กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   กระทู้ธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=2)
-   -   วิธีปฏิบัติในนิโรธสัญญา (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3073)

เถรี 02-12-2011 10:07

วิธีปฏิบัติในนิโรธสัญญา
 
http://www.amulet.in.th/forums/images/1072.jpg
หลวงปู่ดาบส สุมโน
อาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย



วิธีปฏิบัติในนิโรธสัญญา หรือทำจิตให้ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน มี ๓ อย่าง

๑. โน้มใจเข้าหาความว่าง ด้วยการนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหาเมตตา พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ นำสัตว์ชี้ทางเข้าสู่พระนิพพาน เริ่มระลึกถึงความว่างเปล่าไม่มีอะไร ทั้งโลกอากาศว่างเปล่า ธาตุว่างอยู่รอบตัวเราเอิบอาบไปทั่ว เป็นธาตุอมตะโอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นธาตุเบา ธาตุเย็น ธาตุสงบ ธาตุพอเพียง ธาตุแท้จริง

๒. ทำจิตว่างด้วยสลัดขจัดทิ้งความคิดไม่ดีไร้สาระออกจากจิต หรือปล่อยวางอารมณ์ดีชั่วทั้งปวงออกจากจิต ให้มีเพียงแต่คำว่า "รู้" แต่ไม่นำเอามาคิดปรุงแต่งเป็นตัวเราตัวเขา เป็นแต่เพียงธาตุของโลก จิตเป็นธาตุเบาไม่เอาไปปนกับธาตุหนัก ๆ ของโลก กายก็เป็นธาตุของโลกไม่ใช่ของจิต แต่จิตก็เพียงให้รู้ว่าจิตมาอาศัยอยู่ในกายบ้านสมมติชั่วคราว ไม่เอามาปนกับจิต

จิตส่วนจิต กายส่วนกาย ไม่ใช่อันเดียวกัน มีกายแล้วจิตก็ทำเป็นว่าไม่มี เพราะไม่ช้ากายก็ตายสูญสลาย ไม่มีกายอีก เป็นของว่าง ๆ เพียรคิดสลัดกาย อารมณ์ทั้งหลายออกจากจิต จิตจะสะอาด ว่างจากกิเลสความผูกพันยึดมั่นกายเรากายเขา แต่ก็ยังคงทำหน้าที่การงานสังคมครบถ้วน จิตใจสะอาดผ่องใส ร่างกายก็ไม่มีโรคหรือโรคน้อยลง จิตก็จะแปรสภาพจากหนักเป็นเบา โปร่งสบาย จิตหยาบจะเป็นจิตละเอียดสะอาดผ่องใส ไม่มีความวุ่นวาย เป็นจิตสงบนิ่งมีปัญญาดี

๓. วิธีทำจิตสะอาดว่างจากกิเลสแบบให้สังเกตหรือจับดูอารมณ์ตามความเป็นจริง แต่ไม่ใช่ให้จับแบบยึดถือมั่น คือจิตมันชอบคิดเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ คิดอะไรก็เอาเรื่องนั้นนั่นแหละมาพิจารณาดูให้ลึกและไกลออกไป ให้เห็นความไม่คงที่ จะเป็นไปในทางที่ดีหรือไม่ดี สุขหรือทุกข์ก็เท่ากัน ไม่มีอะไรเป็นจริงเป็นจัง เป็นแก่นสาร ย่อมถึงความผันแปรดับสูญเสมอกัน

เงาในกระจกหรือเงาในน้ำมิใช่ของจริงฉันใด สัพพสังขารทั้งหมดก็ไม่ใช่ของจริงฉันนั้น หรือจะมองชีวิตทั้งหมดนี้เป็นเหมือนความฝันก็ได้ เพราะจุดจบชีวิตคือความตาย ความตายของชีวิตร่างกายของคนนั่นแหละ คือ การตื่นจากฝัน คือจิตออกจากร่างไปหาที่อยู่ใหม่ ที่อยู่ใหม่ของเราท่านเที่ยงแท้แน่นอน ไม่ยอมผันแปรอีกต่อไป คือ แดนอมตทิพย์พระนิพพาน

เถรี 02-12-2011 10:24

เมื่อมาพิจารณารู้ความจริงของชีวิตร่างกายทุกผู้ทุกนามแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ ทั้งคน สัตว์ สิ่งของ มีก็เท่ากับว่าไม่มี คือว่างเปล่านั่นเอง เพราะสูญสลายไม่ช้าก็เร็ว

เมื่อกำหนดจิตเห็นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเป็นของว่างเปล่า จิตก็ต้องเข้าถึงความว่าง ธาตุว่างจากทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เมื่อพิจารณาทบทวนความไม่มีของกายเรา กายเขา ขันธ์ ๕ เรา ขันธ์ ๕ เขา มีแล้วก็เหมือนกับไม่มี เพราะแปรปรวนไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่จริง เป็นของปลอมของสมมติ หาตัวตนตัวเราตัวเขาไม่ได้ เพราะทุกอย่างมีแต่เดินหาทางหาความทรุดโทรม ผุพัง สูญสลายตายกันในที่สุด

จิตก็จะหลุดจากกิเลส คือว่างจากความทุกข์ยาก จิตจะเป็นอิสระเสรี ไม่ยึดเกาะในสิ่งของจอมปลอมอีกต่อไป ถึงแม้จิตจะยังอาศัยอยู่ในร่างกาย แต่จิตก็ไม่หลงรักว่าเป็นอันเดียวกับจิต

อย่าเอาใจจิตไปนึกว่ามันมี รูป รส กลิ่น เสียง ปล่อยไปเพียงแต่ผ่านไปผ่านมาเท่านั้น ถ้าอารมณ์ทรงอยู่ จิตไม่สนใจขันธ์ ๕ ของใคร วางเฉยไม่ทุกข์ร้อน ทำงานทุกอย่างตามหน้าที่ ไม่เสียใจ ทุกข์ใจ ดีใจ ตามความวุ่นวายของร่างกาย จนจิตเป็นหนึ่ง คือครองอารมณ์เฉยเป็นเอกัคตารมณ์ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสำหรับเรา เราไม่มีสำหรับกาย จิตจะสะอาดเบิกบาน ผ่องใส พ้นจากความยึดมั่นในของปลอมของทุกข์ของร้อน พระท่านเรียกว่า "จิตของพระอรหันต์"

วิธีทำจิตว่างจากกายเรา กายเขา แบบนี้เป็นแบบลัดแบบง่าย มีแต่พรหมวิหาร ๔ ไม่ยอมยึดถืออารมณ์ใด ๆ มาไว้ในจิต มีความจำได้หมายรู้ก็ทำเป็นเหมือนไม่มีความจำ เพราะแม้ความจำก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่ช้าก็ลืม ประสาทสมองลืมง่าย

ดังนั้น..ความจำ ความคิด ความอ่าน ความเจ็บปวด ความกังวลใจ ความฟุ้งซ่านวิตกกังวล ก็เป็นเรื่องของกาย ให้สลัดกายทิ้งออกจากจิต ให้จิตเต็มไปด้วยพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มี คนเกิดมาเท่าไรก็ตายหมด สลายหมดเท่านั้น ทุกอย่างไม่มีเที่ยงแท้

ค่อย ๆ ทำแบบสบาย อย่าเร่งรัด ค่อยเป็นค่อยไป จิตให้มีความรู้สึกอยู่เสมอว่ากายเป็นของไม่จริง ของชั่วคราว พังสลายในที่สุด จิตเป็นของจริง ของเบา ของบริสุทธิ์สะอาด เมื่อร่างกายนี้พังแตกสลาย จิตนี้เราจะติดตามรอยพระบรมศาสดาเข้าพระนิพพาน

ผู้ที่เพียรทำจิตให้ว่างจากร่างกาย หรืออารมณ์ต่าง ๆ แบบนี้เป็นแบบของพระอริยเจ้า เป็นสมาธิเป็นวิปัสสนาญาณอยู่ด้วยกัน ทำได้ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ นั่ง นอน ยืน เดิน ทำได้ทั้งที่อยู่คนเดียว หรืออยู่เป็นหมู่คณะ เป็นทางหลุดพ้นทุกข์ได้อย่างแน่นอน เป็นทางลัดตรงไปถึงจุดหมายปลายทางคือพระนิพพานได้รวดเร็ว

เถรี 02-12-2011 23:24

อันจิตเรา ๆ ท่าน ๆ นี้เป็นจิตอมตะ เป็นจิตที่ไม่มีวันแก่ ไม่มีวันเจ็บ ไม่มีวันสูญสลายตาย เป็นธรรมชาติวิเศษยอดเยี่ยม เป็นธาตุกายสิทธิ์ สมควรที่เราท่านควรให้ความสนใจ รักษาจิตให้สะอาดสดใสเป็นพิเศษอยู่ตลอดเวลา

จิตนี้ถ้ารู้สิ่งใดก็ถึงสิ่งนั้นได้ทันที รู้ว่าพระนิพพานมีอยู่ พระนิพพานเป็นความดับทุกข์ ดับขันธ์ ๕ ดับรูป นาม ที่เป็นของปลอม จิตเป็นของจริง นิพพานมีอยู่ทั่วไป แม้ยังไม่ตายจิตก็มีสภาวะนิพพานได้ ด้วยการทำจิตแยกจิตออกจากขันธ์ ๕ กำหนดความไม่มีของขันธ์ ๕ เข้าไว้ จิตจะเลิกยึดถือร่างกายขันธ์ ๕ ตนเองได้ง่าย ๆ เพราะความชิน คิดว่าไม่มีจนชิน

เราไม่เอาขันธ์ ๕ เพื่อว่าเราต้องการไปดินแดนที่เป็นสุขจริงตลอดกาล คือ นิพพาน ไม่มีภพภูมิใด ๆ เสมอเหมือน ไม่ใช่เทวโลก ไม่ใช่พรหมโลก ไม่ใช่มนุษย์โลก นิพพานเป็นเมืองทิพย์ เป็นเพชรที่มีแสงสว่าง เป็นที่ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง อันตรายที่น่ากลัวที่สุดคือ อันตรายจากการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบไม่สิ้น

รูปฌาน คือจิตกำหนดเอารูปร่างกายเป็นสมาธิภาวนา เช่น ดูลมหายใจเข้าออก เพ่งภาพพระพุทธรูปก็เป็นรูปฌาน
อรูปฌาน คือ จิตกำหนดเอาอากาศ วิญญาณ ความไม่มีอะไรทั้งหมดในโลก ความไม่มีความจำได้หมายรู้ เป็นสมาธิภาวนา

นิพพานธาตุ ก็คือ นิโรธธาตุอันเดียวกัน มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้ในจิตเราท่านที่อยู่ในร่างกายที่สกปรกนี้ ก็ทำจิตให้เข้าถึงนิพพานธาตุได้ทันที ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตาย นิพพานธาตุไม่ใช่มนุษย์โลก ไม่ใช่เทวโลก ไม่ใช่พรหมโลก แต่อยู่เหนือโลกทั้งสิ้น มีอยู่ทั่วไป ถ้าจิตดับทุกข์ ดับขันธ์ ๕ จิตว่างจากกิเลส จะรู้สภาวะพระนิพพานทันที

นิโรธสัญญา เป็นทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา คือทำใจว่าง ไม่มีอารมณ์ทั้งปวง คือเฉย ๆ แล้วทำจิตใจให้สละ ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างในโลก รวมทั้งรูป รส กลิ่น เสียง ไม่ให้มีในจิตใจเรา เพื่อที่จะนำจิตใจไปสู่ธาตุแท้ ธาตุบริสุทธิ์ แจ่มใสเบิกบาน เป็นจิตพุทธะดังเดิม เป็นจิตประภัสสรดั้งเดิม ตามที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดเทศนาสั่งสอนเอาไว้

นิโรธสัญญา ทำจิตปล่อยวางว่างจากพันธะใด ๆ ในโลกนั้น จะทำวิชชาให้สำเร็จอิทธิฤทธิ์ก็ย่อมทำได้ เพราะจิตสงบทรงตัว สามารถใช้งาน มีพลังจิตมหาศาล แต่ผู้ที่เจริญในความว่างทางจิตแบบนี้แล้ว ท่านก็ไม่ต้องการอิทธิฤทธิ์หรือความรู้พิเศษใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะจิตท่านอิ่มด้วยความสุข สงบ สบาย สว่างสดใส ไม่ต้องการอะไรอีกต่อไป เป็นความสุขยอดเยี่ยมไม่สามารถบรรยายเป็นตัวหนังสือได้

จิตศิลป์ 11-01-2022 09:16

[QUOTE=เถรี;82282]
http://www.amulet.in.th/forums/images/1072.jpg
หลวงปู่ดาบส สุมโน
อาศรมไผ่มรกต จ.เชียงราย



วิธีปฏิบัติในนิโรธสัญญา หรือทำจิตให้ว่างจากกิเลส ตัณหา อุปาทาน มี ๓ อย่าง

๑. โน้มใจเข้าหาความว่าง ด้วยการนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระมหาเมตตา พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ นำสัตว์ชี้ทางเข้าสู่พระนิพพาน เริ่มระลึกถึงความว่างเปล่าไม่มีอะไร ทั้งโลกอากาศว่างเปล่า ธาตุว่างอยู่รอบตัวเราเอิบอาบไปทั่ว เป็นธาตุอมตะโอบอุ้มทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นธาตุเบา ธาตุเย็น ธาตุสงบ ธาตุพอเพียง ธาตุแท้จริง

๒. ทำจิตว่างด้วยสลัดขจัดทิ้งความคิดไม่ดีไร้สาระออกจากจิต หรือปล่อยวางอารมณ์ดีชั่วทั้งปวงออกจากจิต ให้มีเพียงแต่คำว่า "รู้" แต่ไม่นำเอามาคิดปรุงแต่งเป็นตัวเราตัวเขาเป็นแต่เพียงธาตุของโลก จิตเป็นธาตุเบาไม่เอาไปปนกับธาตุหนัก ๆ ของโลก กายก็เป็นธาตุของโลกไม่ใช่ของจิต แต่จิตก็เพียงให้รู้ว่าจิตมาอาศัยอยู่ในกายบ้านสมมติชั่วคราว ไม่เอามาปนกับจิต

จิตส่วนจิต กายส่วนกาย ไม่ใช่อันเดียวกัน มีกายแล้วจิตก็ทำเป็นว่าไม่มี เพราะไม่ช้ากายก็ตายสูญสลาย ไม่มีกายอีกเป็นของว่าง ๆ เพียรคิดสลัดกาย อารมณ์ทั้งหลายออกจากจิต จิตจะสะอาด ว่างจากกิเลสความผูกพันยึดมั่นกายเรากายเขา แต่ก็ยังคงทำหน้าที่การงานสังคมครบถ้วน จิตใจสะอาดผ่องใส ร่างกายก็ไม่มีโรคหรือโรคน้อยลง จิตก็จะแปรสภาพจากหนักเป็นเบา โปร่งสบาย จิตหยาบจะเป็นจิตละเอียดสะอาดผ่องใส ไม่มีความวุ่นวาย เป็นจิตสงบนิ่งมีปัญญาดี
.....................................
น่าจะเป็น " มีจิตแล้วกายก็ทำเป็นว่าไม่มี " มากกว่าครับ

สุธรรม 12-01-2022 17:38

:4672615: มีกายแล้วจิตก็ทำเป็นว่าไม่มี คือ จิตไม่ยึดในร่างกายนี้


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:53


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว