เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๗
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๗ |
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปทำพิธีบวงสรวงปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดโพธิ์ผักไห่ หมู่ที่ ๔ ตำบลผักไห่ อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แล้วก็รับเอาพระพิมพ์กลีบบัวสะดุ้งกลับ เนื้อยาวาสนาจินดามณีผสมผงวิเศษคลุกรัก กลับมา ๑๐,๐๐๐ องค์
พระรุ่นนี้ได้ทำการปลุกเสกมา ๔ รอบแล้ว เนื่องเพราะว่าผู้ดำเนินการสร้างหลักเลย ก็คือพระครูปลัดพิจารย์ วิจารโณ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ผักไห่ ท่านยึดถือฤกษ์ยามและรูปแบบตามโบราณทุกอย่าง แม้กระทั่งการเรียกรูป เรียกนาม เรียกอาการ ๓๒ ก็ทำจนครบถ้วน ถึงได้ยอมมอบมาให้กระผม/อาตมภาพ เอามาออกให้บูชา เพื่อเป็นทุนการศึกษาของปีนี้ จะว่าไปแล้ว ทางผู้สร้างเองมีน้อยกว่าของวัดท่าขนุนอีก ก็คือมีเหลือแค่ ๒,๕๐๐ องค์ เพราะว่าตอนแรกที่สร้างก็คือตั้งใจจะถวายมาทั้งหมด แต่คราวนี้ก็มีส่วนที่ขอเอาไว้ ด้วยเกรงว่ามาถึงวัดท่าขนุนแล้วจะหมด ท่านจะเอาไว้สำหรับบูรณะซ่อมแซมวัดโพธิ์ผักไห่ วัดราษฎร์บัวขาว แล้วก็มีส่วนหนึ่งที่ไปช่วยบูรณปฏิสังขรณ์ธุดงค์สถาน กองทุนหลวงปู่ปาน โสนันโท ที่บางปลาม้า สำหรับวันนี้คาดว่าข่าวใหญ่ทั้งหลายที่เกิดขึ้นเมื่อวาน พวกเราก็คงทราบกันหมดแล้ว เรื่องที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติภูเขียว ปิดล้อมจับกุมผู้ลักลอบล่าสัตว์ ปรากฏว่ามีทั้งพระภิกษุสามเณร โดยเฉพาะพระภิกษุนั้น เป็นถึงระดับรองเจ้าคณะจังหวัด เป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ เปรียญธรรม ๙ ประโยค..! เรื่องนั้นไม่ใช่หน้าที่ของเรา เป็นเรื่องของสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ และเจ้าคณะปกครองจะดำเนินการกันเอง แต่ว่าในส่วนที่กระผม/อาตมภาพคิดเมื่อได้ข่าวนี้ก็คือ "กูยังจะมีอายุอยู่อีกกี่วัน เพื่อแก้ไขไอ้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ?" ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าสิ่งหนึ่งประการใดที่เราทำไป จะดีแค่ไหนก็ตาม แทบจะไม่มีข่าวคราวออกสื่อให้คนได้รับรู้ แต่สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นเมื่อไร ก็เป็นอันว่ารู้กันทั่วประเทศและทั่วโลก เป็นเรื่องที่น่าหนักใจมาก เพราะว่าปัจจุบันนี้ เรื่องของสื่อต่าง ๆ ไปเร็วเหลือเกิน แล้วอะไรเกิดขึ้น ถูกผิดยังไม่ทราบชัด แต่มีการฟันธงไปแล้วว่าเรื่องนี้ต้องเป็นอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องสังวรระวังเอาไว้ให้ดี อย่างที่กระผม/อาตมภาพเตือนอยู่เสมอว่า เราอยู่ในสายตาชาวบ้านเขา ทำอะไร ชาวบ้านรู้เห็นอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าไปทำผิดทำพลาดอะไรให้ใครเขาเห็น |
เมื่อวานนี้ตอนที่กระผม/อาตมภาพเข้าร่วมเสวนาวิชาการ ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่ง แม้จะทราบว่าตนเองเสวนาวิชาการออนไลน์ แต่น่าจะอากาศร้อน ท่านก็เลยนุ่งแค่สบงกับอังสะ กระผม/อาตมภาพต้องตักเตือนไปว่า "ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน ไม่เช่นนั้นก็ให้ปิดหน้าจอไปเลย..!"
ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า เรื่องของการเสวนาวิชาการครั้งนี้เป็นเรื่องระดับโลก โดยเฉพาะบรรดานักวิชาการต่างประเทศเข้ามาหลายรายด้วยกัน แล้วเราจะไปทำตัวตามสบาย เพราะคิดว่าอยู่ที่วัดของตัวเอง แต่ลืมไปว่าหน้าจอที่เปิดอยู่นั้น ส่งออกไปทั่วโลกแล้ว..! การเป็นพระภิกษุสามเณรของเราจึงต้องอยู่กันด้วยสติ ก็คือรู้ระมัดระวังอยู่เสมอ และความสำนึกในสมณสารูป ไม่ใช่ไปแก้ตัวว่า "ชอบเที่ยวป่า เพียงแต่ไม่ได้ขออนุญาตเจ้าหน้าที่อุทยานเท่านั้น" ขออภัย..เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรา..! คราวนี้ท่านที่ไม่ได้เข้าไปฟังการเสวนาวิชาการ แล้วก็อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก หรือว่าอ่านออกโดยอาศัย Google Translate แล้วแต่ไม่รู้เรื่อง กระผม/อาตมภาพจะบอกคร่าว ๆ ให้ว่าเนื้อหาของ The Meta Secret ที่เขียนโดย ดร.เมล กิลล์ นั้น หลัก ๆ มีอยู่สามเรื่องเท่านั้น ก็คือ ๑. เรื่องของความร่ำรวยสมบูรณ์พูนสุข ๒. เรื่องของสุขภาพร่างกาย แล้วก็ ๓. เรื่องของความสุขทางใจ ซึ่งเนื้อหาที่เขียนมานั้นเป็นการอ้างอิงความรู้ของนักวิชาการต่าง ๆ ที่กล่าวถึง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หรือว่าได้ไปสนทนาด้วยตนเอง โดยที่ยกอ้างเนื้อหาให้เข้ากับหัวข้อที่ตนเองจะกล่าวถึง ลักษณะคล้าย ๆ กับการเขียนวิทยานิพนธ์เหมือนกัน ท่านบอกว่าในเรื่องความร่ำรวยสมบูรณ์พูนสุขนั้น อันดับแรก เราต้องร้องขอ เมื่อร้องขอแล้ว ยังต้องเชื่อมั่นว่าเราจะได้รับ ฟังดูแปลก ๆ แต่อย่าลืมว่าการร้องขอนี้ก็คืออธิษฐานบารมี ความเชื่อมั่นว่าจะได้รับ คือศรัทธาบารมี แต่เมื่อร้องขอแล้ว สิ่งหนึ่งที่ ดร.เมลกล่าวถึงก็คือ ทำ..ทำ..และทำ เพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่เราต้องการ ไม่ใช่ขอแล้วงอมืองอเท้าอยู่เฉย ๆ..! เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของการทำ..ทำ..และทำ ก็คือวิริยบารมี โดยเฉพาะท่านย้ำว่า ให้ภายในเป็นผู้ควบคุมภายนอก ก็คือลักษณะของ "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" ถ้าใช้บาลีมายืนยันก็คือ มโนปุพพังคมา ธัมมา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มโนเสฏฐา สูงสุดก็ที่ใจ มโนมยา สำเร็จก็ที่ใจ |
ท่านใช้คำว่า ถ้าเรามุ่งมั่นทำไปอย่างเต็มที่ ด้วยความศรัทธาและเชื่อมั่น ความร่ำรวยและสมบูรณ์พูนสุขก็จะเกิดขึ้นกับเรา แต่อย่าทำตัวเป็นผู้รับอย่างเดียว ท่านบอกว่าคุณค่าของตัวเรา คือสิ่งที่เรามอบให้กับโลกนี้ เพราะฉะนั้น..ถ้าเราทำตัวเป็นผู้รับอย่างเดียวถือว่าผิดวิธีการ เพราะว่าไม่มีการหมุนเวียน ถ้าหากว่าเปรียบกับบาลีของพระพุทธเจ้าก็คือ ปูชโก ลภเต ปูชํ วนฺทโก ปฏิวนฺทนํ ผู้บูชาย่อมได้รับการบูชาตอบ ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ
ท่านบอกว่า ถ้าหากว่าเรารู้จักดูใจของตัวเอง ให้ใจเป็นใหญ่ เท่ากับว่าเราปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการของโลก ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่กล่าวมา ล้วนแล้วแต่เป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนา แต่ว่าเป็นสิ่งที่นักจิตวิทยาตะวันตกบ้าง ตะวันออกบ้าง เขียนเป็นตำราสรุปเอาไว้แล้ว โดยที่ท่านสรุปว่า "รักตัวเองให้มาก แล้วสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้น" คำว่า รักตัวเอง นี่แบ่งเป็นสองอย่างด้วยกัน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ท่านกล่าวถึง แต่เป็นสิ่งที่กระผม/อาตมภาพอธิบายให้ฟัง ก็คือรักตัวเองแล้วอย่าทำชั่ว ถ้าเป็นหลวงปู่แจ่ม - พระศาสนโสภณ จตฺตสลฺโล วัดมกุฏกษัตริยาราม ราชวรวิหาร ท่านบอกว่า "รักษาตัวกลัวกรรมอย่าทำชั่ว จะหมองมัวหม่นไหม้ไปเมืองผี จงเลือกทำแต่กรรมที่ดี ๆ จะได้มีความสุขพ้นทุกข์ภัย" ก็คือสิ่งที่สอนว่า ในเมื่อเราเว้นจากชั่วแล้ว ก็ให้ทำดีด้วย ก็คือมาเข้ากับโอวาทปาฏิโมกข์ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือละชั่ว ทำดี ท่านบอกว่า ทำให้มากเท่าไร กฎของการสะท้อนกลับ ก็คือเราจะได้รับมากเท่านั้น แต่ความจริง อันนี้เป็นทฤษฎีของฝรั่ง เราท่านอย่าลืมว่า สิ่งที่เราให้นั้น อยู่ที่กำลังใจหลายระดับ ระดับสละออกแบบปุถุชนผู้มากด้วยกิเลส ระดับสละออกของกัลยาณชนผู้มีศีลสมบูรณ์ ระดับการสละออกของอริยชนเบื้องต้น และระดับการสละออกของอริยชนเบื้องปลาย ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรแล้ว ท่านบอกว่า ต้องมีทั้งความรักและรู้จักการให้อภัย อภัยทานเริ่มมาแล้ว นอกจากเมตตาแล้วยังต้องมีอภัยทานด้วย จงเรียนรู้ที่จะรักบุคคลที่เราไม่ชอบ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเราทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้ว สิ่งดี ๆ ทั้งหลาย โดยเฉพาะความมั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุขก็จะเกิดขึ้นกับเรา |
ส่วนในด้านของสุขภาพร่างกาย ท่านใช้คำว่า จงเชื่อมั่นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา เราเป็นเพียงผู้อาศัยเท่านั้น ดังนั้น..ถ้าเราคิดในด้านดี ๆ ว่าสิ่งดี ๆ ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นกับเรา สุขภาพของเราจะแข็งแรง ก็มีสิทธิ์ที่จะทำให้ร่างกายของเราปรับสภาพตามความคิด ก็คือลักษณะของ "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" อีกตามเคย
ส่วนในเรื่องของความสุขนั้น ท่านบอกว่า ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันจะมีความสุข ตรงเป๊ะเลยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแน่นอน อตีตํ นานฺวาคเมยฺย นปฺปฏิกงฺเข อนาคตํ มิบังควรหวนคะนึงถึงความหลัง สิ่งที่ยังมาไม่ถึงอย่าพึงหมาย ปจฺจุปฺปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ ก็แปลว่าถ้าเราอยู่กับปัจจุบัน คือตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่ฟุ้งซ่านไปหวนหาอาลัยอดีต แล้วก็ไม่ฟุ้งซ่านไปถึงเรื่องที่ยังมาไม่ถึงในอนาคต ตั้งหน้าตั้งตาทำปัจจุบันนี้ให้ดี แล้วสิ่งดี ๆ ทั้งหลายที่ท่านเรียกว่า Meta Secret คือสุดยอดของความลับ ที่จะพาให้เรามั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุข มีสุขภาพดี และมีความสุขกายสุขใจ ก็จะเกิดขึ้นกับพวกเราเอง เดี๋ยวจ่ายค่าหนังสือมาให้กระผม/อาตมภาพด้วย กระทั่งอ่านยังขี้เกียจกันเลย..! เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เราจะเห็นว่า สามารถเอาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเข้าไปจับได้ทุกระดับ กระผม/อาตมภาพเรียนการจัดการในระดับปริญญาเอก ต้องศึกษาทฤษฎีของทางตะวันตกมาเป็นร้อย ๆ ทฤษฎี ไม่มีทฤษฎีไหนพ้นไปจากคำสอนพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่อย่างเดียว ดังนั้น..ยิ่งเรียนก็ยิ่งเชื่อมั่นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราสุดยอดจริง ๆ สิ่งที่พระองค์ท่านตรัสรู้นั้น ยิ่งใหญ่จริง ๆ เป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การเคารพนับถืออย่างแท้จริง ดังนั้น...การเรียนปริญญาเอกของคนอื่นได้ผลอย่างไรไม่ทราบ กระผม/อาตมภาพได้ผลสรุปกับตัวเองว่า "ไม่มีอะไรเหนือกว่าคุณพระรัตนตรัยนี้อีกแล้ว..!" สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:02 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.