำเอากระผม/อาตมภาพเป็นวิทยากรที่ "รวยอื้อ" ไปเลย..! เนื่องเพราะว่าเจ้าภาพ ถ้าไม่ใช่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ก็มักจะเป็นการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ซึ่งมีงบประมาณในการประชาสัมพันธ์หน่วยงานของตน อยู่ในระดับพัน ๆ ล้านบาท แล้วก็ให้ค่าบรรยายกระผม/อาตมภาพในยุคนั้น ชั่วโมงละ ๖๐๐ บาทบ้าง ๘๐๐ บาทบ้าง ซึ่งตอนนี้ ถ้าหากว่าอยู่ในวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกอย่างกระผม/อาตมภาพตอนนี้ ค่าบรรยายจะอยู่ที่ชั่วโมงละ ๓,๐๐๐ บาท ถ้าได้ ๖ ชั่วโมงก็แปลว่าสบายไปทั้งเดือน..! เราจะเห็นได้ว่า บุคคลบางประเภทที่ไม่มีวิสัยความเป็นครูมาจากอดีต ไม่สามารถที่จะลดระดับตนเองลงมา ให้เทียบเท่ากับบุคคลผู้รับฟังได้ ผู้ที่เป็นวิทยากรหรือว่าพิธีกรที่ดี จึงต้องเป็นบุคคลที่รู้บริษัท ก็คือมีในส่วนของปริสัญญุตา ความรู้ในคนหมู่มาก ว่าเขามีความต้องการในระดับใด หรือว่ามีความรู้ความสามารถในระดับใด จะได้ถ่ายทอดให้เขาทั้งหลายในระดับนั้นได้อย่างเหมาะสม วันนี้กระผม/อาตมภาพยังได้คุยกับ "ไอ้ตัวเล็ก" ซึ่งทำหน้าที่ดูแลเว็บไซต์วัดท่าขนุนและเพจวัดท่าขนุนอยู่ เนื่องเพราะว่ามีลูกศิษย์คนหนึ่งที่มีความสามารถทางคอมพิวเตอร์สูงมาก รับหน้าที่ทำสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ให้ ไม่ว่าจะเป็นกราฟฟิก อาร์ตเวิร์ค อะไรก็ตาม เขาจะทำออกมาได้รวดเร็วและสวยงามมาก แต่ขออภัยเถอะ..กระผม/อาตมภาพไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ลูกศิษย์ท่านนี้พูดได้แต่ภาษา 0101 1100 อะไรทำนองนั้นหรือเปล่า ? ถึงได้คุยภาษามนุษย์ได้เข้าใจยากสุด ๆ..! บางสิ่งบางอย่างสั่งให้ทำไปแบบหนึ่ง เขาก็คิดว่าเขาน่าจะทำอีกแบบหนึ่ง |
ในเมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีแต่เรื่องปวดหัวอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน จนกระทั่งบางทีพอมีความผิดพลาดเกิดขึ้น กระผม/อาตมภาพก็จะด่าลูกศิษย์คนนี้ออกไปก่อน โดยที่บางทีเขาไม่ได้ทำผิดเลย ด้วยความที่ว่าเป็น "ขาประจำ" ในเมื่อมีข้อผิดพลาดในงานเกิดขึ้นมา ก็ต้องด่าเขาออกไปก่อน แล้วกว่าจะรู้ว่าเป็นคนอื่นทำผิด ลูกศิษย์ผู้น่าสงสารก็ต้องรับคำด่าไปเต็ม ๆ แทนพรรคพวกเสียแล้ว..!
ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้นั้น ครูบาอาจารย์หลายต่อหลายท่าน ก็ไม่สามารถที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้เป็นวงกว้างได้ บางท่านศึกษาธรรมะมาอย่างลึกซึ้งมาก แต่ไปศึกษาพระอภิธรรมมาด้วย ก็จะบรรยายอยู่ในลักษณะเปรียบเทียบกับพระอภิธรรมโดยตลอด อย่างเช่นว่า "จิตว่าโดยพิสดารมีกี่ร้อยดวง ฯลฯ" เป็นต้น ผู้ฟังก็นั่งสลบไสลไปตาม ๆ กัน..! ยกเว้นบุคคลที่ศึกษาพระอภิธรรมมาด้วย ก็จะชื่นชมเหลือเกินว่า "พระอาจารย์บรรยายได้ชัดเจนแจ่มแจ้งมาก" "หลวงพ่อบรรยายได้เข้าใจง่ายเหลือเกิน" ส่วนที่เหลืออีกประมาณ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ก็ได้แต่ "นั่งแบ๊ะ ๆ" เนื่องเพราะว่าฟังไม่รู้เรื่อง มีแต่คำศัพท์ทางบาลีและพระอภิธรรมออกมาเป็นชุด ๆ..! เรื่องพวกนี้บางทีก็ทำให้โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะเผยแผ่พระพุทธศาสนามีน้อยลง หรือว่าอยู่ในวงแคบ แล้วขณะเดียวกันบุคคลที่หวังจะได้รับรสพระพุทธพจน์เทศนา จากคำสอนของท่านทั้งหลายเหล่านี้ที่รู้แจ้งรู้จริง แต่ไม่สามารถจะถ่ายทอดออกมาให้เป็นภาษาเดียวกับที่เขาเข้าใจได้ ทำให้เขาขาดโอกาส ต้องไปแสวงหาครูบาอาจารย์อื่นต่อไป ถ้าหากว่าตายเสียก่อนก็เท่ากับเสียชาติเกิดไปเลยทีเดียว..! ดังนั้น..พระภิกษุสามเณรของเรา หรือว่าบรรดาญาติโยมที่เป็นผู้สอนธรรม พึงตระหนักอยู่เสมอว่า "ผู้ฟังนั้นเป็นผู้ใหม่เสมอ" เราจะพูดอะไรก็ตาม ถ้าหากว่าแทรกบาลีหรือว่าภาษาในพระไตรปิฎกเข้าไป ก็พยายามที่จะปรับมาให้เป็นภาษาในปัจจุบันให้เขาด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วคนฟังไม่เข้าใจ นอกจากจะนั่งหลับเสียเปล่า ๆ แล้ว อาจจะมีบางท่านที่กำลังใจยังไม่ดีพอ เกิดการปรามาสพระรัตนตรัยขึ้นมาอีก กลายเป็นโทษหนักของเขาไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ว่าเราจะไม่ได้เจตนาทำให้เขาเป็นผู้ปรามาสพระรัตนตรัย แต่เราเองนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุให้เขาเป็นดังนั้น จึงเท่ากับว่าเราสร้างทุกข์สร้างโทษให้กับผู้อื่น ดังนั้น..ก่อนที่จะอภิปรายขยายความในเรื่องธรรมะใด ๆ ก็ตาม ขอได้โปรดระลึกอยู่เสมอว่า "ผู้ฟังเป็นผู้ใหม่เสมอ" เป็น "ผู้ที่ยังไม่รู้อยู่เสมอ" เราในสมัยที่ไม่รู้นั้น ต้องการเนื้อหาในระดับใด เราเองก็ต้องพยายามอธิบายขยายความไปในระดับนั้น ก็จะทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ได้ประโยชน์ ถ้าหากว่ามีผู้ที่ไม่ได้ประโยชน์เพราะคิดว่าเป็นหลักธรรมที่ง่ายจนเกินไป ไม่เหมาะกับกำลังใจของเขาทั้งหลายเหล่านั้น นั่นก็เป็นคนส่วนน้อย ซึ่งเราสามารถที่จะปล่อยปละละวางไปได้ ไม่ใช่ไปปล่อยวางคนส่วนใหญ่ แล้วนำพาเอาไปเฉพาะคนส่วนน้อยเท่านั้น สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:53 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.