กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ฝากคำถามถึงหลวงพ่อ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=51)
-   -   เรื่องพระพุทธศาสนา และอารมณ์ของพระโพธิสัตว์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8590)

นักเดินทางสังสารวัฏ 17-05-2022 07:19

เรื่องพระพุทธศาสนา และอารมณ์ของพระโพธิสัตว์
 
๑.ตามที่ผมได้ศึกษาปริยัติ และคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อเล็ก และได้ทำสมาธิเจริญสมถะ และวิปัสสนา จากประสบการณ์ของผมการทำสมาธิและเจริญวิปัสสนา
ตอนแรกเราก็ทำสมาธิเช่นอานาปานสติ เพื่อสร้างสติ
การที่เรามี สติ คือการรู้ตัวว่าเราตอนนี้กำลังคิดอะไร ตอนนี้อารมณ์ใดเกิดขึ้นอยู่ในจิต อารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในจิตเรียกว่าธรรมารมณ์ หรือในด้านอภิธรรมและปรมัตถธรรม จะเรียกว่าเจตสิก คืออารมณ์ของจิต พอเราทำสมาธิไปนาน ๆ เราจะมีมหาสติ คือ เป็นคนไม่เผลอ รู้ตัวตลอดเวลา พอจิตมีมหาสติ เราก็รู้เท่าทันธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิต ทั้งฝ่ายกุศล หรืออกุศล คือรู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังคิดในด้านดีหรือชั่ว หรือภาษาพระเรียกว่ากุศลธรรม และอกุศลธรรม กุศลธรรมก็เช่น คิดอยากตอบแทนพระคุณของพระรัตนตรัย มีความรู้สึกเกรงกลัวต่อบาปที่กำลังคิด ซึ่งก็คือหิริ และโอตตัปปะ อกุศลธรรมก็เช่น คิดจะเบียดเบียนคนอื่น มีอารมณ์โกรธ อาฆาต เป็นต้น

พอจิตมีสมาธิดีเช่นจิตทรงฌาน จิตก็มีมหาสติ พอจิตมีมหาสติ จิตก็มีปัญญามากรู้เท่าทันอารมณ์ต่าง ๆ ว่าอารมณ์ใดเป็นอารมณ์กุศล อารมณ์ใดเป็นอกุศล และจิตก็มีความเร็วกว่าเจตสิก คือจิตเร็วกว่าอารมณ์กุศล และอารมณ์อกุศล พอมาถึง ณ จุด ๆ นี้ จิตก็พอใจอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว คืออยู่กับอานาปานสติ เพราะเห็นประโยชน์ของความสุขเฉพาะหน้า คือสุขอยู่กับปัจจุบัน เพราะถ้าจิตไม่อยู่กับอานาปานสติ อีกสักพักมันก็ฟุ้งซ่าน และพอมาถึงตอนนี้ จิตก็มีมหาสติ มีสมาธิ มีปัญญามาก และธรรมดาของจิตก็มีอารมณ์คิดเป็นธรรมดา แต่จะคิดเฉพาะหน้า คิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ อะไรที่เป็นโทษก็ไม่ไปยุ่งกับมัน เพราะถ้าไปยุ่งกับมัน เช่นไปคิดปรุงแต่งในด้านของอารมณ์อกุศลธรรม เช่นคิดอยากโกรธ อยากจะด่า อยากจะเบียดเบียนคนอื่น อารมณ์เหล่านี้ก็เหมือนกับไฟ พอไปโดนมันก็ร้องจ๊าก อันนี้ผมเปรียบเทียบให้ผมฟังนะครับ สรุปง่าย ๆ ทำสมาธิให้ดี สติก็มากขึ้นคือรู้ตัวมากขึ้น และพอเรารู้ตัวว่าอารมณ์ไหนที่เป็นกิเลสเข้ามาแล้ว ก็ต้องหยุดคิด หรือถ้าจิตไวจริง ๆ ก็สามารถไม่รับเข้ามาได้เลย และการที่จะทำให้จิตไว ต้องเริ่มจากการมีสมาธิที่ดีก่อน พอสมาธิดีแล้ว ก็เจริญวิปัสสนา เอาตัวปัญญาใช้หาเหตุหาผล เห็นโทษของอกุศลธรรม หรืออารมณ์ชั่ว ๆ ที่จะทำให้จิตเราเศร้าหมองเป็นต้น พอเราเห็นชัดเจน เราก็ไม่ยุ่งกับมัน สมมุติอารมณ์กิเลสเกิดขึ้น และเรารู้ตัว เราก็ไม่ไปคิดไปปรุงแต่งต่อ อารมณ์พวกนี้มันก็หายไป และในการใช้ชีวิตจริงผมก็มีสติรู้ตัวมากขึ้น สมมุติผมอยู่กับเพื่อนก็ต้องมีการกระทบ ทำให้เกิดอารมณ์โกรธ แต่พอผมรู้ทันผมก็ทำแบบหลวงพ่อสอน เอาจิตจับอานาปานสติตลอดเสมอ ๆ

เรื่องที่ผมเล่ามาจากที่ได้ศึกษาและได้ทำสมถะเจริญวิปัสสนาตามความเข้าใจของผม อยากให้หลวงพ่อยืนยันว่าผมเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ถูกอยากให้หลวงพ่อชี้แนะแก้ไขครับ

๒. ถ้าร่างกายเราเจ็บป่วยหนัก ๆ ไม่สามารถทำสมาธิได้ แต่ตัวปัญญาเห็นชัดเลยว่า ไม่อยากเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เพราะมีแต่ทุกข์ มีแต่ความลำบาก พูดง่าย ๆ ไม่อยากเกิดอยู่ในวัฏสงสาร อยากไปแดนพระนิพพานจุดเดียว ถ้าตายแบบนี้จะไปแดนพระนิพพานได้ไหมครับ ต่อให้ตอนนั้นไม่มีสมาธิ

๓. ผมเคยอ่านเจอที่หลวงพ่อบอกประมาณว่า การที่พวกเราปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องแปลก และในฐานะที่หลวงพ่อก็เคยเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบารมีมามาก และได้เจอพระโพธิสัตว์จริง ๆ มามากเช่น หลวงพ่อวัดท่าซุง คำถามคือ เราจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าตัวเราปรารถนาพุทธภูมิจริง ๆ ไม่ใช่ปรารถนาพุทธภูมิเพราะโลกธรรม ๘ พูดง่าย ๆ ปรารถนาพุทธภูมิเพื่ออยากให้คนอื่นชมว่าเราดี เห็นเราเป็นผู้ประเสริฐ ให้คนเขาเกรงใจเป็นต้น

สุธรรม 17-05-2022 12:59

ถาม : ตามที่ผมได้ศึกษาปริยัติ และคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุง หลวงพ่อเล็ก และได้ทำสมาธิเจริญสมถะ และวิปัสสนา จากประสบการณ์ของผมการทำสมาธิและเจริญวิปัสสนา
ตอนแรกเราก็ทำสมาธิเช่นอานาปานสติ เพื่อสร้างสติ การที่เรามี สติ คือการรู้ตัวว่าเราตอนนี้กำลังคิดอะไร ตอนนี้อารมณ์ใดเกิดขึ้นอยู่ในจิต อารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในจิตเรียกว่าธรรมารมณ์ หรือในด้านอภิธรรมและปรมัตถธรรม จะเรียกว่าเจตสิก คืออารมณ์ของจิต พอเราทำสมาธิไปนาน ๆ เราจะมีมหาสติ คือ เป็นคนไม่เผลอ รู้ตัวตลอดเวลา พอจิตมีมหาสติ เราก็รู้เท่าทันธรรมารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิต ทั้งฝ่ายกุศล หรืออกุศล คือรู้ตัวว่าตอนนี้เรากำลังคิดในด้านดีหรือชั่ว หรือภาษาพระเรียกว่ากุศลธรรม และอกุศลธรรม กุศลธรรมก็เช่น คิดอยากตอบแทนพระคุณของพระรัตนตรัย มีความรู้สึกเกรงกลัวต่อบาปที่กำลังคิด ซึ่งก็คือหิริ และโอตตัปปะ อกุศลธรรมก็เช่น คิดจะเบียดเบียนคนอื่น มีอารมณ์โกรธ อาฆาต เป็นต้น

พอจิตมีสมาธิดีเช่นจิตทรงฌาน จิตก็มีมหาสติ พอจิตมีมหาสติ จิตก็มีปัญญามากรู้เท่าทันอารมณ์ต่าง ๆ ว่าอารมณ์ใดเป็นอารมณ์กุศล อารมณ์ใดเป็นอกุศล และจิตก็มีความเร็วกว่าเจตสิก คือจิตเร็วกว่าอารมณ์กุศล และอารมณ์อกุศล พอมาถึง ณ จุด ๆ นี้ จิตก็พอใจอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว คืออยู่กับอานาปานสติ เพราะเห็นประโยชน์ของความสุขเฉพาะหน้า คือสุขอยู่กับปัจจุบัน เพราะถ้าจิตไม่อยู่กับอานาปานสติ อีกสักพักมันก็ฟุ้งซ่าน และพอมาถึงตอนนี้ จิตก็มีมหาสติ มีสมาธิ มีปัญญามาก และธรรมดาของจิตก็มีอารมณ์คิดเป็นธรรมดา แต่จะคิดเฉพาะหน้า คิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ อะไรที่เป็นโทษก็ไม่ไปยุ่งกับมัน เพราะถ้าไปยุ่งกับมัน เช่นไปคิดปรุงแต่งในด้านของอารมณ์อกุศลธรรม เช่นคิดอยากโกรธ อยากจะด่า อยากจะเบียดเบียนคนอื่น อารมณ์เหล่านี้ก็เหมือนกับไฟ พอไปโดนมันก็ร้องจ๊าก อันนี้ผมเปรียบเทียบให้ผมฟังนะครับ สรุปง่าย ๆ ทำสมาธิให้ดี สติก็มากขึ้นคือรู้ตัวมากขึ้น และพอเรารู้ตัวว่าอารมณ์ไหนที่เป็นกิเลสเข้ามาแล้ว ก็ต้องหยุดคิด หรือถ้าจิตไวจริง ๆ ก็สามารถไม่รับเข้ามาได้เลย และการที่จะทำให้จิตไว ต้องเริ่มจากการมีสมาธิที่ดีก่อน พอสมาธิดีแล้ว ก็เจริญวิปัสสนา เอาตัวปัญญาใช้หาเหตุหาผล เห็นโทษของอกุศลธรรม หรืออารมณ์ชั่ว ๆ ที่จะทำให้จิตเราเศร้าหมองเป็นต้น พอเราเห็นชัดเจน เราก็ไม่ยุ่งกับมัน สมมุติอารมณ์กิเลสเกิดขึ้น และเรารู้ตัว เราก็ไม่ไปคิดไปปรุงแต่งต่อ อารมณ์พวกนี้มันก็หายไป และในการใช้ชีวิตจริงผมก็มีสติรู้ตัวมากขึ้น สมมุติผมอยู่กับเพื่อนก็ต้องมีการกระทบ ทำให้เกิดอารมณ์โกรธ แต่พอผมรู้ทันผมก็ทำแบบหลวงพ่อสอน เอาจิตจับอานาปานสติตลอดเสมอ ๆ

เรื่องที่ผมเล่ามาจากที่ได้ศึกษาและได้ทำสมถะเจริญวิปัสสนาตามความเข้าใจของผม อยากให้หลวงพ่อยืนยันว่าผมเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ถูกอยากให้หลวงพ่อชี้แนะแก้ไขครับ
ตอบ : ถูกในตอนนี้

ถาม : ถ้าร่างกายเราเจ็บป่วยหนัก ๆ ไม่สามารถทำสมาธิได้ แต่ตัวปัญญาเห็นชัดเลยว่า ไม่อยากเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เพราะมีแต่ทุกข์ มีแต่ความลำบาก พูดง่าย ๆ ไม่อยากเกิดอยู่ในวัฏสงสาร อยากไปแดนพระนิพพานจุดเดียว ถ้าตายแบบนี้จะไปแดนพระนิพพานได้ไหมครับ ต่อให้ตอนนั้นไม่มีสมาธิ ?
ตอบ : ถ้าเห็นตามนั้นจริง ๆ จิตจะเป็นสมาธิเอง

ถาม : ผมเคยอ่านเจอที่หลวงพ่อบอกประมาณว่า การที่พวกเราปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องแปลก และในฐานะที่หลวงพ่อก็เคยเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบารมีมามาก และได้เจอพระโพธิสัตว์จริง ๆ มามากเช่น หลวงพ่อวัดท่าซุง คำถามคือ เราจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าตัวเราปรารถนาพุทธภูมิจริง ๆ ไม่ใช่ปรารถนาพุทธภูมิเพราะโลกธรรม ๘ พูดง่าย ๆ ปรารถนาพุทธภูมิเพื่ออยากให้คนอื่นชมว่าเราดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ เห็นเราเป็นผู้ประเสริฐเป็นต้น ?
ตอบ : คนปรารถนาจริงจะรีบทำโดยไม่เสียเวลามาถามอยู่แบบนี้..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:03


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว