กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6411)

เถรี 04-12-2018 08:42

เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๖๑
 
ถาม : ดิฉันมีลูกน้องเข้ามาทำงานได้ประมาณ ๖ เดือน โดยมีผู้ใหญ่ในบริษัทฝากเข้ามาทำงาน เมื่อเข้ามาทำงานแล้ว ปรากฎว่ามาสายตลอด ทำงานไม่เป็นเลย สอนอะไรไปไม่เคยจำ ดิฉันทุกข์ใจมาก ตักเตือนไปหลายครั้ง ก็ไม่ดีขึ้น บางครั้งโดนดิฉันตักเตือนก็เอาแต่ร้องไห้ แจ้งไปทางหัวหน้างานก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเกรงใจผู้ใหญ่ที่ฝากมา ดิฉันทุกข์ใจมาก อยากให้พระอาจารย์เมตตาแนะนำด้วยค่ะ
ตอบ : ไล่ออกไปเลย..! อยู่ไปก็ถ่วงความเจริญของหน่วยงาน คนประเภทนี้วัดท่าขนุนไม่เคยเก็บเอาไว้ ที่ไม่เคยเก็บเอาไว้เพราะว่าอยู่ไปก็ถ่วงความเจริญของคนอื่นและหน่วยงาน

เถรี 04-12-2018 08:44

ถาม : ผมเกรงว่าคนที่ไม่เข้าใจเขาจะปรามาสถึงครูบาอาจารย์ ว่าผมปฏิบัติธรรมแล้วเพี้ยนหรือบ้า ถ้าปีติดีดเกินคนปกติไปไม่เลือกกาลเทศะ จะทำอย่างไรให้กลับมาปกติมนุษย์อย่างคนปกติครับ ?
ตอบ : ปล่อยให้ขึ้นให้เต็มที่ ถ้าขึ้นเต็มที่แล้วจะเลิกไปเอง ถ้าไม่เต็มที่ก็เป็นอยู่แบบนั้นทั้งชาติ

เถรี 04-12-2018 08:48

ถาม : ได้ภาวนาคาถา “เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา” โดยพยายามให้จิตมีความเมตตามากที่สุด ภาวนาเกือบตลอดเวลา ๒ วัน รู้สึกว่ารู้กับการได้ยินดีและเร็วไวขึ้นมาก แต่ที่แปลกคือเหมือนจะเห็นภพภูมิอื่นด้วย จึงสงสัยว่าคาถานี้ช่วยส่งผลด้านนี้ด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าสภาพจิตสงบและมีพื้นฐานทิพจักขุญาณมาแต่เดิม ไม่ว่าจะภาวนาคาถาอะไรก็เห็นได้ทั้งนั้น

ถาม : วันที่ภาวนาคาถานี้ ปรากฏคนรู้จักมีอาการไม่สบาย ท้องเสียอย่างหนักเป็นไข้ หน้าซีดเซียว คือคนนี้บ้านอยู่ใกล้ มักชอบมามองสังเกตแล้วจับผิดหาเรื่องคิดเก็บไปโกรธเอง พูดว่านินทา ทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรให้ คาถานี้จะสะท้อนผลถึงผู้ที่ก่อการร้ายต่อผู้สวดคาถาในลักษณะใดบ้าง ?
ตอบ : หนักเบาแล้วแต่เขา เขาจะคิด จะพูด จะทำอะไรกับเรา เขาก็จะได้คืนไปมากกว่านั้น คาถานี้เป็นคาถาใจดี ใครให้อะไรมา ก็คืนกลับไปเยอะ ๆ

ถาม : ตอนนี้จึงกลับมาภาวนาพุทโธเหมือนเดิม เพราะคิดว่าการภาวนาพุทโธหรืออานาปานสติจะช่วยเน้นด้านวิปัสสนามากกว่า ตรงนี้เข้าใจถูกหรือไม่ ?
ตอบ : ผิด..วิปัสสนาเขาเอาไว้พิจารณา เขาไม่ได้เอาไว้ภาวนา

เถรี 04-12-2018 08:54

ถาม : การรู้เห็นด้านอภิญญา จะมีทิพจักขุญาณ การเห็นเป็นภาพ บางคนจะไม่ได้ยินเสียง หูทิพย์ การได้ยิน บางคนจะไม่เห็นภาพ การรู้ รู้เรื่องราวต่าง ๆ ไม่เห็นภาพและไม่ได้ยิน แต่ความรู้เรื่องราวจะผุดขึ้นมาเอง เมื่อตรวจสอบข้อมูลก็ตรง การรู้นี้เรียกว่าเรียกอะไร ?
ตอบ : เห็นภาพเรียกว่าทิพจักขุ ได้ยินเสียงเรียกว่าทิพโสต เกิดความรู้สึกขึ้นมาแล้วเข้าใจเองโดยไม่ต้องเห็น เรียกว่าทิพจักขุญาณ

เอาให้แน่ ๆ นะ ทิพจักขุกับทิพจักขุญาณ คนละเรื่องกันนะ ทิพจักขุลักษณะเหมือนตาทิพย์คือเห็น ทิพจักขุญาณเป็นความรู้สึกเหมือนกับเห็น ชัดเจนมาก บอกได้ทุกอย่าง แต่ไม่เห็น


ถาม : อภิญญา ๓ อย่างนี้ บางท่านสามารถทำได้ครบ แต่ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ไม่ว่ามีอภิญญาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือครบทั้งสามอย่าง ก็โดนมารหลอกได้และผิดพลาดได้ใช่ไหม ?
ตอบ : ขนาดหมดกิเลสแล้ว มารยังพยายามหลอกเลย พวกไม่หมดกิเลสนี่เป็นลูกน้องของมารแน่ ๆ อยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก เขาหลอกเป็นประจำ

ถาม : ดังนั้น เราจึงไม่ควรให้ความสำคัญเท่ากับการแก้ไขกิเลสร้ายในใจ ใช่หรือไม่ ?
ตอบ : พิจารณาเอาเองว่าใช่หรือเปล่า เขาเรียกว่าถามแบบอวดรู้ ไม่ใช่ถามเพื่อเอาความรู้

เถรี 04-12-2018 09:06

ถาม : เวลา ๔ นาฬิกาของวันนี้ ผมตื่นมานั่งกรรมฐานจับภาพพระภาวนาตามปกติ แต่ภาพพระกลับแปรสภาพเป็นพระพักตร์ของในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้วผ่องใส ชัดเจนมากขึ้น ๆ ผมพยายามจะให้กลับมาเป็นภาพพระเหมือนเดิมตามที่หลวงพ่อสอนไว้ แต่พอเริ่มจับภาพพระใหม่วันนั้นกลับเข้าสมาธิไปถึงจุดเดิมไม่ได้อีก ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ผมควรปล่อยใจไปตามสบายหรือรีบถอยมาจับภาพพระทันทีครับ ?
ตอบ : ทำไม่รู้ไม่ชี้ ภาวนาต่อไปตามแบบที่เราทำ อย่าไปใส่ใจอยากให้มาอยากให้ไป อย่าดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากสภาวะนั้นและอย่าอยากเข้าสู่สภาวะนั้น ที่ทำต่อไม่ได้เพราะว่าอยากจะเข้าไปที่เดิม ในเมื่อเกิดความอยาก ก็กั้นความดีไว้หมด เข้าถึงไม่ได้

เถรี 04-12-2018 09:08

ถาม : อัสสาสะ ปัสสาสะ หรือที่เรียกว่าคาบลมในทางไสยศาสตร์ การภาวนาด้วยวิธีนี้ต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : กลั้นใจว่าคาถาตามที่เขากำหนด อย่างเช่นว่าช่วงหนึ่งลมหายใจกลั้นไว้ ต้องว่าให้ได้ ๑๐๘ จบ

ถาม : ถ้าเราเป็นหวัดไม่สามารถภาวนาให้ลมออกทางจมูกได้นั้น เราเปลี่ยนเป็นให้ลมออกทางปากแล้วเอาจิตจับแทนจมูก อย่างนี้เป็นการถูกต้องหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ใช้ได้ แต่คงจะคอแห้งน่าดู

เถรี 04-12-2018 09:13

ถาม : สูตรยาขมิ้นชันเท่าหัวแม่มือ หญ้าแพรกหนึ่งกำมือ โขลกให้ละเอียด ละลายด้วยน้ำปูนใส คั้นให้ได้หนึ่งถ้วยชา กินก่อนอาหารเช้า อย่างน้อย ๓๐ นาที ถ้าเราจะกินเพื่อให้กระตุ้นโกรธฮอร์โมน โดยที่เราไม่ได้เป็นเบาหวานหรือมะเร็ง สามารถกินได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าอายุเกิน ๑๒ แล้ว กินเพื่อกระตุ้นโกรธฮอร์โมนก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าโกรธฮอร์โมนหมดอานุภาพตั้งแต่ที่ภาษาหมอเขาว่า "กระดูกปิด" แล้ว

เถรี 04-12-2018 09:14

ถาม : ถ้าเราเป็นคนรวย และในชีวิตประจำวันของเรานั้นเราชอบที่จะกินข้าวราดแกงเป็นหลัก แต่ตอนที่เราใส่บาตรแด่พระสงฆ์นั้น เราเลือกถวายอาหารอย่างไก่ทอด กระผมอยากทราบว่าอานิสงส์ที่เราจะได้นั้นจะเป็นสามีทานหรือไม่ขอรับ ?
ตอบ : ได้ให้สามีด้วยหรือเปล่า...? ให้ของที่เหนือกว่าที่เรากินที่เราใช้ จัดเป็นสามีทานทั้งหมด แสดงว่าอดีตกาลเคยทำแต่ทาสทานมา ก็เลยกินใช้ของดี ๆ อย่างคนอื่นเขาไม่ได้ ชาติต่อไปน่าจะมีโอกาสได้กินไก่ทอดทีละตัน...!

เถรี 04-12-2018 09:18

ถาม : เครื่องบูชาครูในการฝึกมโนมยิทธิที่มีดอกไม้ ๓ สี ธูป ๓ ดอก เทียนหนักบาท ๑ เล่ม และเงินบูชาครู ผมเป็นโรคภูมิแพ้ควัน ถ้าผมไม่จุดธูปเทียนจะได้หรือไม่ ?
ตอบ : เขาไม่ได้บังคับว่าต้องจุด ขอให้แค่มีเท่านั้น แล้วก็คงไม่มีใครเขาจุด นอกจากเอ็ง...! แสดงว่าเข้าใจผิดตั้งแต่แรกแล้ว

ถาม : แล้วการเปลี่ยนเครื่องบูชาครูนั้นใช้ธูปเทียนชุดเดิมโดยเปลี่ยนเฉพาะดอกไม้ ๓ สีกับเงินบูชาครูได้หรือไม่ หรือต้องเปลี่ยนใหม่ยกชุดทั้งธูปและเทียนด้วยทุกครั้งครับ ?
ตอบ : ควรที่จะเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด

เถรี 04-12-2018 19:16

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีพวกเครื่องรางบางชิ้นที่กลัวว่าเราจะเอาไม่อยู่กัน เลยไม่กล้าเอามาลงเว็บ ก็คือพวกเครื่องรางที่ทำจากกะโหลกผี ทางด้านล้านนานอกจากพวกมีดแหวก ที่เขาเอาไว้สำหรับไล่โรคไล่ผีอะไรต่าง ๆ แล้ว ยังมีถ้วยฝนยาที่ทำจากกะโหลกผี เขามักจะใช้พวกเขี้ยวสัตว์ อย่างเช่น พวกเขี้ยวเสือ เขี้ยวหมูป่า ฯลฯ มาฝนกับกะโหลกนั้นเพื่อเอาไปทำยา แล้วก็ยังมีที่แกะเป็นพวกปั้นเหน่ง (หัวเข็มขัด)

อาตมามีอยู่ ๓-๔ ชิ้น แต่ว่ากลัวพวกเราจะเป็นลมตายกัน ก็เลยไม่ได้เอามา บางชิ้นแกะสวยมาก ๆ เลย ต้องยอมรับว่าช่างโบราณฝีมือเขาดี แบบเดียวกับที่เขาแกะปั้นเหน่งกะโหลกแม่นาค"

เถรี 04-12-2018 20:56

ถาม : กงจักรในมหาปุริสลักษณะมีกี่แฉก และหมายถึงธรรมข้อใดครับ ?
ตอบ : เขาบอกว่ามีกงตั้งพัน นับไหวไหม ? ไปดูในจักกวัตติสูตรหรือไม่ก็ในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ในขุททกนิกาย รายละเอียดมีเยอะมาก อ่านเสียให้พอ

ถาม : มหาปุริสลักษณะมีเฉพาะพระโพธิสัตว์บารมีใกล้จะเต็มใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีเฉพาะพระโพธิสัตว์ที่เป็นอุปบารมีขึ้นไป แล้วก็เริ่มมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จนชาติที่บรรลุมรรคผลก็จะมีครบทุกอย่าง

เถรี 04-12-2018 21:07

ถาม : กระผมมีความสงสัยว่า วันเสาร์ แรม ๕ ค่ำ ถือเป็นวันห้ามทำการมงคล เหมือนกับวันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าตำราไม่ได้ห้ามไว้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าตำราห้ามไว้ก็แปลว่าทำไม่ได้ เราก็ไปเปลี่ยนใหม่สิ วันเสาร์ใช้ ๑๕ ค่ำก็ได้ ๔ ค่ำก็ได้ ยังเป็นวันสิทธิโชค มหาสิทธิโชคอยู่

เถรี 04-12-2018 21:09

ถาม : บ้านเช่า ๓ หลังติดกัน มีโรงจอดรถกั้นกลางระหว่างบ้านเช่าทุกหลัง แต่ไม่มีรั้วกั้นแบ่งเขตจากกัน บ้านหลังหนึ่งผู้เช่าได้ตั้งศาลพระภูมิทางทิศตะวันออกของบ้านตน แต่จะอยู่ทางตะวันตกของบ้านอีก ๒ หลัง จะมีผลเสียใด ๆ เกิดขึ้นกับผู้อาศัยในบ้านทั้งสองหลังหรือไม่ครับ ?
ตอบ : มีผลเฉพาะบ้านที่ตั้งเท่านั้น เพราะอีก ๒ บ้านไม่ได้ตั้ง ไม่ได้แสดงออกว่าเคารพหรือไม่เคารพท่าน เขาไม่นับ

เถรี 04-12-2018 21:13

ถาม : ในการที่พระท่านได้ไปบิณฑบาต แล้วแบ่งอาหารส่วนหนึ่งมาให้กับนักเรียนและครู มารับประทานในตอนเช้าและเที่ยง ซึ่งอาหารบางส่วนเหลือไม่มีใครรับประทาน กระผมกลัวว่าถ้าปล่อยไว้จะเน่าเสียไร้ซึ่งประโยชน์ จึงได้ขอเอากลับมาบ้าน เพื่อให้สุนัขในละแวกบ้าน ได้อิ่มท้องกัน กระผมจึงอยากจะเรียนถามพระอาจารย์ว่า กรณีที่กระผมนำอาหารที่เหลือกลับมาบ้าน เพื่อให้สุนัขได้อิ่มท้อง ในใจผมคิดแต่จะเมตตากับสัตว์ หวังให้สัตว์ผู้หิวโหยได้อิ่มหนำสำราญ กระผมจะติดหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ลงนรกไปพร้อมกับหมา...! เรื่องของอาหารจากบิณฑบาต ต่อให้เขาตั้งใจถวายเฉพาะตนก็ตามให้คิดว่าเป็นของสงฆ์เสมอ ถ้าเราไม่ได้มีเจโตปริยญาณรู้ว่าเขาถวายเจาะจงเฉพาะตนแล้วไปทำอย่างนั้น พระจะพาโยมซวยไปด้วย

พระพุทธเจ้าอนุญาตให้แบ่งอาหารบิณฑบาตให้เฉพาะพ่อแม่เท่านั้น นอกนั้นต้องให้คณะสงฆ์อนุญาต แล้วการอนุญาตก็คือกินได้ ใช้ได้เฉพาะที่วัด หลุดจากวัดไปก็ซวยอีก ถ้าอยากจะเป็นเปรต ๙๑ กัปแบบญาติพระเจ้าพิมพิสารก็ลองเอากลับบ้านดู นั่นขนาดสงฆ์อนุญาตแล้วนะ


เถรี 04-12-2018 21:16

ถาม : ผมตั้งใจไว้ว่าปีหน้าผมจะบวชพระด้วยตัวเอง และจะมีการบอกบุญญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน โดยการพิมพ์ซองแจก ผมมีความสงสัยว่าหากมีคนทำบุญมาในการบวช ผมควรจะจัดสรรปัจจัยที่คนทำบุญมาอย่างไรดีครับ จึงจะถูกต้องและเหมาะสมที่สุดครับ ?
ตอบ : ใช้เฉพาะในงานบวชเท่านั้น อย่าทะลึ่งเอาไปเลี้ยงคน เพราะเจตนาของเขาทันทีทันใดที่คิดก็คือตั้งใจบวชพระ เขาไม่ได้ตั้งใจให้ไปเลี้ยงโต๊ะ ไม่ได้ตั้งใจให้เอาเป็นค่าพิมพ์ซอง

เถรี 04-12-2018 21:17

เมื่อครู่นี้ที่ยังกล่าวเรื่องของสงฆ์ที่กล่าวไม่หมด เหตุที่มีโทษหนักขนาดนั้น เพราะว่าบุคคลที่เขาถวายของไป ถ้าหากเห็นเราเอาไปให้คนอื่น เขาไม่ชอบใจ เขาเกิดเสื่อมศรัทธาขึ้นมา เราจะอยู่ไม่ได้ ถ้าหากว่าเขาเสื่อมศรัทธาหลาย ๆ แห่ง แม้แต่พระศาสนาก็อยู่ไม่ได้ โทษจึงหนักมาก

เพราะฉะนั้น...เป็นพระต้องระมัดระวังด้วย ไม่ใช่ทำส่งเดช คิดว่าเราเมตตา ขณะเดียวกันญาติโยมที่ไม่รู้ความก็สงเคราะห์คนอื่นด้วยความเมตตา กลายเป็นหวังดีแต่ประสงค์ร้าย เพราะเอาโทษหนักไปให้เขา

เถรี 04-12-2018 21:19

ถาม : กรณีที่ห้องพักเป็นแบบห้องเช่าซึ่งเป็นห้องเดี่ยว ๆ แล้วเรามีการตั้งหิ้งพระในห้องนั้น รวมทั้งมีวัตถุมงคลต่าง ๆ ในห้องโดยวางไว้บนตู้เสื้อผ้าด้วย แล้วเรามีการถอดเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในห้องนั้น เช่น กิน นอน รวมถึงมีการร่วมรักกันในห้องนั้น ไม่ทราบว่ากรณีอย่างนี้จะเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่ครับ ถ้าปรามาสควรปรับปรุงและแก้ไขอย่างไรจึงจะถูกต้องเหมาะสมครับ ?
ตอบ : ก็ทำผ้าม่านเล็ก ๆ สักหน่อยหนึ่ง ถึงเวลาก็รูดปิดตรงหิ้งพระ เอาแบบพระพม่า

พระพม่า เวลาเจ้าอาวาสจะให้โอวาทพระลูกวัด จะรูดม่านปิดพระประธานก่อน เคยถามท่านว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ? ท่านบอกว่าการหันหลังให้พระรัตนตรัยเป็นบาป นั่นท่านตีความผิด...!

การหันหลังให้พระรัตนตรัยที่เป็นบาป หมายความว่าเปลี่ยนใจจากการนับถือพระรัตนตรัยไปนับถืออย่างอื่น แต่ท่านก็ระมัดระวังด้วยการทำม่าน ถึงเวลาก็รูดปิดก่อน ถึงจะหันหลัง นั่งอาสนะอบรมพระ เราเองถ้าหนักใจก็ทำม่านสักหน่อย เปลืองเงินเพิ่มขึ้น จะได้หายฟุ้งซ่าน...!

เถรี 04-12-2018 22:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอให้ญาติโยมทราบว่า ตอนนี้ถ้าจะเอาอนุโมทนาบัตร พระไม่มีสิทธิ์ออกให้แล้ว เป็นหน้าที่ของกรมสรรพากร ถึงเวลาต้องการอนุโมทนาบัตรต้องโอนเงินผ่าน QR-Code ของแต่ละวัด แล้วก็ติ๊กยืนยันการขอรับอนุโมทนาบัตรไปด้วย ถึงเวลาเขาจะส่งมาให้ตามที่อยู่ซึ่งเรากรอกไว้

กฎหมายนี้มีพื้นฐานอยู่บนแนวคิดว่าพระทุกรูปเลวมาก โกงเงินทั้งนั้น..! ก็เลยต้องออกมาลักษณะอย่างนี้ แต่ดีตรงที่ว่าทำให้วัดและพระลดภาระลงไปเยอะมาก ปัจจุบันนี้อนุโมทนาบัตรแต่ละเล่มก็ไม่ใช่ราคาถูก ๆ

มีช่วงหนึ่งที่อาตมาออกอนุโมทนาบัตรมือหงิกเลย คือ ทางทองผาภูมิมีการออกบัตรคุมคนต่างด้าว ถ้าใครเคยอยู่มา ๒๐ ปี เป็นบัตรสีนี้ ใครอยู่มา ๕ ปี เป็นบัตรสีนี้ เป็นต้น วันดีคืนดีก็ออกกฎมาว่า ถ้าไม่เคยสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ไม่เคยสร้างประโยชน์ให้กับวัดวาอาราม จะไม่ออกบัตรสีอื่นให้ เขาก็วิ่งเข้าวัดกันเป็นพัน ทำบุญคนละร้อย เพื่อขออนุโมทนาบัตร ก็ดีนะที่มีคนเข้าวัด แต่ก็เขียนไม่ไหว

เราลองนึกดูว่า บุคคลต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในทองผาภูมิมีเป็นล้านคน แล้ววัดมีแค่ ๕๒ วัด จะเขียนไหวไหม ? บางท่านเงินน้อยก็ทำ ๒๐ บาท ก็ต้องเขียนให้ไป"


เถรี 04-12-2018 22:25

"แต่ช่วงนี้ดีตรงที่ว่า ทองผาภูมิจะสงบเงียบเรียบร้อยมาก เพราะทันทีที่ได้บัตรประชาชนของทางราชการ คุณยังไม่สามารถเปลี่ยนนามสกุลเป็นไทยได้ เขากำหนดไว้ว่า ถ้าภายใน ๕ ปี ไม่เคยมีคดีหนักคดีเบาอะไร ไม่เคยขึ้นโรงขึ้นศาล หรือขึ้นสถานีตำรวจเลย ถึงจะอนุญาตให้เปลี่ยนนามสกุลเป็นไทยได้ ระยะนี้ทางด้านทองผาภูมิจึงสงบเงียบเรียบร้อย ไม่มีใครกล้าทำอะไร กลัวประเภทไปมองหน้าเขา แล้วอีกฝ่ายแจ้งความหมิ่นประมาท แค่บันทึกประจำวันเท่านั้นก็ซวยแล้ว ต้องบอกว่าเป็นนโยบายที่ดี

ถามว่าทำไมไม่ใช้กฎหมายต่างด้าว ? ประเภทอยู่อาศัย ๑๐ ปี จ่ายภาษีสม่ำเสมอจะให้สัญชาติไทย ทำไม่ได้เพราะว่าช่วงนั้นคนพม่าดิ้นรนมาไทยมากเป็นพิเศษ ถ้าอนุญาตเมื่อไรก็แห่กันมาเกินครึ่งประเทศแน่นอน ปัจจุบันนี้โยมลองไปแถวมหาชัยดูสิ ไม่ว่าจะป้ายโฆษณาตลอดจนเอทีเอ็มต้องเป็นภาษาพม่า ขณะเดียวกันสิ่งที่น่ากลัวมากก็คือ ปัจจุบันนี้เขาทั้งหลายเหล่านั้นเริ่มเป็นเจ้าของกิจการแล้ว"

เถรี 04-12-2018 23:10

"ทองผาภูมิมีร้านค้าหลักอยู่ร้านหนึ่งที่กิจการดีมากเป็นพิเศษ คือ ร้านลัดดาวัลย์ของลุงเตือนกับเจ๊เกี๊ยว เหตุที่กิจการดีมากเป็นพิเศษ เพราะผูกขาดการขายส่งให้พ่อค้ารายย่อย ขนของเข้าไปตามแปลง แปลงในที่นี้ก็คือหมู่บ้านจัดสรรของทางการไฟฟ้า ซึ่งเขาย้ายชาวบ้านออกจากพื้นที่เขื่อน แล้วก็ไปตั้งที่อยู่แปลงละหมู่บ้าน ก็คือ แปลงหนึ่ง แปลงสอง แปลงสาม แปลงสี่ แปลงห้า แปลงหก ก็แปลว่ามีลูกค้าประจำเป็นพัน ๆ ทุกวัน ลุงเตือนกับเจ๊เกี๊ยวอายุมากขึ้น รับงานหนักขนาดนั้นไม่ไหว จึงขายกิจการ ปัจจุบันนี้คนดำเนินการต่อเป็นคนพม่า

แปลว่าอะไร ? แปลว่าคนไทยจะเริ่มสูญเสียความเป็นเจ้าของกิจการไปเรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับสมัยก่อนที่คนจีนอพยพเข้ามา เสื่อผืนหมอนใบ ปัจจุบันนี้ก็กุมเศรษฐกิจในเมืองไทยอยู่ แค่เจริญ สิริวัฒนภักดีกับเจริญโภคภัณฑ์ก็เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็จะมีคนพม่าเป็นเถ้าแก่แล้วคนไทยไปเป็นลูกน้อง เพราะว่าสันดานคนไทยขี้เกียจ ไม่ดิ้นรน ถ้ามีกินวันนี้พอแล้ว ไม่คิดถึงอนาคตข้างหน้า เพราะเราไม่เคยลำบาก

ส่วนพม่าเขาบ้านแตกสาแหรกขาด ลูกตาย เมียตาย ผัวตาย เพราะว่าการสู้รบระหว่างชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาล หลบหนีมาเมืองไทยก็ต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบอย่างเต็มที่ อันดับแรกคือเอาตัวให้รอด อันดับที่สองคือส่งไปเกื้อกูลญาติพี่น้องที่ยังอยู่ในพม่า ในเมื่อเขาขยัน ถึงเวลาก็สามารถเป็นเจ้าของกิจการได้"

เถรี 05-12-2018 21:56

"ปัจจุบันนี้คนพม่าที่อาตมารู้จักมีรถกระบะทุกคน คนไทยยังขี่มอเตอร์ไซค์อยู่เลย เมื่อสามวันก่อน "มะ" กลับไปงานกฐินทางบ้าน เขาไปตั้งแต่ช่วงกฐิน แต่เพิ่งเอารูปมาอวด รถกระบะแหกโค้งตกข้างทางเละทั้งคัน..! ปรากฏว่าสามคนพ่อแม่ลูกไม่เป็นอะไร ไม่มีแม้แต่รอยแมวข่วน เขาบอกว่าพวกเขาคลานออกจากรถ เหมือนหนูออกจากรูเลย เพราะว่าตกเหวลงไป

ถามว่าแขวนวัตถุมงคลอะไร ? "ของวัดท่าขนุน" ก็แสดงว่าวัตถุมงคลของวัดท่าขนุนดี ตกเหวไม่เป็นอะไร อาตมามั่นใจอยู่อย่างว่า ถ้าตกเหววัตถุมงคลไม่เป็นอะไร ส่วนอย่างอื่นแล้วแต่ดวง...!

มะแขวนพระไว้หลายองค์ องค์ที่อาตมาเหลือบไปเห็นถนัดมากที่สุดก็คือพระนาคปรก ๒,๖๐๐ ปีพุทธชยันตี วัดท่าขนุน ไม่ต้องวิ่งไปหาพระนาคปรกหรอก น่าจะหมดไปนานแล้ว"

เถรี 05-12-2018 21:57

พระอาจารย์กล่าวถึงแผ่นยันต์เกราะเพชร “เดี๋ยววันที่ ๗ จะเอาแบบแผ่นใหญ่ไปเข้าพิธีที่วัดสี่แยกเจริญพรหรือไม่ก็วัดไร่แตงทอง ไม่รู้ว่าเขาจัดที่ไหน เริ่มพุทธาภิเษกตอน ๔ โมงเย็น แจ้งท่านอาจารย์เทพไปแล้วว่าขอฝากเข้าพิธีด้วย

ถ้าหากว่ารอจนกระทั่งเสาร์ ๕ จะไม่ทัน ญาติโยมมีความต้องการกันมาก แบบแผ่นใหญ่น่ารักมาก อาตมาพกติดตัวอยู่ เหมือนบัตรเครดิตหรือบัตรเอทีเอ็มเลย”

เถรี 05-12-2018 22:11

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกทหารส่วนใหญ่เขาต้องการวัตถุมงคลประเภทยิงไม่ออก หรือยิงออกแต่ไม่เข้า หรือยิงออกแต่ไม่ถูก บังเอิญทางทหารกะเหรี่ยงเขาไปใช้แล้วได้ผล อาตมาเองก็ไม่ได้ตั้งใจหรอก น่าจะเป็นพระสงเคราะห์เขานั่นแหละ พาให้อาตมาเหนื่อยเพิ่มขึ้นเยอะ"

ถาม : พวกกะเหรี่ยงคริสต์เขาพกของเราไหมครับ ?
ตอบ : พวกกะเหรี่ยงคริสต์ส่วนใหญ่เขาพกของแต่เขาไม่ให้ดู ใส่ ๆ ไว้ตามสายคาดเอว เพราะว่าเป็นคริสต์ไปแล้ว

เถรี 05-12-2018 22:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "หมอพิพิธพรไปทำวิจัยมาว่า การดื่มน้ำร้อนทำให้ผอม มิน่า..อาตมาถึงอ้วนยากอ้วนเย็น หลักการก็คือ คนเราพอออกกำลังกาย ร่างกายจะร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงระดับหนึ่งก็เริ่มผลาญแคลอรี่

การกินน้ำร้อนหมอเขาบอกว่า ถ้าจิบยาว ๆ ร่างกายเริ่มร้อนขึ้นก็จะอยู่ในสภาวะการผลาญแคลอรี่แบบหลอก ร่างกายก็รีบผลาญใหญ่เพราะนึกว่าต้องใช้พลังงาน ที่ไหนได้..แค่นั่งซดน้ำร้อนเท่านั้น

มีโยมคนหนึ่งคือคุณชนินทร ไปลองอยู่ ๑ เดือน บอกว่าลดไป ๑๐ กว่ากิโลกรัม แต่นั่นเขามีให้ลดเยอะนะ อย่างพวกเราถ้าไปลด ๑๐ กว่ากิโลกรัมแล้วจะเหลืออะไร ?"

เถรี 05-12-2018 22:28

"โภชเนมัตตัญญุตา รู้ประมาณในการกิน หลังบ่ายสามไปแล้วไม่จำเป็น ไม่ต้องกินก็ได้ ส่วนใหญ่ที่อ้วนเพราะว่าไปกินมื้อค่ำ แถมยังนอนดึก ต้องกินมื้อดึกเพิ่มไปอีก วัดท่าขนุนสองทุ่มนี่หายเงียบเข้ากุฏิกันแล้ว อยู่ต่อไม่ได้เดี๋ยวหิว รีบนอนสงวนพลังงานเอาไว้ มีปานะให้หลังทำวัตรค่ำ ๑ แก้วต่อรูป หรือไม่ก็นมเปรี้ยวเป็นขวดเล็ก ๆ อาตมาก็ฉันไม่เป็น ได้แต่นั่งมอง

ห้ามถวายน้ำชา ห้ามถวายกาแฟ ห้ามถวายของที่เป็นเครื่องดื่มชูกำลัง พวกนี้ฉันแล้วนอนไม่หลับ มักจะไปหลับเอาตอนที่เขาตื่นขึ้นมาสวดมนต์ทำวัตรกัน อาตมาก็เลยสั่งห้ามไปเลย ไม่อย่างนั้นชอบกันนัก สงสัยว่าพระท่านทำอะไรกันนักหนา ถึงต้องฉันยาชูกำลังกันขนาดนั้น

โรงพยาบาลสงฆ์เขาส่งรายงาน มีพระรูปหนึ่งตับแข็งตาย สืบประวัติย้อนหลังไปไม่เคยแตะต้องอะไรที่เป็นแอลกอฮอล์เลย เพียงแต่ฉันยาชูกำลังวันหนึ่ง ๖-๘ ขวด"

เถรี 06-12-2018 18:17

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ไปพุทธาภิเษกเหรียญสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วาระ ๒๕๐ ปีกรุงธนบุรี รู้ไหมว่าเขาออกเนื้อละ ๔๙๙ องค์ แล้วพระอาจารย์เล็กออก ๑๐,๐๐๐ องค์ ลองคิดดูแล้วกันว่ายอดต่างกันแค่ไหน ? ๔๙๙ องค์ จะเหยียบกันตาย ไม่เป็นไรหรอก...อาตมาได้มา ๓๐-๔๐ องค์ เดี๋ยวเอามาลงในตู้ เขาจำหน่ายเท่าไรก็ช่าง ของเราก็ ๑๐๐-๒๐๐ บาทเหมือนเดิม

ปลุกเสกครั้งนี้สบาย กำหนดใจขึ้นไปกราบพระขออาราธนาท่านเพื่อช่วยพุทธาภิเษก ท่านชี้ไปโน่น...เจ้าของเขามี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ท่านเป็นพระแท้ไปแล้ว พระท่านก็เลยให้ท่านลงมาเสกเอง ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าด้วยอารมณ์ระดับของท่าน ก็น่าจะมาทางประเภทมหาอุตม์ คงกระพันชาตรี ปรากฏว่ามาสักพักหนึ่งทำไมอันนี้แปลก ๆ ? มีประเภทเมตตาค้าขายอะไรตามมาด้วย ท่านบอกสมัยนี้คนหากินยาก ต้องช่วยสงเคราะห์เขาหน่อย

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชท่านไม่ได้ตั้งใจจะเป็นกษัตริย์ ไม่ได้ตั้งใจกู้แผ่นดิน เพียงแต่ตกกระไดพลอยโจน พวกเราจะเห็นว่าเมื่อพระองค์ท่านกู้แผ่นดินได้แล้ว ก็สละให้กับในหลวงรัชกาลที่ ๑ แล้วก็ไปบวช สถานที่จำพรรษาของท่านก็คือที่ถ้ำของวัดเขาขุนพนมที่นครศรีธรรมราช อาตมาตามไปดูถึงพื้นที่มาแล้ว ต้องบอกว่าท่านหาที่ได้สุดยอดมาก ลงไปใต้ดิน พอลงไปเสร็จแล้วก็มีทางเหมือนทางหมาลอดคลานเข้าไป ยาวหลายเมตรกว่าจะไปถึงโถงถ้ำใหญ่ข้างใน"


เถรี 06-12-2018 18:20

"ที่ท่านหาทางแบบนั้นเพราะว่าถ้ามีคนทำผิดคิดร้ายอะไร เจ้าพระยาพิชัยสงครามที่ตามไปอารักขา แค่คนเดียวอุดประตูอยู่นี่ ศัตรูมาเป็นหมื่นก็เข้าไม่ได้ ถามว่าต้องระวังขนาดนั้นเลยหรือ ? เหตุที่ต้องระวังขนาดนั้นเพราะว่า ต่อให้ในหลวงรัชกาลที่ ๑ ไม่คิดร้าย ก็จะมีพวกเสือก คิดว่าถ้าทำอย่างนี้แล้วพระองค์ท่านจะพอใจ เดี๋ยวช่วยจัดการให้ เพราะฉะนั้น...ท่านก็เลยต้องระวังตัวสุดชีวิต

โดยเฉพาะท่านที่เสียสละมาก ๆ เลยคือเจ้าพระยาพิชัยสงคราม หรือเจ้าพระยาพิชัยดาบหัก เจริญกรรมฐานด้วยกันแล้วตัวลอย...ปีติเกิด ไม่ทำต่อ ถามว่าทำไม ? ท่านบอกเดี๋ยวลอยไปที่อื่นไม่มีใครอยู่ดูแลรับใช้ ท่านเสียสละมากเลย

ส่วนใหญ่แล้วต้องบอกว่าแม่ทัพนายกองขุนศึกสมัยก่อน กำลังสมาธิสมาบัติดีอยู่แล้ว เพราะส่วนใหญ่แล้วก็คือพวกเล่นของ เล่นคาถาอยู่ยงคงกระพันกันมาก่อน เมื่อหันกลับมาประพฤติปฏิบัติธรรมก็ได้เร็ว อย่างพระยาพิชัยฯ ท่านกลัวว่าถ้าลอยไปเดี๋ยวไม่มีใครอยู่ถวายการรับใช้ ก็เลยเลิกปฏิบัติ ขนาดเลิกปฏิบัติแล้วเวลานั่งอยู่ยังต้องเอาเชือกล่ามติดพื้นไว้...กลัวจะลอย

คนที่เข้าถึงปีติใหม่ ๆ นี่แค่นึกก็จะเป็นแล้ว ก็เลยต้องเอาเชือกล่ามตัวเองติดไว้ ถึงเวลาก็ผูกกับก้อนหินไว้ หลวงพ่อสินถามว่าทำอะไร ? ท่านบอกว่า ถ้าไม่ผูกไว้เดี๋ยวลอยไปที่อื่น"

เถรี 06-12-2018 18:23

"พักเดียวเท่านั้นธนบุรี ๒๕๐ ปีแล้ว พระที่นั่งสมาธิกัน ประพฤติปฏิบัติกัน กลายเป็นเครื่องมือหากิน ถามว่าทำไมถึงเรียกว่าเครื่องมือหากิน ? ก็ออกวัตถุมงคลไว้จำหน่าย เสร็จแล้วก็เอาพวกเราเป็นเครื่องมือหากิน ถึงเวลาก็นิมนต์ไปเสก

อาตมาเองนั่งอยู่ตรงกลาง ทางด้านขวามีหลวงพ่อป้อม วัดหนองม่วง ทางด้านซ้ายก็หลวงปู่ตี๋ ท้ายสุดต้องคุยกับหลวงพ่อป้อมคนเดียว หลวงปู่ตี๋ไม่ได้ยิน ถ้าต้องตะโกนก็เสียมารยาท ก็เลยตัดใจไม่คุยกับหลวงปู่ หลวงปู่ตี๋ วัดหูช้าง ก่อนหน้านั้นก็หลวงปู่กี๋ วัดหูช้าง ชื่อคล้ายกันเลย

ถามหลวงพ่อป้อมว่ากฐินเป็นอย่างไรบ้าง ? ท่านว่าปีนี้ไม่ดีเลย ได้แค่ ๙๐๐,๐๐๐ กว่าบาท อาตมาก็เออ...ถ้าระดับพระเกจิอาจารย์ดังแล้วยังได้แค่ ๙๐๐,๐๐๐ กว่าบาทก็แปลว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ทำไมคสช.หรือรัฐบาลเขาบอกว่าดีมาก ? ใช้ตำราคนละเล่มกันหรือ ?

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชท่านน่าจะอยู่ในฐานะเทพเจ้าไปแล้ว จะเห็นว่าพระบรมราชานุสาวรีย์ที่วงเวียนใหญ่ มีคนไปบนกันเยอะแยะ เอ้า...บนไปเถอะ ก่อนหน้านั้นท่านเป็นเทวดา เป็นพรหม ขึ้นไปตามลำดับ ก็ต้องบอกว่าช่วยเขาแต่ก็ไม่ได้มาก ตอนนี้เป็นพระแล้วน่าจะช่วยได้มากขึ้น แต่ก็คงจะจำกัดเรื่องที่ช่วย เพราะว่าพอเป็นพระแล้วต้องเอากฎของกรรมเป็นใหญ่"

เถรี 06-12-2018 18:26

"หลวงพ่อวัดท่าซุงสร้างรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไว้หลังเหรียญ เรียกว่าเหรียญกูผู้ชนะ ท่านบอกว่าพระเจ้าตากไม่เคยแพ้...ก็ใช่นะ ไม่เคยรบแพ้ใคร แต่ถามว่าเคยถอยทัพให้ใครไหม ?...เคย ตอนไปตีก๊กเจ้าพระฝาง ต้องพระแสงปืนที่พระชงฆ์ก็คือหน้าแข้ง ถามว่าหน้าแข้งซ้ายหรือขวา ? ซ้าย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าเรื่องอะไรให้ฟังท่านถามอาตมาหมด อย่างเช่นถามว่า สมเด็จพระศรีสุริโยทัยโดนฟันขาดสะพายแล่งนี่บ่าขวาหรือบ่าซ้าย ? พระยาพิชัยดาบหัก ดาบซ้ายหรือขวาหัก ?

อาตมาต้องตอบได้ก่อน ตอบไม่ได้ก็ไม่ได้ฟังต่อ พอท่านทดสอบแบบนี้บ่อย ๆ ก็เลยไม่กลัวการทดสอบ ถึงเวลาเข้าโบสถ์แต่ละที หลวงพ่อบอกว่าจะทดสอบมโนมยิทธิ ทุกคนก็ตั้งใจเข้าสมาธิก้มหน้าดูดินกันหมด ไม่มีใครกล้าสบตาท่านเลย ถามว่า "วันนี้ทดสอบดีไหมวะเล็ก ?" “ดีครับ” พวกมองตาเขียวปั๊ดเลย จำไว้ว่าอย่ากลัวครูและอย่าอายครู เราจะได้รู้ว่าผิดตรงไหน จะได้แก้ไขให้ถูก ต่อไปก็ทำได้ถูกเอง ถ้ามัวแต่กลัวครู อายครู หน้าไม่ด้านพอ ไม่เก่งหรอก

การรบกับเจ้าพระฝางต้องบอกว่าท่านเป็นพระจริง ๆ เป็นพระแล้วมีความสามารถ มีอภิญญาสมาบัติ คนเคารพกันมาก ก็เลยยกท่านขึ้นเป็นใหญ่ ตั้งตัวขึ้นมาก๊กหนึ่ง ท่านน่าจะมีพวกคาถาคัดของ ก็เลยทำให้สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักรบประเภทเนื้อดี หนังดี ฟันไม่เข้า แทงไม่เข้า โดนยิงที่หน้าแข้งเป็นแผลได้ ก็เลยต้องถอยให้ก่อน หลังจากนั้นค่อยบุกไปตีใหม่แล้วก็ชนะ แต่ว่าจับตัวไม่ได้

พวกได้อภิญญานี่เดินทะลุไปไหนก็ไม่รู้ รบชนะแต่จับตัวหัวหน้าข้าศึกไม่ได้ เพราะว่าหัวหน้าข้าศึกเป็นพระแถมได้อภิญญาด้วย เป็นก๊กเดียวที่ไม่สามารถจะปราบปรามได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง"

เถรี 06-12-2018 18:28

"อย่างสมเด็จพระศรีสุริโยทัย ต้องบอกว่าพระองค์ท่านถึงที่จริง ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าเป็นผู้หญิง ความที่ตั้งใจจะช่วยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ก็เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไร ไสช้างพุ่งเข้าไปเลย ปรากฏว่าไปอยู่ในจุดที่เขาถนัดพอดี เอี้ยวตัวได้ก็จ้วงเต็มที่เลย ถ้าหากว่าเข้าทางด้านขวาโอกาสรอดมีสูง เพราะว่าเป็นข้างที่พระเจ้าแปรฟันไม่ถนัด ไปเข้าทางด้านซ้าย อีกฝ่ายเบี่ยงตัวนิดเดียวก็เหวี่ยงมาเต็ม ๆ ขาด ๒ ท่อนเลย

รุ่นพวกเราคงไม่ต้องสอบหรอกนะ สอบไปก็ตก...! มี ๒ อย่างก็คือเดา ไม่ดูเลยใช้วิธีเดา อาตมาไม่เดาเพราะรู้ว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านรู้จริง เดาไม่ได้ เดาเมื่อไรโดนด่าอีก

โบราณเขาบอกว่า ‘วิชาแม้เกียจคร้านการหัด เกิดสนิมจับถนัดนักตื้อ’ เพราะฉะนั้น..เรื่องของมโนมยิทธิจะศึกษาให้คล่องตัว ต้องซักซ้อมบ่อย ๆ เมื่อวานนี้ท่านอาจารย์ธรรมจักร นิลรักษา เป็นอาจารย์ผู้ประสานงานการสอบธรรมศึกษาของโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา บอกว่า “หลวงพ่อครับ ผมขึ้นไปนั่งสมาธิที่พระเจดีย์วัดท่าขนุน เห็นพระฤๅษีมา ผมควรจะทำอย่างไรต่อ ?” ก็เลยบอกว่า “อาจารย์จำให้ได้ก่อนว่าเราปฏิบัติไปเพื่ออะไร ไม่อย่างนั้นจะหลงทาง”

เถรี 06-12-2018 18:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันก่อนไปประชุมคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ก็นั่งปรารภกันว่า ที่ประชุมเขาจัดเหมือนอย่างกับจะสอบพระอุปัชฌาย์ ทางด้านรองเจ้าคณะอำเภอ พระครูกาญจนาปัญญาวุฒิ วัดเขื่อนวชิราลงกรณถามว่า “อาจารย์เล็ก..ปีนี้ส่งพระสอบคู่สวดหรือเปล่า ?” ตอบว่า “ไม่ได้ส่งครับ เพราะว่าต้อง ๗ พรรษา ถ้าหากว่าระเบียบของพระพุทธเจ้าคือ ๕ พรรษา แล้วหลังจากนั้นของเรามาขยับกันเองว่าต้อง ๖ พรรษา ปัจจุบันนี้เอา ๗ พรรษา”

ก็เลยบอกท่านว่า “รุ่นเก่า ๆ ผมส่งหมดแล้ว เหลือแต่รุ่นใหม่กำลังเข้าพรรษา ๗ กันอยู่ ก็คงต้องรอส่งปีหน้า” ท่านบอกว่า “พระอาจารย์เล็กส่งเขาอยู่แล้ว ต่อไปผมขอใช้บริการด้วยนะ” ก็ถามว่าอะไรหรือ ? “บริการคู่สวด ของอาจารย์มีคู่สวดเต็มวัด ถึงเวลาถ้าผมมีบวชจะได้โทรไปบอกเลขาฯ ว่าให้ส่งคู่สวดมาช่วยบ้าง” ก็เรียนท่านไปว่าด้วยความยินดี แล้วถามท่านว่าคิดอย่างไร ? ท่านก็ว่าอาจารย์เล็กอบรมพระเก่ง ก็บอกไปว่า“ผมก็ไม่ได้อบรมเท่าไรหรอก นอกจากด่า...!” บอกว่าอบรมพระเก่ง เพราะพระมักจะทำนั่นทำนี่ได้มากกว่าวัดอื่น"

เถรี 06-12-2018 18:39

"เรื่องของการอบรมพระมีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ‘ทำให้ดู อยู่ให้เห็น’ ทำให้ดูอยู่ให้เห็นคือ ตัวเราต้องเป็นตัวอย่างเอง คราวนี้การที่ตัวเราต้องเป็นตัวอย่างเองจะเหนื่อยมาก ถามว่าเหนื่อยตรงไหน ? เพราะว่าบุคคลที่ถอดแบบไปมักจะไม่ได้เท่าต้นแบบ ในเมื่อไม่ได้เท่าต้นแบบ สมมติว่าเราต้องการจะให้เขาได้ ๑๐๐% เราต้องแสดงให้เขาดู อาจจะต้อง ๑๒๐% หรือ ๑๕๐% เพราะฉะนั้น..จะเหนื่อยมาก ก็คือคุณตะกายได้ไม่เท่านี้หรอก แต่จะ ๑๐๐% พอดี ก็เลยกลายเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะเหนื่อยมาก

ทางเจ้าคณะอำเภอเขามอบให้ดูแลงานธรรมศึกษาทีหนึ่ง ๓-๔ โรงเรียน ถึงเวลามีงานอะไรที่เป็นส่วนกลางก็มักจะขอให้พระทางวัดท่าขนุนไปช่วย ท่านบอกว่าพระอาจารย์เล็กโชคดีมีทีมงาน อื้อหือ...ถ้าหากบอกว่าโชคดีนี่ ก่อนจะโชคดีอาตมาก็เหนื่อยลิ้นห้อยเลย เพราะว่าหลังงานทุกครั้งเราต้องมาสรุปงาน บอกเขาว่ามีจุดบกพร่องตรงไหน ถึงเวลาก็ต้องแก้ไข จะได้มีประสบการณ์"

เถรี 06-12-2018 18:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเปิดกระทู้คนมีเงินฯ ได้มา ๒๑ ล้านกว่าบาท ค่าก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ ๔๓ ล้าน ๒ แสนบาท ก็น่าจะเหลืออยู่อีกประมาณ ๒๐ ล้านเศษ ๆ แต่ตั้งใจว่าเปิดอีกแค่เดือนเดียว เนื่องจากว่ากฎหมายใหม่ออกแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๒ จะบังคับใช้ เพราะฉะนั้น..เราก็ต้องปิดกระทู้"

เถรี 06-12-2018 18:48

พระอาจารย์เล่าว่า "ไปอบรมก่อนสอบของนักธรรมชั้นตรี อาตมาก็นั่งสองแถวไป นั่งสองแถวกลับ คนขับสองแถวก็ถามว่า "อาจารย์นั่งรถอย่างนี้จริง ๆ หรือ ?" อะไรวะ...นั่งมาตั้งเท่าไรแล้ว นี่เห็นอาตมาเท้าไม่ติดดินหรือ ? เลยบอกว่า ถ้าไม่เกรงใจว่าต้องเดินตั้งครึ่งค่อนชั่วโมงจะไม่ทันเวลานี่ก็เดินไปแล้ว

เมื่อวานนี้ไปคุมสอบที่โรงเรียนก็เดินไป แต่งวดนี้โรงเรียนเขารู้แกว เขาเอารถไปดัก กลัวพระอาจารย์จะเดินไกล ระยะทางไม่ยากสำหรับอาตมา เดินจนชิน แต่คนอื่นเขาบ่นกัน ออกไปข้างนอกแต่ละทีเดี๋ยวรถคันโน้นก็จอดรับ รถคันนี้ก็จอดรับ บอกว่าขอบคุณเป็นอันขาด ขอเดินเองบ้าง เดี๋ยวจะเป็นง่อยตาย...!"

เถรี 06-12-2018 22:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "พาราณสีเป็นเมืองสำคัญมาก เป็นที่เดียวที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วไม่มายุ่งด้วยเลย จะสังเกตว่าทุกวันนี้ยังเหมือนกับโบราณ เพราะว่าอยู่ริมแม่น้ำคงคา เป็นสถานที่ฮินดูฝังรากลึกมาก พระพุทธเจ้าท่านไม่อยากขุดรากเขาให้เสียเวลา ไปที่อื่นได้ประโยชน์มากกว่า

พระองค์ท่านจำพรรษาแรกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันกรุงพาราณสี หลังจากนั้นก็แทบจะไม่ไปแตะพาราณสีเลย ไปลุยที่อื่นดีกว่า พาราณสีต้องบอกว่าเป็นรากแก้วของฮินดู มัวแต่ไปขุดรากอยู่ก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว"

เถรี 06-12-2018 23:02

พระอาจารย์เล่าว่า "มีพระปิดตาอยู่องค์หนึ่ง เข้าไปในตลาดแล้วเห็นเขากำลังส่อง กำลังถกกันอุตลุดว่าไม่เคยเห็น อาตมาแหย่ไปแหย่มา ท้ายสุดไม่มีใครซื้อก็เลยคว้าไว้เอง ราคาไม่แพงมาก พอได้มาเสร็จสรรพแล้วค่อยเฉลยให้เจ้าของว่า นี่แกะจากกะโหลกผี..!"

ถาม : ไม่มีใครเอา ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่มีใครเอา พวกเขาไม่รู้ พวกเล่นของนี่ถ้าไม่รู้เขาจะไม่แตะเลย เพราะว่ากลัวของปลอม เวลามีวัตถุมงคลแปลก ๆ ก็ไปนั่งส่องกัน ถ้าสรุปไม่ได้ว่าคืออะไรเขาจะไม่เปิดราคาให้ ต้องบอกว่าเป็นสันดานเซียน อะไรที่เอาไปแล้วตัวเองไม่รู้ว่าจะออกได้หรือเปล่า เขาจะไม่แตะ อาตมาเองก็ไปมองซ้ายมองขวาอยู่พักหนึ่ง พอเขาว่างก็หยิบมาถามราคาเท่าไร ? เห็นไม่แพงก็เอามา ซื้อมาเสร็จสรรพค่อยบอกเขานี่กะโหลกผีตายโหง ตายวันเสาร์เผาวันอังคาร เขาเอามาทำวัตถุมงคล

ถาม : ต้องบอกเจ้าของกะโหลกไหมคะ ?
ตอบ : มาถึงอาตมาอุทิศส่วนกุศลให้หมด ถ้าเป็นผี
แบบเดิมจะช่วยเราได้หน่อยเดียว

ถาม : บางคนเขาทำเพื่อใช้งานผี ?
ตอบ : บางคนผูกเอาไว้จนไปไหนไม่ได้ กี่ปี ๆ ก็ต้องอยู่อย่างนั้น...น่าสงสาร

เถรี 06-12-2018 23:05

ถาม : เขาเอากะโหลกตรงส่วนไหนคะ ?
ตอบ : เขาเอาตรงแค่ช่วงกลางหน้าผากนี้ ตรงนี้เป็นแหล่งพลังงาน ทางอินเดียเขาเรียกกุณฑาลินี เป็นแนวของตาที่สาม ก็เลยกลายเป็นว่าพอถึงเวลาก็เล่นเฉพาะกะโหลกตรงนั้น

มีปั้นเหน่งกะโหลกผีอยู่ ๓ อัน กำลังรอดูอยู่ว่าเมื่อไรจะมีอีก ของพวกนี้ถ้าเราไปแล้วคนเขาไม่รู้ก็ได้เปรียบเขา แต่ถ้าคนเขารู้นี่โก่งราคา ตอนก่อนนี้ยังราคาไม่แพง ไปแพงสมัยอาจารย์วิลักษณ์ ศรีป่าซาง แกทำงานวิจัย แกเจอแล้วซื้อหมด เขาเลยรู้ว่ามันขายได้ พอรู้ว่าขายได้ก็โก่งราคากันใหญ่

อาจารย์วิลักษณ์มีจนจะท่วมบ้านอยู่แล้ว เข้าไปนี่เฉพาะฟันม้าที่เขาเอาไว้ทำเป็นสายสร้อยคล้องเอวของพวกชาวเขา อาจารย์วิลักษณ์น่าจะมีเป็นร้อยเส้นแล้วกระมัง ฟันคนนี่มีแกะเป็นพระพุทธรูปด้วย แกะเป็นพระองค์จิ๋วเดียว แต่ขอโทษ...เจ้าของเขาเห็นว่าเป็นฟันบรรพบุรุษอย่างไรเขาก็ไม่ปล่อย

เถรี 06-12-2018 23:07

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันคุมสอบวันสุดท้าย ก็คือพระจะมีสอบนักธรรมสนามหลวงก่อน คำว่าสนามหลวงก็คือสมัยก่อนในหลวงเป็นเจ้าของสนามสอบ พระองค์ท่านจะจัดสอบความรู้ของพระเณร ก็สอบกันแถวระเบียงพระบรมมหาราชวังนั่นแหละ เขาก็เลยเรียกว่าสนามหลวงมาจนทุกวันนี้

สอบชั้นโทแล้วก็สอบชั้นเอก อาตมาจริง ๆ แล้วเป็นประธานกำกับห้องสอบนักธรรมชั้นโทห้องที่ ๗ แต่ปรากฏว่าห้องที่ ๔, ๕, ๖, ๗ ฝากพระอาจารย์เล็กหมดเลย หลังจากนั้นก็มาสอบธรรมศึกษาของฆราวาส คราวนี้ธรรมศึกษาปีนี้เป็นการสอบแบบหลักสูตรใหม่ คือของเก่านี่เขามีธรรมศึกษาชั้นตรี ธรรมศึกษาชั้นโท ธรรมศึกษาชั้นเอก เรียนเกือบเท่าพระ คราวนี้ยกเว้นอย่างเดียวก็คือวิชาพระวินัย คือศีลพระ ธรรมศึกษาตรีเขาไปเรียนเบญจศีล-เบญจธรรม ธรรมศึกษาโทไปเรียนอุโบสถศีล แล้วธรรมศึกษาเอกไปเรียนกรรมบถ ๑๐

เขาเห็นว่าความรู้ชาวบ้านจะเยอะไปก็เลยเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนเป็นหลักสูตรธรรมศึกษาตรี-โท-เอกระดับประถม ตรี-โท-เอกระดับมัธยม ตรี-โท-เอกระดับอุดมศึกษา แล้วก็ตรี-โท-เอกสำหรับคนทั่วไป กลายเป็นซอยส่วนที่เคยเรียนไปเป็น ๔ ชั้น ก็เลยเหลือให้เรียนชั้นละนิดเดียว"

เถรี 06-12-2018 23:11

"ปรากฏว่าปัญหาใหญ่ที่อาตมาเจอก็คือ นักเรียนขาดสอบทั้งห้อง ห้องละ ๓๐ คนไม่มาเลย บางทีห้องละ ๓๐ คน มากัน ๓-๔ คน ก็ถามเหตุผลเขาว่าทำไม ? เขาบอกว่าเรียนมาแล้ว ในเมื่อเขาเรียนของเก่ายากกว่า แล้วจะมาบังคับให้เขาสอบของใหม่ทำไม ?

ปัญหาใหญ่คือกรรมการอย่างพวกอาตมา ต้องมาขีดฆ่ารายชื่อที่ไม่ได้สอบ แล้วก็เขียนว่าหมายเลขไหนไม่ได้สอบ เขาไม่ให้เขียนว่าหมายเลขไหนสอบ ก็แปลว่าห้องนั้นถ้าขาด ๓๐ คน ก็คือเขียน ๓๐ หมายเลข ปีก่อนโน้นอาตมาเจอทีหนึ่งตอนเอา กศน. เข้ามาสอบใหม่ ๆ เพราะว่าเป็นงานของเขตพื้นที่การศึกษาของเขา ในเมื่อเป็นของเขตพื้นที่การศึกษา พวกหน่วยงานเกี่ยวกับการศึกษาทั้งหมดก็ต้องส่งมาเรียน ส่งมา ๑,๐๐๐ กว่ารายชื่อ มาสอบ ๑ คน อาตมาแค่เขียนว่าใครขาดสอบก็จะเป็นลมแล้ว เมื่อวานนี้กว่าจะเลิกก็เลยเกือบค่ำ กว่าจะตะกายมาถึงบ้านเติมบุญนี่ก็ไม่ต้องพูดถึงเวลา

บางทีการจัดสอบของเขาก็ต้องบอกว่า ไม่ได้ตรงกับสิ่งที่เรากำหนดล่วงหน้าเป็นปี อย่างงานสอนกรรมฐานกับรับสังฆทาน อาตมาเองก็ต้องสละเวลาส่วนตัวให้กับส่วนรวมเขาไป โดยเฉพาะอาตมาโดนไม่เหมือนกับชาวบ้าน ก็คือโดนเป็นประธานกำกับห้องสอบธรรมะศึกษา ๓ โรงเรียน ของคนอื่นเขาจะ ๑ โรงเรียน ที่ ๓ โรงเรียนเพราะว่าวัดท่าขนุนอยู่ในเขตเทศบาล โรงเรียนทั้งหมดในเขตเทศบาลก็เป็นของวัดท่าขนุนไป

นี่ยังดีนะว่าโรงเรียนเทศบาลทองผาภูมิยังไม่ยอมนำส่งเด็กสอบ คือโรงเรียนเทศบาลทองผาภูมิค่อนข้างจะเน้นด้านการศึกษา เขาบอกว่าการที่เรียนแค่ไม่กี่วันแล้วให้เด็กสอบ เด็กเขายังไม่รู้จริง เพราะฉะนั้น..รอให้เด็กโตกว่านี้หน่อย ก็คือเขามีแค่ระดับ ป. ๖ เพราะว่าธรรมะศึกษาระดับประถมศึกษานี่ให้ประถม ๔ ประถม ๕ ประถม ๖ สอบได้ ก็คือประถม ๔ ถ้าสอบตรีได้แล้วประถม ๕ จะได้สอบโท ประถม ๖ จะได้สอบเอก เสร็จแล้วพอไปมัธยม ๑ ก็สอบตรี มัธยม ๒ สอบโท มัธยม ๓ สอบเอก ไม่อย่างนั้นแล้วก็จะโดน ๔ โรงเรียน วิ่งรอกกันขาหักไปข้างหนึ่ง"

เถรี 06-12-2018 23:14

"เมื่อวานนี้ระดมสรรพกำลังที่มีอยู่ออกไปเพื่อคุมสอบหมดเลย ก็คือพระหนึ่งรูปคุมหนึ่งห้อง เฉพาะของโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา ๑๖ ห้อง อนุบาลทองผาภูมิ ๑๒ ห้อง แล้วยังมีโรงเรียนจันเดย์ ยังมีโรงเรียนสมาคมป่าไม้แห่งประเทศไทยอุทิศที่พระวัดท่าขนุนไปเป็นเจ้าอาวาส ก็ต้องแบ่งพระให้เขาไปอีก...หมดวัดเลย ขนาดมีพระ ๔๐ กว่ารูปนะ เหลือหลวงตาแก่หนึ่งรูปกับเณรเฝ้าวัด

มีคนเขาบอกว่าเอาแม่ชีไปบ้าง ไปคุมสอบ บอกว่าไม่ได้ เกรงใจเจ้าภาพ ก็คือพระไปคุมสอบเขามีเจ้าภาพเลี้ยง บอกแม่ชีกับเณรว่าไม่ต้องไป เพราะว่าแม่ชีกับเณรต้องฉันแยกต่างหาก เขาต้องจัดอีกโต๊ะหนึ่งไปเลย ลำบากเขา พวกอาตมาเองประเภทไปกัน ๑๖ รูป ให้เขาจัดแค่ ๓ โต๊ะ ไม่อย่างนั้นเขาจะจัด ๔ โต๊ะให้ บอกว่าไม่ต้อง..เยอะไป นั่งเบียดกันหน่อยก็ได้ เขากะให้ซ้ายขวาหน้าหลัง ๔ รูปต่อหนึ่งโต๊ะ..มากไป อย่างไรก็ฉันไม่หมดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..แบ่ง ๆ แย่ง ๆ กันหน่อยก็ดูท่าจะอร่อยมากขึ้น

งานคณะสงฆ์เยอะมากย่อมต้องการผู้เสียสละ โดยเฉพาะเรื่องของธรรมศึกษา ปัจจุบันนี้จริง ๆ แล้วกระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพ เขตพื้นที่การศึกษาต้องรับผิดชอบ แต่ปรากฏว่าแทบจะทั้งหมดปัดงานมาให้คณะสงฆ์ คือพวกเรามีความชำนาญมาตั้งแต่ต้น เป็นเจ้าของงานมาตั้งแต่ต้น เขาก็เลยไม่ยอมให้พระวางมือ พระเรามีหน้าที่เข้าไปสอนแล้วก็เป็นพี่เลี้ยงดูอยู่ห่าง ๆ ให้เขาจัดกันเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เป็นอย่างนั้น พระต้องเป็นกำลังหลักอยู่ตลอดเวลา แล้วทางด้านแม่กองธรรมสนามหลวง ทั้ง ๆ ที่เป็นคนรับงบประมาณมาก็ประหยัดงบโคตร..! ถามว่าประหยัดแบบไหน ? แทบทุกอย่าง ตอนเวลาสอบอย่างของอาตมานี่ กระดาษ ปากกา ตัวเย็บกระดาษ กาว สารพัด ต้องซื้อกันเอง แล้วตัวรับงบประมาณนั่งยิ้มเฉย ถึงเวลาก็สั่งการ โน่น...สอบได้เมื่อไรค่อยคิดค่าหัวให้ ถ้าเด็กสอบตกเราก็ไม่ได้อะไรเลย"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:51


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว