กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=149)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=10309)

ตัวเล็ก 24-06-2024 19:38

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๗
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๗



เถรี 24-06-2024 23:33

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ต้องบอกว่าวันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์ที่ไม่น่าจดจำของชาวไทยเรา ก็คือเป็นวันที่ "คณะราษฎร์" ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มาเป็นระบอบประชาธิปไตย แล้วก็เละเทะมาจนทุกวันนี้

ความจริงจะว่าไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นผู้รู้รอบรู้จริงในทุกเรื่อง พระองค์ท่านตรัสถึงอธิปไตย คือความเป็นใหญ่ว่ามี

อัตตาธิปไตย - ถือตนเป็นใหญ่ ซึ่งสมัยนี้บางคนใช้คำว่า "เผด็จการ"
โลกาธิปไตย - ถือโลกเป็นใหญ่ ก็คือเสียงข้างมาก ที่สมัยนี้ใช้คำว่า "ประชาธิปไตย"
ธรรมาธิปไตย - ถือธรรมเป็นใหญ่ ซึ่งมีแต่เรื่องดีทั้งสิ้น

แต่พระองค์ท่านไม่เคยสรรเสริญ
เป็นการเฉพาะว่า ระบอบการปกครองในลักษณะไหนดี เนื่องเพราะว่าระบอบปกครองทุกอย่างต้องมีธรรมาธิปไตยถึงจะดี

อย่างเช่นถ้าเราดูว่าในเรื่องของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ก็คืออำนาจสิทธิ์ขาดทั้งหมดอยู่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชี้เป็นชี้ตายได้ แล้วประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ ๕ ทำไมถึงเจริญก้าวหน้ากว่าประเทศญี่ปุ่นอีก ? เป็นประเทศแรกในเอเชียที่มีรถไฟ แล้วความเจริญด้านต่าง ๆ ที่ยุโรปมี ไม่ว่าจะเป็นโทรเลข เป็นไฟฟ้า เป็นรถยนต์ หลั่งไหลกันเข้ามาในบ้านเราเมืองเรา นั่นก็คือเผด็จการแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แล้วท่านทั้งหลายลองพิจารณาดูว่าประชาธิปไตยในปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร ? นอกจากเพื่อพวกพ้องและตัวกู..!

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญว่าระบอบการปกครองแบบใดดีอย่างแท้จริง เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นระบอบไหนก็ขึ้นอยู่กับคน ถ้าหากว่าเป็นคนดีมีศีลมีธรรม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน ก็สามารถที่จะสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติบ้านเมืองในทุกที่ แต่ถ้าหากว่าขาดศีลขาดธรรม เห็นแก่พวกพ้องและตัวกู ก็จะเละเทะอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

ดังนั้น...ถ้าหากว่าเป็นการปกครองระบอบจักรพรรดิราช พระองค์ท่านตรัสถึงหลักจักรวรรดิวัตรเอาไว้ ว่าพระเจ้าจักรพรรดิต้องนั้นมีวัตรปฏิบัติแบบใดบ้าง ถึงจะสร้างความสุขให้แก่ชาวโลกได้ ถ้าหากว่าเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ พระองค์ท่านก็ทรงตรัสถึงทศพิธราชธรรม ก็คือหลักธรรม ๑๐ อย่างที่องค์พระมหากษัตริย์จะต้องมี เพื่อที่จะสร้างความสุขให้แก่พสกนิกร

แล้วถ้าหากว่าเป็นระบอบโลกาธิปไตย หรือว่าประชาธิปไตยในปัจจุบันนี้ พระองค์ท่านก็ตรัสว่าจะต้องมีหลักอปริหานิยธรรม ๗ แล้วท่านทั้งหลายลองเปรียบเทียบดูว่า ในปัจจุบันนี้บรรดาคณะผู้ปกครองของเรา ซึ่งทะเลาะเบาะแว้งตบตีกันอยู่ในสภานั้น มีหลักอปริหานิยธรรม ๗ หรือไม่ ? อย่างเช่นว่า "พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม" ไม่ใช่กูไม่อยู่มึงช่วยสอดบัตรแทนที หรือว่าให้เคารพผู้เป็นประธานในการประชุม ไม่ใช่ไปยืนกอดอก เท้าเอว หรือชี้หน้าด่าท่านประธานที่เคารพ..!

เถรี 24-06-2024 23:37

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เรื่องของธรรมาธิปไตยจึงจำเป็นในทุกที่ คราวนี้คำว่าธรรมาธิปไตยนั้น เราเริ่มจากไหน ? เริ่มจากศีล ท่านทั้งหลายจะสังเกตว่าถ้าหากว่ามีแค่ศีล ๕ ไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายอื่นก็ได้

เพราะว่าเรื่องที่จะไปทะเลาะเบาะแว้งฆ่าฟันกันก็ไม่มี เรื่องที่จะไปลักขโมย หยิบฉวยช่วงชิงข้าวของที่เจ้าของไม่ได้ให้ก็ไม่มี เรื่องที่จะไปแย่งคู่ครองของเขา จนเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นมาอย่างทุกวันนี้ก็ไม่มี เรื่องของการโกหกหลอกลวง แม้กระทั่งหลอกเงินแบบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็ไม่มี เรื่องของสุรายาเสพติดต่าง ๆ ก็ไม่มี กฎหมายแทบจะไม่จำเป็นต้องมีเลยก็ได้

แล้วต่อไปก็คือการที่เราทั้งหลายอาศัยพื้นฐานของศีลปฏิบัติในสมาธิ เพื่อให้มีกำลังใจในการระงับยับยั้ง รัก โลภ โกรธ หลง ในใจของเรา จะได้ไม่เที่ยวไปโกงไปกินไปคอรัปชั่น แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องมีหลักธรรมเข้ามาหนุนเสริม ก็คือ หิริ -โอตัปปะ รู้ละอายชั่วกลัวบาปด้วย ความละอายชั่วกลัวบาปจะทำให้เรารู้จักระงับยับยั้ง

คราวนี้
การระงับยับยั้งจะทำได้มากได้น้อย ก็ขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิที่เราทำได้ แล้วหลังจากนั้นก็ใช้ปัญญาพิจารณาดู ให้เห็นว่าทุกคนล้วนแต่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย รักสุขเกลียดทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น อะไรที่สามารถสร้างความสุขบรรเทาความทุกข์ให้กับประชาชนได้ ผู้ปกครองก็ต้องรีบทำ

อย่างที่เราท่านจะได้เห็นกันมาตลอดในสมัยที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงบำเพ็ญกรณียกิจทุกอย่างเพื่อความสุขของพสกนิกรโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มีคนจนคนรวยในสายตาของพระองค์ท่าน ไม่มีเชื้อชาติศาสนาในสายตาของพระองค์ท่าน มีแต่พสกนิกรที่พระองค์ท่านจำเป็นที่จะต้องประคับประคองให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นพอมีพอกิน ถ้าสามารถที่จะร่ำรวยไปได้เลยก็ยิ่งดี จนกระทั่งกลายเป็น "ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง" อันโด่งดังไปทั่วโลก

ความจริงก็คือหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ได้แก่ หลักสันโดษ ซึ่งพระองค์ท่านก็อธิบายชัดเจนว่า คำว่า พอเพียง ไม่ได้แปลว่าจน ใครที่คิดว่าหลักพอเพียงทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ ไอ้นั่นไม่มีหัวแม่ตีนก็เลยไม่รู้จักคิด..! แถมยังไปเผยแพร่แนวคิดแบบนี้เป็นวงกว้างอีกต่างหาก

เถรี 24-06-2024 23:44

เพราะหลักสันโดษนั้นระบุไว้ชัดเจนว่า

ยถาลาภสันโดษ
- ยินดีตามที่ได้มา ได้มากก็ยินดี ได้น้อยก็ยินดี
ยถาพลสันโดษ - ยินดีตามกำลังของตนที่หาได้ เราได้วันละ ๓๐๐ ก็ต้องยินดีตามนั้น พวกเดินไปเดินมาได้วันละ ๕,๐๐๐ เขาก็ต้องยินดีตามนั้น
ยถาสารุปปสันโดษ - ถ้าหากว่ามีเงินขนาด "น้องลิซ่า" คุณจะซื้อ "รถหรู" ก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าหากว่ายังจะต้องกินข้าวแกงข้างถนน แล้วคิดจะไปขี่รถหรู อันนั้นแสดงว่าไม่รู้สารูปของตนเอง..!

ดังนั้น..
คำว่าพอเพียงก็คือ พอเหมาะพอดีกับฐานะของตน

แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑๐ ก็ทรงนำมาสืบสาน รักษา และต่อยอด โดยเฉพาะเกษตรทฤษฏีใหม่และทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง พระองค์ท่านยังปรับมาเป็นโครงการโคกหนองนาในพระราชดำริ โดยเฉพาะในส่วนของการปิดทองหลังพระ เพราะว่าในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ของเราไม่ชอบทำงานอวดใคร

จะเห็นว่าช่วงที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ระบาดที่ผ่านมา พระองค์ท่านทุ่มเทพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร เพื่อที่จะให้เรามีวัคซีนเอาไว้ป้องกันโรคร้ายที่ระบาดไปทั่วโลก ทำไมประเทศไทยโรคร้ายแพร่ระบาดหนักพอ ๆ กับประเทศอื่น แต่มีคนตายน้อยมาก ? ก็เพราะว่าเราได้เครื่องไม้เครื่องมือและวัคซีน ที่พระองค์ท่านทรงสนับสนุนทุกทาง แต่ก็ยังมีคนไป "ด้อยค่า" อีก อย่างเช่นว่าเป็น "วัคซีนจีน วัคซีนเจ๊ก ด้อยคุณภาพ" เหล่านี้เป็นต้น ทั้ง ๆ ที่ไอ้คน "ด้อยค่า" ก็คาดว่า สืบขึ้นไปก็จะต้องมี "อากง - อาม่า" อยู่ดี

ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพจึงได้กล่าวว่า วันที่ ๒๔ มิถุนายนเป็นวันประวัติศาสตร์ที่ไม่สมควรจดจำ เนื่องเพราะว่าถ้าได้รับการอบรมมาแบบทหาร เขาเรียกว่า "ดึงฟ้าต่ำ" ก็คือ คุณจะเอาความเท่าเทียมกันนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าเราสร้างบุญสร้างกรรมมาไม่เท่ากัน ถ้าหากว่าถือตามหลักพระพุทธศาสนาของเรา ก็คือต้องเชื่อวิบาก คือผลของกรรมที่ส่งให้ในปัจจุบันนี้

ไม่ใช่ว่าเราเห็นคนฐานะไม่เท่าเทียมกันแล้ว ก็พยายามจะให้เขาเท่าเทียมกัน สร้างฝันเสียสวยหรู แล้วทำไมคุณไม่บอกให้บรรดาแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นต่างด้าวหรือคนไทยที่ทำงานกรรมกร ไปกินหรูอยู่ดีเหมือนอย่างกับมหาเศรษฐีของเรา แล้วตัวท่านเองยอมลงมาทำงานกรรมกรเท่าเทียมกับเขาหรือเปล่า ?

เถรี 24-06-2024 23:47

ดังนั้น..เรื่องพวกนี้หลอกได้เฉพาะคนโง่ขาดปัญญาเท่านั้น แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าบ้านเราเมืองเรา บุคคลที่ได้รับการศึกษาระดับครูระดับอาจารย์ จบปริญญาโทปริญญาเอก มีตำแหน่งทางวิชาการมากมาย กลับไปหลงกับการขายฝัน จนกระทั่งบ้านเมืองยับเยินวุ่นวายอยู่อย่างทุกวันนี้..!

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราจึงมีอยู่อย่างเดียวก็คือ รักษาตัวอยู่ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เมื่อตัวเรามั่นคงแล้ว ความเย็นจะบังเกิดขึ้น

ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า "แก๊งหมาหน้ากุฏิ" ของกระผม/อาตมภาพ พอถึงเวลาก็มาร่วมทำวัตรสวดมนต์ เจริญกรรมฐานทุกวัน
สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่รู้ว่านี่คือการทำวัตรสวดมนต์ ไม่รู้ว่านี่คือการเจริญกรรมฐาน แต่เขารู้ว่าถ้าทำอย่างนี้แล้วเขาจะเย็น เขาจะมีความสุข แล้วไม่ใช่ตามกระผม/อาตมภาพมา เขามาก่อนเวลา ให้หัดสังเกตว่า แม้กระผม/อาตมภาพยังไม่มา เขาก็มานอนรอกันเป็นแถวแล้ว..!

ในเมื่อเราเองถ้าหากว่ามั่นคง มีความเยือกเย็น ก็จะเป็นที่พึ่งของตนได้ อย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "เรามีตัวเองเป็นเกาะ เรามีตัวเองเป็นฝั่ง" หลังจากนั้นเราก็จะช่วยเหลือคนอื่นได้ ถ้าอยู่แค่ในเกาะก็ช่วยเหลือคนได้น้อย เพราะว่าเกาะมีขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากัน แต่ถ้าอยู่บนฝั่ง คนที่ลอยคออยู่ในน้ำมีเท่าไรเราสามารถช่วยเขาได้ทั้งหมด

จึงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายต้องรีบสร้างความมั่นคงให้แก่ตนเองด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เพื่อที่อย่างน้อย ๆ ถึงเวลาประเทศชาติเดือดร้อนหรือว่าโลกเดือดร้อน เราจะได้เป็นเกาะ จะได้เป็นฝั่งให้คนเขาอาศัยได้ ไม่ใช่ให้คนตั้งคำถามว่า "พระมีประโยชน์อะไรคะ ?" ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นในสังคมไทยของเรา ที่ถือพระพุทธศาสนาเป็นส่วนมากเสียด้วยซ้ำไป

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุ สามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:50


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว