กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=109)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8052)

ตัวเล็ก 09-10-2021 20:35

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๔
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๔



เถรี 09-10-2021 23:46

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าหลวงปู่ฟู (พระมงคลสิทธิคุณ) วัดบางสมัคร ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ได้มรณภาพไปเมื่อตอนตีสอง ด้วยอายุ ๙๙ ปี จะบอกว่าพอสมควรแก่กาลก็ใช่ แต่ก็น่าเสียดาย เพราะว่าพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็มักจะเลือกช่วงเวลาในการทิ้งขันธ์ เพื่อให้เป็นประโยชน์กับสถานการณ์ของประเทศชาติ หรือสถานการณ์ของโลกให้มากที่สุด เพราะฉะนั้น...เหตุการณ์อะไร ถ้าหากว่าร้อนแรงอยู่ในบ้านในเมืองของเรา มีพระระดับหลวงปู่ท่านทิ้งขันธ์ไป ก็ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้ได้มากอย่างยิ่ง

ในส่วนที่อยากจะกล่าวถึงในวันนี้ก็คือ เรื่องของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ โดยเฉพาะในทองผาภูมิ ซึ่งต้องบอกว่าแพร่ระบาดอย่างรุนแรงมาก แต่เป็นเรื่องแปลกว่าทุกคนเหมือนกับตายด้าน ไม่รู้สึกรู้สาอะไร..!??

ทองผาภูมิเป็นแหล่งท่องเที่ยว ยิ่งทางรัฐบาลกำหนดให้วันหยุดชดเชยเลื่อนมาเป็นวันที่ ๒๒ ตุลาคม ทำให้มีวันหยุดยาว ก็ยิ่งจะทำให้คนมากันมากขึ้น โอกาสที่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ จะหนักขึ้นอีกรอบหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

ดังนั้น...ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายประมาท โอกาสที่จะติดเชื้อก็จะมีสูงมาก ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าการฉีดวัคซีนไม่ได้ป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ แต่ช่วยตอนที่ติดเชื้อแล้วตายยากขึ้นเท่านั้น

เรื่องพวกนี้เราต้องระมัดระวังกันเอง ที่มีอยู่ช่วงหนึ่งทางรัฐบาลใช้คำว่า "การ์ดอย่าตก" แล้วรัฐบาลก็การ์ดตกเสียเอง จนกระทั่งเกิดการแพร่ระบาดรอบที่ ๒ รอบที่ ๓ ขึ้นมา แม้กระทั่งทุกวันนี้ การตายในแต่ละวันก็ยังอยู่ในระดับวันละร้อยศพขึ้นไป แต่ทุกคนก็เริ่มเฉย ๆ ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าหากว่าพูดในลักษณะทั่วไปเป็นเรื่องที่ไม่ดี เพราะว่าความประมาทจะทำให้เราติดเชื้อ แล้วถ้าหากว่าเวรกรรมมาซ้ำเติมก็ถึงแก่ชีวิตได้ง่าย

เถรี 09-10-2021 23:48

แต่ว่าถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่เรามองไม่เห็น กลับเป็นเรื่องดี เพราะว่าการที่เราทำกำลังใจไม่รู้สึกว่าเป็นศัตรูกับใคร เป็นกำลังใจที่ปลอดภัยที่สุด ไม่ว่าจะปลอดภัยจากคน ปลอดภัยจากสัตว์ ปลอดภัยจากสิ่งที่มองไม่เห็น แม้กระทั่งปลอดภัยจากเชื้อโรค เหมือนกับว่าถ้าเราไม่กลัวเขา ไม่รังเกียจเขา จึงสามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้

ดังนั้น...บ้านเราก็มีอยู่ใน ๒ ลักษณะ ลักษณะแรกก็คือติดเชื้ออีกระลอกใหญ่ อีกลักษณะหนึ่งก็คือเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้นมา ตรงนี้ขอยุติไม่กล่าวถึง เพราะว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลกับ ศบค.ที่จะไปบริหารจัดการกันเอง

ส่วนที่จะกล่าวถึงก็คืองานวัด เพราะว่าวัดท่าขนุนนั้นจัดงานตักบาตรเทโวและทอดกฐินในวันเดียวกัน ซึ่งกระผม/อาตมภาพได้ทำหนังสือขออนุญาตจัดงาน ให้ประธานคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่ออำเภอทองผาภูมิ ซึ่งก็คือท่านนายอำเภอนภเดช เกลียวศิริกุล อนุญาตให้จัดงาน แต่ปรากฏว่ายังเงียบฉี่ เพราะว่าถ้าจัดงานเมื่อไร โอกาสที่เชื้อไวรัสแพร่ระบาดจะมีสูงมาก จึงไม่มีใครอยากจะเสี่ยงกับเรา

ดังนั้น...ตรงจุดนี้ญาติโยมที่อยู่ทางบ้าน หรือว่าอยู่ต่างจังหวัด อยู่ต่างประเทศ ถ้าตั้งใจจะร่วมบุญตักบาตรเทโว หรือว่าบุญออกกรรมฐาน ๓ วัน หรือแม้กระทั่งบุญกฐิน เตรียมตัวหาหมายเลขบัญชีวัดท่าขนุนเอาไว้ โอกาสที่จะได้โอนเงินทำบุญมีสูงมาก เพราะว่าถ้าหากว่าไม่ได้รับอนุญาต เราก็จัดงานไม่ได้ เนื่องจากว่าจำนวนคนที่ได้รับอนุญาตก็คือไม่เกิน ๒๕ คน แม้กระทั่งช่วงนี้การอบรมก่อนสอบนักธรรมชั้นตรี ก็ยังต้องแบ่งออกเป็นหลายสนาม เพื่อที่จะไม่ให้เกินจำนวน ๒๕ คน

เถรี 09-10-2021 23:51

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายก็ต้องทำใจว่าการทำบุญครั้งนี้อาจจะไม่ได้มาทำกันต่อหน้า แต่ว่าจะได้ทำบุญในลักษณะของการโอนผ่านบัญชีมา ซึ่งท่านทั้งหลายไม่ต้องกังวล เพราะว่าจะทำวิธีไหนก็ตาม ผลบุญเป็นของท่านแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าบางท่านก็รู้สึกว่า ห่างไกลความดีออกไปเรื่อย ๆ..!

คำว่า ห่างไกลความดีออกไปเรื่อยก็คือ พอไม่มีสถานที่และสิ่งแวดล้อม ที่จะช่วยชักจูงเราไปในด้านที่ดี โอกาสที่จะเป๋ออกนอกลู่นอกทางก็มีสูง เพราะว่ากำลังใจยังไม่มั่นคงพอ ดังนั้น..จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฉวยโอกาสนี้ในการตอกย้ำ หรือว่ายึดถือปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น น่าจะต้องยกระดับจากศีล ๕ ขึ้นมาเป็นกรรมบถ ๑๐ หรือว่าศีล ๘ ไปเลย ถ้าเป็นไปได้

สมัยก่อนกระผม/อาตมภาพรักษาศีล ๕ เกือบเท่าศีล ๘ ก็คือนอกจากกินข้าวเย็นแค่ไม่กี่นาทีแล้ว นอกนั้นรักษาได้หมด ท้ายสุดก็เลยตัดสินใจว่า ในเมื่อทุกอย่างทำได้หมด เหลือแค่กินข้าวเย็นอย่างเดียว แล้วเอ็งจะกินไปทำไม ?

เมื่อตัดสินใจเด็ดขาด ก็เว้นจากอาหารเย็นตั้งแต่ก่อนบวช ๒ ปี แล้วก็ไม่ได้รู้สึกหิว ไม่ได้รู้สึกกระวนกระวาย สภาพร่างกายหลังเที่ยงเหมือนกับตัดระบบทิ้งไปเลย ไม่ได้ต้องการอาหารอะไรนอกจากน้ำดื่ม แม้กระทั่งพวกน้ำหวาน ของหวานอะไรก็ไม่ได้ต้องการ

เถรี 09-10-2021 23:55

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสามารถยกระดับจากศีล ๕ ขึ้นมาเป็นกรรมบถ ๑๐ ใหม่ ๆ ก็อาจจะไม่คุ้นชิน เพราะว่ากรรมบถ ๑๐ นั้นนอกจากไม่ฆ่าสัตว์แล้ว ยังต้องไม่ทำร้ายสัตว์ให้ลำบากด้วยเจตนา ก็แปลว่าต้องประกอบไปด้วยเมตตา กรุณาอย่างสูง

นอกจากไม่ลักขโมยแล้ว ยังไม่หยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ นอกจากไม่ละเมิดคนรักของคนอื่นแล้ว ของที่คนอื่นเขารัก เราก็ไม่ละเมิดด้วย ก็แปลว่าจะเป็นข้าวของเงินทอง หรือว่าสามีภรรยา ลูกเขาเมียใครเราก็ไม่ไปยุ่ง

นอกจากไม่พูดโกหกแล้ว ยังไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดให้คนแตกร้าวกัน แล้วก็ไม่พูดวาจาที่เพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ ซึ่งตรงวาจาเพ้อเจ้อนี้มีหลายระดับขั้น เพราะว่าบุคคลที่กำลังใจสูงกว่า ก็ย่อมเห็นบุคคลที่กำลังใจต่ำกว่านั้นกำลังพูดเพ้อเจ้ออยู่

ข้อสุดท้ายไม่ดื่มสุราเมรัยยังไม่พอ แม้กระทั่งยาเสพติดหรือว่าสิ่งอื่น ๆ ที่ดึงดูดให้เรายึดให้เราติดอยู่ อย่างเช่นว่าอาหารที่รสชาติถูกใจ เราก็ตัด เราก็ละออกไป

ถ้าหากว่ากำลังใจของท่านทั้งหลาย รักษากรรมบถ ๑๐ ได้โดยที่ไม่หนักใจเลย ขอให้รู้ว่ากรรมบถ ๑๐ นั้นเป็นคุณสมบัติของพระสกทาคามี

ศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นละเมิดศีล เป็นคุณสมบัติของพระโสดาบัน กรรมบถ ๑๐ เป็นคุณสมบัติของพระสกทาคามี ซึ่งตรงนี้ไม่มีตำราบอกเอาไว้ ส่วนศีล ๘ นั้น เป็นคุณสมบัติของพระอนาคามี ใครสามารถที่จะรักษาศีล ๘ ได้ โดยไม่หนักใจ โอกาสที่ท่านจะเข้าถึงมรรคผลจะง่ายมาก เพราะว่าศีล ๘ เอื้อต่อการประพฤติพรหมจรรย์อย่างยิ่ง

เถรี 09-10-2021 23:58

ดังนั้น...ถ้าหากว่าในช่วงที่ท่านทั้งหลายห่างวัด แทนที่จะปล่อยให้ตัวเราลอยตามกระแสโลก โดน รัก โลภ โกรธ หลง กลืนกินไป เราก็ฉวยโอกาส ก็คือพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ยกระดับการยึดถือปฏิบัติ จากศีล ๕ ขึ้นมาเป็นกรรมบถ ๑๐ หรือว่าศีล ๘ โดยเฉพาะเน้นในการภาวนาให้มากขึ้น เพื่อที่กำลังใจของเราจะได้มั่นคง สติของเราจะได้รู้รอบ แค่ขยับตัวก็จะรู้ว่าตนเองศีลขาดหรือไม่

ดังนั้น...การดำรงชีวิตอยู่ในยุคที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แพร่ระบาด เราควรที่จะระมัดระวังดูแลตนเองให้ดี เพราะว่าถ้าเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา กว่าจะรักษาให้หายนั้นยากมาก เนื่องจากว่าหมอสมัยใหม่ไม่มียารุเหมือนหมอแผนโบราณ หมอแผนโบราณมีการจ่ายยากระทุ้งไข้ แล้วจ่ายยารุ เพื่อที่จะตัดรากถอนโคนไข้นั้น ดังนั้น...ถ้าหากว่าผู้ที่เชี่ยวชาญการแพทย์แผนโบราณ จะไม่รู้สึกหนักใจกับเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เลย

แต่ว่าท่านทั้งหลายส่วนใหญ่ก็พึ่งพาอาศัยแพทย์สมัยใหม่ เจ็บป่วยขึ้นมาก็รักษายาก หายยาก ร่างกายชำรุด ทำอะไรไม่ได้ดีเหมือนเดิม จึงต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาท แล้วก็พยายามรักษาคุณงามความดีของตนเองเอาไว้ตามหลักของอนุรักขนาปธาน พยายามเพิ่มคุณงามความดีของตนเองขึ้นไปตามหลักภาวนาปธาน เพื่อที่เราเองจะได้อยู่รอดปลอดภัย กำลังใจไม่ถดถอย

สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายต่อพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยม ทั้งที่อยู่ที่นี่ อยู่ที่บ้าน อยู่ในประเทศ และอยู่ต่างประเทศแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:30


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว