กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=144)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=10002)

พิชวัฒน์ 23-01-2024 20:19

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๗
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๖๗



เถรี 24-01-2024 00:46

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ อีกสักครู่กระผม/อาตมภาพต้องไปร่วมประชุมโครงการธุดงค์ธรรมยาตรา ของคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งเขาประชุมกันไปประมาณ ๒๐ นาทีแล้ว

สำหรับวันนี้
กระผม/อาตมภาพได้ไปเยี่ยมการปฏิบัติธรรมของพระนิสิตประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ วิทยาสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ ซึ่งปฏิบัติธรรมอยู่วัดปรังกาสี แล้วได้บรรยายธรรมให้บรรดานิสิตฟังไป ๑ ชั่วโมง

เพียงแต่ว่ามีข้อมูลที่ผิดพลาด ก็คือเรื่องอายุโดยประมาณของพระอัญญาโกณฑัญญเถระ เนื่องเพราะว่าในปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ซึ่งอุปัฏฐากรับใช้สิทธัตถราชกุมารที่ออกมหาภิเนษกรมณ์นั้น ใน ๑๐๘ พราหมณ์ที่เข้าทำนายลักษณะของสิทธัตถราชกุมารมีแค่เพียงหนึ่งเดียว ก็คือโกณฑัญญพราหมณ์ เนื่องเพราะว่าท่านเป็นคนเก่งระดับอัจฉริยะ เรียนจบไตรเพทตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ขณะที่พราหมณ์ท่านอื่น ๆ ส่วนใหญ่ก็อาวุโสแก่เฒ่ากันแล้วทั้งนั้น

ดังนั้น..เมื่อถึงเวลาที่สิทธัตถราชกุมารออกบวช โกณฑัญญพราหมณ์จึงชวนได้เฉพาะลูกหลานของพราหมณ์ ๑๐๘ ที่เชื่อมั่นว่าสิทธัตถราชกุมาร ถ้าออกบวชจะเป็นศาสดาเอกของโลก ติดตามไปถวายการรับใช้

จนกระทั่งท้ายสุด เมื่อผ่านการทรมานตนมา ๖ ปี องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงคิดได้ว่า การทรมานตนก็ดี การคลุกคลีอยู่กับกามก็ตาม เป็นส่วนสุดทั้งสองด้าน ก็คือ สบายเกินไปกับลำบากเกินไป โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลนั้นเป็นไปไม่ได้ ยกเว้นแต่มัชฌิมาปฏิปทา คือความพอเหมาะพอดีเท่านั้น จึงหันมาเสวยพระกระยาหารใหม่ ทำให้บรรดาปัญจวัคคีย์ ซึ่งเชื่อมั่นในแนวทางการทรมานตน ว่าจะทำให้บรรลุโมกษะ คือความหลุดพ้นได้ หมดความศรัทธา จึงหนีไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี

จนกระทั่งสมด็จพระมหามุนีของเรา บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วตั้งใจที่จะเทศนาสั่งสอน เพื่อให้มีบุคคลที่ช่วยเป็นพยานในการบรรลุธรรมของพระองค์ท่าน ครั้นนึกถึงอาฬารดาบส กาลามโคตร ปรากฏว่าสิ้นชีวิตไป ๗ วันแล้ว ส่วนอุทกดาบส รามบุตร สิ้นชีวิตในวันที่พระองค์ท่านรำลึกถึงนั่นเอง แล้วท่านสองท่านไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีอายตนะที่จะติดต่อกับผู้หนึ่งผู้ใดได้ นอกจากอยู่เสวยกุศลกรรมที่ได้สร้างมาจนหมด แล้วก็ต้องเลื่อนลงต่ำไปตามเศษกรรมของตนเอง

เถรี 24-01-2024 00:53

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พระองค์ท่านจึงได้รำลึกถึงปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่เคยดูแลรับใช้อยู่ ตั้งใจเสด็จไปโปรด เมื่อแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแล้ว โกณฑัญญพราหมณ์ได้ดวงตาเห็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงโปรดให้อุปสมบท ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา

คราวนี้ในการอุปสมบทครั้งนั้น วันนี้กระผม/อาตมภาพถามบรรดานิสิตว่า พระอัญญาโกณฑัญญะอายุโดยประมาณเท่าไร ? ปรากฏว่าช่วงบรรยาย นอกจากเหนื่อยมากแล้ว ยังมีอาการไข้ด้วย จึงสับสนกับชีวิตไปหน่อย..!

ถ้าเรามั่นใจว่าพระอัญญาโกณฑัญญะ ตอนเข้าไปทำนายลักษณะ อายุ ๑๖ ปีเป็นอย่างต่ำ เนื่องเพราะว่าถ้าจบไตรเพทตอนอายุ ๑๖ ปี กว่าที่ชื่อเสียงจะปรากฏทั่วแผ่นดิน จนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินเรียกหา อาจจะอีกหลายปี แต่เราถือเสียว่า ๑๖ ปีเป็นขั้นต่ำ เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ตอนอายุ ๒๙ พรรษา แสวงหาโมกขธรรมอยู่อีก ๖ พรรษา รวมแล้ว ๓๕ ปี จึงได้ไปเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็ต้องเอา ๑๖ + ๓๕ เราจะได้อายุของท่านโกณฑัญญะโดยประมาณว่า ตอนที่ท่านบวชคืออายุอย่างต่ำ ๕๑ ปีแล้ว

คราวนี้ในการที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้ว เสด็จไปโปรดปัญจวัคคีย์จนสำเร็จแล้ว ยังมีบุคคลอยู่สองท่านที่ควรจะกล่าวถึงไว้ด้วย บุคคลแรกก็คืออุปกาชีวก อุปกาชีวกนั้นได้พบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะที่เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ก็คือพอเริ่มเดินทางก็ได้พบกันเลย เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีฉัพพรรณรังสี มีพระฉวีผุดผ่อง มีพุทธลักษณะเป็นเลิศ จึงได้ถามว่า "ดูก่อน..ท่านผู้เจริญ ท่านชอบใจในธรรมของใครหรือ ?" พูดง่าย ๆ ก็คือว่าปฏิบัติตามแนวไหน ถึงได้ออกมาดูดีอย่างนี้

องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "เราเป็นสยัมภู" คือเป็นผู้รู้ด้วยตนเอง ตรงจุดนี้ไม่ว่าจะอรรถกถา หรือแม้กระทั่งฎีกา อนุฏีกาก็ตาม ได้อธิบายความที่อุปกาชีวก สั่นศีรษะ แลบลิ้น แล้วก็จากไป ว่าอุปกาชีวกไม่เชื่อ..!

แต่คราวนี้ถ้าท่านทั้งหลายสังเกต โดยเฉพาะเมื่อไปอินเดีย ไปศรีลังกา จะเห็นว่าถ้าทางโน้นสั่นศีรษะแปลว่าใช่ แล้วการแลบลิ้นนั้นเป็นการแสดงความเคารพอย่างหนึ่งของคนโบราณ แม้ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่ อย่างเช่นว่าชนชาวทิเบต หรือว่าบรรดาชาวเผ่าเมารีในประเทศออสเตรเลีย ก็แปลว่าอุปกาชีวกน่าจะเชื่อ และแสดงความเคารพสูงสุดตามแบบที่ตนเองยึดถือและทำตามกันมา ก็คือสั่นศีรษะแปลว่าเชื่อ และการแลบลิ้นคือการแสดงความเคารพ

เนื่องเพราะว่าหลังจากที่อุปกาชีวกไปแต่งงานมีครอบครัว แล้วไม่ประสบความสำเร็จ ได้ย้อนกลับไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รับการบวช แล้วบรรลุมรรคผลเช่นกัน

เถรี 24-01-2024 00:58

ส่วนอีกท่านหนึ่งก็คือพระนาลกเถระ น่าจะเป็นพระเถระรูปเดียวในพระไตรปิฎกที่เป็นชาวเมืองพาราณสี ต่อให้ปัญจวัคคีย์ท่านบรรลุมรรคผลที่เมืองพาราณสี แต่ก็ไม่ใช่คนที่นั่น พระนาลกเถระมรณภาพเสียตั้งแต่ยังหนุ่ม เพราะว่าปฏิบัติในโมเนยยปฏิปทา ซึ่งเป็นการบังคับตนอย่างเคร่งเครียด

มีส่วนหนึ่งของโมเนยยปฏิปทาที่ปรากฏอยู่ในธุดงควัตร ๑๓ ประการ ก็คือเนสัชชิกังคธุดงค์ ก็คือการนั่งโดยไม่นอน คราวนี้โมเนยยปฏิปทานั้นเป็นสิ่งที่ปฏิบัติลำบากมาก จึงทำให้พระนาลกเถระ เมื่อบรรลุมรรคผลแล้ว ยังไม่ทันที่จะได้ช่วยประกาศพระพุทธศาสนา ก็มรณภาพเสียตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่เช่นนั้นแล้วท่านอาจจะอาวุโสกว่าพระยสกุลบุตรเสียอีก..!

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่เรียนเกี่ยวกับอสีติมหาสาวก ก็คือประวัติพระสาวกผู้ใหญ่ทั้ง ๘๐ รูป ลองไปศึกษาเพิ่มเติมดูว่า ประวัติพระนาลกเถระเป็นอย่างไร ? ทำไมถึงมีท่านเดียวที่เป็นชาวเมืองพาราณสี ? ก็เพราะว่าพาราณสีนั้นต้องบอกว่าเป็นเมืองหลวง หรือป้อมปราการของศาสนาฮินดูเลย เป็นฮินดูที่แข็งแกร่งสุดยอด..!

แม้กระทั่งทุกวันนี้พิธีกรรมต่าง ๆ ก็ยังสืบทอดกันมา การเผาศพแล้วทิ้งลงแม่น้ำคงคา เขาบอกว่าไฟบางกองไม่เคยดับมาเลยตลอดหลายพันปี แล้วในสถานที่ซึ่งช่วงเช้าช่วงเย็นมีคนเป็นหมื่น ๆ ลงไปเพื่ออาบน้ำล้างบาป มีการเผาศพอยู่ทุกวัน การปฏิบัติที่เข้มแข็งขนาดนั้น เขาคงไม่ฟังองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นแน่ เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่นั่น ต้องบอกว่ามีความยากเย็นแสนเข็ญเป็นที่สุด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิจารณาแล้ว จึงได้ไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาที่แคว้นมคธก่อน เพราะว่าเป็นแคว้นใหญ่ มีผู้นำก็คือพระเจ้าพิมพิสารที่คุ้นเคยกัน ถึงขนาดออกปากแบ่งสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง ตอนที่รู้ว่าพระองค์ท่านหนีมาบวช เมื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสาร พร้อมกับข้าราชบริพารได้แล้ว เรื่องอื่นก็ง่าย เพราะว่าในสมัยนั้น ชาวบ้านต้องเชื่อผู้นำอยู่แล้ว สั่งอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เมื่อผู้นำมาถือศาสนาพุทธ ต่อให้เป็นคนที่ไม่มีศรัทธาเลย แต่ถ้าอยากเอาใจผู้นำ ก็ต้องหันมาถือศาสนาพุทธด้วย

ถ้าจะดูตัวอย่างอาณาจักรศรีวิชัยของบ้านเรา ราชวงศ์ราชวงศ์ไศเลนทร์ถือพุทธศาสนามหายาน เจริญรุ่งเรืองสุด ๆ แต่พอไปถึงยุคของระเด่นปาทา ไปได้มเหสีที่เป็นมุสลิม จึงเปลี่ยนศาสนาตามมเหสีของตน ทำให้อาณาจักรพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ระดับอาณาจักรไศเลนทร์ หรืออาณาจักรศรีวิชัยนั้น เสื่อมสลายลงไปในเวลาอันรวดเร็ว เพราะว่าพระเจ้าแผ่นดินถือศาสนาไหน ข้าราชบริพารส่วนใหญ่ถ้าจะเอาใจก็ต้องถือตาม บรรดาชาวบ้านเห็นพระเจ้าแผ่นดินและข้าราชการผู้ใหญ่ถือศาสนาไหน ก็มักจะถือตามไปด้วย

เถรี 24-01-2024 00:59

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะเห็นได้ว่าการที่ไม่มีพระเถระรูปอื่น ที่มีประวัติว่าเป็นชาวเมืองพาราณสีนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าพระพุทธเจ้ายังไม่เข้าไปเผยแผ่ศาสนาที่นั่นเลย พูดง่าย ๆ ว่าไม่เคี้ยวของยากให้เสียเวลา ด้วยไม่มั่นใจว่าจะอยู่ยงดำรงขันธ์ได้สักกี่ปี ถ้าเผยแผ่อยู่ที่นั่น ๔๕ ปีก็เป็นอันว่าจบกัน แต่นี่ ๔๕ พรรษา พระองค์ท่านเผยแผ่พระพุทธศาสนาไป ๗ แคว้น หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ๗ ประเทศ จนกระทั่งประดิษฐานพระพุทธศาสนามั่นคงมาตราบเท่าทุกวันนี้

เรื่องพวกนี้ถ้าหากว่าเราศึกษาแล้วมีใจสงสัยสักนิดหน่อย แล้วไปค้นคว้าเพิ่มเติม ก็จะได้อะไร ๆ มากขึ้น แล้วที่กระผม/อาตมภาพเสียเวลาไปบรรยายให้กับพระที่ท่านปฏิบัติธรรมฟัง ก็เพราะว่าถ้าให้ท่านนั่งภาวนา ๑ ชั่วโมง คาดว่ามีความดีงามอยู่แค่ไม่กี่นาที ที่เหลือก็คงแช่งชักหักกระดูก บ่นว่าพระวิปัสสนาจารย์ที่ให้ไปนั่งทรมานอยู่เป็นชั่วโมง ๆ

แต่พอฟังบรรยาย กลายเป็นว่าใจสงบ ไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง รบกวนชั่วคราว พูดถึงพระพุทธเจ้าก็ระลึกถึงเป็นพุทธานุสติ ตั้งใจฟังธรรมบรรยาย ก็เป็นธัมมานุสติ พูดถึงพระสงฆ์องค์ใด นึกถึงก็เป็นสังฆานุสติ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานใหญ่ได้ในระยะเวลาที่ยาวนานเป็นชั่วโมงโดยไม่ฟุ้งซ่าน ก็เพราะว่าตั้งใจฟังธรรมบรรยายเท่านั้นเอง..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:17


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว