กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6241)

เถรี 10-07-2018 20:52

ถาม : กรณีนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาเสียชีวิตเป็นจำนวนมากเพราะเรือล่มที่ภูเก็ต การเสียชีวิตพร้อมกันแบบนี้ เกิดจากกรรมที่ร่วมทำกันมา หรือเป็นความบังเอิญครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เชื่อกรรม คำว่าบังเอิญจึงไม่มี

เถรี 10-07-2018 22:01

ถาม : ผมเคยสวดมนต์ก่อนนอนที่โรงแรมในเชียงใหม่ รู้สึกขนลุกขนชันบ้าง มีกระแสอะไรบางอย่างไหลวูบวาบในตัว แต่ผมก็พยายามมีสติและสวดมนต์ต่อไป แต่มีครั้งหนึ่งที่ผมสวดมนต์อยู่ มีความรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่าและไฟช็อตจนผมตกใจ แต่ไม่ทราบว่าตกใจ สะดุ้งหรืออย่างไร เมื่อลืมตาขึ้น ผมกลับมานอนตรงหัวเตียงใกล้หมอนที่ผมวางพระเครื่องไว้ ทั้งที่ตอนสวดมนต์ผมนอนอยู่ที่ปลายเตียง วันที่สองผมสวดมนต์ไป ก็พยายามมีสติ สังเกตอาการตัวเอง สวดมนต์ใกล้เสร็จก็คิดว่าดีจัง วันนี้ไม่โดนเหมือนเมื่อวาน แต่คิดได้แวบเดียว ก็ได้ยินเสียงไฟฟ้าช็อตเหมือนเมื่อวาน แต่อาการสะดุ้งตัวลดไปครึ่งหนึ่ง พอทรงตัวได้ไม่ตกใจมาก ต่อมาผมกลับมาสวดมนต์ที่บ้านก็มีอาการเหมือนเดิม แต่อาการสะดุ้งกลัวลดลง รู้สึกเฉย ๆ และหายไปครับ จากสิ่งที่ผมเจอนี้ผมควรทำอย่างไรต่อไปครับ ?

ตอบ : คราวหน้าพยายามสวดมนต์ตรงหน้ากล้องวงจรปิด ถึงเวลาจะได้เปิดดูว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ทางด้านฝรั่งเกิดเหตุการณ์หลายอย่าง ที่พอเปิดภาพวงจรปิดแล้วอธิบายไม่ได้ อย่างเช่นมีคนนอนหลับอยู่ ตื่นขึ้นมาทีไร ปรากฏว่าผ้าห่มไปคนละทิศคนละทางทุกที เขาก็เลยตั้งกล้องวงจรปิดจ่อเอาไว้ เห็นเป็นภาพเหมือนกับมีคนผ่านมาทางหน้าต่าง สักพักหนึ่งอยู่ ๆ ผ้าห่มก็โดนกระชากหลุดจากตัวไป จนทุกวันนี้ฝรั่งยังไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าคนหลับก็ยังหลับต่อไป ไม่ยอมตื่น

เรื่องพวกนี้ถ้าอยากรู้และมีหลักฐานอะไรที่พอเป็นวิทยาศาสตร์อยู่บ้าง ก็ขอแนะนำว่าไปสวดมนต์หน้ากล้องวงจรปิด ถ้าไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนก็ไปที่วัดท่าขนุน มีกล้องวงจรปิดตั้ง ๕๐-๖๐ ตัว...!

เถรี 10-07-2018 22:23

คำถามหลายประเภทเป็นคำถามของคนขี้เกียจ ข้อมูลมีอยู่เต็มอินเตอร์เน็ตหรืออยู่ในเว็บวัดท่าขนุนก็มี แต่ไม่ยอมค้นคว้า จัดเป็นประเภทมักง่าย เห็นครูบาอาจารย์เป็นสายด่วน ถึงเวลาก็โทรถามอย่างเดียว คนประเภทนี้ถ้าปฏิบัติธรรมจะเอาดีได้ยาก เพราะว่าตราบใดที่ยังมักง่าย ก็แปลว่าสภาพจิตยังหยาบมาก โอกาสที่ทำแล้วจะเกิดผลก็มีน้อยไปด้วย

ดังนั้น...ขอตักเตือนว่าใช้ความพยายามของตนเองให้สิ้นสุดกำลังเสียก่อน ถ้าทำทุกวิถีทางแล้วหาข้อมูลไม่ได้ค่อยมาถาม

เถรี 10-07-2018 22:33

อีกส่วนหนึ่งของคำถามก็คือ อย่าพยายามถามเกินในสิ่งที่ตนเองปฏิบัติไปมาก ถ้าถามเกินไปมาก ถึงเวลาได้รับคำตอบไปก็จะฟุ้งซ่าน อยากมีอย่างนั้น อยากได้อย่างนั้น อยากเป็นอย่างนั้น แล้วจะทำให้การปฏิบัติในปัจจุบันของเราเสียไปเลย

วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ปฏิบัติไปแล้วติดขัดตรงไหน ให้ถามตรงจุดนั้น จะทำให้เราเห็นช่องทาง และมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติต่อไป

เถรี 11-07-2018 18:19

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในโลกนี้หรือโลกอื่นก็ตาม มีสิ่งที่ละเอียดเกินประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ของเราอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่ใช่วาระบุญวาระกรรมส่งผล เราก็ไม่สามารถที่จะรู้เห็นได้ แต่บางครั้งวาระบุญวาระกรรมส่งผล เนื่องจากว่าสภาพจิตของเรามืดบอดเกินไป หรืออีกฝ่ายหนึ่งกำลังน้อยเกินไป สัมผัสต่าง ๆ ก็จะไม่ชัดเจนเช่นกัน ยกเว้นท่านที่กำลังมาก อย่างแม่นากพระโขนง เป็นต้น ก็สามารถที่จะทำให้เราเห็นได้ชัดเจน

บางท่านก็มาได้แค่กลิ่น บางท่านก็มาได้แค่เสียง ในส่วนนี้ก็รอจนกว่าจะเจอด้วยตนเองแล้วค่อยเชื่อ ตราบใดที่ยังไม่เจอด้วยตนเอง ก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเจ้านางถ้ำหลวงนางนอนมีจริง จนกว่าจะไปติดในนั้นสักเดือนแล้วค่อยว่ากันใหม่...!"

เถรี 11-07-2018 19:15

พระอาจารย์เล่าว่า "ความจริงหลวงพ่อเอียดนี่หลวงปู่ทองเฒ่าท่านตั้งใจจะให้เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ แต่ปรากฏว่าทางวัดดอนศาลาว่างเจ้าอาวาสเสียก่อน ท่านก็เลยให้หลวงพ่อเอียดไปอยู่วัดดอนศาลา ทั้ง ๆ ที่ท่านอยู่เขาอ้อมาจนรากงอก จนกระทั่งทุกคนเข้าใจว่าหลวงพ่อเอียดต้องวัดเขาอ้อ แต่จริง ๆ แล้วเจ้าอาวาสวัดเขาอ้อช่วงนั้น คือ หลวงพ่อปาล ปาลธมฺโม

หลวงพ่อปาลหน้าตาท่านประเภทน่าบรรลุจริง ๆ หน้าตาท่านแบบคนอมทุกข์ เบื่อโลกสุด ๆ อะไรประมาณนั้น “ทำไมกูต้องเป็นเจ้าอาวาสวะ ?” ท่านชอบนั่งชันเข่าแล้วเอาผ้าพาดไหล่ บางทีเห็นรูปท่านแล้วก็ขำ ๆ หน้าตาท่านเบื่อโลกน่าดูเลย ท่านก็คงอยากมีความสุขอยู่กับการปฏิบัติภาวนา แต่ต้องมาแบกภาระวัดเขาอ้อ

พระนักปฏิบัติไม่มีใครเขาอยากเป็นเจ้าอาวาสกันหรอก หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านประเภทปล่อยให้คนอื่นเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโคเสียจนกระทั่งไม่มีใครแล้ว ท่านถึงยอมเป็น"

เถรี 11-07-2018 19:32

ถาม : หลวงพ่อฤๅษีฯ กับอาจารย์เจิมใครแก่กว่ากันครับ ?
ตอบ : อาจารย์เจิมแก่กว่ามาก ผ้ายันต์เกราะเพชรหลวงปู่ปานที่อาตมาพกอยู่นี่คือลายมือท่านอาจารย์เจิม

สมัยก่อนพอชาวบ้านต้องการยันต์ หลวงปู่ปานท่านรักษาโรคจนไม่มีเวลา ก็ต้องบอกให้หลวงพ่อเจิมเขียนมา เดี๋ยวท่านจะเสกให้ หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่าเห็นอยู่ครั้งเดียว หลวงประธานถ่องวิจัยต้องการผ้ายันต์อย่างเร่งด่วน เพราะว่าทหารจะออกรบ ต้องรีบกลับมาแจกเขาก่อนที่จะยกกำลังไป

ถึงเวลาแบกผ้ายันต์มาทั้งถาด หลวงปู่ปานท่านบอกว่า “เสกไม่ทันโว้ย ไปเอาไม้เท้าข้ามาหน่อย” หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านหยิบไม้เท้ามา ท่านบอกว่าเห็นหลวงปู่ปานเคาะโป๊กเดียว ผ้าขาว ๆ กลายเป็นยันต์เต็มพรืดเลย ท่านบอกว่า "นี่เขาเรียกว่านะปัดตลอด" ท่านพยายามเรียนอย่างไรก็เรียนไม่ได้ เพราะว่าคนที่ได้รับถ่ายทอดไปก็คือลิเกหอมหวล

หอมหวลไปเล่นลิเกถวายที่วัดบางนมโคฟรีทุกปี เพราะว่าหลวงปู่ปานท่านให้วิชาไว้ ท่านบอกว่านะปัดตลอดนี่พอถึงเวลากำแป้งไว้ในมือแล้วเป่าไป แป้งจะพุ่งไปจนกว่าจะชนอะไรที่ขวางหน้า จะติดต้นไม้ จะติดเสาเรือน หรือจะติดข้างฝาอย่างไรก็ได้ จะไปติดอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่ตอนเป่าไปเป็นแป้ง แต่ไปติดเป็นตัว "นะ" เสร็จแล้วท่านบอกว่าคนจะไหลมาเทมาทางทิศนั้น

คราวนี้พอหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านไปขอเรียน ช่วงหน้าแล้งหอมหวลก็เล่นลิเกไปเรื่อย ๆ ท่านตามไม่ทัน ถึงเวลาเขาก็เล่นไปเรื่อย พวกนี้เรียกที่ไหนก็ไปที่นั่น พอถึงเวลาหน้าจำพรรษาฝนก็ตก ไม่มีงาน เขาอยู่เป็นที่ พระก็ไปเกิน ๗ วันไม่ได้ หลวงพ่อท่านท่านบอกว่าเซ็งเลย ท้ายสุดก็ไม่ได้เรียนสักที

เถรี 11-07-2018 19:47

กล่าวถึงวัตถุมงคลหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน "อันนี้เป็นเหล็กจาร ถ้าหากว่าเป็นไม้ครูจะเป็นสีดำแล้วก็ไม่มีปลาย ท่านทำสั้น ๆ แค่นี้เอง รากพุดซ้อนที่ใหญ่ขนาดนี้หายากสุด ๆ ท่านให้ช่างแกะเป็นลักษณะของลิงเหมือนกัน มีทั้งลิงจับเข่า มีทั้งลิงพนมมือ ต้องบอกว่าหายากกว่าหนุมานของท่านอีก คราวนี้เขาไปโรยแป้งเอาไว้เลยดูของเก่าไม่ได้ เพราะว่าปกติแล้วจะดูของเก่า จะมีฝุ่นมีอะไรจับอยู่ในซอกลายแกะ อันนี้เป็นไม้ไม่ใช่โลหะ ปลายเขาฝังตะปูไว้ คราวนี้ถ้าคนไม่เคยเห็นของไม่รู้จักของ เขาก็ตีปลอมเลย เสียของหมด

พอดีตอนทำไม้ครูล่าสุด อาตมาเอามาช่วยทำพิธีทั้งสองอัน มาทั้งไม้ครูทั้งเหล็กจารเลย เห็นว่าเป็นไม้ครูเหมือนกัน คนโบราณเวลาเขาตั้งใจทำอะไรจะดูงามมาก เอาแค่พี่ชายของอาตมาแกะง่ามหนังสติ๊กด้วยเขาควาย ยังใช้เวลาตั้ง ๖ เดือน ค่อย ๆ เอาเศษแก้วขูดเกลาทีละนิด ๆ

พี่ชายคนที่อาตมาบอกว่าปิ้งข้าวโพดแล้วไม่ไหม้สักเม็ด สุกเสมอกันทั้งฝัก อาตมานี่ประเภทรอจนไส้จะขาด เขาค่อย ๆ ปิ้ง ค่อย ๆ พลิกอยู่นั่นแหละ เป็นอาตมาก็แหย่พรวดเข้าไป ไหม้บ้างไม่ไหม้บ้างก็เอาแล้ว คนราคะจริตเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

สมัยก่อนเขาไปฝึกซ่อมรถจักรยาน แล้วจะต้องต่อโครงรถจักรยาน ต้องเชื่อมทองเหลืองด้วยเตาฟู่ แกก็ประเภทมือหนึ่งจับโครงรถ มือหนึ่งก็ใช้เตาฟู่ ค่อย ๆ ไล้จนไม่มีรอยต่อ พวกเราเชื่อมนี่ต้องมีรอยต่อ แกเป่าจนกระทั่งลื่นเป็นเนื้อเดียวกัน ทำงานชาวบ้านเหมือนกับเป็นงานของตัวเอง จริตเขาเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาก็ทำเต็มที่ ค่อย ๆ ทำจนกระทั่งท้ายสุดก็ต้องเลิก ทำดีเกินไปแล้วรถเขาไม่เสีย ไม่รู้ว่าจะซ่อมอะไร ทำดีเกินไปข้าวของไม่เสียไม่รู้ว่าจะซ่อมอะไร ท้ายสุดก็ไปทำไร่ดีกว่า สภาพจิตละเอียดอย่างนั้นถ้าปฏิบัติธรรมจะได้ดีเร็ว"

เถรี 11-07-2018 20:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของนักฟุตบอลเด็กทีมหมูป่า จังหวัดเชียงราย กับผู้ฝึกสอนที่ไปติดอยู่ในถ้ำ ถ้าว่ากันตามหลักของพระพุทธศาสนาเราก็คือวาระกรรมมาถึง แต่ในส่วนนี้บางอย่างทำให้สังคมของเรามองผิด อย่างเช่นว่าปัจจุบันบางส่วนเห็นเด็กเป็นฮีโร่ ก็คือเป็นวีรบุรุษ ออกมาก็คงจะต้องสัมภาษณ์ ต้องออกทีวี ต้องอะไรกันมากมาย ขอให้เข้าใจว่าพวกเขาไม่ใช่วีรบุรุษ แต่เขาเป็นผู้ประสบภัย แล้วเป็นผู้ประสบภัยที่มีคนถามว่าทะลึ่งไปทำอะไร ?

เราลองมานึกดูว่า ถ้าบ้านเราห้างก็ไม่มี โรงหนังก็ไม่มี บาร์หรือไนต์คลับก็ไม่มี ถึงเวลาก็ต้องไปเที่ยวที่ธรรมชาติ เพียงแต่ดวงเฮงไปหน่อยเท่านั้นเอง เจอน้ำท่วมเต็มทางเข้า แล้วก็ไม่ใช่ระยะสั้น ๆ ท่วมตั้งสามกิโลเมตรกว่า ขนาดนักประดาน้ำระดับโลก
จากอังกฤษที่เขามาช่วยยังหลงทางแทบตาย ที่เจอนั่นเพราะว่าวาระกรรมผ่านพ้นไปพอดี เขาบอกว่าถ้าเชือกยาวกว่านั้นอีกสัก ๑๕ ฟุตก็ไม่เจอเด็กหรอก คราวนี้เชือกหมดเขาก็เลยต้องโผล่ขึ้นมาดูว่าอยู่ตรงไหน...ไปจ๊ะเอ๋เด็กเข้าพอดี อันนี้ก็คือส่วนหนึ่ง

อีกส่วนหนึ่งก็คือเด็กตอนแรกไปเที่ยวกันเอง พอเด็กหายไปพ่อแม่ก็แจ้งครู ครูเป็นโค้ชหรือเป็นครูฝึกก็เลยตามไปด้วย ก็ปรากฏว่าครูนั้นเก่งที่ตามเด็กทัน แต่ออกมาไม่ทัน เพราะว่าน้ำป่าถึงเวลาหลากมานี่ มาประเภทภูเขาถล่มเลย จึงโดนปิดปากถ้ำเสียก่อนออกไม่ได้ แต่ว่าครูก็เก่ง ไม่ขาดสติ บอกว่าเคยบวชมาหลายพรรษา เมื่อเอาเด็กหนีน้ำขึ้นที่สูงได้แล้วก็ให้นั่งนิ่ง ๆ หรือไม่ก็นอนภาวนา เพื่อที่จะได้ใช้พลังงานให้น้อยที่สุด เขาเป็นคนพื้นถิ่นเขาก็รู้ว่า พอถึงเวลาถ้าน้ำท่วมแถวนั้นจะนานมาก แต่ไม่เคยคิดว่าจะนานถึงขนาดเป็น ๑๐ วัน"

เถรี 11-07-2018 20:11

"คราวนี้ก็เห็นว่าเรื่องของพลังโซเชียลก็คือสื่อต่าง ๆ ช่วยได้เยอะมาก แต่ขณะเดียวกันก็ทำลายคนได้เยอะมาก ที่ว่าช่วยได้เยอะมากก็คือ พอเรื่องกระจายออกไป ทั้งในและต่างประเทศก็มาช่วยกันหมด ต่างคนต่างอยากจะมาช่วย เพราะว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน เขามีแต่นักประดาน้ำไปหลงทางอยู่ในถ้ำใต้น้ำ แต่นี่ไม่ใช่ เด็กเดินเข้าไปแล้วอยู่ ๆ จากถ้ำธรรมดากลายเป็นอยู่ใต้น้ำไป

ระยะทาง ๓ กิโลเมตรนี่ถ้าใครไม่รู้ว่าไกลแค่ไหน ขอบอกว่าอาตมาเองเป็นคนหายใจยาวมาก ชั่วลมหายใจหนึ่งนานกว่าคนทั่ว ๆ ไป อย่างมากก็ดำได้แค่ ๒-๓ นาทีเอง พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไปสัก ๑๐๐ - ๑๕๐ เมตรก็หมดสภาพแล้ว ต้องโผล่ขึ้นมาหายใจ แต่นี่น้ำท่วมถ้ำตลอด ไม่มีที่ให้หยุดหายใจได้ ๓ กิโลเมตรกว่า แล้วเด็กที่ไหนจะทนได้ ? ขนาดพวกหน่วยซีลที่ฝึกกันมาอย่างทรหดอดทนที่สุดแล้ว ยังจะไปไม่รอด ก็เลยกลายเป็นปัญหาใหญ่กว่าที่คิด

ในขณะเดียวกันก็มีคนฉวยโอกาสเรี่ยไรเงิน มาบอกว่าเอาไปช่วยเด็ก พวกนี้หากินได้ทุกสถานการณ์ ถ้าจะช่วยก็ช่วยแบบโน่น...คณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ขนน้ำมันไปให้เขาด้วย ๒,๐๐๐ ลิตร หลวงพ่อโท (พระครูวิศาลกาญจนกิจ) พรรคพวกกันอยู่วัดตะคร้ำเอนที่ท่ามะกา เอาน้ำมันไปให้เขา ๒,๐๐๐ ลิตร เพื่อเอาไปสูบน้ำออกจากถ้ำ อย่างนี้ก็แปลว่าคุณตั้งใจช่วยจริง ๆ ก็คือควักเงินซื้อไปเลย ไม่ใช่ว่าไปเที่ยวเรี่ยไรชาวบ้านเขา แล้วก็ไม่รู้จะไปถึงหรือไม่ถึง

แล้วส่วนหนึ่งของบ้านเราก็คือว่าข่าวลวงมีเยอะมาก ถึงเวลาก็มีภาพมาเจอเด็กแล้ว เจอไอ้โน่นแล้ว เจอไอ้นี่แล้ว ไม่ได้เจอจริงสักทีหนึ่ง อยู่ในลักษณะเป็นข่าวหลอกมากกว่า เพราะฉะนั้น...ต้องทำตัวเป็นคนหูหนักเข้าไว้ หูหนักใจหนักแล้วจะปลอดภัย ไม่ต้องกลายเป็นเหยื่อของกระแสสื่อสังคม

ขณะที่ต่างชาติ ชาติโน้นก็ส่งนักประดาน้ำไปช่วย ชาตินี้ก็ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วย บ้านเราหน่วยกู้ภัยโน้นก็ส่งคนไปช่วย หน่วยกู้ภัยนี้ก็ส่งคนมาช่วย แล้วคนไทยเราไปทำอะไร ? ไป Live สด..! น่าตายมากไหม ? ไปขวางการทำงานเขายังไม่พอ ถ้าอยากดูคนที่อยู่ในพื้นที่ถึงเวลาเขาก็ส่งมาให้ดูเอง ไม่ต้องตะเกียกตะกายไปเกะกะการทำงานของเขา ส่วนที่น่าตายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ แต่ละคนเขาแห่กันมาทุ่มเทกำลังกายกำลังใจ แช่น้ำจนตัวเปื่อยเพื่อที่จะช่วยเด็ก บ้านเราไปเล่นแทงหวยเลข ๑๓ สมควรตายไหม ? สังคมบ้านเราเป็นอะไร ? อยากจะให้ดูตรงนี้"

เถรี 11-07-2018 20:18

"อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องที่พระสงฆ์ต่าง ๆ ไป ที่ท่านไปแผ่เมตตาให้เป็นกำลังใจ เพราะว่าญาติโยมนิมนต์ ไม่มีใครอยากไปเองหรอก เสร็จแล้วก็มีพวกที่เก่งกว่าพระ ที่มาตำหนิว่าการกระทำแบบนั้นไม่ใช่กิจของสงฆ์ อาตมาขอยืนยันว่าเป็นกิจของสงฆ์

คุณยายอ่านพระไตรปิฎกครบไหม ? ประโยคแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกเมื่อส่งพระ ๖๐ รูป ออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาครั้งแรกก็คือ จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขอพวกเธอจงเที่ยวไป พหุชนหิตาย เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก พหุชนสุขาย เพื่อความสุขของคนหมู่มาก โลกานุกมฺปาย เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก

ในเมื่อโยมเขาเดือดร้อน เขามีความทุกข์ พระไปแล้วเขามีความหวัง มีความสบายใจ มีความสุข เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าสั่งไว้เลย แต่คุณยายบอกว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไปทำอย่างนั้นผิดศีล อยากจะรู้ว่าคุณยายอ่านพระไตรปิฎกครบไหม ? ต้องบอกว่า
จริง ๆ นั้นคุณยายวิปลาส..!

วิ แปลว่า วิเศษ แจ่มแจ้ง แตกต่าง มีอะไรบ้าง ? ทิฏฐิวิปลาส เห็นต่างจากคนอื่นเขา คนอื่นเขาเห็นเรื่องของพระ เรื่องของเจ้าเป็นสิ่งที่น่าเคารพ น่ากราบไหว้ น่ายกย่อง น่าบูชา คุณยายเห็นอย่างเดียวว่าพระไม่ได้เรื่อง กูเก่งกว่าพระ..!

อย่างที่สองก็คือ สติวิปลาส ความยั้งคิดแตกต่างจากคนอื่น ญาติโยมนิมนต์ไป พระก็ต้องไปเพื่อเจริญศรัทธา คุณยายบอกว่าพระไปทำไม ? ต่อไปก็จิตวิปลาส แต่ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกบ้า แต่ความจริงจิตวิปลาสภาษาพระเขาแปลว่าคิดผิด คิดต่างจากคนอื่นเขา คือ ไปคิดว่าโลกนี้กูเก่งอยู่คนเดียว เพราะว่าคุณยายเรียนพระอภิธรรมมา

อาตมาอยากจะบอกว่าวิปลาสของยายนั้น เป็นเพราะไปเรียนพระอภิธรรมมา สมัยก่อนหลวงพ่ออุตตมะท่านบอกปู่ลาย (นายสัจจะ มูลแก้ว) บอกว่า “โยมลาย..เรียนพระอภิธรรมเดี๋ยวหาพระไหว้ไม่ได้นะ” ปู่ลายไม่เชื่อ แล้วท้ายสุดก็จริง ๆ ปู่ลายเก่งกว่าพระ พระทั้งทองผาภูมิปู่ลายยอมลงให้เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนอยู่รูปเดียว"

เถรี 11-07-2018 20:43

"ปู่ลายอายุ ๘๐ กว่าปี แต่เรียกอาตมาว่าหลวงปู่ ถามว่าทำไม ? เขาบอกว่าถามอะไรก็ตอบได้หมด สงสัยข้อธรรมอะไรก็แก้ไขได้หมด ความรู้ขนาดนี้ต้องเป็นหลวงปู่ เป็นหลวงพ่อไม่ได้หรอก นั่นก็ยังดีว่าปู่ลายมีโอกาสที่จะแก้ไข เพราะว่ามีคนที่สามารถบอกทางถูกให้

แต่คุณยายน่าสงสารมาก ไม่มีใครบอกทางถูกให้ พวกที่เรียนพระอภิธรรม อาตมาอยากจะบอกว่าวิปลาสทุกคน สมัยนี้เราคิดว่าวิปลาสคือบ้า ความจริงคำนี้ วิ แปลว่า แตกต่าง ปลาส คือ ไปจาก ก็คือแตกต่างไปจากคนอื่น คิดแตกต่างจากคนอื่น เห็นแตกต่างจากคนอื่น

พระพุทธเจ้าสอนพระอภิธรรม ท่านไม่ได้สอนคน ท่านสอนพรหม สอนเทวดาที่เป็นอุคฆติตัญญูบุคคล แค่ฟังหัวข้อก็รู้เรื่องแล้ว กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา เรา
ไปฟังรู้เรื่องอะไร ? ก็ได้แต่ธัมมา ๆ อยู่นั่น แต่นั่นเขาจะรู้ว่า กุสะลา ธัมมา คือธรรมที่เป็นกุศล คืออะไร ? ก็คือกายสุจริต ไม่ทำชั่วด้วยกาย วจีสุจริต ไม่ทำชั่วด้วยวาจา มโนสุจริต ไม่ทำชั่วด้วยใจ

กายสุจริตเป็นอย่างไร ? ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ไม่ประพฤติผิดในกาม
ไม่ดื่มสุราเมรัย วจีสุจริตเป็นอย่างไร ? ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดวาจาเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ มโนสุจริตเป็นอย่างไร ? ไม่โลภอยากได้ของคนอื่น ไม่คิดโกรธเกลียดอาฆาตแค้นคนอื่น มีความเห็นเป็นสัมมาทิฏฐิ พอเราไปฟังเราได้อะไร ? เราก็ได้แต่ กุสะลา ธัมมา ๆ ไม่รู้เรื่องเลย

ในเมื่อของที่ท่านสอนพรหมสอนเทวดาถึงขนาดต้องใช้เวลาถึง ๓ เดือนของโลกมนุษย์ แล้วจะมีมนุษย์ที่ไหนที่สามารถฟังพระอภิธรรมจนจบได้โดยไม่อดตายเสียก่อนบ้าง ? แต่ก็มีพวกที่พยายามไปเรียนพระอภิธรรมแล้วก็มาทำตัวเก่งกว่าพระ"

เถรี 11-07-2018 20:49

"หลักธรรมหลายอย่างในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนทั่ว ๆ ไป แต่ว่าสอนเฉพาะบุคคล สอนเฉพาะสถานที่นั้น ดังนั้น...ในส่วนของพระอภิธรรม ถ้าใครไปเรียนอาตมาเห็นว่าวิปลาสหมดนั่นแหละ บางส่วน อย่างเช่นมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าสอนชาวกัมมาสธัมมะนิคม แคว้นกุรุ ไม่ได้สอนคนทั่วไป

ชาวกัมมาสธัมมะนิคม แคว้นกุรุนั้น มีความฉลาดมาก สนทนาในเรื่องหลักธรรมกันทั้งวัน ขนาดนกแขกเต้าที่ภิกษุณีเลี้ยงไว้โดนเหยี่ยวโฉบไป นางภิกษุณีกระโดดปรบมือร้องเสียงดัง เหยี่ยวตกใจปล่อยนกแขกเต้าคืนมา นกแขกเต้าถ้าเราไม่รู้จัก โบราณเขาเรียกว่านกแก้วหัวแพร เป็นนกพูดได้ นางภิกษุณีถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง ? นกแขกเต้าบอกว่า รู้สึกเหมือนร่างกระดูกกำลังจะเอาร่างกระดูกไปกิน นั่นขนาดนกยังทรงอัฏฐิกอสุภกรรมฐานเป็นปกติ แล้วชาวบ้านเขาจะขนาดไหน ?"

เถรี 11-07-2018 20:52

"เหตุที่ชาวบ้านประกอบไปด้วยความฉลาดขนาดนั้น เพราะว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว ไม่ใช่คนทั่ว ๆ ไป ในสมัยที่โลกมีพระเจ้าจักรพรรดิราช จะต้องแสดงพระราชอำนาจด้วยการปราบทวีปทั้ง ๔ นั่นคือโลกที่เราอยู่ซึ่งเรียกว่าชมพูทวีป และโลกอื่น คือ อุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป

เมื่อปราบได้ก็แสดงพระราชอำนาจ ด้วยการเอาประชาชนของแคว้นนั้นส่วนหนึ่งมาไว้ที่ชมพูทวีป พวกที่มาจากอุตรกุรุทวีปก็เอาไว้ที่แคว้นกุรุ กัมมาสธัมมะนิคมนั่นเอง อมรโคยานทวีปเอาไว้ที่เมืองอมรปุระ ปัจจุบันอยู่ในประเทศพม่า ปุพพวิเทหทวีปก็เอาไว้ที่เมืองเทวทหะ เมืองแม่ของพระพุทธเจ้าเลย

เพราะฉะนั้น...ถ้าหากเราจะบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูกมนุษย์ต่างดาวก็ใช่อยู่ เพราะว่าเชื้อสายมีมานานแล้ว แล้วถามว่าสังเกตอย่างไร ? คนของอุตรกุรุทวีปจะหน้ากลมเป็นพระจันทร์วันเพ็ญ พวกอมรโคยานทวีปเขาบอกว่าหน้าเป็นสี่เหลี่ยม ไม่รู้ว่านามสกุล "ชินวัตร" ด้วยหรือเปล่า ? ปุพพวิเทหทวีปเขาบอกว่าหน้าเหมือนพระจันทร์เสี้ยว คล้าย ๆ อาตมา ก็คือน่าจะเป็นรูปโค้งอย่างนี้ ถ้านึกไม่ออกนึกถึงยายแม่มด ประเภทคางยาว ๆ หน้าโค้ง ๆ ส่วนชมพูทวีปของเราหน้าเป็นรูปไข่ แต่เขาบอกว่าเหมือนลูกหว้า หน้าทรงรี ๆ

เพราะฉะนั้น...ใครเป็นเชื้อสายของมนุษย์ต่างดาวหรือมนุษย์โลกนี้อย่างไร ก็ไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองเอา จะเห็นว่ามีเค้าอยู่ ในเมื่อพระพุทธเจ้าแสดงธรรมสอนมนุษย์ต่างดาวที่ฉลาดมาก เทคโนโลยีล้ำหน้าเราไปเป็นแสน ๆ ปี ถ้าหากเราไปอ่านมหาสติปัฏฐานสูตรเราก็จะได้แค่บรรพแรก ๆ อย่างกายในกาย เช่น อานาปานสติ อิริยาบถ สัมปชัญญะ พอไปถึงเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เราก็ไปกันไม่เป็นแล้ว ความฉลาดไม่พอ หัวสมองมีความจุ "แรม" น้อยไปหน่อย"

เถรี 11-07-2018 20:58

"ของบางอย่างที่เป็นของเฉพาะ แต่เราพยายามจะไปตะเกียกตะกายไปศึกษาก็ลำบาก ถ้าหากว่าไม่เป็นของเฉพาะตัว พระพุทธเจ้าท่านก็คงไม่ต้องเทศน์ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์หรอก เทศน์อะไรสักบทหนึ่งก็บรรลุได้เหมือนกันหมดแล้ว จะไปเทศน์เยอะแยะทำไม ?

ท่านใดที่รู้ตัวว่าวิปลาสก็พยายามปรับปรุงความประพฤติเสียใหม่ อย่าเห็นพระเป็นบันไดให้ตัวเองก้าวเหยียบผ่านไป เพราะว่าถ้าก้าวผิดจะก้าวลงนรก แล้วสมัยนี้มีเยอะมาก โดยเฉพาะเอาพวกศีล ๕ ไม่ครบมาออกกฎหมายให้พระปฏิบัติตาม เพิ่งจะผ่าน สนช. ๓ วาระไปเมื่อวานนี้ แต่ละคนกำลังสร้างเวรสร้างกรรมไว้ขนานใหญ่ จะไปรู้ตัวอีกทีก็ตอนตาย ซึ่งตอนนั้นก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว ตัวใครตัวมันเถอะ มีโอกาสอาตมาจะไปเยี่ยม...!

ในส่วนของพระภิกษุสามเณร แล้วก็อุบาสกอุบาสิกาของเรา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติทำให้รู้จริง เมื่อถึงเวลา
คนอื่นเขามากล่าวตู่ จะได้แก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้"

เถรี 11-07-2018 21:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระมีเวลากินน้อยกว่าญาติโยม ใช้ทรัพยากรน้อยกว่าญาติโยม แต่ไม่รู้ว่ารัฐบาลคิดอย่างไร ? คงจะเห็นว่าเศรษฐกิจทุกวันนี้ที่ฉิบหายวายป่วง ชาวบ้านไม่มีจะกินเป็นเพราะว่าพระเป็นต้นเหตุ ก็เลยต้องออกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ใหม่มาจัดการกับพระ แล้วเศรษฐกิจจะโชติช่วงชัชวาลกระมัง ?"

เถรี 12-07-2018 21:13

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของหมอดูเป็นศาสตร์ที่ศึกษาลึกซึ้งแล้วใช้ได้จริง ๆ จะว่าไปแล้วก็คือหลักกฎของกรรมนี่แหละ เพียงแต่ว่าใช้วิธีการทางโหราศาสตร์เข้าว่าเท่านั้น"

เถรี 12-07-2018 21:16

พูดถึงเหล็กจารด้ามหนุมานของหลวงพ่อสุ่น "หนุมานของท่านถ้าเป็นงาช้าง ราคาก็ประมาณ ๒-๓ แสนบาท แต่ถ้าเป็นรากพุดซ้อนนี่เป็นล้านเลย แล้วรากพุดซ้อนที่ใหญ่พอที่จะเอามาทำเหล็กจารด้ามหนุมานขนาดนี้หายากมากเลยนะ"

เถรี 12-07-2018 21:21

พระอาจารย์กล่าวถึงวัตถุมงคลว่า "คนอื่นเขาไม่ค่อยกล้าทำความสะอาดกัน โดยเฉพาะมีดหมอ เพราะว่าถ้าทำความสะอาดมีดหมอแล้วเสียความเก่าไป บางทีทำให้พิจารณาไม่ได้ถ้าไม่แม่นจริง อาตมาไม่สนใจหรอก กูมั่นใจว่าใช่กูก็เอาแล้ว "

เถรี 12-07-2018 21:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของวัตถุมงคล ถ้าไม่ใช่หนังสือหรือเว็บไซต์ที่รักชื่อเสียงตัวเองจริง ๆ อาตมาเห็นเอาของปลอมมาลงเยอะเลยนะ คือเอาของปลอมไปแห่เป็นของแท้ เพราะฉะนั้น...อย่าไปดูให้เสียตา ถ้าจำได้แล้วต่อไปก็จำแต่ของปลอม ไม่ได้จำของจริงหรอก"

เถรี 12-07-2018 21:33

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาแวะไปเยี่ยมหลวงพ่อเอื้อนมา ไม่ใช่หลวงพ่อเอื้อน วัดวังแดงใต้นะ แต่เป็นหลวงพ่อเอื้อน วัดสามพระยา เพราะว่าท่านโดนจับนุ่งขาวห่มขาวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อน ๆ ไม่มีใครกล้าไป กลัวติดคุกกัน อาตมาเองไม่ได้สนใจหรอก จับอาตมาสึกนะหรือ ? มีวิธีหากินมีเยอะไป คนอื่นส่วนใหญ่กลัวว่าโดนสึกไปแล้วไม่รู้ว่าจะทำมาหากินอะไร

ท่านเองกำลังใจดีมาก แทนที่เราจะห่วงท่าน ท่านกลับห่วงพวกเราว่าอยู่ข้างนอกจะอยู่กันอย่างไร ท่านบอกว่า "งานอะไรที่เคยสั่งไว้อย่าทิ้งนะ พยายามทำต่อไป เพื่อให้ชาวบ้านจะได้มีที่พึ่ง" จะฝากอะไรเข้าไปให้ ท่านบอกว่าไม่ต้องเลย ยากมาก ขนาดยาเขายังไม่ให้เลย เขาบอกว่าข้างในนั้นมีโรงพยาบาลทัณฑสถานอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...ถ้าฝากยาฝากอะไรเข้าไป เดี๋ยวผู้ต้องขังอื่นมีพวกยาเสพติด มีอะไรฝากเข้าไปได้ก็บรรลัยกันหมด

เจอพระครูสิริฯ ก็โดนจับนุ่งขาวห่มขาวเหมือนกัน เจอพุทธะอิสระก็เหมือนกัน พุทธะอิสระนี่เห็นใส่เครื่องบล็อกหลังแล้วใช้วอล์กเกอร์เดินอยู่ แหม...ไม่มองหน้ากันเลย ไม่ยอมคุยด้วย เดินหนีไปเลย เคยบรรยายด้วยกันมาตั้งหลายงาน"

เถรี 12-07-2018 21:40

"เรื่องนี้ขอให้เรารู้ว่าเป็นการทำลายล้างกัน พอดีช่วงจังหวะเดียวกันกับที่เขาแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ บอกว่าโบราณราชประเพณีเป็นพระราชอำนาจของในหลวง อาตมาอยากจะบอกว่าพวกนี้ดึงฟ้าต่ำชัด ๆ เพราะว่างานแต่งตั้งกระทั่งเจ้าอาวาสก็เป็นพระราชอำนาจของในหลวง แล้วทั่วประเทศตั้งกี่หมื่นวัด ? กลายเป็นภาระที่ท่านต้องตั้ง

ดึงฟ้าต่ำจริง ๆ เลย กฎหมายผ่านสามวาระ เขามีห้อยท้ายแบบเปิดเลยนะ อย่างเช่นมาตรา ๑๐ ที่บอกเรื่องการแต่งตั้ง ‘หรือว่าจะทรงมีพระราชดำริเป็นประการใด’ แบบนั้นก็พูดง่าย ๆ ก็คือ พระองค์ท่านจะเอาอย่างไรก็แล้วแต่พระราชประสงค์ อะไรแบบนั้น

แต่ว่าภาพที่ทางคณะสงฆ์ข้องใจมากที่สุด ก็คืออิสลามทั้งชายทั้งหญิงเข้าไปอยู่ในนั้น ๒๐-๓๐ คน เพื่อที่จะไปลุ้นเรื่องกฎหมายฉบับนี้ เข้าไปทำอะไร ? ในการประชุมระดับอย่างนี้เขาเข้าไปได้หรือ ? ต้องบอกว่าคณะสงฆ์ของเราถึงยุคมืดแล้ว เหมือนกับยุโรปยุคกลางที่เขามียุคมืดอยู่

แต่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำท่านก็เมตตา อุตส่าห์มีลายมือออกมาตั้งแต่วันที่ ๓ กรกฎาคม บอกว่าให้นิ่ง ปิดหู ปิดตา ปิดปาก กล่าวแต่สิ่งที่ดี ๆ สร้างความสามัคคีเอาไว้"

เถรี 12-07-2018 21:51

ถาม : วันที่ ๒๐ บวชเนกขัมมะ จะตั้งโรงทานค่ะ ?
ตอบ : ปกติงานบวชเนกขัมมะไม่มีโรงทาน ทางวัดจัดกันเอง แต่ว่าจะตั้งก็เชิญ โรงทานใหม่เพิ่งจะสร้างเสร็จ ที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คืออาตมาตั้งใจว่า สร้างโรงทานเสร็จแล้วจะรื้อโรงทานเก่า ปรากฏว่าของใหม่สร้างไม่ทันจะเสร็จ ทั้งเก่าทั้งใหม่เต็มทุกฝั่งเลย ไปนึกถึงหลวงพ่อฤๅษีฯ ที่ท่านบอกว่า “สร้างเท่าไรก็ไม่พอโว้ย สร้าง ๒ ไร่ก็ไม่พอใช้งาน ๔ ไร่แทนก็ไม่พอ ๑๒ ไร่ก็ไม่พอ อย่างนั้นก็อย่าไปสร้างเลย”

เถรี 12-07-2018 21:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันก่อนอาตมาไปเจอมีดหมออยู่เล่มหนึ่ง หยิบขึ้นมาพอกำก็รู้เลยว่าใบมีดเคยหลุดแล้วเขาใส่กลับข้าง ด้วยความที่เป็นคนเคยใช้อาวุธ พอจับก็รู้สึกสะดุดเลยว่าไม่เข้ามือ ในเมื่อไม่เข้ามือแสดงว่าคุณใส่กลับข้าง ก็เลยทดลองดึงใบมีดดู หลุดออกมาจริง ๆ แสดงว่าเขาใส่กลับข้าง จึงเสียบกลับเข้าไปให้ถูก

คนที่ไม่มีความรู้ เขาคิดว่าถือจับได้ก็ใช้ได้แล้ว หารู้ไม่ว่าถ้าของไม่เข้ามือนี่ ถ้าฝืนใช้งานไปโดนกัดมือพองตายชักเลย"

เถรี 12-07-2018 22:10

ถาม : ทำไมกริชด้ามถึงหมุนได้ทุกเล่ม ?
ตอบ : เขาใช้เป็นเครื่องประดับเท่านั้น ไม่ได้ใช้เป็นอาวุธ เป็นเครื่องแสดงฐานะ ถ้าหากว่าใครจะใช้ก็แค่ไปหยอดครั่งใหม่ก็จบแล้ว แบบเดียวกับบรรดานักรบไทยของเรานี่แหละ ถ้าหากว่าเป็นคุณหลวง เป็นคุณพระ เป็นพระยา ถึงเวลาถือดาบคร่ำเงินดาบคร่ำทอง นั่นเอาไว้โชว์อย่างเดียว รบกับใครได้ที่ไหน ยิ่งประเภทหลูบเงินหลูบทองยิ่งไม่ต้องเลย ขืนออกไปรบแล้วก็ตกหล่นในสนามรบนี่น้ำตาเล็ด ประเภทหมดไปเท่าไรก็ไม่รู้ ?

เถรี 12-07-2018 22:56

ถาม : ช่วงนี้กำลังใจตกมากเลยครับ ไม่รู้จะอยู่ต่อได้ไหม แต่ไม่อยากสึก อยากอยู่ต่อ ?
ตอบ : อยากอยู่ก็อยู่สิวะ จะไปสนใจอะไรล่ะ ปีนั้นผมอยากสึกใจจะขาดอยู่ หลวงพี่วิรัชบอกว่า “คุณสึกแน่” ผมเองเหมือนคนบ้า “แล้วถ้าผมไม่สึกล่ะ ?” หลวงพี่วิรัชเขาบอก “ผมจะเผาตำราทิ้งเลย” ผมก็เลยอยู่จนหลวงพี่วิรัชเขาต้องเผาตำราทิ้ง

ถาม : ฟุ้งซ่านครับ ?
ตอบ : ฟุ้งก็ฟุ้งไป อย่างไรกูก็ไม่ไปประมาณนั้น หรือไม่ก็เปิด ๓๖๐ องศาเลย กูพร้อมจะไปทุกเวลา ถ้าอย่างนั้นจะสงบลงชั่วคราวเหมือนกัน

ถาม : ฟุ้งตรงเรื่องที่เป็นจุดอ่อน ?
ตอบ : เรื่องปกติ เขารู้ว่าจุดอ่อนอยู่ตรงไหน เขาก็พยายามกระทุ้งตรงจุดนั้นแหละ

เถรี 14-07-2018 19:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนปรึกษากับพระครูน้อย (พระครูกิตติชัยกาญจน์) “เราเองไปปริวาสกันบ้างดีกว่า” ถามว่าทำไม ? ไปศึกษาเอาไว้ให้รู้จริงว่าในตำราทำอย่างไรกันบ้าง นี่เราไม่รู้เลย เพราะว่าเราไม่เคยเข้าปริวาสของจริง เราก็รู้ว่าขั้นตอนเป็นอย่างนี้ ถึงเวลาจะต้องท่องบทสวดนี้ ๆ ก็ถามว่าทำไม ? “ก็เผื่อใครเขาเป็นอาบัติสังฆาทิเสส เราจะได้ทำสงเคราะห์เขาได้” แต่ว่าตอนนี้อาจารย์กรรมเต็มวัดท่าขนุนเลย ยกเว้นเจ้าอาวาส เพราะว่าลูกศิษย์ไปปริวาสกันมาเป็นว่าเล่น

เหตุที่ต้องเข้าปริวาสเพราะว่าศีลบกพร่อง เพราะฉะนั้น...ถึงเวลาพระขอไปปริวาส หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามเลย "เอ็งโดนสังฆาทิเสสข้อไหน ?" เงียบ... "ไม่ได้โดนแล้วไปทำไม ? ไปโกหกเขาอยู่ทุกวัน" ท้ายสุดก็ต้องแอบ ๆ ไป หลวงพี่วิรัชนี่แอบไปวัดปากคลองฯ ประจำ วัดปากคลองฯ หลวงพ่อท่านจัดปริวาสทีหนึ่งพระ ๓๐๐-๔๐๐ รูป

ผมเองเวลาเขานิมนต์ไปเทศน์ตามงานปริวาสก็ไป ก็พยายามย้ำให้เขาว่า เรื่องของเราที่มาแบบนี้ก็ดีอยู่ คือ แสดงว่าเราเป็นผู้รักศีล เราถึงตั้งใจชำระศีลของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่อย่าลืมว่าที่สูงกว่านั้นยังมีสมาธิ มีปัญญาอยู่ ก็ยกให้เขาฟัง ว่า พระสมัยก่อนไม่ว่าจะอยู่วัดไหนก็ตาม ถึงเวลาเมื่อเป็นหลวงปู่หลวงพ่อ ก็เป็นที่พึ่งของชาวบ้านเขาได้ทุกรูป สมัยนี้ของเราเป็นอย่างนั้นได้ไหม ?"

เถรี 14-07-2018 19:44

ถาม : ไม้ครูนี้ใช้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม้ครูก็ใช้อย่างไม้ครูสิวะ หัวก็ตัดเคราะห์ ให้สำเร็จ สอนกรรมฐาน ปลายก็ให้ลาภ ถึงเวลาวางหัวไปทางทิศตะวันตก ปลายหันไปทางทิศตะวันออก ถ้าอยากมีคาถาอะไรก็ไปค้นดูเอาเว็บวัดท่าขนุน...เยอะแยะไป

เถรี 14-07-2018 19:45

พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมามีวัตถุมงคลอยู่อย่างหนึ่ง เป็นของหลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม คือ พระปางซ่อนหา เนื้อเมฆสิทธิ์ อันนั้นถ้าประเภทลืม ท่านเรียกเลย โอ้โฮ...หลวงปู่เอาจริงเว้ย ถึงขั้นเรียกเลย จะแกล้งลืมวัตถุมงคลหลวงปู่นี้ไม่เคยลืมได้สำเร็จ ถึงเวลาท่านเรียกเลย “กูอยู่นี่...เอาไปด้วย”

เถรี 14-07-2018 19:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องวัตถุมงคลต้องรอบคอบ เพราะว่าบางชิ้นหายแล้วหาใหม่ยากมาก บางชิ้นนี่ชิ้นแรกได้มาแล้วอีก ๒๐ ปีค่อยได้อีกชิ้นหนึ่งอะไรประมาณนี้ ถ้าลักษณะอย่างนั้นหายไปก็จุก ถ้าชิ้นแรกได้แล้วอีก ๒๐ ปีค่อยได้อีก ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว"

เถรี 14-07-2018 20:03

ถาม : เงินส่วนตัวที่ที่เราได้ตอนเป็นพระลงบัญชีแล้ว พอเราสึกแล้วเอาไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ เพราะว่าเราได้มาตอนเป็นพระ

ถาม : แต่ถ้าส่วนตัวที่มีอยู่ก่อน แล้วดอกผลละครับ ?
ตอบ : ถ้าส่วนตัวที่มีอยู่ก่อนแล้วเอาไปเถอะ ดอกผลก็จากที่ได้อยู่ก่อนเหมือนกัน แต่ถ้าได้มาหลังจากบวชเป็นพระแล้ว ต่อให้ส่วนตัวอย่างไรก็ได้มาเพราะว่าคุณเป็นสงฆ์ ถ้าจะใช้ก็ใช้เสียตอนที่ยังอยู่ ตอนไปแล้วหมดสิทธิ์ คืนสงฆ์ไปเสียดี ๆ

เถรี 14-07-2018 20:13

ถาม : ได้ทุนไปเรียนที่เมืองจีน ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วถ้าจะไปจีน ช่วยแนะนำคนรุ่นหลังหลังเขาด้วยว่าให้ไปเซียะเหมิน (厦门市) ดีที่สุด เพราะว่าสำเนียงชัดเจน สำเนียงอื่นโดยเฉพาะปักกิ่งนี่ห่วยแตกที่สุดเหมือนกัน แล้วก็ต้องขยัน โดยเฉพาะในเรื่องการจำ ตัวหนังสือจีนเป็นภาพมาก่อน ในเมื่อเป็นภาพแต่ละภาพ ถ้าเราตั้งใจดูบางทีจะมองเห็นเลยว่าเขาตั้งใจเขียนคำว่าอะไร อย่างคำว่า เฉีย ที่แปลว่า ช้าง ที่จีนกลางว่า เฉี่ยง ถ้าเราดูดี ๆ จะเห็นมีงาช้างอยู่ ๒ อัน คือ มาจากอักษรภาพก่อน ถ้าหากว่าเราจับจุดได้ เราจะรู้ว่าตัวนี้คืออะไร

สำคัญที่สุดคืออย่าทิ้งสมาธิเป็นอันขาด ทิ้งเมื่อไรแล้วจะท้อ ไปแล้วก็ขยันให้เขาเห็นศักยภาพของเราบ้าง เราสู้เด็กจีนไม่ได้หรอก เด็กจีนเรียนเหมือนคนบ้า ของเราในสายตาเขาก็คือเรียนไปเล่นไป ของเขานี่เขาทุ่มทั้งชีวิตเลย เพราะว่าประชากรจีนมหาศาลเป็นพันล้าน คู่แข่งเขามีเยอะ สอบเข้าแต่ละทีนี่ประมาณหนึ่งต่อแปดร้อย หนึ่งต่อพัน ของเรานี่ประเภทหนึ่งต่อหนึ่ง หนึ่งต่อสองก็แย่แล้ว..ใช่ไหม ?

เพราะฉะนั้น...ขึ้นอยู่กับอิทธิบาท ๔ ถ้าเราเต็มใจไปแล้วก็ต้องเอา โดยเฉพาะภาษานี่ต้องเอาให้ได้ ไปแล้วอย่าพยายามพูดไทย ให้ใช้ภาษาจีนเป็นหลัก หน้าด้านไว้ก่อน พูดไปเลย ผิดถูกช่างมัน พยายามสื่อสารเข้าไว้ คำไหนไม่ได้ก็ถามเขา โดยเฉพาะเวลาเข้าร้านค้า เขาเห็นเราเป็นเด็กต่างชาติเขาจะเอ็นดู บรรดาอาอี๋อาสูถึงเวลาเขาก็จะช่วย

พยายามให้เต็มที่ อย่าลืมคาถาท่านปู่พระอินทร์ก็แล้วกัน ช่วยได้ทุกสถานการณ์เลย หลวงพ่อเรียนหนังสือไม่เคยใช้เวลาตามหลักสูตรเขาเลย ปริญญาตรี ๒ ปีครึ่ง ปริญญาโท ๑ ปีกับ ๑ เดือน ปริญญาเอกขนาดเขาบังคับว่าต้อง ๓ ปีถึงให้สอบ ปรากฏว่า ๒ ปีครึ่ง เพราะว่ารุ่นพี่ไม่ผ่านก็เลยต้องไปแทน ใช้ตัวสมาธิบวกกับคาถาท่านปู่พระอินทร์ไว้ สู้ได้ทุกที่แหละ ไป...ขยันไว้ อย่าให้เสียชื่อหลวงปู่ฤๅษีของเรา

เถรี 14-07-2018 20:15

ถาม : มีดของหลวงพ่อสงวนแกะเป็นรูปนางกวัก ?
ตอบ : ของท่านมาแบบนั้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะลูกอมของท่านนี่ถึงขนาดประกันเลยว่า ต่อให้แก่แสนแก่ คิดอยากจะมีคู่ก็มีได้ น่ากลัวมาก

เถรี 14-07-2018 20:57

ถาม : เขาสัมภาษณ์งานสามรอบแล้ว กำลังตัดสินใจอยู่ มาขอพรค่ะ ?
ตอบ : อดข้าวเย็นสักเจ็ดวันไหวไหม ? ถ้าไหวให้ไปจุดธูปกลางแจ้งบอกพระวิสุทธิเทพ ถ้าถามว่าพระวิสุทธิเทพคือใคร ? ก็คือพระบนพระนิพพาน บอกท่านว่าถ้าได้งานนี้หนูจะอดข้าวเย็นถือศีล ๘ ให้ ๗ วัน จะได้ผอมด้วย

เถรี 14-07-2018 21:06

ถาม : ผมจะเจรจากับน้องสาวเมื่อไรดีครับ ?
ตอบ : เมื่อไรก็ได้ สำคัญอยู่ที่ว่าถึงเวลาจะตั้งสติไม่ให้โกรธได้ไหม แค่นั้นแหละ

ถาม : ถ้าได้คุยกันละครับ ?
ตอบ : คุยกันดี ๆ ก็น่าจะรู้เรื่องนะ อย่าไปโวยวายใส่กัน มีอะไรค่อย ๆ พูดกัน ไม่ก็ลองใช้คาถาก็ได้ พระอะระหัง สุคะโต ภะคะวา นะ เมตตาจิต นึกถึงหน้าเขาก่อน ภาวนาไปสักชั่วโมงหนึ่ง ขอให้ทำอะไรได้อย่างใจเราทุกอย่าง เป็นคาถาของหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ภาวนานึกถึงหน้าเขาไปสักชั่วโมงหนึ่ง

ส่วนใหญ่ญาติพี่น้องที่แตกกันก็เพราะอย่างนี้ ต่างคนต่างอยากได้ ไม่ค่อยยอมสละให้กัน

เถรี 14-07-2018 21:09

พระอาจารย์พูดกับโยมที่ได้กสิณว่า "อย่างไรก็ซักซ้อมให้เต็มที่นะ เดี๋ยวนี้สถานการณ์ศาสนาเราไม่ได้เรื่องแล้ว เขาออกกฎหมายให้ชาวบ้านคุมพระแล้ว"

เถรี 14-07-2018 21:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "แต่ละปีนี่ธาตุคนบกพร่องไม่เท่ากัน โบราณเราเก่ง รู้ว่าแต่ละช่วงอายุฮอร์โมนตัวไหนบกพร่อง ต้องใช้ตัวยาสมุนไพรอะไรมาช่วย หมอสมัยใหม่นี่ไม่ได้เรื่อง โบราณเขาศึกษาธาตุคน ธาตุยา ฤดูกาล ของสมัยใหม่ไปสนใจตำราฝรั่ง ถึงเวลายาตัวเดียวรักษาครอบจักรวาล ไม่หายก็ตายแล..!

โบราณเขาบอกไว้ชัด ๆ ว่า ลางเนื้อชอบลางยา ก็คือบางคนเหมาะกับยาบางอย่าง ต่อให้ป่วยด้วยโรคเดียวกันก็ยังต้องดูขนาด น้ำหนัก ความแข็งแรงอ่อนแอของคนไข้ ถึงให้ยาได้ ไม่ใช่ว่าป่วยด้วยโรคเดียวกัน กินยาอย่างเดียวกันแล้วหาย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีใครตายแล้ว แต่สมัยใหม่เขาศึกษาไม่ถึง คนโบราณเก่งกว่าเยอะเลย"

เถรี 17-07-2018 22:43

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานนี้ท่านมหาเอเอาหลวงพ่อทองคำองค์จำลองมาส่งแล้ว จากน้ำหนักเม็ดเงิน ๘๒ กิโลกรัมเศษ พอหล่อและตกแต่งเป็นองค์พระออกมาแล้ว เหลือประมาณ ๓๕.๙ กิโลกรัม ตอนนี้กำลังส่งไปชุบทอง เห็นว่าน่าจะต้องใช้ทองคำประมาณ ๑๐ กว่าบาท

ใครที่จะหล่อหลวงพ่อทองคำก็ต้องเร่งมือหน่อย เพราะว่าใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ประมาณเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคมปีหน้าก็จะหล่อแล้ว ตามที่คำนวณไว้คือใช้ทองคำ ๑๐๐ กว่ากิโลกรัม แต่อยากจะรู้ว่าพอเสร็จแล้วจะเหลือเท่าไร

คราวนี้ถ้าหากว่าเราดูจากหลวงพ่อทองคำองค์จำลอง เราใช้เนื้อเงินไป ๘๒ กิโลกรัม หล่อแล้วเหลือแท่งชนวน ๓๖ กิโลกรัม หายไปประมาณ ๕๒ กิโลกรัม ก็แปลว่าถ้าเป็นเนื้อทองคำ เราก็จะมีทองคำเหลืออยู่หลายกิโลกรัม พอดีอาตมามีโครงการจะหล่อพระยืนต่อไป ถ้าทองคำมีเหลือพอก็จะหล่อเป็นทองคำเลย

ดังนั้น...ญาติโยมที่ถวายทองมาสบายใจได้ ว่าท่านได้หล่อพระหลายองค์เลย เนื้อนากก็ใช้ทอง เนื้อทองคำก็ใช้ทอง เศษทองที่เหลือยังคงหล่อพระยืนทองคำได้อีก

ที่น่าขำมากก็คือ เมื่อวานเขายกกัน ๒ คนเก้ ๆ กัง ๆ จะโดนพระทับตาย อาตมาก็เลยต้องยกคนเดียว บอกไปว่า อาตมาแก่แล้ว ขอยกคนเดียวแล้วกัน...! นี่ถ้าเป็นรุ่นของอาตมาก็โดนข้าวสารทับตาย เพราะว่ารุ่นของอาตมา ต้องแบกข้าวสารกระสอบละ ๑๐๐ กิโลกรัมกัน สมัยนี้ข้าวสารกระสอบใหญ่สุดหนักแค่ ๕๐ กิโลกรัม ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ ๑๕ กิโลกรัม"

เถรี 17-07-2018 22:46

ถาม : ทำไมถึงใช้คำว่า “มีดบินวัดหนองโพธิ์” มีดบินได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : เขาก็แค่แต่งให้คล้องจองเป็นโคลงเป็นกลอนเท่านั้นเอง ก็เพราะว่าวัดก่อนหน้านั้นก็คือไม้ครูคู่วัดอินทร์ ถ้าไม่ลง “มีดบิน” แล้วจะไปต่ออย่างไร ?

แต่ถ้าเอาขึ้นเครื่องบินไปก็มีดบินได้เหมือนกันนะ อาตมาเอาไปด้วยเป็นประจำเลย เป็นเรื่องที่ไม่ควรเสี่ยงสำหรับพวกเรา เพราะว่าพวกเราศรัทธาไม่พอ เมื่อศรัทธาไม่พอ กำลังใจไม่ดี เดี๋ยวก็โดนเขาจับได้

อาตมาเองถ้าไปครั้งไหนท่านเตือนว่า "ให้เอาออกเสีย เดี๋ยวจะมีปัญหา" ก็ไม่เอาไป งานไหนถ้าท่านไม่เตือนก็พกยาวไปเลย ล่าสุดโยมฝากมาเล่มหนึ่ง เพราะว่าขาไปนั่งรถไป ขากลับต้องนั่งเครื่องบินกลับ ปรากฏว่าอาตมาก็พกเล่มหนึ่ง โยมก็พกเล่มหนึ่ง โยมก็เลยยัดให้อาตมาช่วย จึงบอกกับเขาบอกว่าถ้าด่านแรกจะไม่ดังนะ แต่ด่านสองต้องให้ดัง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวโควตาหมด เขาก็ตกใจว่า "ถ้าดังโดนเขาก็ยึดสิ..!" จะไปยึดอะไร..ก็ดังแล้วเขาหาไม่เจอ...!

เถรี 17-07-2018 22:52

เรื่องของศรัทธาเป็น “เครื่องนำ” ของการทำความดีทั้งหมด ถ้าหากว่ามีศรัทธา กำลังใจจะปักแน่วแน่มั่นคง พระพุทธเจ้าถึงได้เตือนว่า ศรัทธาต้องมีปัญญาประกอบด้วย ก็คือในอินทรีย์ ๕ และพละ ๕ ซึ่งประกอบไปด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

ศรัทธาคือความเชื่อ วิริยะคือความเพียร สติคือความระลึกได้ สมาธิคือกำลังใจที่ตั้งมั่น และปัญญาคือความรู้รอบรู้แจ้ง ทั้ง ๕ อย่างนี้ถ้าเป็นอินทรีย์ คือการสั่งสมกำลังทั้ง ๕ เอาไว้ ถ้าเป็นพละเมื่อไรคือเอากำลัง ๕ อย่างนี้ไปใช้งานจริง ท่านบอกว่าศรัทธาต้องประกอบด้วยปัญญา ไม่อย่างนั้นแล้วจะเป็นอธิโมกขศรัทธา น้อมใจเชื่อโดยขาดปัญญา แล้ววิริยะคือความเพียร ก็จะต้องคู่กับสมาธิ ถ้าหากว่าพากเพียรไปสมาธิก็จะทรงตัว สติท่านบอกว่ายิ่งมากยิ่งดี แต่ตัวอื่น ๆ ต้องปรับให้เสมอกัน

ถ้าหากว่ามีความเพียรต้องมีสมาธิประกอบ ถ้าหากว่ามีสมาธิประกอบ ความเพียรก็จะเป็นไปด้วยความถูกต้อง แต่สติท่านบอกยิ่งมากยิ่งดี แต่อาตมาว่าสติมากเกินก็ไม่ค่อยดี เพราะว่าคนที่สติมากเกินไป จะทำอะไรก็จด ๆ จ้อง ๆ กล้า ๆ กลัว ๆ ทำอะไรก็กลัวผิดกลัวพลาด พระพุทธเจ้าท่านถึงให้ใช้ปัญญาอยู่ในข้อธรรมเกือบทุกหมวด ก็คือมีสติแล้วต้องมีปัญญาด้วย ถ้ามีสติขาดปัญญาก็ไม่กล้าทำอะไร ถ้ามีปัญญาขาดสติก็บุ่มบ่ามโฉ่งฉ่าง อาจจะพลาดได้ ทั้ง ๒ อย่างจึงต้องไปด้วยกัน

ในเรื่องของวิริยะก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าเพียรมากเกินเหตุก็ทำให้ใจฟุ้งซ่าน โอกาสเข้าถึงธรรมมีน้อย เพราะว่าอยากได้ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาทำจนเกินกำลังตัวเอง ในข้อธรรมทุกหมวดจึงต้องมีปัญญาประกอบ พอเหมาะ พอดี พอควร ไม่อย่างนั้นแล้วถึงเวลาแล้ว จะทำเกินหรือทำขาด ก็ไม่ได้เรื่องทั้งคู่ ทำเกินก็เลยเป้า ทำขาดก็ไปไม่ถึง ต้องทำพอดี ๆ เป็นมัชฌิมาปฏิปทา แล้วมัชฌิมาปฏิปทาของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับกำลังบารมีที่เราสั่งสมมา


ร่างกายดี สมาธิเข้มแข็ง ก็ทำได้มาก ร่างกายไม่ดี สมาธิไม่เข้มแข็ง ก็ทำได้น้อย แต่ว่าต้องเพียรพยายามให้เต็มที่ของเรา ไม่ใช่ประเภทถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง กี่ปีก็อยู่แค่นั้น ไม่มีความก้าวหน้าสักที ตั้งหน้าตั้งตาว่าเราจะทำเอาอภิญญา แล้วก็ยังไปทำโน่นทำนี่อยู่เรื่อยเปื่อย ถ้าประเภทนี้ไปไม่รอดหรอก ถ้าทุ่มเทต้องทุ่มเทไปในทางเดียว อย่าให้กำลังใจหันเหไปในทางอื่น


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:16


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว