กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=353)

ตาตั้ม 08-04-2009 09:34

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๒
 
เนื่องจากเดือนนี้ "แอบ" ผบ.ทบ. (ผู้บัญชาการที่บ้าน) ไปกราบทำบุญกับหลวงพี่เล็กที่บ้านอนุสาวรีย์มาครับ แต่เนื่องจากเป็นการแอบไปก็เลยต้องรีบกลับ ทำให้ไม่ได้รับฟังธรรมะและเกร็ดต่าง ๆ ที่หลวงพี่ท่านเมตตาสั่งสอนครับ :33c4b951:

ดังนั้นรบกวนพี่ ๆ น้อง ๆ ท่านอื่นเมตตานำ "เก็บตก" ต่าง ๆ จากบ้านอนุสาวรีย์มาเผยแผ่เป็นธรรมทานด้วยครับ :af48944b::baa60776:

ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ :875328cc:

นางมารร้าย 08-04-2009 10:02

:d16c4689:นางมารร้ายสรุปไว้ที่เว็บกระโถนฯ ค่ะ ขอก๊อปมาที่นี่ให้ดูแล้วกัน

:onion_love: สรุปธรรมะจากบ้านอนุสาวรีย์...

:4672615: พระอาจารย์เล่าถึงความเสื่อมในสังคมไทยปัจจุบันให้ฟังค่ะ ว่ามีสาเหตุจากคนเสื่อมศีลธรรม

:onion_emoticons-18: ด้วยเหตุที่ในสมัยหนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ..นับถือศาสนาคริสต์ มีนโยบายให้ตัดวิชาศีลธรรมออกจากหลักสูตรการศึกษา
เด็กตั้งแต่รุ่นนั้นเป็นต้นมา ไม่รู้จักศีลห้า ไม่รู้จักความดี ไม่มีศีลธรรมให้ยึดเหนี่ยว เด็กรุ่นนั้นเติบโตมา..ซึ่งก็น่าจะอายุราว ๆ สี่สิบในสมัยนี้

:onion_you: เมื่อเด็กเหล่านั้นเติบโตมีครอบครัว ก็เป็นพ่อคนแม่คนที่ขาดวุฒิภาวะ ทำให้เกิดสถาบันครอบครัวล่มสลาย เกิดปัญหาเด็กวัยรุ่นวุ่นวายอยู่ทั่วไป
เมื่อพวกเขาไปเป็นครู ก็ไม่ได้มุ่งสอนนักเรียนอย่างเต็มที่ กลับแข่งกันสร้างสถาบันกวดวิชามุ่งหาผลประโยชน์...สถาบันครูจึงล่มสลายตามมา

:msn_smileys-16: สมัยทักษิณแม้จะรู้ปัญหา แต่พอจะบรรจุวิชานี้กลับเข้ามา ก็ถูกศาสนาอื่น ๆ ต่อต้าน แล้วตัวทักษิณเองก็กลายเป็นตัวอย่างไม่ดี ทำให้คนยิ่งเห็นว่าการเป็นคนร่ำรวยนั้นดี..ถือว่าชีวิตประสบความสำเร็จแล้ว เลยไม่มีใครเห็นความสำคัญของศีลธรรม แสวงหาแต่เงินทองแสวงหาแต่วัตถุ

:onion_emoticons-23: ลองมาดูนักการเมืองสมัยนี้ จะเห็นว่าในการอภิปรายแต่ละที เขาไม่ได้แข่งกันหาหลักฐานมาพิสูจน์ตัวเอง แต่หาหลักฐานมาเพื่อทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ประเทศเราต้องอยู่ในมือนักการเมืองไร้ศีลธรรมแบบนี้ น่าสลดใจไหม

:215ad82f: ทั้งเรื่องสีเหลืองสีแดงที่เป็นปัญหาขณะนี้ ก็ล้วนแต่ทำเพื่อธุรกิจตัวเองเพื่อพวกพ้องตัวเอง ถ้าเป็นคนที่รักชาติอย่างแท้จริงไม่อิงผลประโยชน์ส่วนตัว โดยสามัญสำนึกมันต้องบอกได้แล้วว่าที่ทำลงไปนี่มันให้ผลร้ายกับประเทศแค่ไหน นี่อะไร..เคยมีธุรกิจยิ่งใหญ่..พอประสบปัญหาล้มละลาย...แล้วเพื่อนไม่ช่วย..กูต้องเอามึงลงด้วยเหมือนกัน..ไม่ว่าด้วยวิธีไหน

:onion_yom: ฉะนั้น..เราที่ปฏิบัติธรรมะจะต้องมีสติกำกับตัวเองอยู่ตลอด ให้คิดและทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ไม่ให้ไขว้เขวไปกับกระแส ไม่ว่าจะเหลืองจะแดงหรือกระแสวัตถุนิยมไหน ๆ ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเองและพวกตัวเองชนะ..ร่ำรวย แต่เพื่อให้ประเทศชาติชนะ..สังคมอยู่รอด ให้ประชาชนจนรุ่นลูกรุ่นหลานอาศัยอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขสืบไป

:d16c4689: นางมารร้ายขอสรุปว่า ถ้าจะทำลายประเทศไหน..ให้ทำลายคน...แล้วถ้าจะสร้างประเทศไหน..ให้สร้างคนและพัฒนาคนค่ะ

เถรี 10-04-2009 17:19

ถาม : การที่ผมไปคัดลอกคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุง โดยที่เขามีการสงวนลิขสิทธิ์เอาไว้ ทำแบบนี้ผมเองจะผิดศีลหรือไม่ ?
ตอบ : ในเมื่อเขาสงวนลิขสิทธิ์ แล้วเราไปละเมิดจึงเท่ากับว่าผิดกฎหมาย

ถาม : ไม่อยากให้มีการสงวนลิขสิทธิ์
ตอบ : ไปคุยกับทางวัดท่าซุงเอง มาบอกตรงนี้อาตมาไม่สามารถช่วยอะไรได้

ถาม : อยากให้คนทั่วไปสามารถอ่านหรือคัดลอกคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีได้
ตอบ : ถ้าคุณไม่กลัวติดคุกก็ทำได้ ยกตัวอย่างเว็บพลังจิตที่มีการคัดลอกเนื้อหาคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้เป็นจำนวนมาก ถึงแม้เขาจะประกาศห้าม แต่ทางเว็บพลังจิตก็ยังทำ ทั้งนี้เนื่องจากเว็บสโนว์ซึ่งเป็นเว็บมาสเตอร์ เขายินดีรับผิดชอบ ต่อให้ติดคุกเขาก็ยอม คุณทำได้อย่างเขาหรือเปล่า ? ถ้าคุณใจกล้ายอมที่จะติดคุกได้แบบเขาก็ทำไป

จริง ๆ แล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ควรเผยแพร่ ไม่ใช่สิ่งที่มาจำกัดหรือสงวนเอาไว้ แทนที่คำสอนพระพุทธศาสนาจะได้เผยแพร่ไป แต่ต้องมาโดนจำกัด พวกเขาไม่รู้หรอกว่ามารเขาเก่งแค่ไหน

วาโยรัตนะ 14-04-2009 15:32

:4672615:ผมนี่แหละที่ "ตกข่าว" ได้อ่านแล้ว รู้สึกหายใจได้สะดวกขึ้น หลังจากนั่งมึนกับเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยไม่สามารถช่วยอะไรได้ ได้แต่ตั้งใจว่าจะทำตัวเองให้ดี ให้สว่าง และให้คนรอบ ๆ ตัว ในครอบครัว โดยเฉพาะลูกคนโต และที่จะกำลังจะลืมตามาดูโลก ให้พวกเขาได้ตระหนักในหน้าที่ความเป็นคนดี ตามแบบอย่าง หลวงปู่ หลวงพ่อ พระอาจารย์ โดยมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐสูงสุดในชีวิต ต่อไปในภายภาคหน้า พวกเขาจะได้เป็น "คนดี" เป็นคนมีศีลมีธรรม :baa60776:

เถรี 17-04-2009 16:48

พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า ถ้าใครจะเอาคำสอนที่อาตมาเทศน์ไปคัดลอกหรือเล่าต่อก็ไม่ว่า เพราะถือว่าคำสอนเหล่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ของหลวงปู่ หลวงพ่อ อาตมาไม่หวง

เถรี 19-04-2009 18:29

พระอาจารย์ได้กล่าวว่า "บุคคลที่กล่าววาจาหยาบคายที่สุดในสมัยพุทธกาล คือ ท่านพราหมณ์ภารทวาชโคตร ท่านด่าบริภาษแม้กระทั่งพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าถามพราหมณ์ภารทวาชโคตรว่า "ท่านจัดของเคี้ยวของบริโภค หรือของดื่มต้อนรับแก่มิตรอำมาตย์ หรือญาติผู้เป็นแขกที่มาเยือนท่านบ้างหรือไม่ ?"

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ทูลตอบว่า "ข้าพระองค์จัดของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มต้อนรับแก่มิตรอำมาตย์ญาติผู้เป็นแขกเหล่านั้นในบางคราว"

พระพุทธเจ้าถามว่า "ถ้ามิตรและอำมาตย์ญาติ ผู้เป็นแขกเหล่านั้นไม่รับของเคี้ยวของบริโภคแล้วของเหล่านั้นจะเป็นของใคร ?"

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ตอบว่า "ถ้ามิตรและอำมาตย์ญาติผู้เป็นแขกเหล่านั้นไม่รับของเคี้ยวของบริโภค ของเหล่านั้นก็เป็นของข้าพระองค์อย่างเดิม"

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "ข้อนี้ก็อย่างเดียวกัน ท่านด่าว่าเราผู้ไม่ด่า ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธ เราไม่รับการด่าของท่าน เรื่องการด่านั้น ก็เป็นของท่านแต่ผู้เดียว"


ถาม : ตอนแรกนึกว่าพระที่กล่าววาจาหยาบคาย ท่านจะหมายถึงพระอรหันต์รูปหนึ่งที่ติดนิสัยวาสนาเก่ามา
ตอบ : นั่นพระปิลินทวัจฉะ เนื่องจากพระปิลินทวัจฉะ เกิดในครอบครัววรรณะพราหมณ์ถึง ๕๐๐ ชาติ เมื่อกล่าววาจากับคฤหัสถ์หรือพระภิกษุด้วยกันก็พูดว่า "เจ้าถ่อย เจ้าถ่อย" กล่าวด้วยความเคยชินมิได้กล่าวด้วยเจตนาหยาบ

วันหนึ่งพระปิลินทวัจฉะเข้าไปบิณฑบาตที่กรุงราชคฤห์ เจอผู้ชายคนหนึ่งถือดีปลีมาเต็มถาด จึงถามว่า "เจ้าถ่อย ในภาชนะของแกมีอะไร ?" ชายคนนั้นคิดว่าสมณะรูปนี้กล่าวคำหยาบกับเราแต่เช้า เราก็ควรกล่าวคำเหมาะแก่สมณะรูปนี้เหมือนกัน จึงตอบว่า "ในภาชนะของข้ามีขี้หนูสิท่าน" เมื่อพระเถระคล้อยหลังไป ดีปลีกลายเป็นขี้หนูไปหมด เป็นทั้งเกวียนเลย

ผู้ชายคนนี้ก็เลยคิดว่าต้องเป็นเพราะพระเถระรูปนั้นแน่ ๆ ก็เลยเดินทางไปตามหาพระปิลินทวัจฉะ บังเอิญไปพบผู้ชายอีกคนหนึ่งก่อนและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ชายอีกคนฟัง ชายอีกคนจึงแนะนำให้ถือดีปลีเต็มถาด ไปยืนข้างหน้าพระเถระ พอพระเถระกล่าวว่า "นั่นอะไร เจ้าถ่อย" ก็จงกล่าวว่า "ดีปลีขอรับ"

เมื่อพระเถระกล่าวว่า "จักเป็นอย่างนั้นเจ้าถ่อย" แล้วมันก็จะกลายเป็นดีปลี ชายผู้นั้นก็ได้กระทำอย่างนั้น และขี้หนูก็ได้กลับกลายมาเป็นดีปลีดังเดิม

สำหรับพระปิลินทวัจฉะนี้ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะในด้านผู้เป็นที่รักที่พอใจของเทวดา

คนเก่า 19-04-2009 18:58

ท่านทำบุพกรรมไว้อย่างไร จึงเป็นที่รักของเทวดายิ่งกว่าภิกษุทั้งหลาย

ทิดตู่ 19-04-2009 22:05

ท่านพระปิลินทวัจฉะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถแสดงธรรมแก่เทวดาทั้งหลาย เพราะในอดีตท่านและสหายหมู่มาก ได้เคยรักษาศีลเจริญกรรมฐานร่วมกัน ครั้นตายจากความเป็นมนุษย์ หมู่คณะนั้นจึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาร่วมกัน ครั้นท่านจุติจากความเป็นเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์ บรรลุพระอรหัตผล เทวดาพวกพ้องเก่าก็มาอาราธนาท่านแสดงธรรม ธรรมที่ท่านแสดงเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเทวดามาก ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นเอตทัคคะทางด้านเป็นที่รักของเทวดาครับ

คนเก่า 20-04-2009 10:28

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ tidtou (โพสต์ 4089)
ท่านพระปิลินทวัจฉะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถแสดงธรรมแก่เทวดาทั้งหลาย เพราะในอดีตท่านและสหายหมู่มาก ได้เคยรักษาศีลเจริญกรรมฐานร่วมกัน ครั้นตายจากความเป็นมนุษย์ หมู่คณะนั้นจึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาร่วมกัน ครั้นท่านจุติจากความเป็นเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์ บรรลุพระอรหัตผล เทวดาพวกพ้องเก่าก็มาอาราธนาท่านแสดงธรรม ธรรมที่ท่านแสดงเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าเทวดามาก ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นเอตทัคคะทางด้านเป็นที่รักของเทวดาครับ


ขอบคุณครับ ท่านทิด

คล้ายกรณีพระสิวลีเลย ท่านก็เป็นที่รักของเทวดาด้วยสาเหตุเดียวกัน และด้วยความเป็นที่รักของเทวดานี้ ท่านจึงมีลาภสักการะสูงมากจนได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในด้านลาภ

ทำไมแต่ละองค์จึงเด่นไปคนละทางได้ละครับ ทั้งที่มาจากสาเหตุคล้ายกันแท้ ๆ

วาโยรัตนะ 20-04-2009 10:38

อ่านกระทู้นี้แล้ว จิตใจแช่มชื่นดีแท้หนอ:onion_yom:

ตัวแสบจำเป็น 20-04-2009 13:24

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คนเก่า (โพสต์ 4099)
ขอบคุณครับ ท่านทิด

คล้ายกรณีพระสิวลีเลย ท่านก็เป็นที่รักของเทวดาด้วยสาเหตุเดียวกัน และด้วยความเป็นที่รักของเทวดานี้ ท่านจึงมีลาภสักการะสูงมากจนได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในด้านลาภ

ทำไมแต่ละองค์จึงเด่นไปคนละทางได้ละครับ ทั้งที่มาจากสาเหตุคล้ายกันแท้ ๆ

ที่หลวงพ่อพระสิวลีมีความเป็นเลิศในด้านลาภสักการะ ไม่ใช่เพราะว่า
บุพกรรมที่ท่านได้ถวายน้ำผึ้งเป็นทานหรือคะ? ที่น้ำผึ้งสดนั้นเป็น
สิ่งที่ขาดในการจะทำทานที่เป็นมหาทาน เมื่อครั้งที่พระราชากับชาวบ้าน
แข่งกันทำบุญ (เล่าไม่ค่อยถูก เพราะจำได้ไม่แม่น แต่คุ้น ๆ ว่าเคย
อ่านเจอค่ะ)

คนเก่า 20-04-2009 13:40

อยากรู้เรื่องละเอียด ต้องไปหาอ่านตอนพระพุทธองค์เสด็จไปเยี่ยมพระเรวัต (น้องพระสารีบุตร)

ทิดตู่ 20-04-2009 14:00

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คนเก่า (โพสต์ 4099)
ขอบคุณครับ ท่านทิด

คล้ายกรณีพระสิวลีเลย ท่านก็เป็นที่รักของเทวดาด้วยสาเหตุเดียวกัน และด้วยความเป็นที่รักของเทวดานี้ ท่านจึงมีลาภสักการะสูงมากจนได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะในด้านลาภ

ทำไมแต่ละองค์จึงเด่นไปคนละทางได้ละครับ ทั้งที่มาจากสาเหตุคล้ายกันแท้ ๆ

ลักษณะแห่งบุญที่ทำกระมังครับพี่ อย่างพระสีวลีท่านมีลาภมากก็เพราะท่านได้เคยร่วมถวายน้ำผึ้งเป็นบุญปิดท้าย ทำให้ทานนั้นบริบูรณ์ อานิสงส์จึงส่งผลให้ท่านมีลาภมาก ส่วนพระปิลินทวัจฉะท่านได้อานิสงส์จากการรักษาศีลและเจริญกรรมฐาน
ด้วยอาการแห่งบุญที่ไม่เหมือน(หรืออาจจะเหมือนแต่ก็ไม่เสมอกันในบางจุด) จึงทำให้อานิสงส์ที่ได้แสดงผลชัดแตกต่างกันไปในแต่ละองค์กระมังครับ ทั้งนี้เกี่ยวกับอธิษฐานบารมี คือ ความตั้งใจด้วย
แต่ที่แน่ ๆ นั่นคือ หลวงพ่อทั้ง ๒ องค์นี้ ท่านทำความดีพร้อมกับคนดี เป็นคนดีหมู่มาก และคนหมู่มากต่างก็ยินดีในความดีของกันและกัน ยังผลให้เมื่อถึงสุคติโลกสวรรค์ จากการที่เคยเกื้อหนุนกันในสมัยที่เป็นมนุษย์ เมื่อเกิดเป็นเทวดาก็มาสงเคราะห์เกื้อกูลกันต่อไป

ณญาดา 21-04-2009 12:27

ไม่ได้เข้ามาเสียหลายวัน เนื่องจากติดภาระในช่วงวันหยุดยาว พอเข้ามาได้ก็รีบอ่านในกระทู้ต่าง ๆ แหม! ยิ่งอ่านยิ่งชื่นใจได้ความรู้ดีจริง ๆ ขอบคุณและอนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้และทุกความคิดเห็นค่ะ

เถรี 21-04-2009 13:28

พระอาจารย์เล่าเรื่องปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) และนางภัททกาปิลานี (ภรรยาของปิปผลิมาณพ) ให้ฟัง

"ปิปผลิมาณพ เมื่อถึงคราวเจริญวัย บิดาและมารดาปรารถนาจะให้มีคู่ครอง แต่ปิปผลิมาณพไม่ต้องการจะแต่งงาน เมื่อบิดามารดาเคี่ยวเข็ญหนักเข้า ปิปผลิมาณพจึงได้นำทองคำมาหล่อเป็นรูปผู้หญิงซึ่งมีลักษณะงามมาก และได้บอกแก่บิดามารดาว่า ถ้ามีหญิงงามดังรูปหล่อทองคำนี้ตนจึงจะยอมแต่งงานด้วย

มารดาจึงสั่งให้พราหมณ์ ๘ คน ยกรูปทองคำตั้งขึ้นบนรถแล้วตระเวนไป ถ้าเจอหญิงที่มีรูปงามดังรูปหล่อนี้ให้จัดการสู่ขอและนำรูปหล่อทองคำนี้เป็นสินสอด

เผอิญว่ามีคนมีบุญเสมอกันอยู่ด้วยสิ ปรากฏว่าพราหมณ์ก็ตระเวนไปจนถึงสาคลนครในมัททรัฐ ไปเจอแม่นมของนางภัททกาปิลานี ตอนนั้นแม่นมกำลังจะไปอาบน้ำที่ท่าน้ำ แลไปเห็นรูปหล่อทองคำก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นธิดาของเจ้านายแอบหลบหนีออกมาเที่ยว จึงกล่าวว่า "แม่หัวดื้อ มาที่นี่ทำไม ?" แล้วเงื้อฝ่ามือตีที่ข้างแก้มของรูปหล่อ พร้อมกับพูดว่า "จงรีบกลับไป"

เมื่อพราหมณ์ทั้ง ๘ คนเห็นเข้าจึงเข้าไปถามแม่นมว่า "ธิดาของนายเจ้า งามเท่ารูปหล่อทองคำนี้หรือไม่ ?" แม่นมบอกว่า "ธิดาของนายเรางามกว่านี้พันเท่า แม้อยู่ในที่มืด ความมืดก็จะหายไปด้วยแสงสว่างที่ออกจากร่างกายของนาง" พวกพราหมณ์จึงตามไปบ้านของภัททกาปิลานี และทำการสู่ขอนาง

เรื่องนี้คนใช้เป็นต้นเหตุ ที่ทำให้ปิปผลิมาณพและนางภัททกาปิลานีได้แต่งงานกัน ก็คือ ปิปผลิมาณพไม่ต้องการจะแต่งงาน ส่วนนางภัททกาปิลานีก็ไม่ต้องการแต่งงานด้วยเช่นกัน ต่างฝ่ายจึงเขียนจดหมายว่าตนเองไม่ต้องการแต่ง ประสงค์ที่จะบวช แล้วให้คนใช้ทั้งสองฝ่ายส่งไปหาอีกฝ่าย

ระหว่างทางคนใช้ของทั้งสองมาเจอกัน ก็แอบเปิดดูข้อความในจดหมาย ต่างฝ่ายจึงทำการเปลี่ยนข้อความจดหมายเป็นทั้งสองต่างพึงพอใจซึ่งกันและกัน ดังนั้น..ทั้งสองคนจึงได้แต่งงานกัน

เมื่อแต่งงานกันไปแล้วทั้งสองก็ประพฤติอยู่ในพรหมจรรย์ เวลานอนก็นำพวงมาลัยมาคั่นกลาง ดอกไม้ในด้านของคนใดเหี่ยว พวกเขาจะรู้ได้ว่าราคะได้เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้นั้น ไม่มีการถูกตัวหรือยิ้มหัวเราะให้กัน จนกระทั่งบิดามารดาของทั้งสองสิ้นชีวิต

ทีนี้ ทั้งปิปผลิมาณพและนางภัททกาปิลานีเป็นผู้มีทรัพย์มากถึง ๘๗ โกฏิ แต่ทั้งสองไม่ปรารถนาในทรัพย์สิน ต้องการที่จะออกบวช ทั้งสองเลยตัดสินใจปลงผมบวช เมื่อถึงทางสองแพร่งปิปผลิมาณพคิดว่า ถ้ามีคนอื่นเห็นว่าเราบวชแล้วยังมีสตรีเดินตาม คนอื่นจะคิดในทางร้าย และเกิดโทษแก่บุคคลนั้น จึงตัดสินใจแยกทางกับนางภัททกาปิลานีที่ทางสองแพร่งนั้น โดยปิปผลิมาณพเดินไปทางขวา ส่วนภัททกาปิลานีเดินไปทางซ้าย

ตรงนี้แหละที่เขาเรียกว่า ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา จริง ๆ แล้วมีต้นกำเนิดมาจากเรื่องนี้"

เถรี 22-04-2009 14:48

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาตมานอนแล้วดันมีผีเด็กผู้หญิง ขึ้นมาคร่อมบีบคอ ผีเด็กผู้หญิงมันบีบจนแทบหายใจไม่ออก ตอนนั้นอาตมาก็ไม่ได้ใส่วัตถุมงคลอะไรเสียด้วย แต่นึกได้ว่ามีแหวนจักรพรรดิอยู่ในกระเป๋าเสื้อบริเวณอก ก็เลยนึกในใจว่า "ทำไมแหวนจึงไม่ช่วย" นึกแค่นั้นแหละ ก็พลันปรากฏแสงวูบออกมา และแสงนั้นก็ไปทำลายขันธ์ของผีตัวนั้นจนแตกกระจาย

แต่ไม่ใช่แค่ผีตนเดียว เหล่าบรรดาเทวดาที่อยู่บริเวณนั้นขันธ์ของท่านก็พลันแตกสลายไปด้วย นับว่าพลังของแหวนจักรพรรดินั้นทรงพุทธานุภาพมาก เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว และตอนนี้ขันธ์ของเทวดาที่แตกสลายไปยังกลับคืนมาได้ไม่หมดเลย

จริง ๆ ตอนนั้นก็มีเทวดาอยู่ แต่ทำไมเทวดาจึงปล่อยให้ผีมันเข้ามาทำร้ายได้ คงเป็นเพราะไม่ได้บอกให้เทวดาช่วยคุ้มครองดูแล เทวดานี่ก็ซื่อเสียจริง ถ้าไม่บอกก็ทำเฉย ไม่รู้ไม่เห็นเสียอย่างนั้น"

เสาวณีย์ 22-04-2009 16:10

ขอบคุณคุณเถรีและทุกท่านที่นำธรรมของหลวงพ่อมาเล่าต่อนะคะเพราะว่าไม่สามารถไปทำบุญได้ทุกเดือน ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ โมทนาบุญด้วยนะคะ

เถรี 23-04-2009 01:52

ถาม : ในเรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกับความทุกข์ ถ้าเป็นวาระที่ต้องออกไปเรียนรู้ล่ะครับ ?
ตอบ : มันจะเรียนไม่รู้จักจบจักสิ้นน่ะสิ

เปรียบเหมือนกับการทำวิทยานิพนธ์ เราทำมาจนถึงบทที่ ๕ ซึ่งเป็นบทสุดท้าย ก็หลงดีใจว่าใกล้จะจบแล้ว แต่จริง ๆ ยังเหลือบรรณานุกรมและภาคผนวกอีกบาน..!

พวกเราเรียนรู้เกี่ยวกับทุกข์กันมาจนเยอะแล้ว ให้รู้จักนำทุกข์นั้นมาพิจารณาให้เกิดเป็นปัญญา และหาทางออกให้พ้นจากทุกข์นั้น ไม่ใช่เรียนอยู่นั่นแหละ เรียนไปเปล่า ๆ โดยที่ไม่ได้นำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ มันก็เลยยังไม่จบกันเสียที

แก้ว 02-05-2009 21:40

ขอถามทุกท่านครับ ผมสงสัยใจความตอนหนึ่งว่า แสงนั้นก็ไปทำลายขันธ์ของผีตัวนั้นจนแตกกระจาย ทว่าไม่ใช่แค่ผีตนเดียวสิคะ เหล่าบรรดาเทวดาที่อยู่บริเวณนั้นขันธ์ของท่านก็พลันแตกสลายไปด้วย
ถ้าขันธ์ถูกทำลายดวงจิตไม่หายไปหรือครับหรือ ดวงจิตมีสภาพหลับหรือยังไง งงครับ ปรากฏ ถึงจะโดนยังไงก็ต้องมีสภาพเหมือนเดิมไม่ใช่หรือครับ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:36


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว