กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6411)

เถรี 04-12-2018 08:42

เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๑
 
ถาม : ดิฉันมีลูกน้องเข้ามาทำงานได้ประมาณ ๖ เดือน โดยมีผู้ใหญ่ในบริษัทฝากเข้ามาทำงาน เมื่อเข้ามาทำงานแล้ว ปรากฎว่ามาสายตลอด ทำงานไม่เป็นเลย สอนอะไรไปไม่เคยจำ ดิฉันทุกข์ใจมาก ตักเตือนไปหลายครั้ง ก็ไม่ดีขึ้น บางครั้งโดนดิฉันตักเตือนก็เอาแต่ร้องไห้ แจ้งไปทางหัวหน้างานก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเกรงใจผู้ใหญ่ที่ฝากมา ดิฉันทุกข์ใจมาก อยากให้พระอาจารย์เมตตาแนะนำด้วยค่ะ
ตอบ : ไล่ออกไปเลย..! อยู่ไปก็ถ่วงความเจริญของหน่วยงาน คนประเภทนี้วัดท่าขนุนไม่เคยเก็บเอาไว้ ที่ไม่เคยเก็บเอาไว้เพราะว่าอยู่ไปก็ถ่วงความเจริญของคนอื่นและหน่วยงาน

เถรี 04-12-2018 08:44

ถาม : ผมเกรงว่าคนที่ไม่เข้าใจเขาจะปรามาสถึงครูบาอาจารย์ ว่าผมปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนหรือบ้า ถ้าปีติดีดเกินคนปกติไปไม่เลือกกาลเทศะ จะทำอย่างไรให้กลับมาปกติมนุษย์อย่างคนปกติครับ ?
ตอบ : ปล่อยให้ขึ้นให้เต็มที่ ถ้าขึ้นเต็มที่แล้วจะเลิกไปเอง ถ้าไม่เต็มที่ก็เป็นอยู่แบบนั้นทั้งชาติ

เถรี 04-12-2018 08:48

ถาม : ได้ภาวนาคาถา “เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา” โดยพยายามให้จิตมีความเมตตามากที่สุด ภาวนาเกือบตลอดเวลา ๒ วัน รู้สึกว่ารู้กับการได้ยินดีและเร็วไวขึ้นมาก แต่ที่แปลกคือเหมือนจะเห็นภพภูมิอื่นด้วย จึงสงสัยว่าคาถานี้ช่วยส่งผลด้านนี้ด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าสภาพจิตสงบและมีพื้นฐานทิพจักขุญาณมาแต่เดิม ไม่ว่าจะภาวนาคาถาอะไรก็เห็นได้ทั้งนั้น

ถาม : วันที่ภาวนาคาถานี้ ปรากฏคนรู้จักมีอาการไม่สบาย ท้องเสียอย่างหนักเป็นไข้ หน้าซีดเซียว คือคนนี้บ้านอยู่ใกล้ มักชอบมามองสังเกตแล้วจับผิดหาเรื่องคิดเก็บไปโกรธเอง พูดว่านินทา ทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรให้ คาถานี้จะสะท้อนผลถึงผู้ที่ก่อการร้ายต่อผู้สวดคาถาในลักษณะใดบ้าง ?
ตอบ : หนักเบาแล้วแต่เขา เขาจะคิด จะพูด จะทำอะไรกับเรา เขาก็จะได้คืนไปมากกว่านั้น คาถานี้เป็นคาถาใจดี ใครให้อะไรมา ก็คืนกลับไปเยอะ ๆ

ถาม : ตอนนี้จึงกลับมาภาวนาพุทโธเหมือนเดิม เพราะคิดว่าการภาวนาพุทโธหรืออานาปานสติจะช่วยเน้นด้านวิปัสสนามากกว่า ตรงนี้เข้าใจถูกหรือไม่ ?
ตอบ : ผิด..วิปัสสนาเขาเอาไว้พิจารณา เขาไม่ได้เอาไว้ภาวนา

เถรี 04-12-2018 08:54

ถาม : การรู้เห็นด้านอภิญญา จะมีทิพจักขุญาณ การเห็นเป็นภาพ บางคนจะไม่ได้ยินเสียง หูทิพย์ การได้ยิน บางคนจะไม่เห็นภาพ การรู้ รู้เรื่องราวต่าง ๆ ไม่เห็นภาพและไม่ได้ยิน แต่ความรู้เรื่องราวจะผุดขึ้นมาเอง เมื่อตรวจสอบข้อมูลก็ตรง การรู้นี้เรียกว่าเรียกอะไร ?
ตอบ : เห็นภาพเรียกว่าทิพจักขุ ได้ยินเสียงเรียกว่าทิพโสต เกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้วเข้าใจเองโดยไม่ต้องเห็น เรียกว่าทิพจักขุญาณ

เอาให้แน่ ๆ นะ ทิพจักขุกับทิพจักขุญาณ คนละเรื่องกันนะ ทิพจักขุลักษณะเหมือนตาทิพย์คือเห็น ทิพจักขุญาณเป็นความรู้สึกเหมือนกับเห็น ชัดเจนมาก บอกได้ทุกอย่าง แต่ไม่เห็น


ถาม : อภิญญา ๓ อย่างนี้ บางท่านสามารถทำได้ครบ แต่ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ไม่ว่ามีอภิญญาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือครบทั้งสามอย่าง ก็โดนมารหลอกได้และผิดพลาดได้ใช่ไหม ?
ตอบ : ขนาดหมดกิเลสแล้ว มารยังพยายามหลอกเลย พวกไม่หมดกิเลสนี่เป็นลูกน้องของมารแน่ ๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก เขาหลอกเป็นประจำ

ถาม : ดังนั้น เราจึงไม่ควรให้ความสำคัญเท่ากับการแก้ไขกิเลสร้ายในใจ ใช่หรือไม่ ?
ตอบ : พิจารณาเอาเองว่าใช่หรือเปล่า เขาเรียกว่าถามแบบอวดรู้ ไม่ใช่ถามเพื่อเอาความรู้

เถรี 04-12-2018 09:06

ถาม : เวลา ๔ นาฬิกาของวันนี้ ผมตื่นมานั่งกรรมฐานจับภาพพระภาวนาตามปกติ แต่ภาพพระกลับแปรสภาพเป็นพระพักตร์ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้วผ่องใส ชัดเจนมากขึ้น ๆ ผมพยายามจะให้กลับมาเป็นภาพพระเหมือนเดิมตามที่หลวงพ่อสอนไว้ แต่พอเริ่มจับภาพพระใหม่วันนั้นกลับเข้าสมาธิไปถึงจุดเดิมไม่ได้อีก ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ผมควรปล่อยใจไปตามสบายหรือรีบถอยมาจับภาพพระทันทีครับ ?
ตอบ : ทำไม่รู้ไม่ชี้ ภาวนาต่อไปตามแบบที่เราทำ อย่าไปใส่ใจอยากให้มาอยากให้ไป อย่าดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากสภาวะนั้นและอย่าอยากเข้าสู่สภาวะนั้น ที่ทำต่อไม่ได้เพราะว่าอยากจะเข้าไปที่เดิม ในเมื่อเกิดความอยาก ก็กั้นความดีไว้หมด เข้าถึงไม่ได้

เถรี 04-12-2018 09:08

ถาม : อัสสาสะ ปัสสาสะ หรือที่เรียกว่าคาบลมในทางไสยศาสตร์ การภาวนาด้วยวิธีนี้ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : กลั้นใจว่าคาถาตามที่เขากำหนด อย่างเช่นว่าช่วงหนึ่งลมหายใจกลั้นไว้ ต้องว่าให้ได้ ๑๐๘ จบ

ถาม : ถ้าเราเป็นหวัดไม่สามารถภาวนาให้ลมออกทางจมูกได้นั้น เราเปลี่ยนเป็นให้ลมออกทางปากแล้วเอาจิตจับแทนจมูก อย่างนี้เป็นการถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช้ได้ แต่คงจะคอแห้งน่าดู

เถรี 04-12-2018 09:13

ถาม : สูตรยาขมิ้นชันเท่าหัวแม่มือ หญ้าแพรกหนึ่งกำมือ โขลกให้ละเอียด ละลายด้วยน้ำปูนใส คั้นให้ได้หนึ่งถ้วยชา กินก่อนอาหารเช้า อย่างน้อย ๓๐ นาที ถ้าเราจะกินเพื่อให้กระตุ้นโกรธฮอร์โมน โดยที่เราไม่ได้เป็นเบาหวานหรือมะเร็ง สามารถกินได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าอายุเกิน ๑๒ แล้ว กินเพื่อกระตุ้นโกรธฮอร์โมนก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าโกรธฮอร์โมนหมดอานุภาพตั้งแต่ที่ภาษาหมอเขาว่า "กระดูกปิด" แล้ว

เถรี 04-12-2018 09:14

ถาม : ถ้าเราเป็นคนรวย และในชีวิตประจำวันของเรานั้นเราชอบที่จะกินข้าวราดแกงเป็นหลัก แต่ตอนที่เราใส่บาตรแด่พระสงฆ์นั้น เราเลือกถวายอาหารอย่างไก่ทอด กระผมอยากทราบว่าอานิสงส์ที่เราจะได้นั้นจะเป็นสามีทานหรือไม่ขอรับ ?
ตอบ : ได้ให้สามีด้วยหรือเปล่า...? ให้ของที่เหนือกว่าที่เรากินที่เราใช้ จัดเป็นสามีทานทั้งหมด แสดงว่าอดีตกาลเคยทำแต่ทาสทานมา ก็เลยกินใช้ของดี ๆ อย่างคนอื่นเขาไม่ได้ ชาติต่อไปน่าจะมีโอกาสได้กินไก่ทอดทีละตัน...!

เถรี 04-12-2018 09:18

ถาม : เครื่องบูชาครูในการฝึกมโนมยิทธิที่มีดอกไม้ ๓ สี ธูป ๓ ดอก เทียนหนักบาท ๑ เล่ม และเงินบูชาครู ผมเป็นโรคภูมิแพ้ควัน ถ้าผมไม่จุดธูปเทียนจะได้หรือไม่ ?
ตอบ : เขาไม่ได้บังคับว่าต้องจุด ขอให้แค่มีเท่านั้น แล้วก็คงไม่มีใครเขาจุด นอกจากเอ็ง...! แสดงว่าเข้าใจผิดตั้งแต่แรกแล้ว

ถาม : แล้วการเปลี่ยนเครื่องบูชาครูนั้นใช้ธูปเทียนชุดเดิมโดยเปลี่ยนเฉพาะดอกไม้ ๓ สีกับเงินบูชาครูได้หรือไม่ หรือต้องเปลี่ยนใหม่ยกชุดทั้งธูปและเทียนด้วยทุกครั้งครับ ?
ตอบ : ควรที่จะเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด

เถรี 04-12-2018 19:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีพวกเครื่องรางบางชิ้นที่กลัวว่าเราจะเอาไม่อยู่กัน เลยไม่กล้าเอามาลงเว็บ ก็คือพวกเครื่องรางที่ทำจากกะโหลกผี ทางด้านล้านนานอกจากพวกมีดแหวก ที่เขาเอาไว้สำหรับไล่โรคไล่ผีอะไรต่าง ๆ แล้ว ยังมีถ้วยฝนยาที่ทำจากกะโหลกผี เขามักจะใช้พวกเขี้ยวสัตว์ อย่างเช่น พวกเขี้ยวเสือ เขี้ยวหมูป่า ฯลฯ มาฝนกับกะโหลกนั้นเพื่อเอาไปทำยา แล้วก็ยังมีที่แกะเป็นพวกปั้นเหน่ง (หัวเข็มขัด)

อาตมามีอยู่ ๓-๔ ชิ้น แต่ว่ากลัวพวกเราจะเป็นลมตายกัน ก็เลยไม่ได้เอามา บางชิ้นแกะสวยมาก ๆ เลย ต้องยอมรับว่าช่างโบราณฝีมือเขาดี แบบเดียวกับที่เขาแกะปั้นเหน่งกะโหลกแม่นาค"

เถรี 04-12-2018 20:56

ถาม : กงจักรในมหาปุริสลักษณะมีกี่แฉก และหมายถึงธรรมข้อใดครับ ?
ตอบ : เขาบอกว่ามีกงตั้งพัน นับไหวไหม ? ไปดูในจักกวัตติสูตรหรือไม่ก็ในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ในขุททกนิกาย รายละเอียดมีเยอะมาก อ่านเสียให้พอ

ถาม : มหาปุริสลักษณะมีเฉพาะพระโพธิสัตว์บารมีใกล้จะเต็มใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีเฉพาะพระโพธิสัตว์ที่เป็นอุปบารมีขึ้นไป แล้วก็เริ่มมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนชาติที่บรรลุมรรคผลก็จะมีครบทุกอย่าง

เถรี 04-12-2018 21:07

ถาม : กระผมมีความสงสัยว่า วันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ ถือเป็นวันห้ามทำการมงคล เหมือนกับวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตำราไม่ได้ห้ามไว้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าตำราห้ามไว้ก็แปลว่าทำไม่ได้ เราก็ไปเปลี่ยนใหม่สิ วันเสาร์ใช้ ๑๕ ค่ำก็ได้ ๔ ค่ำก็ได้ ยังเป็นวันสิทธิโชค มหาสิทธิโชคอยู่

เถรี 04-12-2018 21:09

ถาม : บ้านเช่า ๓ หลังติดกัน มีโรงจอดรถกั้นกลางระหว่างบ้านเช่าทุกหลัง แต่ไม่มีรั้วกั้นแบ่งเขตจากกัน บ้านหลังหนึ่งผู้เช่าได้ตั้งศาลพระภูมิทางทิศตะวันออกของบ้านตน แต่จะอยู่ทางตะวันตกของบ้านอีก ๒ หลัง จะมีผลเสียใด ๆ เกิดขึ้นกับผู้อาศัยในบ้านทั้งสองหลังหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีผลเฉพาะบ้านที่ตั้งเท่านั้น เพราะอีก ๒ บ้านไม่ได้ตั้ง ไม่ได้แสดงออกว่าเคารพหรือไม่เคารพท่าน เขาไม่นับ

เถรี 04-12-2018 21:13

ถาม : ในการที่พระท่านได้ไปบิณฑบาต แล้วแบ่งอาหารส่วนหนึ่งมาให้กับนักเรียนและครู มารับประทานในตอนเช้าและเที่ยง ซึ่งอาหารบางส่วนเหลือไม่มีใครรับประทาน กระผมกลัวว่าถ้าปล่อยไว้จะเน่าเสียไร้ซึ่งประโยชน์ จึงได้ขอเอากลับมาบ้าน เพื่อให้สุนัขในละแวกบ้าน ได้อิ่มท้องกัน กระผมจึงอยากจะเรียนถามพระอาจารย์ว่า กรณีที่กระผมนำอาหารที่เหลือกลับมาบ้าน เพื่อให้สุนัขได้อิ่มท้อง ในใจผมคิดแต่จะเมตตากับสัตว์ หวังให้สัตว์ผู้หิวโหยได้อิ่มหนำสำราญ กระผมจะติดหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ลงนรกไปพร้อมกับหมา...! เรื่องของอาหารจากบิณฑบาต ต่อให้เขาตั้งใจถวายเฉพาะตนก็ตามให้คิดว่าเป็นของสงฆ์เสมอ ถ้าเราไม่ได้มีเจโตปริยญาณรู้ว่าเขาถวายเจาะจงเฉพาะตนแล้วไปทำอย่างนั้น พระจะพาโยมซวยไปด้วย

พระพุทธเจ้าอนุญาตให้แบ่งอาหารบิณฑบาตให้เฉพาะพ่อแม่เท่านั้น นอกนั้นต้องให้คณะสงฆ์อนุญาต แล้วการอนุญาตก็คือกินได้ ใช้ได้เฉพาะที่วัด หลุดจากวัดไปก็ซวยอีก ถ้าอยากจะเป็นเปรต ๙๑ กัปแบบญาติพระเจ้าพิมพิสารก็ลองเอากลับบ้านดู นั่นขนาดสงฆ์อนุญาตแล้วนะ


เถรี 04-12-2018 21:16

ถาม : ผมตั้งใจไว้ว่าปีหน้าผมจะบวชพระด้วยตัวเอง และจะมีการบอกบุญญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน โดยการพิมพ์ซองแจก ผมมีความสงสัยว่าหากมีคนทำบุญมาในการบวช ผมควรจะจัดสรรปัจจัยที่คนทำบุญมาอย่างไรดีครับ จึงจะถูกต้องและเหมาะสมที่สุดครับ ?
ตอบ : ใช้เฉพาะในงานบวชเท่านั้น อย่าทะลึ่งเอาไปเลี้ยงคน เพราะเจตนาของเขาทันทีทันใดที่คิดก็คือตั้งใจบวชพระ เขาไม่ได้ตั้งใจให้ไปเลี้ยงโต๊ะ ไม่ได้ตั้งใจให้เอาเป็นค่าพิมพ์ซอง

เถรี 04-12-2018 21:17

เมื่อครู่นี้ที่ยังกล่าวเรื่องของสงฆ์ที่กล่าวไม่หมด เหตุที่มีโทษหนักขนาดนั้น เพราะว่าบุคคลที่เขาถวายของไป ถ้าหากเห็นเราเอาไปให้คนอื่น เขาไม่ชอบใจ เขาเกิดเสื่อมศรัทธาขึ้นมา เราจะอยู่ไม่ได้ ถ้าหากว่าเขาเสื่อมศรัทธาหลาย ๆ แห่ง แม้แต่พระศาสนาก็อยู่ไม่ได้ โทษจึงหนักมาก

เพราะฉะนั้น...เป็นพระต้องระมัดระวังด้วย ไม่ใช่ทำส่งเดช คิดว่าเราเมตตา ขณะเดียวกันญาติโยมที่ไม่รู้ความก็สงเคราะห์คนอื่นด้วยความเมตตา กลายเป็นหวังดีแต่ประสงค์ร้าย เพราะเอาโทษหนักไปให้เขา

เถรี 04-12-2018 21:19

ถาม : กรณีที่ห้องพักเป็นแบบห้องเช่าซึ่งเป็นห้องเดี่ยว ๆ แล้วเรามีการตั้งหิ้งพระในห้องนั้น รวมทั้งมีวัตถุมงคลต่าง ๆ ในห้องโดยวางไว้บนตู้เสื้อผ้าด้วย แล้วเรามีการถอดเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในห้องนั้น เช่น กิน นอน รวมถึงมีการร่วมรักกันในห้องนั้น ไม่ทราบว่ากรณีอย่างนี้จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่ครับ ถ้าปรามาสควรปรับปรุงและแก้ไขอย่างไรจึงจะถูกต้องเหมาะสมครับ ?
ตอบ : ก็ทำผ้าม่านเล็ก ๆ สักหน่อยหนึ่ง ถึงเวลาก็รูดปิดตรงหิ้งพระ เอาแบบพระพม่า

พระพม่า เวลาเจ้าอาวาสจะให้โอวาทพระลูกวัด จะรูดม่านปิดพระประธานก่อน เคยถามท่านว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ? ท่านบอกว่าการหันหลังให้พระรัตนตรัยเป็นบาป นั่นท่านตีความผิด...!

การหันหลังให้พระรัตนตรัยที่เป็นบาป หมายความว่าเปลี่ยนใจจากการนับถือพระรัตนตรัยไปนับถืออย่างอื่น แต่ท่านก็ระมัดระวังด้วยการทำม่าน ถึงเวลาก็รูดปิดก่อน ถึงจะหันหลัง นั่งอาสนะอบรมพระ เราเองถ้าหนักใจก็ทำม่านสักหน่อย เปลืองเงินเพิ่มขึ้น จะได้หายฟุ้งซ่าน...!

เถรี 04-12-2018 22:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอให้ญาติโยมทราบว่า ตอนนี้ถ้าจะเอาอนุโมทนาบัตร พระไม่มีสิทธิ์ออกให้แล้ว เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากร ถึงเวลาต้องการอนุโมทนาบัตรต้องโอนเงินผ่าน QR-Code ของแต่ละวัด แล้วก็ติ๊กยืนยันการขอรับอนุโมทนาบัตรไปด้วย ถึงเวลาเขาจะส่งมาให้ตามที่อยู่ซึ่งเรากรอกไว้

กฎหมายนี้มีพื้นฐานอยู่บนแนวคิดว่าพระทุกรูปเลวมาก โกงเงินทั้งนั้น..! ก็เลยต้องออกมาลักษณะอย่างนี้ แต่ดีตรงที่ว่าทำให้วัดและพระลดภาระลงไปเยอะมาก ปัจจุบันนี้อนุโมทนาบัตรแต่ละเล่มก็ไม่ใช่ราคาถูก ๆ

มีช่วงหนึ่งที่อาตมาออกอนุโมทนาบัตรมือหงิกเลย คือ ทางทองผาภูมิมีการออกบัตรคุมคนต่างด้าว ถ้าใครเคยอยู่มา ๒๐ ปี เป็นบัตรสีนี้ ใครอยู่มา ๕ ปี เป็นบัตรสีนี้ เป็นต้น วันดีคืนดีก็ออกกฎมาว่า ถ้าไม่เคยสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ไม่เคยสร้างประโยชน์ให้กับวัดวาอาราม จะไม่ออกบัตรสีอื่นให้ เขาก็วิ่งเข้าวัดกันเป็นพัน ทำบุญคนละร้อย เพื่อขออนุโมทนาบัตร ก็ดีนะที่มีคนเข้าวัด แต่ก็เขียนไม่ไหว

เราลองนึกดูว่า บุคคลต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในทองผาภูมิมีเป็นล้านคน แล้ววัดมีแค่ ๕๒ วัด จะเขียนไหวไหม ? บางท่านเงินน้อยก็ทำ ๒๐ บาท ก็ต้องเขียนให้ไป"


เถรี 04-12-2018 22:25

"แต่ช่วงนี้ดีตรงที่ว่า ทองผาภูมิจะสงบเงียบเรียบร้อยมาก เพราะทันทีที่ได้บัตรประชาชนของทางราชการ คุณยังไม่สามารถเปลี่ยนนามสกุลเป็นไทยได้ เขากำหนดไว้ว่า ถ้าภายใน ๕ ปี ไม่เคยมีคดีหนักคดีเบาอะไร ไม่เคยขึ้นโรงขึ้นศาล หรือขึ้นสถานีตำรวจเลย ถึงจะอนุญาตให้เปลี่ยนนามสกุลเป็นไทยได้ ระยะนี้ทางด้านทองผาภูมิจึงสงบเงียบเรียบร้อย ไม่มีใครกล้าทำอะไร กลัวประเภทไปมองหน้าเขา แล้วอีกฝ่ายแจ้งความหมิ่นประมาท แค่บันทึกประจำวันเท่านั้นก็ซวยแล้ว ต้องบอกว่าเป็นนโยบายที่ดี

ถามว่าทำไมไม่ใช้กฎหมายต่างด้าว ? ประเภทอยู่อาศัย ๑๐ ปี จ่ายภาษีสม่ำเสมอจะให้สัญชาติไทย ทำไม่ได้เพราะว่าช่วงนั้นคนพม่าดิ้นรนมาไทยมากเป็นพิเศษ ถ้าอนุญาตเมื่อไรก็แห่กันมาเกินครึ่งประเทศแน่นอน ปัจจุบันนี้โยมลองไปแถวมหาชัยดูสิ ไม่ว่าจะป้ายโฆษณาตลอดจนเอทีเอ็มต้องเป็นภาษาพม่า ขณะเดียวกันสิ่งที่น่ากลัวมากก็คือ ปัจจุบันนี้เขาทั้งหลายเหล่านั้นเริ่มเป็นเจ้าของกิจการแล้ว"

เถรี 04-12-2018 23:10

"ทองผาภูมิมีร้านค้าหลักอยู่ร้านหนึ่งที่กิจการดีมากเป็นพิเศษ คือ ร้านลัดดาวัลย์ของลุงเตือนกับเจ๊เกี๊ยว เหตุที่กิจการดีมากเป็นพิเศษ เพราะผูกขาดการขายส่งให้พ่อค้ารายย่อย ขนของเข้าไปตามแปลง แปลงในที่นี้ก็คือหมู่บ้านจัดสรรของทางการไฟฟ้า ซึ่งเขาย้ายชาวบ้านออกจากพื้นที่เขื่อน แล้วก็ไปตั้งที่อยู่แปลงละหมู่บ้าน ก็คือ แปลงหนึ่ง แปลงสอง แปลงสาม แปลงสี่ แปลงห้า แปลงหก ก็แปลว่ามีลูกค้าประจำเป็นพัน ๆ ทุกวัน ลุงเตือนกับเจ๊เกี๊ยวอายุมากขึ้น รับงานหนักขนาดนั้นไม่ไหว จึงขายกิจการ ปัจจุบันนี้คนดำเนินการต่อเป็นคนพม่า

แปลว่าอะไร ? แปลว่าคนไทยจะเริ่มสูญเสียความเป็นเจ้าของกิจการไปเรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับสมัยก่อนที่คนจีนอพยพเข้ามา เสื่อผืนหมอนใบ ปัจจุบันนี้ก็กุมเศรษฐกิจในเมืองไทยอยู่ แค่เจริญ สิริวัฒนภักดีกับเจริญโภคภัณฑ์ก็เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็จะมีคนพม่าเป็นเถ้าแก่แล้วคนไทยไปเป็นลูกน้อง เพราะว่าสันดานคนไทยขี้เกียจ ไม่ดิ้นรน ถ้ามีกินวันนี้พอแล้ว ไม่คิดถึงอนาคตข้างหน้า เพราะเราไม่เคยลำบาก

ส่วนพม่าเขาบ้านแตกสาแหรกขาด ลูกตาย เมียตาย ผัวตาย เพราะว่าการสู้รบระหว่างชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาล หลบหนีมาเมืองไทยก็ต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบอย่างเต็มที่ อันดับแรกคือเอาตัวให้รอด อันดับที่สองคือส่งไปเกื้อกูลญาติพี่น้องที่ยังอยู่ในพม่า ในเมื่อเขาขยัน ถึงเวลาก็สามารถเป็นเจ้าของกิจการได้"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว