กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4180)

เถรี 17-10-2014 15:14

พระอาจารย์กล่าวถึงหลวงปู่ไวยว่า "คนสมัยก่อนศึกษาอะไรเขาศึกษาจริงจัง แพทย์แผนโบราณก็เป็นกรรมฐานดี ๆ นี่เอง ต้องใช้ทั้งคาถา น้ำมนต์ ทั้งอำนาจจิตเข้าไปช่วย สมัยนี้เขาเรียนไม่ได้แม้แต่เสี้ยวเดียวของสมัยโน้น สมัยนี้ได้แต่ตัวยา ตัวยาบางอย่างถ้าไม่ประกอบคุณพระก็รักษาโรคไม่ได้ กลายเป็นว่ายิ่งเรียนก็ยิ่งถอยหลัง

มีคุณหลวงสุวิชานแพทย์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ท่านมีศักดิ์เป็นน้าของหลวงพ่อวัดท่าซุง ถึงเวลาคนไข้มาหา ท่านก็เสกหมากให้กิน นั่นหมอสมัยใหม่นะ เสกหมากให้กิน เป็นถึงเจ้ากรมแพทย์เลยนะ ถ้าสมัยนี้ก็ระดับอธิบดีอะไรสักกรมหนึ่ง ท่านเป็นน้าของหลวงพ่อ แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงมาอยู่กับท่านยายที่วัดเรไร (ตลิ่งชัน) ตั้งแต่เด็ก หลวงพ่อท่านเลยเข้านอกออกในกรมอู่ทหารเรือเป็นว่าเล่น มีโอกาสพบปะผู้ใหญ่สมัยนั้นอย่างเสด็จในกรมหลวงชุมพร เสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินเป็นปกติ

คนไม่เข้าใจมักจะเขียนเป็น “สุวิชาญ” สุวิชานของท่านใช้ น.หนู มาจากสุวิชานในภาษาบาลี สุวิชาโน ภวํ โหติ ทุวิชาโน ปราภโว

เสียดาย..พอท่านสิ้นไปคนหนึ่งคนป่วยมาอาตมาไม่รู้ว่าจะส่งไปไหน ไม่มีหลวงปู่ธรรมชัย ไม่มีหลวงปู่ไวย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยไม่รู้ว่าจะส่งไปหาใคร หลวงปู่ครูบาธรรมชัยท่านเป็นหมอโดยหน้าที่ ส่วนหลวงปู่ไวยท่านเป็นหมอเพราะรู้จริง"

เถรี 17-10-2014 15:32

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนไปเนปาลเห็นฝรั่งเขาไปกราบ ไปสวดมนต์ ไปนั่งสมาธิกัน พวกเขาทุ่มเทกันจริง ๆ เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปครึ่งค่อนโลก ต้องบอกว่าถ้าไม่สนใจจริง ๆ ก็คงไม่ไปอย่างนั้นหรอก โดยสภาพเขาได้รับการอบรมมาในลักษณะของการทำอะไรต้องทำจริง ส่วนพวกเรานี่ส่วนใหญ่ยังทำเล่น ๆ กันอยู่

หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศท่านถึงได้บอกว่า ต่อไปเราอาจจะต้องไปขอเรียนพระพุทธศาสนากับทางตะวันตก ถึงเวลาเขารับช่วงเอาแก่นแท้ไป เพราะว่าเขาเบื่อความเจริญทางโลกแล้ว ส่วนเราไปวิ่งไล่ไขว่คว้าหาเจริญทางโลก
เราเจริญจิตใจอยู่วิ่งไปหาทางวัตถุ เขาเจริญทางวัตถุอยู่ทิ้งไปหาจิตใจ กลายเป็นงูกินหางไล่ตามกันไป เราอยากจะเจริญทางด้านวัตถุ ส่วนเขาอยากจะเจริญทางจิตใจ "

ถาม : แสดงว่าเราโง่ขึ้นไหมคะ ?
ตอบ : ก็น่าจะประมาณนั้น แต่ว่าจะว่าไปแล้วเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นเรื่องปกติ เขาอยากในสิ่งที่ตัวเองไม่มี พวกฝรั่งเดินทางไปเนปาล ไปทิเบต ไปอินเดียเพื่อศึกษาปฏิบัติกันจริง ๆ จัง ๆ ปกติแล้วพวกหลักโยคะหรือปราณายามะต่าง ๆ นั้น ไม่เหมาะกับคนตะวันตก สภาพร่างกายกระดูกกล้ามเนื้อของเขาไม่เคยชินมาตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนกับเราพวกเราที่เกิดมาก็เตะเป็น ส่วนเขาต้องหัดกันแทบตาย เพราะสภาพร่างกายไม่ให้

อย่างพวกเรานั่งส้วมเรานั่งยอง ๆ ได้ ฝรั่งเขานั่งได้ที่ไหนกัน ไม่มีโถชักโครกก็ไปไหนไม่เป็นแล้ว ไปนึกถึงรูปในสมัยสงครามโลกที่สร้างทางรถไฟสายมรณะ ถึงเวลาพวกเขาต้องตอกหลัก เอากระบอกไม้ไผ่พาด แล้วขึ้นไปนั่งถ่ายอยู่บนนั้น ไม่อย่างนั้นเขานั่งพื้นกันไม่เป็น เส้นยึดจนนั่งไม่ลง ส่วนพวกเรานั่งอยู่ทุกวันก็ไม่รู้สึกว่าลำบาก แต่ฝรั่งเขาเรียนอะไรแล้วเขาสนใจจริง ๆ เขาก็ทุ่มเทฝึกโยคะ จนกระทั่งประสบความสำเร็จกันหลายต่อหลายคน แต่ว่าได้แค่รูปแบบทางร่างกายเท่านั้น เรื่องของปราณ เรื่องของสภาพจิต เขามีความเข้าใจน้อยมาก


ถาม : ถ้าเขาตั้งใจ เขาจะได้ก็ในลักษณะการเรียนรู้อยู่ดี
ตอบ : ได้แค่เบื้องต้น จะเอาสูงกว่านั้นเขาก็ไปกันไม่ค่อยเป็น เพราะว่าเขาไม่เข้าใจ เรื่องของสมาธิไม่ใช่อ่านแล้วจะเข้าใจ แต่ต้องทำ ถ้าทำไปแล้วติดขัดต้องมีครูบาอาจารย์คอยแนะนำ สอบถามแล้วตอบปัญหาได้

เถรี 17-10-2014 21:49

ถาม : เวลาที่คนกำลังจะตายแล้วจิตกำลังจะแยกออกจากร่างกายนี่เจ็บใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้ามีกรรมเก่ามา ก็จะต้องทนทุกขเวทนามากหน่อย

ถาม : เหมือนกับเวลาที่เขาบอกว่า จิตเขาออกไปเพราะว่าทนไม่ไหวแล้ว ?
ตอบ : มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือร่างกายเสื่อมสภาพ หมดสภาพไปเอง บางคนเขาบอกว่าหมดกำลัง ส่วนอีกอย่างก็คือทุกขเวทนาบีบบังคับ การเสื่อมสภาพหมดสภาพ ท้ายสุดเมื่ออยู่ไม่ได้ก็ต้องไป ทุกขเวทนาบีบบังคับร่างกายทนไม่ไหว ก็ต้องไปเช่นกัน

ทางด้านทิเบตเขาศึกษาเรื่องนี้ลึกซึ้งกว่าพวกเรา ถึงเวลาก่อนตายก็มีการไปนำทางให้ ว่าตอนนี้สภาพร่างกายอยู่ไม่ได้แล้วนะ ไม่ต้องไปห่วงใยไปกังวลอะไร ขอให้เดินไปตามเส้นทางนี้ ๆ แต่ว่าเขาอยู่จนเคยชินกับความเชื่อนั้นแล้ว เห็นว่าร่างกายเหมือนกับเสื้อผ้าเก่า ๆ ชุดหนึ่ง หมดสภาพก็ต้องไปเปลี่ยนหาเสื้อผ้าชุดใหม่ ในเมื่อเขาเคยชิน พอถึงเวลามีคนมาบอกทางให้ก็สบายใจ ส่วนเราไม่เคยชิน ไปบอกเขาดีไม่ดีโดนด่ากลับมาเลย


ถาม : เขามีปัญญาในระดับหนึ่ง ?
ตอบ : ต้องบอกว่าศาสนาอยู่ในหัวจิตหัวใจของเขา ของเราเองส่วนใหญ่ศาสนาอยู่ในทะเบียนบ้าน โอกาสที่จะปฏิบัติให้เห็นผลไม่ค่อยมี เหมือนหลวงปู่ปานตอนเด็ก คนกำลังกินข้าวอยู่ท่านก็ “พุทโธ พุทโธ” ขึ้นมา โดนแม่จับโยนไปนอกชาน เด็กไม่รู้ว่าผู้ใหญ่เขาถือ สอนให้ภาวนาพุทโธ ท่านชอบท่านก็พุทโธขึ้นมาตอนกำลังกินข้าว เพราะสบายใจ ปรากฏว่าโดนแม่จับโยนไปนอกชาน กลายเป็นว่าพุทโธเอาไว้สำหรับบอกทางคนตาย เขาเชื่อกันอย่างนั้น

แบบเดียวกับสมัยก่อน เขาถือว่าพระอภิธรรม ๗ บท เป็นพระธรรมที่ทำให้มีผู้บรรลุมรรคผลมากที่สุด ขนาด เทวดา นางฟ้า พรหม บรรลุทีตั้ง ๘๐ โกฏิ ถือเป็นมงคลใหญ่ จึงใช้สวดใช้ในงานมงคล เช่น งานแต่งงาน งานขึ้นบ้านใหญ่ งานทำบุญอายุ คราวนี้พอในงานพระบรมศพของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี เขาสวดพระอภิธรรมถวายท่าน คนก็เลยไปนิยมว่าสวดในงานศพ ตั้งแต่นั้นมาพอขึ้น “กุสลา ธัมมาฯ” เมื่อไรก็นึกถึงงานศพอย่างเดียวเลย ไม่ได้นึกถึงความเป็นมงคลด้านอื่น

คราวนี้คนเรามักกลัวตาย ในเมื่อกลัวตาย พอได้ยิน "กุสลา ธัมมาฯ" ก็ไปนึกถึงว่าผูกพันกับความตายจึงกลัวกัน ของที่ดีที่สุดก็เลยไม่เอา เพราะกลัวตายมากกว่า

เถรี 18-10-2014 22:41

ถาม : คนที่ตัดสินใจทำความชั่ว เป็นผลจากอกุศลกรรมหรือเป็นเพราะเขาขาดปัญญาคะ ?
ตอบ : กิเลสสอน เรียกว่าโดนกระแสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน ชักนำ ซึ่งมีผลมาจากการทำอกุศลกรรมมากว่ากุศลกรรม ต้องบอกว่าเชื่อกิเลสมากกว่า

เถรี 18-10-2014 22:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปราสาทนอยชวานชไตน์ที่เขาเรียกปราสาทซินเดอเรล่า เขาสร้างได้สวยมาก ๆ เป็นปราสาทที่สวยทุกฤดู ขนาดหิมะตกจนท่วมก็ยังสวย ไว้มีโอกาสก็ว่าจะไปดูเหมือนกัน แต่เงินเยอรมันแพง ค่ากินค่าอยู่ได้ยินแต่ละทีแทบสะดุ้งเฮือก อยากไปชื่นชมกับความละเมียดละไมของจิตรกรโบราณ ภาพวาดแต่ละภาพ และฝีมือก่อสร้างที่ละเอียดลออขนาดนั้น"

ถาม : เขาใช้สมองในการสร้าง ?
ตอบ : เขามีสมาธิจากงาน ได้สมาธิใช้งานเลย พอถึงเวลาก็ตั้งใจวาดภาพไป ตั้งนั่งร้านนอนวาดได้เป็นเดือนเป็นปีเลย

ถาม : จินตนาการ ออกแบบหรือการลากเส้นอะไรของเขาก็ตาม..?
ตอบ : เป็นไปตามความเชื่อและจารีตประเพณีเขา ถ้าเขามีหลักธรรมแบบของเราคงจะไปได้ไกลกว่านั้นมาก อาตมาเอารูปไปลงเพาเวอร์พ้อยต์ให้ลูกศิษย์ดู เขาติดใจกันมากว่าปราสาทที่ไหนสวยขนาดนี้ บอกลูกศิษย์เขาว่า สมัยก่อนเขากลัวการเบียดเบียนกัน ก็เลยต้องไปสร้างไว้บนยอดเขา ถึงเวลาใครจะมาโจมตีก็มีแค่ทางแคบ ๆ เส้นเดียว ซึ่งเฝ้าได้ง่าย ความกลัวของมนุษย์ทำให้ต้องหนีไปถึงขนาดนั้น เห็นโทษของการเกิดจริง ๆ พอมาถึงสมัยที่ทุกอย่างสะดวกสบาย จึงกลายเป็นที่สวยงามซึ่งคนแห่กันไปชม

ไปนึกถึง คุณถวัลย์ ดัชนี ที่เพิ่งจะเสียชีวิตไป เจ้าของปราสาทที่เยอรมันจ้างให้ไปวาดรูป พอวาดเสร็จเขาตีเช็คเปล่าให้ บอกว่าเขาไม่สามารถที่จะประเมินราคาฝีมือได้ คุณไปกรอกตัวเลขเอาเองก็แล้วกัน ช่วงนี้เราสูญเสียศิลปินยอดฝีมือไปติด ๆ กันเลย จากอาจารย์ถวัลย์ ดัชนีก็มา ศ.ประหยัด พงษ์ดำ แล้วก็มาคุณสุนทรี ณ เวียงกาญจน์

เถรี 18-10-2014 23:10

พระอาจารย์อ่านหนังสือธรรมเล่มหนึ่ง เห็นที่บกพร่อง จึงกล่าวว่า "เอกะ บวกกับ อยนะ เป็น เอกายนะ หรือ เอกายโน เขาไปแปลว่า ทางสายเดียว ถ้าทางสายเดียวแล้วพระพุทธเจ้าจะเทศน์ไว้ทำไมตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ? คนแปลก็แปลไปเรื่อย แปลแล้วพอความหมายผิด คนอ่านก็เข้าใจผิดกันไปเรื่อย

เอกะ + อยนะ แปลว่า ทางสายหนึ่ง คือเป็นหนทางหนึ่งที่จะนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์ เขาดันไปแปลว่าทางสายเดียว ถ้าเป็นทางสายเดียวแล้ว พระพุทธเจ้าจะเทศน์ไปตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ให้เหนื่อยทำไม ? จนกระทั่งเดี๋ยวนี้มีนักวิชาการจำนวนมากที่เข้าใจ
ไปอย่างนั้น บอกว่า “ต้องปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสูตรเท่านั้น อย่างอื่นบรรลุมรรคผลไม่ได้” บรรลัยเลย..!"

เถรี 18-10-2014 23:17

ถาม : คำพูดของครูบาอาจารย์ บางทีเป็นเรื่องเดิมพอได้ฟังอีกครั้งถึงจะสะดุด เข้าใจ ?
ตอบ : สภาพจิตละเอียดขึ้น ทำให้เข้าใจได้มากขึ้น

ถาม : บางที คำพูดเหมือนของเดิมเลย และความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นบางทีก็ตรงข้ามกันแต่ก็ว่าไม่ผิดทั้งคู่ ในความเป็นจริง เป็นเรื่องเดียวกันหรือคนละเรื่องกันแน่ ?
ตอบ : เรื่องเดียวกัน แต่ความเข้าใจละเอียดขึ้น ตอนแรกไปติดที่ทิฐิคือความเห็น ความยึดมั่น ว่าเป็นอย่างนั้น ใช่อย่างนั้น ถูกแบบนั้น แต่พอสภาพจิตละเอียดขึ้นก็เห็นว่า ที่ถูกกว่านั้นยังมีอีก ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ พัฒนาไปเรื่อย ๆ แล้วพอขยับขึ้นไปได้ก็ “ตรงนี้ถูกกว่า” แล้วไปยึดตรงนั้นอีก

เถรี 18-10-2014 23:18

ถาม : บางทีเราคิดไปเรื่อย แต่เราไม่ได้เรียนรู้อะไร ก็เลยแค่เห็น ?
ตอบ : เป็น สุตมยปัญญา “ฟัง” แล้วเกิดความรู้ จากนั้นก็ไปเป็น จินตามยปัญญา “คิด” จนเกิดความเข้าใจ แล้วก็เป็น ภาวนามยปัญญา เห็นจริงตามนั้น จิตยอมรับในความจริงนั้น ๆ จึงเกิดความรู้แจ้งขึ้นมา แล้วปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ก็สามารถที่จะพ้นทุกข์ได้

เถรี 18-10-2014 23:27

ถาม : ดูไปดูมาก็เหลือแต่ไม่สนใจ เราจะทำให้ไม่สนใจกับเรื่องที่มากระทบให้เป็นปกติได้อย่างไร ?
ตอบ : ต้องมีสติสมบูรณ์พร้อม ถ้าสติไม่สมบูรณ์พร้อมถึงเวลา ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส เผลอก็ไปแล้ว ฉะนั้น..การฝึกสติจึงสำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสเป็นบาลีว่า อตฺตาหิ กิร ทุทฺทโม ขึ้นชื่อว่าตนนี้ฝึกได้ยากจริงหนอ

เถรี 20-10-2014 18:35

พระอาจารย์กล่าวถึงท่าเดินที่ไม่ธรรมดาของโยมคนหนึ่งว่า "เป็นวาสนาที่ตัดไม่ขาด ภาษาโบราณเขาพูดไว้สวยมาก แต่ภาษาไทยแท้เขาว่าสันดานเป็นอย่างนั้นเอง ถึงเวลาก็ร่อนไปเรื่อย พอโยมเขาเห็นเยอะ ๆ เขาก็ว่า “อ๋อ..อาจารย์เล็กฝึกลูกศิษย์ได้แค่นี้เอง” เสียหายไปยันครูบาอาจารย์เลย ทำอะไรไม่ได้ใช้หัวแม่ตีนคิด..! ถ้ารู้จักใช้ป่านนี้ไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้ ?

โยมบางคนก็โชคดี ไปวัดครั้งแรกก็เจออาตมากำลังด่าพระด่าเณรอยู่ บางคนก็ไม่กล้าโผล่ไปอีกเลย ถ้าไม่มีเหตุมีผลครูบาอาจารย์จะไปด่าลูกศิษย์ทำไม ? แต่อารามที่เขาได้ยินข่าวลือมาว่าอาจารย์เล็กดุ ไปถึงเจอด่าอยู่พอดีก็หมดกันเลย..!"

เถรี 20-10-2014 18:39

ถาม : โดนด่าแต่ไม่ถอย
ตอบ : สมัยนี้ไม่ค่อยมีคนสู้หรอก หนีกันหมด ทำอะไรต้องมีเหตุมีผล ถ้าไม่มีเหตุมีผลจะด่าไปให้เหนื่อยทำไม ? ขนาดประเภทเกินบาทอย่างทิดอู๋ยังรู้เลย ทิดอู๋บอกว่า “อย่าไปถือสาอาจารย์เล็กเลย ท่านกำลังอยู่ในวัยทอง..!” ต้องบอกว่าขนาดคนเกินบาทยังรู้เหตุผล คนประเภทครบบาทพอดีดันไม่รู้เรื่อง

บางอย่างเวลาท่านทำผิดขึ้นมา อยากจะขอบคุณท่านนะ เพราะเราได้อาศัยท่านเป็นตัวอย่าง แล้วก็ด่าไปก่อน คนอื่นมาเห็นตัวอย่างเขาก็ไม่ทำอีก แต่ว่าคนพลาดนี่บางทีเฉาไปเป็นเดือนเลย อย่างที่เคยเล่าให้ฟังสมัยอยู่วัดท่าซุงว่า ทางคณะกรรมการสงฆ์ตั้งใจส่งอาตมาไปขึ้นเขียงแท้ ๆ แต่บังเอิญอาตมามีความรู้สึกว่า "ไม่มีพ่อที่ไหนฆ่าลูกหรอก ถ้าท่านด่าต้องมีเหตุผล" ก็พยายามหาเหตุผลให้กับตัวเอง จนกระทั่งมีอยู่คราวหนึ่ง หาเหตุผลตั้งแต่ต้นยันปลาย ก็ยังหาไม่ได้ว่าทำไมตัวเองโดนด่า ? ท้ายสุดก็สรุปว่าเพราะเอ็งเสือกโง่เกิดมาเอง ถ้าไม่เกิดมาก็ไม่โดนด่าแบบนี้..!

จนกระทั่งมาตอนหลังรู้ว่า ทุกอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านว่ามา ถ้าเรามาปรับปรุงแก้ไข ก็จะเป็นประโยชน์แก่เราเองทั้งนั้น ก็ไม่ไปหาเหตุผล ถ้าโดนด่า..อาตมาจะหาว่าผิดตรงไหน จะได้แก้ไขตรงนั้น ที่ขำที่สุดคือพอปลงใจลงได้ว่าผิดมาตั้งแต่เกิดแล้ว ยังไม่ทันจะถึง ๒ นาที หลวงพี่อนันต์ท่านก็โทรมา ท่านบอกว่า “เล็ก..หลวงพ่อฝากบอกด้วยว่า ที่ด่าไปเมื่อกลางวันนั่น ท่านย่าฝากด่ามา ท่านบอกว่าไอ้นี่รู้ตัวเร็ว ถ้าโดนด่าแล้วจะระวังตัว คนอื่นจะเล่นงานไม่ได้ ท่านก็เลยฝากด่า”

ปล่อยให้อาตมาคิดหัวจะระเบิดอยู่เป็นวัน ไปคิดหาเหตุผลว่า "ผิดตรงไหนวะ ทำไมอยู่ ๆ ถึงโดน ?" คนอื่นเขาหนีกันเตลิดเปิดเปิงหมด หลวงพี่ชัยวัฒน์หนีไปอยู่สวนไผ่ คนที่อยู่หน้าห้องหลวงพ่อได้นานที่สุดคือหลวงพี่ไพบูลย์ ที่หลวงพี่ไพบูลย์อยู่ได้นานเพราะไม่เคยเจอหลวงพ่อตอนกลางวัน ท่านเข้าเวรเฉพาะกลางคืน คือท่านจะเหมาตลอดตั้งแต่ ๖ โมงเย็นถึง ๖ โมงเช้า บ่ายโมงหลวงพ่อลงรับแขกเสร็จก็กลับเข้าที่พัก จะมาอีกทีก็ เจ็ดโมงครึ่ง หลวงพี่ไพบูลย์ก็ออกเวรนอนหลับไปแล้ว

เถรี 20-10-2014 18:59

คิดถึงพระเก่าสมัยอยู่วัดท่าซุงด้วยกันมา ตายไปบ้าง ไปอยู่ที่อื่นบ้าง สึกบ้าง ไม่ทราบว่ากลับไปนี่จะเหลือสักเท่าไร เพราะส่วนใหญ่เวลาไปวัด อาตมาก็จะไปกราบสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่หลวงพ่อแล้วก็กลับ ตอนที่อยู่รวมกันนี่หลวงตาเจริญจะอายุกาลพรรษามากที่สุด บวชปี ๒๕๑๓ มรณภาพไปแล้ว ถัดมาก็หลวงพี่โอ บวชปี ๒๕๑๔ ยังอยู่ เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ถัดมาก็หลวงพี่อนันต์ ปัจจุบันคือท่านเจ้าคุณภาวนากิจวิมล บวชปี ๒๕๑๖ ถัดมาก็เป็นหลวงพี่สุรจิตร บวชปี ๒๕๑๘ แต่ต้องญัตติใหม่ เพราะว่าท่านบวชเป็นธรรมยุติ บวชไปจากวัดอาวุธฯ ที่กรุงเทพฯ

ถัดมาก็หลวงพี่ทีป บวชปี ๒๕๑๙ มรณภาพแล้ว ถัดมาก็เป็นหลวงพี่ชัยวัฒน์ หลวงพี่บรรจง หลวงตาสมชาย หลวงพี่ไพบูลย์ ชุดนี้บวชปี ๒๕๒๐ ฉลองโบสถ์กัน หลวงตาสมชายมรณภาพแล้ว ปี ๒๕๒๑ หลวงพี่ยงยุทธสึกไปแล้ว ส่วนหลวงพี่อาจินต์ตอนนี้ไปดูแลวัดอยู่ที่เยอรมัน

หลวงตาชลออยู่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ บวชปี ๒๕๒๓ หลวงพี่วิรัช ตอนนี้อยู่วัดธรรมยานที่เพชรบูรณ์ บวชปี ๒๕๒๔ หลวงตาวัชรชัยอยู่เขาวง บวชปี ๒๕๒๕ ก่อนหน้านั้นมีหลายรูป ที่สึกล่าสุดก็เป็นหลวงพี่สมาน บวชปี ๒๕๒๖ ไม่ทราบว่าหลวงพี่ละอองยังอยู่ไหม ? (ยังอยู่ครับ) ถ้าอย่างนั้นยังเหลือคนหนึ่ง บวชปี ๒๕๒๗

ถ้าหลวงพี่ขวัญเมืองไม่อยู่ ท่านที่บวชปี ๒๕๒๘ ก็หมดเหมือนกัน ส่วนที่บวชปี ๒๕๒๙ ก็เหลือหลวงพี่ตี๋กับอาตมา อาตมาบวชก่อน เป็นรุ่นพิเศษก่อนเข้าพรรษานาน หลวงพี่ตี๋บวช ๒๕๒๙ เหมือนกัน แต่บวชรุ่นเข้าพรรษา มารุ่น ๒๕๓๐ ก็สูญพันธุ์ เพราะว่าท้ายสุดเหลือท่านโกวิท แต่ก็ก็สึกไปแล้ว ที่บวชปี ๒๕๓๑ ก็มีท่านจิตโต ปี ๒๕๓๒ก็เหลือ หลวงน้าสุนทร ซึ่งก็ชักจะเดินไม่ไหวแล้ว อายุ ๘๐ กว่าแล้ว รุ่น ๒๕๓๓ ก็มีท่านสมนึกกับท่านสำออย

ถัดไปก็เป็นท่านพิษณุกับท่านรำพึงไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า ? ต่อจากนั้นไปไม่รู้จักใครแล้ว ออกจากวัดมาแล้ว จะมีก็แต่พวกที่รู้จักกันตั้งแต่ตอนที่เป็นฆราวาสแล้วไปบวชทีหลัง ถ้าอย่างนั้นจะคุ้นหน้า ยังพอรู้จักทักทายกันได้ แต่ถ้าตอนฆราวาสไม่เคยเห็นหน้า แล้วบวชเข้าไปนี่ไม่รู้จักกันแล้ว ของปี ๒๕๒๗ มีหลวงพี่จะเด็ด ออกไปอยู่ที่อุบลฯ ท่านหนึ่ง เมื่อประมาณ ๑๐ กว่าปีที่แล้วยังเจออยู่ ก็คาดว่าท่านน่าจะยังอยู่

ตอนช่วงนั้นอยู่กันประมาณ ๔๐ กว่ารูป ไม่เคยมีปีไหนถึง ๕๐ รูป เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบังคับว่า ถ้าจะบวชที่นั่นต้องได้มโนยิทธิคล่องตัวก่อน จะได้รู้ว่านรกหน้าตาเป็นอย่างไร ถ้ารู้แล้วยังอยากไปนรกก็ช่วยไม่ได้ อะไรทำนองนั้น ก็เท่ากับว่าที่รู้จักมักจี่ก็สึกหาลาเพศกันไปเสียเยอะ รุ่นของอาตมาบวช ๓๖ รูป ปรากฏว่าเข้าบวชไม่ทันรูปหนึ่ง เหลือแค่ ๓๕ รูป ก็ที่อยู่ด้วยกันนานที่สุดคือท่านน้อย (อภิชัย นุตาลัย) น้องของดร.ปริญญา

อาตมาบวช ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๙ พอต้นเดือนมิถุนาก็ยังเหลือกันอยู่ ๗-๘ รูป ก็จะมีพวกท่านนิลพงษ์ ท่านบุญทรงยังอยู่ ก็ปรากฏว่าอาจารย์ยกทรงถามหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ลงไปรับสังฆทานต้นเดือนมิถุนายนว่า “พระที่บวชรุ่นนี้เหลือมากไหมครับ ?” ท่านบอกว่า “เหลือแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ” ตอนนั้นก็ไม่ได้คิด ปรากฏว่าเขาสึกกันหมดเหลือแค่พระเล็กกับพระน้อยอยู่ ๒ คนจริง ๆ แล้วก็อยู่ด้วยกันมา ๗ พรรษา

เถรี 20-10-2014 20:45

พอพรรษาที่ ๘ อาตมาจัดงานศพถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงเสร็จ ก็ออกจากวัดไปจำพรรษาที่ทองผาภูมิ พรรษาที่ ๙ ท่านน้อยก็สึก ชวนมาอยู่ด้วยกันท่านก็ไม่อยู่ ตอนนั้นก็มีพี่ ๆ หลายคน หลวงพี่อาจินต์ก็มาดูวัด ท่านบอกว่าไกลไป หลวงพี่วิรัชมาดูแล้ว ท่านบอกว่าผมกลัวมาลาเรีย หลวงพี่สามารถมาดูบอกว่า “เฮ้ย..เตรียมกุฏิไว้ให้ด้วยนะ” ปรากฏว่าหลวงพี่สามารถตัดสินใจสึกไปเสียก่อน ก็เลยกลายเป็นว่าอาตมาออกมานี่ต้องมาช่วยพระพี่พระน้องหลายราย พูดง่าย ๆ ว่าใครที่อดทนอยู่ไม่ได้ ออกจากวัดท่าซุงมา ก็ต้องรับไว้ก่อน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องการพระบวชแก้บน ส่วนใหญ่ก็สึกไปภายใน ๗ วัน แล้วที่มีอยู่เหลือรอดไปอยู่กันเป็นเดือนก็มีท่านนิลพงษ์ ท่านบุญทรงพวกนั้น อยู่ไปอยู่มาก่อนเข้าพรรษาก็สึกกันเฉยเลย รุ่นปี ๒๕๒๑ ที่เสียดายมากที่สุดคือหลวงพี่ชัยศรีที่สึกไป เพราะว่าช่วงนั้นใคร ๆ ก็เห็นว่าสามารถแทนหลวงพ่อได้ ทำงานทำการอะไรเด็ดขาดเรียบร้อยทุกอย่าง

มีที่ทุลักทุเลหน่อยก็หลวงพี่สุรจิตร ท่านบวชมาจนหลวงพ่อวัดท่าซุงตั้งให้เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ตรวจสอบหนังสือสุทธิแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพระธรรมยุติ พอยื่นชื่อไปจังหวัดเขาไม่ยอมตั้งให้ ก็เลยต้องให้ท่านญัตติใหม่ โดยปกติญัตติใหม่นี่ต้องไปต่อท้าย แต่ว่าพวกเราด้วยความที่รักและเคารพท่านมาแต่ดั้งเดิม ถึงท่านญัตติใหม่ก็ให้ท่านนั่งที่เดิม เพราะว่าหลวงพี่สุรจิตรจริง ๆ แล้วท่านอยากบวชตั้งแต่แรก แต่ติดตรงที่ว่าท่านเรียนปริญญาตรีอยู่ ต้องรอจนเรียนจบอยู่ปีกว่าเกือบสองปี

พอจบแล้วด้วยความที่คิดอยากจะบวชแล้วไปอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็เลยบวชใกล้บ้าน บวชที่วัดอาวุธฯ เลย ไม่ได้รู้ว่าเขาเป็นธรรมยุติมหานิกายอะไรหรอก ขอให้ได้บวชเถอะ ทุกวันนี้ท่านเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ หลวงพี่สุรจิตรนี่อาตมามั่นใจในความดีของท่าน เพราะว่าหลังจากออกมาจากวัดหลายพรรษาอยู่ น่าจะได้ ๕-๖ ปี ท่านมาผ่าตัดหัวใจที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ พอได้ข่าวอาตมาก็แวะไปเยี่ยมท่าน ท่านฟื้นขึ้นมากำลังพักผ่อนอยู่ มีพยาบาลดูแลอยู่คนหนึ่งแล้วก็โยมอีกคนหนึ่ง อาตมาก็เอาช่อดอกไม้ไปถวายท่าน แล้วกราบเรียนถามว่า...

“หลวงพี่ครับ.. ผมขอถามประโยคเดียว ตอนนี้อยู่ก็ได้ตายก็ดีใช่ไหมครับ ?” ท่านมองหน้านิ่งอยู่พักหนึ่ง แล้วบอกว่า "ใช่" ก็เลยกราบเรียนท่านว่า “แค่นี้แหละครับ ผมพอใจแล้ว” ก็กราบลาท่านแล้วกลับเลย กำลังใจของคน ถ้าปฏิบัติมา เราจะไม่รู้ว่าตัวเองทำแล้วได้เท่าไร จนกว่าจะถึงวันตายจริง ๆ พูดง่าย ๆ ว่า ต้องมีอะไรฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตกันไปข้างหนึ่ง ชนิดที่เจียนอยู่เจียนไปนั่นแหละ ทำให้กำลังใจทั้งหมดมารวมกัน จึงรู้ว่าต้นทุนของตัวเองมีเท่าไร ดังนั้น..พระปฏิบัติท่านจึงไม่กลัวเรื่องตาย ไม่กลัวเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย ยิ่งหวาดเสียวมากเท่าไรก็ยิ่งรู้กำลังตัวเอง

คราวนี้อาตมาพอที่จะทราบว่ากำลังใจท่านเป็นอย่างไร ก็เลยถามประโยคเดียว ถามว่าตอนนี้อยู่ก็ได้ตายก็ดี ใช่ไหมครับ ? พอท่านยืนยันว่าใช่ ก็บอกว่าผมสบายใจแล้วครับ ไม่ห่วงพี่ละ ไปแล้ว

เถรี 21-10-2014 18:49

ถาม : ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า มีพระอรหันต์ที่ดูแลวัดท่าซุง ?
ตอบ : อยู่ในวัด ๓ อยู่นอกวัด ๔ ท่านบอกไว้อย่างนั้น ท่านบอกไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๒๖

อาตมาเสียดายพี่ ๆ หลายคนปฏิบัติเคร่งครัดมาก ถ้าบวชใหม่เมื่อไร พูดง่าย ๆ ว่าไหว้ได้สนิทใจเลย แต่ว่าท่านก็มีเหตุให้สึกหาลาเพศไป อย่างหลวงพี่สุธน เป็นทั้งคนซื่อคนตรง ทั้งเข้มแข็งในการปฏิบัติเลย ส่วนใหญ่แล้วลูกศิษย์หลวงพ่อที่ได้ดีมักจะมาจากที่อื่น มาจากวัดอื่น จนกระทั่งอาตมาเคยเปรียบเทียบว่า พวกเราเหมือนหนูในถังข้าวสาร จะกินเมื่อไรก็ได้ ก็เลยไม่ตื่นเต้น ไม่กระตือรือร้น คนอื่นเขาอดมา มาถึงก็กินใหญ่ เขาจึงได้ประโยชน์ไปมากกว่า

ต้องดูหลวงปู่มหาอำพันเป็นตัวอย่าง อาตมาบวชไม่กี่วันก็เป็นงานวัด หลวงปู่ท่านก็ไปร่วมงาน ด้วยความดีใจว่าหลวงปู่มา อาตมาก็วิ่งเข้าไปจะกราบท่าน ท่านยกมือไหว้มาแต่ไกลเลย โอ้พระเจ้า..! กี่ครั้งก็เป็นอย่างนั้น ท้ายสุดก็ไปกราบโอดครวญกับท่านว่า “หลวงปู่ทำอย่างนี้เป็นบาปเป็นกรรมกับลูกกับหลาน” ท่านบอกว่า “โอ้..ไม่เป็นไรหรอก คุณอยู่กับหลวงพ่อ อย่างน้อย ๆ ก็ได้รับฟังการอบรมฟังเสียงตามสายวันละ ๔ ครั้ง ถ้าตั้งใจเอาจริง ๆ ผมว่าเป็นพระโสดาบันหมดทุกคนแหละ ผมไหว้ได้ทั้งนั้น” อาตมาก็เหงื่อหยดติ๋ง ถึงเวลาเจอท่านนี่ต้องแอบ ๆ ย่องไปใกล้ กราบก่อนได้ก็โล่งใจไปที แต่ถ้าท่านเห็นก่อนนี่ท่านไหว้ก่อนทุกที"

เถรี 21-10-2014 19:00

ถาม : ที่ว่าอยู่ก็ได้ตายก็ดีนี่หมายถึงเป็นพระอรหันต์ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..คนที่จะเรียกว่าอยู่ก็ได้ตายก็ดี ต้องเป็นประเภทที่ไม่เห็นประโยชน์ในโลกนี้แล้ว แต่ว่าขณะเดียวกันก็ไม่ได้คิดที่จะประเภทไปตีด่าฆ่าฟันอะไรตัวเองหรอก แล้วแต่เวรแต่กรรม ถ้าอยู่ก็สร้างบุญสร้างบารมีต่อไป ถ้าตายเราก็ไปพระนิพพานของเราสบาย ๆ

ต้องบอกว่าในวัดท่าซุง ถ้ายังมีหลวงพี่สุรจิตรเป็นหลักให้อยู่ก็สบาย แต่คราวนี้ท่านเป็นคนพูดน้อยมากเลย ถ้าพูดมากอย่างอาตมานี่ป่านนี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ?

เถรี 21-10-2014 19:07

ถาม : การแยกกาย ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือลักษณะของการใช้อภิญญา แยกจิตเป็นหลายจิต หลายกาย เพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ แบบเดียวกับพระจูฬปันถกที่ท่านแยกออกเป็นพันกายพร้อม ๆ กัน

ถาม : แล้วการแยกกายเฉย ๆ ไม่ใช้จิต ?
ตอบ : แยกกายนั่นแหละคือจิต กายแยกยาก จิตแยกง่าย แต่ว่าพระจูฬปันถกท่านเป็นสุดยอดในการแยกจิต เพราะว่าท่านแยกแล้วเห็นเป็นตัว ๆ เลย

เถรี 21-10-2014 19:13

ถาม : จับให้ลูก ๆ นั่งสมาธิค่ะ คนโตให้นั่ง ๑๐ นาที คนเล็กนั่งคนละ ๕ นาที ?
ตอบ : ต่อไปการเรียนจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีโอกาสก็เพิ่มเวลาขึ้น แต่ว่าอย่าให้เกินครึ่งชั่วโมง เพราะจะหนักเกินไปสำหรับเด็ก

ถาม : ขอให้แนะนำเพิ่มหน่อยคะ ?
ตอบ : ให้ใจนิ่งได้อย่างเดียว คืออยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องแนะนำอะไรหรอก อยู่ตรงนี้ได้ก็พอแล้ว ถ้าทำได้ต่อไปเรื่องเรียนเรื่องเล็ก ไม่มีอะไรหนักใจเลย

ถาม : คนโตกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ?
ตอบ : ไปภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ เตรียมตัวแต่เนิ่น ๆ หลังภาวนา ๑๐ นาที เราก็ว่าสหัสสะเนตโตฯ ไปอีก ๑๐ นาที ลับมีดไว้แต่เนิ่น ๆ ถึงเวลาจะได้ใช้ได้ ไม่ขึ้นสนิม พักเดียวเด็ก ๆ ก็จะเข้ามหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว อาตมาก็เป็นหลวงตาแก่ไปทุกวัน ๆ

เถรี 21-10-2014 19:14

มีพระมาขออนุญาตสึก "ไปเถอะ..เดี๋ยวพอเข็ดก็วิ่งกลับมาเองแหละ ส่วนใหญ่คนเคยอยู่วัด พออยู่นาน ๆ แล้วออกไปข้างนอก ทนแรงกระทบเขาไม่ไหว ไม่สงบเหมือนกับตอนอยู่วัดก็วิ่งกลับมาเอง ใหม่ ๆ นี่ปรับตัวกันแทบไม่ทันเลย"

เถรี 21-10-2014 19:17

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง เวลาผ่านไปเร็วที่สุดเลย เพราะว่าแต่ละวันปฏิบัติยังไม่ทันจะจุใจหมดวันอีกแล้ว ยังรู้สึกไม่ทันไรเลย อ้าว..ออกพรรษาอีกแล้ว สมัยนี้เวลายาวขึ้นมาหน่อย เพราะทำงานเยอะ ถ้าอยู่กับการปฏิบัติจะไม่ค่อยรู้วันรู้เดือนอะไร เสียดายแม้กระทั่งเวลาจะนอน..!

มีอยู่ระยะหนึ่งสัก ๓ ปีนี่นอนคืนหนึ่ง ๒ ชั่วโมงเท่านั้น ตั้งสติไว้เตรียมตื่นเลย ขยับลุกเมื่อไรลุกทันที จะไม่มีการมาอ้อยอิ่งเลย เข้าสู่การปฏิบัติของเราต่อ สภาพจิตก็ดำเนินต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ แปลกดีเหมือนกัน ก่อนหลับก็รู้สึกว่าภาวนาคาถาหรือสวดมนต์บทนี้อยู่ ตอนหลับอยู่ก็รู้ว่าตัวเองกำลังสวดไปเรื่อย ภาวนาไปเรื่อย ตื่นมาก็ว่าต่อได้ ดีเหมือนกัน..ไม่เสียเวลา"

เถรี 21-10-2014 19:26

ถาม : ความสนใจในร่างกาย ?
ตอบ : สภาพจิตจะดำเนินอยู่ข้างในอย่างเดียว อะไรที่มาข้างนอกแล้วกระทบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย ถ้าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์ด้วย ก็จะคลายกำลังใจออกมารับรู้ แล้วก็กลับเข้าไปตามเดิม เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังตัวเอง เพราะว่าถ้าโดนกิเลสตีแล้วตกจะเอาคืนยาก จะเป็นช่วงที่ระวัง กลัวจิตตก สมาธิตก กรรมฐานตก อะไรประเภทนี้ เพราะตกจนเข็ดแล้ว บางทีวันหนึ่งตกเป็นร้อยครั้ง เมื่อไรจะเลิกตกเสียที ท้ายสุดพอตะกายถึงได้ ก็ต้องประคองกันสุดชีวิต ที่ถึงเวลาปฏิบัติจะเตือนพวกเราว่า เลิกแล้วอย่าเลิกเลย ให้รักษากำลังใจเอาไว้ เพราะว่าตัวเองโดนมาจนเข็ดแล้ว

ถาม : แล้วสมาธิระดับไหนจึงรู้ว่าตัวเองตก ?
ตอบ : ถ้าหลุดจากปฐมฌานไปกิเลสกินทันที รัก โลภ โกรธ หลง ไหลมาเทมา จะไม่รู้ไม่ได้หรอก โดนเข้าเมื่อไรก็ต้องรู้

ถาม : ระดับอุปจารสมาธิพอไหมครับ ?
ตอบ : ไม่พอ อุปจารสมาธินี่กิเลสฟัดอร่อย เต็ม ๆ เลย กำลังไม่พอป้องกันตัวเอง ถ้าพอป้องกันตัวเองได้ต้องเป็นปฐมฌานขึ้นไป และควรจะเป็นระดับละเอียดด้วย เพราะปฐมฌานหยาบนี่ เผลอเมื่อไรก็โดนเมื่อนั้น

ถาม : เป็นฌานที่ขนาดว่าไม่รับรู้ข้างนอกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : รู้ทุกอย่าง เพียงแต่ว่าจะรับไหม ถ้าจิตละเอียด อะไรมากระทบนี่จะรู้หมด ถ้าไม่สนใจก็จะนิ่งอยู่ ถ้าสนใจจะคลายกำลังใจไปรับรู้หน่อย แล้วก็รีบกลับเพราะกลัวโดนอีก

ถาม : เหมือนกับว่ามีอะไรกระตุก จะรู้ลักษณะเป็นสัญญาณหรือเปล่า ?
ตอบ : เหมือนอย่างกับว่าได้ยินเสียงก็รู้ เขาพูดถึงเราก็รู้ แต่ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องอะไรที่เราต้องไปปฏิสัมพันธ์ด้วย เราก็ไม่ไปสนใจเขา แต่ถ้าสมมติว่ามีคนมาถามเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร แล้วเราต้องอธิบายให้เขาฟัง ก็จะคลายกำลังใจออกมาหน่อย อธิบายให้เขา เสร็จก็ผลุบกลับเข้าไปใหม่

เถรี 21-10-2014 19:34

ถาม : ที่เขาว่า......แปลว่าอะไร ตกภวังค์แล้วขึ้นฌานใหม่หรือครับ ?
ตอบ : ต่อให้เป็นฌานสี่ก็ได้ยิน จิตที่ละเอียดจริง ๆ จะรับรู้หมด ได้ยินหมด เพียงแต่ว่าถ้าเป็นฌานในลักษณะที่นิ่งอยู่ข้างใน จะไม่รับรู้อาการข้างนอก แต่ถ้าคล่องตัวจริง ๆ ก็รับรู้ได้หมด

ถาม : ที่เราทุกข์เป็นข้างนอกทั้งนั้นหมดเลย ?
ตอบ : จริงแล้วเป็นข้างนอกแทบทั้งนั้นแหละ พอใจเราส่งออกไปข้างนอก ก็ทำอันตรายเราทันที

เถรี 21-10-2014 19:39

ถาม : สมาบัติคือตั้งอยู่ในฌานตลอด ?
ตอบ : แค่เข้าถึงก็พอ เข้าถึงฌานใดฌานหนึ่งเรียกว่าสมาบัติ ถ้าคลายออกมาเมื่อไรก็ไม่ใช่ ฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่ตลอด

ถาม : ที่บอกว่าตั้งอยู่ ๗ วัน ?
ตอบ : นั่นเป็นพวกประเภทซักซ้อมจนชำนาญ มีความชำนาญในการเข้าออกชนิดที่กำหนดเวลาได้

ถาม : อย่างปฐมฌานเข้า ๗ วันได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..ถ้าคล่องตัวจริง ๆ เราต้องการเท่าไรก็ได้ อาตมาเคยตั้งอยู่เป็นเดือน ๆ ขี้เกียจประเภทหลุดออกมาแล้วโดนกิเลสตี เอาไปเลยเดือนหนึ่ง

ถาม : เดือนหนึ่งแล้วไม่ผิดปกติหรือครับ ?
ตอบ : เหมือนปกติทุกอย่าง กำลังใจจะทรงตัวเองไม่คลายออกมา แต่ถ้าเผลอเมื่อไร พ้นเวลาแล้วไม่ตั้งใหม่ก็โดนทันทีเลย หลุดออกมาเองเลย

เถรี 21-10-2014 19:48

ถาม : ทรงสมาธิแบบกำหนดเวลา ?
ตอบ : เราจะทำอะไรสมาธิก็ไม่เคลื่อนออกมา หกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ทรงตัว ต้องคอยระมัดระวังตรวจสอบดูว่า นิวรณ์กินใจเราอยู่หรือเปล่า ? อารมณ์ใจของเราทรงตัวไหม ? สติของเราควบคุมอยู่ไหม ? ถ้าสติไม่ควบคุมไว้ บางทีทั้ง ๆ ที่ตั้งเอาไว้ก็เผลอหลุดได้ ถ้าอารมณ์ใจเริ่มทรงตัวได้ มีอย่างเดียวคือเอาสติประคองไว้ ถ้าเราจะอยู่เท่าไรให้ตั้งใจไปเลย แรก ๆ ก็ไม่ได้อย่างใจหรอก แต่พอนาน ๆ ไปแล้วเหมือนกับว่า ถ้าไม่ถึงเวลาเขาจะไม่คลายออกมา เขาจะอยู่ของเขาได้เอง

เถรี 21-10-2014 19:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่วางแผนสร้างเมรุ อาคารเมรุส่วนหนึ่งจะเอาไว้เป็นที่นอนของโยม เพราะจะให้คนตายที ๓-๔ ศพพร้อมกันก็คงเป็นไปไม่ได้..ใช่ไหม ? อยากนอนเมรุกันไหม ? กลัวผีกันหรือเปล่า ? เดี๋ยวติดเครื่องปรับอากาศให้ เอาเครื่องปรับอากาศมาล่อ..!"

เถรี 22-10-2014 15:04

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนไปพุทธาภิเษกรูปหล่อหลวงปู่เปลี่ยน (พระวิสุทธิรังษี) อดีตเจ้าอาวาสวัดใต้ที่กาญจนบุรี สมาธิยังไม่คลายออกก็รู้ว่าไม่พอ จึงนั่งไปเรื่อย ๆ เมื่อรู้สึกว่าพอแล้วลืมตาขึ้นมา พระมหาจีรพันธ์ เลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัดบอกว่า “อาจารย์ครับ..ผมเปลี่ยนเทียนไป ๖ เล่มพอดี” ไม่รู้ว่าเทียน ๖ เล่มใช้เวลาจุดนานเท่าไร เทียนปากบาตรน้ำมนต์ขนาดมาตรฐานเล่มละ ๑ บาทนะ

วันนั้นไม่ได้เจตนา ตั้งใจจะเอาเงินไปช่วยสนับสนุนงานเขา ปรากฏว่าไปถึงหลวงพ่อเจ้าคุณปัญญากำลังจะทำบวงสรวงพอดี พอเห็นนี่แทบจะกระโดดกอดเลย “โอ๊ย..อาจารย์เล็ก มาเลย มาช่วยทำให้หน่อย” คราวนี้พอบวงสรวงเสร็จอธิษฐานเสร็จ ท่านบอกนิมนต์เข้าไปปลุกเสกให้ด้วย เข้าไปถึงก็เจอแต่รุ่นครูบาอาจารย์ทั้งนั้น

พระที่เคยร่วมพุทธาภิเษกด้วยกันมา จะมีหลวงพ่อฟู วัดบางสมัคร องค์นี้ท่านบอกชัดเลย องค์อื่นยังไม่ชัด ครั้งไปพุทธาภิเษกที่วัดเนินสุทธาวาสของหลวงปู่เกลี้ยง พอรู้สึกว่าเต็มลืมตาขึ้นมา หลวงพ่อฟูท่านก็ลืมตาหันมามองพอดี แล้วท่านก็พยักหน้าบอกว่า “เต็มแล้วนะ..ไปกันเถอะ” องค์อื่นยังไม่เคยเจอพูดชัดขนาดนี้ มีหลวงพ่อฟูนี่แหละ..ที่บอกชัดที่สุด"

เถรี 22-10-2014 15:26

ถาม : การพุทธาภิเษกต้องเข้าฌานเต็มกำลังไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นสายหลวงพ่อวัดท่าซุง ต้องแล้วแต่พระท่านบอก อันดับแรกเลย คือ ส่งใจไปกราบพระข้างบน กราบครูบาอาจารย์ ขอบารมีท่านช่วยสงเคราะห์ แล้วท่านบอกให้ทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ท่านบอกให้ตั้งสมาธิแบบไหน ให้ใช้คาถาบทไหน หรือให้นึกถึงภาพพระลักษณะอย่างไหน ต้องทำตามอย่างเดียว ก็เลยกลายเป็นว่า พวกเรานี่พอถึงเวลาแล้วท่านก็จะบอกว่าพอหรือยัง ตำราอื่นเขาปลุกพระ ตำราของวัดท่าซุงต้องรอพระปลุก ถึงเวลาพระท่านจะปลุกเองว่าพอแล้ว

เถรี 22-10-2014 15:49

ถาม : พุทธาภิเษกวัตถุมงคลแบบเมตตามหานิยม ?
ตอบ : ทำยากที่สุดเลย อย่างอื่นง่าย แต่เมตตายาก เพราะว่าตัวเมตตานี่ต้องออกจากใจของเราจริง ๆ ถ้ากำลังใจเราเมตตาไม่ถึง ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จหรอก

ถาม : คำว่าเมตตาถึง ?
ตอบ : ต้องเคยปฏิบัติเกี่ยวกับพรหมวิหาร ๔ มาจนคล่องตัว ถ้าเป็นอย่างอื่นไม่ว่าจะคงกระพัน แคล้วคลาด ใช้แค่อุปจารสมาธิ ขนลุกก็ใช้ได้แล้ว

เถรี 22-10-2014 16:19

ถาม : พระที่เสกวัตถุมงคลทางด้านเมตตา โยมควรตั้งกำลังใจอย่างไรถึงได้อานุภาพสูงสุดครับ ?
ตอบ : ตั้งว่ากูจะทำชั่วให้ได้..! ถ้าเราตั้งใจชั่วขนาดนั้นแล้ว อานุภาพพระยังรักษาให้คนเขาเมตตาเราได้ ก็แสดงว่ามีอานุภาพสูงสุด ตูว่าตูอธิบายชัดที่สุดแล้วนะ

ตำรานี้เขาเรียกว่าถามแบบมักง่าย คงได้รับการครอบครูมาจากบ้านสบายใจ ไอ้ถามทำนองนี้คือไม่ยอมใช้สมองคิด..!


ถาม : ก็ผมโง่นี่ครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่โง่..แต่ฉลาดเกินไป จนไม่ยอมคิดเอง พวกโง่ ๆ เขาต้องหัดคิดเอง วันนี้ทำไมโดนหลายยกแท้วะ ? อยู่ ๆ ก็ยื่นหัวมาให้ตี..!

เถรี 22-10-2014 16:22

พระอาจารย์กล่าวว่า “คนที่เขาทำอะไรเป็นหลักเป็นฐาน เป็นการเป็นงาน แสดงออกถึงความละเอียดของใจ แต่ขณะเดียวกัน คนที่ไม่ได้เตรียมตัวมา ถ้าสามารถตัดสินใจปุบปับได้เลย แสดงว่ากำลังใจดีมาก ถ้าตัดสินใจไม่ได้ ประเภทคิดแล้วคิดอีก มองแล้วมองอีกก็ยังอีกนาน กำลังใจบางอย่างจะแสดงออกได้ชัดมาก

เรื่องของการทำบุญทำทานก็เหมือนกัน ทางด้านวัดท่าขนุน โยมมาถึงก็กราบงาม ๆ ๓ ที เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วค่อยล้วงกระเป๋า เอาเงินขึ้นมานับ ตัดสินใจว่าทำเท่าไร แล้วก็เก็บที่เหลือ จากนั้นค่อยคลานมาถวาย ถ้าเป็นอย่างนั้นสัก ๒๐ คน พระมีหวังอดเพลแน่ เพราะมัวแต่นั่งรอกันอยู่”

เถรี 22-10-2014 16:30

ถาม : ตัวเมตตากับกรุณา เมื่อแผ่ไปถึงทุกคนนั้นต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่..เมตตาคือรักเขาเหมือนกับตัวเรา เราอยู่ดีมีสุขอย่างไร ก็อยากให้เขาอยู่ดีมีสุขแบบนั้น กรุณานั้นสงสารที่เห็นเขาตกอยู่ในกองทุกข์ อยากให้เขาพ้นจากห้วงทุกข์ กำลังใจต่างกันอยู่นิดเดียว

ถาม : ควรวางกำลังใจอย่างไร ?
ตอบ : มีหน้าที่อยู่อย่างเดียว คือ พยายามช่วย ถ้าไม่เกินกำลังกาย กำลังปัญญา กำลังทรัพย์ก็ช่วยเขา ถ้าเกินนั้นก็จะมีตัวอุเบกขาไว้คอยเบรก ไม่อย่างนั้นแล้วจะไปทุกข์ใจแทนเขา พระพุทธเจ้าท่านสุดยอดเลย เอาอุเบกขามาแปะท้ายไว้

ขาดอุเบกขานี่บางคนช่วยคนอื่นจนตัวเองเป็นโทษ อย่างมีโยมอยู่คนหนึ่งที่เก็บขยะขาย เขาเลี้ยงหมาไว้ ๒๐๐ กว่าตัว อันนั้นตัวเองเดือดร้อน แต่ว่าด้วยความที่เมตตากรุณามาก ก็ยอมอดให้หมาอิ่ม อันนั้นแสดงว่าขาดอุเบกขา คือทนเห็นเขาลำบากไม่ได้ หมาที่ไหนลำบากเอามาเลี้ยงหมด ก็เลยกลายเป็นเมตตาเกินประมาณ อย่างที่หลวงปู่พระพุทธพจนวราภรณ์ วัดเจดีย์หลวง ท่านว่าไว้ เมตตาเกินประมาณตัวเองก็เดือดร้อน เก็บขยะขายวัน ๆ จะได้สักกี่สตางค์ แล้วต้องเลี้ยงหมาตั้ง ๒๐๐ กว่าตัว


ถาม : แล้วผลบุญไม่ส่งเลยหรือครับ ?
ตอบ : ต้องรอชาติหน้า รับรองว่ามีบริวารช่วยเพียบเลย หรือถ้าชาตินี้ทำได้สม่ำเสมอต่อเนื่องกันเป็นสิบ ๆ ปี ท้าย ๆ ก็อาจจะได้ บางทีเห็นท่านทั้งหลายเหล่านี้ทำแล้ว ยังรู้สึกสะท้อนใจว่า เออ..กำลังใจเราสู้เขาไม่ได้ เขาตัดสินใจทำขนาดนั้นได้ ตัวเองยอมอดให้คนอื่นอิ่ม

อาตมาเข้าไปที่พุทธมณฑลตอนประมาณตีห้ากว่ายังไม่ทันจะหกโมง ทันทีที่เห็นแสงไฟ หมาเป็นร้อยตัววิ่งไล่ตามรถ เขาคิดว่าคนที่เลี้ยงเขามาแล้ว แต่ความจริงอาตมาจะไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุข้อนิ้วพระหัตถ์ที่นั่น ถ้าไปสายคนจะเยอะ เลยไปตั้งแต่เช้า กะว่าอาศัยความเป็นพระไปขออนุญาตพระท่านที่เฝ้าเข้าไปไหว้ก่อน ไปกันตั้งแต่ก่อนหกโมงเช้า หมาเห็นไฟรถนี่วิ่งตามกันมาเลย คิดว่าคนมาเลี้ยงแล้ว

แสดงว่าคนที่เขาปฏิบัติธรรมโดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าปฏิบัติธรรมมีเยอะมากเลย อย่างพวกบรรดาหมอที่สละตัวเองไปรักษาผู้ป่วยอีโบล่า นั่นเป็นฝรั่งมังค่าเอง เขาก็ไม่ได้เข้าใจว่าเรื่องของเมตตาพรหมวิหารคืออะไร รู้แต่ว่าตัวเองอยากทำ อยากช่วย ทนเห็นเขาลำบากไม่ได้

ถาม : เพราะเขาขาดเรื่องอธิษฐานบารมีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จะขาดอะไรก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้าชาตินี้เขาทำขนาดนั้น เดี๋ยวชาติหน้าเขาก็เลี้ยวเข้ามาถูกทางเอง

ถาม : หมายถึงว่า เขาทำโดยที่ตัวเองไม่รู้ว่าปฏิบัติ ?
ตอบ : บางทีก็ขาดอธิษฐานบารมี บางทีก็สร้างบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา ในเมื่อกำลังบุญยังส่งผลไม่พอ ก็ไม่ได้เข้ามาในเขต แต่ก็ยังทำต่อไป

เถรี 22-10-2014 16:33

ถาม : ตัวมุทิตาเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : มุทิตานี่เรายินดีเมื่อเห็นเขาอยู่ดีมีสุข เขาจะตั้งใจว่าขอให้มนุษย์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ท่านที่มีความสุขความเจริญดีอยู่แล้ว ขอให้มีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยเถิด ไม่ได้อิจฉาเขา มีแต่สนับสนุนอยากให้เขาได้ดียิ่งไปกว่านั้น เสียงรถยนต์วิ่งมานี่ “โห..น่าดีใจนะ เขามีรถขี่” ทั้ง ๆ ที่เราเดินเท้าอยู่นี่แหละ แต่ดีใจว่าเขามีรถขี่

ถาม : แล้วผลของมุทิตาเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ลักษณะเดียวกันว่าถ้าเขาทำถึง คนที่สภาพจิตเริ่มละเอียดจะรับได้ หรือไม่ก็สภาพจิตอยู่ในระดับอุปจารสมาธิจะรับได้ บางทีก็รู้สึกเห็นแล้วก็รักก็ชอบ อยากเข้าใกล้โดยไม่มีสาเหตุ แต่จริง ๆ สาเหตุมี..แต่ตัวเองยังไม่ชัดเจน

เถรี 22-10-2014 16:42

ถาม : ที่เขาบอกว่าเจริญเมตตาจนกระทั่งสัตว์เดรัจฉานเขาสัมผัสได้ ?
ตอบ : พระอาจารย์ของพระเจ้าอโศกมหาราชที่เป็นอดีตปริพาชก เข้าไปในสำนักของพุทธศาสนา แล้วเห็นเสือกับกวางอยู่ด้วยกันได้ ไม่เป็นศัตรูกัน ก็สงสัยว่าเป็นตัวอะไร จึงถามพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พอถามอะไรก็ตาม ท่านบอกว่า “อนัตตา” ทั้งหมด ท่านก็เลยขอฟังธรรม พอฟังธรรมแล้วกลายเป็นอรหันต์จึงขอบวช กลายเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา แล้วพวกทหารก็รับเข้าวังไป รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ของพระเจ้าอโศกมหาราช เพราะว่าท่านทำนายไว้ตั้งแต่เด็กว่า พระเจ้าอโศกมหาราชต้องฆ่าพี่น้องตัวเอง แต่ว่าต่อไปจะเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่มาก

แสดงว่าเรื่องของอภิญญาสมาบัติ เรื่องของอนาคตังสญาณท่านชำนาญมาแล้ว เพียงแต่ว่าการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ท่านยังไม่มี แล้วบุญเก่าส่งให้ท่านไปเจอพระภิกษุในพุทธศาสนาพอดี ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจไปอวดเขาว่าเราเป็นปริพาชก ได้เป็นอาจารย์ของพระเจ้าแผ่นดิน เขาส่งวอมารับ ท่านเองเป็นพระในพุทธศาสนา ท่านได้อะไรบ้าง แต่ปรากฏว่าเข้าไปถึงก็เจอของดีเข้า


ถาม : แล้วจริงไหมคะที่สัตว์จะสัมผัสได้ดีกว่าเรา ?
ตอบ : ของเขาจะดีกว่าเรามาก เพราะสัตว์ทั่ว ๆ ไปเขายังใช้ภาษาเสียง ภาษากาย ภาษาใจ ๓ อย่างรวมกัน ของเราได้แต่ภาษาเสียงกับภาษากาย ภาษากายก็อ่านไม่ค่อยออกแล้ว ยกเว้นบางท่าที่เป็นสากลจริง ๆ อย่างผลักมือออกก็ NO คราวนี้เมื่อภาษากายยังอ่านไม่ค่อยออก ภาษาใจ สภาพจิตที่หยาบก็อ่านไม่ออกไปด้วย

สมัยก่อนเขาไม่ต้องใช้ภาษามากมาย เพราะว่ามีภาษาใจเป็นหลัก แต่พอสภาพจิตของคนหยาบขึ้น ๆ จนรับภาษาใจไม่ได้ ก็ต้องเปล่งเสียงออกมาเพื่อสื่อสารกัน ก็เลยกลายเป็นภาษาโน้นภาษานี้เยอะแยะไปหมด

เถรี 22-10-2014 16:50

ถาม : กรรมมาขวางมากกว่า ?
ตอบ : ต้องบอกว่าคนเราสร้างกรรมไว้มากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่มาขัดขวางความสะดวกสบายที่ได้อำนวยจากบุญก็เลยน้อยลง จึงทำให้พวกความเป็นทิพย์ พวกภาษาใจต่าง ๆ ค่อย ๆ หายไป แล้วภาษากาย ภาษาเสียง ก็เจรจากันไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะต่างคนต่างแบกทิฐิมา

ลองไปคุยดูสิว่า ฉันปฏิบัติกรรมฐานสายนี้ดีกว่า เดี๋ยวมีคนมาช่วยกันเยอะเลย มาช่วยเสวนาด้วย ถึงได้บอกว่าคนเราสู้หมาไม่ได้ ลองอุ้มหมาไปประเทศฝรั่งเศส โยนลงไปเจอหมาด้วยก็คุยกันรู้เรื่องทันที ไม่เห็นต้องไปหัดภาษาฝรั่งเศสเลย เอาไปประเทศไหนก็ได้ โยนลงไปก็คุยกันได้ เพราะเขามีภาษากาย มีภาษาใจด้วย ของเรามีภาษาเสียงอย่างเดียวจึงสู้เขาไม่ได้

ถาม : อย่างนี้การรับรู้ด้วยใจเลย ก็ดีกว่าการแปลงเป็นเสียง ?
ตอบ :
ดีกว่าเพราะเป็นความจริง เรื่องของวาจาเป็นมายาหลอกลวงกันได้ ใจคิดอย่างหนึ่ง ปากพูดอีกอย่างหนึ่ง มีน้องอยู่คนหนึ่ง เขาแทบจะรับสภาพสังคมปัจจุบันไม่ได้ เพราะว่าใครอยู่ใกล้นี่เขาอ่านความคิดได้หมด แล้วทำไมถึงพูดคนละอย่างกับที่เขาคิด เขาก็เลยเครียดอยู่คนเดียว อันนั้นก็ว่าเขาไม่ได้หรอก เขายังปล่อยไม่เป็น วางไม่เป็น ไปคิดอยู่อย่างเดียวว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เครียดอยู่คนเดียว แต่ถ้าเราเห็นว่าปกติธรรมดาเขาก็เป็นอย่างนั้น อยากว่าอะไรก็เออ ๆ ค่ะ ๆ ไปตามเรื่องก็จบแล้ว

อย่างเรื่องที่เขาว่า ถ้าหากใครพูดอะไรมา แล้วเราอยากว่าเขาตอแหล ให้พูดว่า “อ๋อ..หรือคะ ?” อย่าไปด่าว่าเขาตอแหลนะ คุณแม่สอนไว้ ถ้าเขามาพูดโกหกก็ให้พูดว่า “อ๋อ..หรือคะ ?”

เถรี 22-10-2014 17:16

ถาม : ไปเช่าธงมหาพิชัยสงคราม เพื่อจะนำไปแจกทหารสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ?
ตอบ : ให้ใช้คาถา “พุท ธะสัง มิ” ในการปลุกธง ก็คือ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ธงมหาพิชัยสงคราม เป็นวัตถุมงคลที่อาตมาติดตัวอยู่ตลอดเวลาที่อยู่ชายแดน รับประกันคุณภาพ ชอบใจอยู่อย่างเดียวว่า จะปืนจะระเบิดอะไรยิงออกหมด แต่ไม่มีถูก นิสัยของอาตมาชอบเสียงดัง ๆ ได้ยินแล้วคึก ได้ยินแล้วจะวิ่งสวนกระสุนท่าเดียว หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถึงได้บอกว่า ลูกของท่านนี่กลัวไม่ได้

ถ้าพกธงมหาพิชัยสงครามอยู่ ตกอยู่ในวงล้อมนี่ เสียงปืนด้านไหนแน่นที่สุด ให้ฝ่าออกไปทางด้านนั้น วัดกันชัด ๆ เลยว่า เรายังกลัวหรือเปล่า ?

เถรี 22-10-2014 17:23

ถาม : อุเบกขาพรหมวิหารเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าอุเบกขาที่ทำถึงที่สุดเลยก็คือ ปล่อยวางแม้แต่สังขารร่างกายของเรา ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นได้ ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ไปเลย ที่เขาเรียกว่าสังขารุเปกขาญาณ ปล่อยวางในการปรุงแต่งทั้งปวง เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รสสักแต่ว่าได้รส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส หยุดการคิดเพราะเห็นโทษในสิ่งทั้งปวง นับว่าเป็นอุเบกขาที่แท้จริง

ถาม : แล้วกระแสแผ่ออกไปจะมีผลอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าบางคนไม่สังเกต บางทีท่านนั่งอยู่ก็ไม่เห็นท่าน เหมือนกับว่าท่านวางหมดทุกอย่างแล้ว จุดที่ท่านอยู่ก็เลยเหมือนกับไม่มีอะไรเลย ถ้าคนไม่สังเกตบางทีไม่เห็นท่านหรอก

ถาม : ตอนแรกคิดว่าอุเบกขาจะไม่มีการแผ่ออกไปอีก ?
ตอบ : แผ่ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าลักษณะของการทำไปถึงอุเบกขาแล้ว ส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยปัญญามากเป็นพิเศษ เพราะมีปัญญาตั้งแต่รู้ว่า ในเมื่อเราแก้ไขไม่ได้ ดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์..ใช่ไหม ? ปัญญาขั้นต้นก็ไล่ไปสิ ไล่ไปจนกระทั่งถึงเห็นทุกข์เห็นโทษก็เลยปล่อยวาง ไม่ไปแตะต้อง ทุกข์โทษเหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้น

เถรี 22-10-2014 17:32

ถาม : แล้วอุเบกขาจะเป็นฐานให้เข้าถึงอรูปฌานได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นอุเบกขา กำลังใช้ได้ แต่ถ้าจะทำอรูปฌาน อย่างน้อย ๆ ต้องจับภาพกสิณอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ยกเว้นอากาสกสิณ หรือถ้าไม่มีความคล่องตัว ก็ต้องเว้นอาโลกกสิณไปด้วย

ถาม : ถ้ามีความคล่องตัวในอาโลกกสิณ ?
ตอบ : อาโลกกสิณจับเป็นดวงกสิณได้ยากเพราะอาศัยแสงสว่างเป็นดวงกสิณ

ถาม : แล้วถ้ามีความคล่องตัวก็จะแยกได้ ?
ตอบ : สามารถแยกได้ แต่คราวนี้ถ้าไม่มีความคล่องตัวก็เว้นไปเลย ไปจับกสิณที่อาศัยรูปชัด ๆ แทน คราวนี้พอจับกสิณแล้ว กำลังสมาธิที่ได้มาจากพรหมวิหาร ก็จะช่วยให้ดวงกสิณมั่นคงได้เร็ว จับติดตาได้ง่าย แล้วระดับการเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นเร็ว เพราะว่าสมาธิทรงตัวแล้ว

ถาม : แปลว่าต้องเปลี่ยนกองกรรมฐาน ?
ตอบ : ให้กลับมาใช้คำภาวนากับจับรูปก่อน แต่ว่าสมาธิก็เท่าเดิมที่เราเคยทำได้ ในเมื่อพื้นฐานสมาธิมี เรื่องนี้ก็ง่ายแล้ว

ถาม : แต่จริง ๆ พรหมวิหารก็เป็นตัวสนับสนุนกันใช่ไหมคะ ? ถ้าเราแผ่เมตตาไปด้วยสมาธิจะรวมตัวเร็ว อันนั้นคือเราเจริญพรหมวิหาร ?
ตอบ : เรื่องของพรหมวิหาร ๔ ช่วยให้กำลังใจไม่แห้งแล้ง เกิดความชุ่มชื่นเบิกบาน ทำแล้วไม่อิ่ม ไม่เบื่อ ไม่หน่าย ถ้าไม่มีพรหมวิหาร ๔ คอยช่วยอยู่ บางทีก็รู้สึกแห้งแล้งอย่างไรไม่รู้ แล้วก็พาให้เบื่อไปเอง

เถรี 22-10-2014 17:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปฏิบัติธรรมงวดนี้คงได้สอนมากหน่อย เพราะว่าระยะหลายวัน ส่วนใหญ่อยากจะนำมาก แต่ก็ติดที่ว่าต้องทำวัตรเช้า ต้องบิณฑบาต ก็สอนได้วันละหน่อย บางคนก็สงสัยว่า "ไม่มีอะไรมากกว่านี้หรือ ?" อยากจะบอกกับเขาว่า "ถ้าเอ็งทำจริง ๆ จบเลยนะนั่น" แต่เขาไม่ค่อยจะสังเกตกัน แต่ที่เขาชอบกันเพราะว่า พอทำตามแล้วอารมณ์ใจทรงตัวเร็ว อาศัยคำแนะนำเป็นการโยงใจให้เกิดสมาธิ แต่ส่วนใหญ่พอถึงเวลาทำวัตรก็ปล่อยหลุดหมด"

เถรี 22-10-2014 17:48

ถาม : ตอนที่พระโพธิสัตว์จะบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงยกปฏิจจสมุปบาทขึ้น ในขณะนั้นมีฌานหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีกำลังฌาน การพิจารณาจะไม่ชัดเจน พอไป ๆ แล้วกำลังสมาธิหมด บางทีเหมือนกับคิดต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ทรงฌานคล่องตัวนี่การพิจารณาทุกอย่างประโยชน์จะน้อยมาก ต้องบอกว่า “จำเป็นต้องทรงฌานเลย ถ้าจะพิจารณา”

ถ้าเราสังเกตหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะบอกว่า “เข้าสมาธิให้เต็มที่ คลายออกมาแล้วพิจารณา” ก็คือเอากำลังจากสมาธินั่นแหละ ถ้าหากว่ารู้สึกมันจางไป พิจารณาไม่ชัดเจนก็เข้าสมาธิใหม่ คลายออกมาแล้วว่าใหม่ จำเป็นที่จะต้องใช้เลย ฉะนั้นเรื่องของสมาธินี่ทิ้งไม่ได้เด็ดขาด

เถรี 22-10-2014 18:02

ถาม : ถ้าเป็นโสดาปัตติมรรคเขาเรียกว่าอาสวักขยญาณไหมครับ ?
ตอบ : ยังไม่ถึง แต่ไม่ถอยหลังแล้ว เหมือนอย่างกับคนได้กินอาหารอร่อยแล้วติดใจ อย่างไรก็ต้องขึ้นหน้าไปกินให้ได้

ถาม : แล้วที่เขาว่าอาสวักขยญาณหมายถึงมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑
ตอบ : อย่างน้อยต้องเป็นโสดาปัตติผลขึ้นไป ก็ตัดกิเลสไปได้ตามกำลังใจของตนเอง ถ้ายังไม่ได้โสดาปัตติผลขึ้นไปจะยังไม่เรียกว่าอาสวักขยญาณ เพราะว่าตัดกิเลสบางตัวยังไม่ได้

ถาม : ที่ถามอย่างนี้เพราะว่า ถ้าเข้าฌานสี่แล้วสามารถไปได้ถึงอาสวักขยญาณ
ตอบ : ถ้าหากว่ากำลังฌานสี่พอนี่ตัดได้ถึงระดับสุดท้ายเลย ถ้าหากว่าจะเอาเบื้องต้นอย่างพระโสดาบัน แค่ปฐมฌานก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าจะให้ดีก็ฌานสี่ปลอดภัยกว่า

เถรี 22-10-2014 18:08

ถาม : อภิญญากำลังใจที่จะใช้อยู่ระดับฌานไหนครับ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องเป็นฌานสี่คล่องตัว ถ้าได้สมาบัติแปดยิ่งดี บุคคลที่ทรงอภิญญาจริง ๆ แทบจะไม่ละจากการทรงฌานเลย ยิ่งพวกที่ใช้เป็นปกติ พูดง่าย ๆ ก็คืออยู่กับฌานไปเลย เพียงแต่ว่าขึ้น ลง อธิษฐานจนเกิดความคล่องตัว ท้ายสุดคิดแล้วก็เป็น ไม่ต้องเสียเวลาไปอธิษฐาน

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถ้าไม่มีกำลังของฌานก็ต้องเป็นอุปจารสมาธิอย่างต่ำ แต่ว่าพวกอภิญญานี่ต้องเป็นกำลังฌานสี่ทั้งนั้น


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:59


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว