มิงกะละบาร์ เมียนมาร์ ตอนที่ ๑๗
ลุกขึ้นภาวนาตั้งแต่เที่ยงคืน พอตีสามก็ออกไปสรงน้ำ ซักผ้า แม่ชีที่เตรียมอาหารเช้ามองกันเป็นตาเดียว แล้วพร้อมใจกันลงความเห็นว่า ต้องเป็นพระไทยแน่ ๆ ถึงไม่กลัวหนาว ซึ่งก็น่าแปลก เนื่องจากพระพม่าทั้งห่มทั้งคลุม กลัวหนาวกันทุกคน...
ที่นี่ฉันมังสวิรัติแบบเดียวกับวัดหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ แกงผักสารพัดชนิด ทำทีละแปดกระทะยักษ์ ข้าวก็หุงกันทีละสิบกระทะยักษ์ เลี้ยงพระเลี้ยงโยมทั้งวันทั้งคืน ต้องใช้ข้าวสารวันละ ๒๔๐ ปีบ จะมากี่หมื่นกี่แสนคนก็เลี้ยงฟรีทั้งสิ้น... ออกไปเดินตลาด มีเสื้อผ้าชาวเขามากมาย ซื้อชุดสาวกะเหรี่ยงไปฝากลูกสาวทั้งสอง คือ ลูกอ้อย (ศัลยา) กับลูกทราย (เนตรทราย) คนละชุด พี่ ๆ รอปีหน้าก็แล้วกัน หลวงพ่อแบกงวดเดียวไม่ไหว แล้วซื้อกระเป๋านินจากับครูบาน้อยคนละใบ ราคาถูก คุณภาพเลยถูกไปด้วย... หยกและพลอยสวย ๆ ก็มีมาก แต่หยิบของแท้ทีไร เขาบอกราคาแพงหูดับทุกที ไปได้ของถูกคือยาอาร์ทีซูเนต ที่นี่แผงละสี่ร้อยยี่สิบ กับไอศกรีมตัดแท่งละสิบ จึงกลับเป็นเด็กนั่งฉันไอศกรีมกันเพลินไปเลย... |
กลับขึ้นเขามาเจอเด็กกะเหรี่ยงตาบอด ดีดพิณร้องเพลงแลกเงินอยู่ข้างบันได เสียงใสดีเป็นบ้า ให้ไปหนึ่งร้อย มีคนบอกทีหลังว่า เจ้าหนูนี่คือ “โจเคล้ยคี่” ออกเทปมามากต่อมาก ดังระเบิดเถิดเทิงทีเดียว..!
แนะนำการปฏิบัติให้ท่านจันทร์อีกรอบ แล้วลงเขาไปฉันเพล เป็นผัดผักบุ้ง ผัดเต้าหู้ กับต้มจืดวุ้นเส้น ที่นี่มีแต่อาหารเจทุกร้าน ราคาไม่แพง จ่ายแค่ห้าร้อยห้าสิบ ขืนแพงเขาคงหนีไปกินอาหารฟรีของหลวงพ่อกันหมด มีหวังร้านได้เจ๊งกันเป็นแน่แท้..! หลวงพ่อออกรับแขกตอนเที่ยงเพราะคนมากันมาก อาตมานั่งที่เดิม ถวายเงินเท่าเดิม เอาของให้ท่านปลุกเสกเหมือนเดิม ถ้าตอนเย็นท่านเมตตาออกรับแขกอีกครั้ง อาตมาก็จะได้ทำบุญกับท่านครบสามครั้ง ตามความตั้งใจ... |
หลวงพ่อท่านเน้นมรรคแปดเป็นแนวในการปฏิบัติ ยิ่งทำให้คิดถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง สองปีสุดท้ายก่อนมรณภาพ หลวงพ่อก็เน้นเนื้อหาการปฏิบัติอย่างเข้มข้นแบบนี้แหละ ท่านบอกว่าเป็นทวนเล่มสุดท้ายที่จะทิ้ง แล้วหลวงพ่อวัดเขาตามะยะล่ะ..?
ตอนบ่ายครูบาน้อยชวนเดินลงเขาไปสรงน้ำ ชอบใจเด็ก ๆ ที่กรูกันเข้ามาเสนอทั้งขันน้ำทั้งสบู่ รู้จักทำกินแบบนี้อนาคตรุ่งแน่ แต่ไอ้การเดินลงเขาไปอาบน้ำ แล้วเดินกลับขึ้นมาอาบเหงื่อแบบนี้ คนทำต้องค่อนข้างเสียสติอยู่สักหน่อย..! บ่ายสี่ครึ่งลงเขาไปเสียเงิน สนับสนุนวณิพกน้อยด้วยการช่วยซื้อเทปสองม้วน จากนั้นไปรอทำบุญกับหลวงพ่อ คนยังคงไหลมาเป็นน้ำ รับโอวาท ถวายปัจจัย แล้วกราบลา ขึ้นเขากลับไปยังที่พัก ขึ้นลงเขาเป็นว่าเล่น จนญาติโยมทั้งอิจฉาทั้งเลื่อมใส แต่งานนี้ชักรู้สึกแปลก ๆ คล้าย ๆ กับว่าหัวเข่าจะอักเสบเสียแล้วซิ..! |
สรงน้ำคราวนี้บรรดาแม่ชีเลิกแปลกใจ เขาคงเชื่อแล้วว่ามนุษย์หิมะมีจริง รบกวนอาหารฟรีจากโรงครัวอีกมื้อหนึ่ง แล้วเดินย่อยอาหารลงจากเขา มากราบลาหลวงพ่อด้วยการคุกเข่าลงบนพื้นถนน กราบไปทางที่พักของท่าน ปรากฏว่ามีโยมทำตามเยอะเลย..!
รถสองแถวไปมะละแหม่งออกหกโมงเช้า กราบขอท่านปู่พระอินทร์ช่วยตอนผ่านด่าน ท่านส่งพี่เกศแก้วมณีคุมทีม พาพี่พรสวรรค์ พี่พรทิพย์ พี่พวงทิพย์ ปลอมเป็นพระพม่าคลุมหัว นั่งหัวเราะกันคิกคักมาเต็มหลังคารถ..! ผ่านสะดวกโยธินทุกด่าน ลองว่าพี่ ๆ ยอดฝีมือมากันครบชุดแบบนี้ กล่องดวงใจอย่างสะพานแขวนข้ามแม่น้ำพะอางกับสะพานแขวนข้ามแม่น้ำอัตทราน อาตมายังกล้าถ่ายรูปหน้าตาเฉย บรรดาทหารก็ไม่เห็นว่าจะโวยวายอะไร..! ครูบาน้อยกลัวว่าด่านตรวจคนเข้าเมืองมะละแหม่งจะเรียกพระลงไปเข้าซองแบบที่ท่านโดนมา แต่ฝีมือพี่เขาร้าย นอกจากอาตมาไม่ต้องลงเดินแล้ว ยังโผล่หน้าเลี่ยน ๆ ไม่มีคิ้ว ออกไปดูการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างเพลิดเพลิน..! |
สองโมงเช้ามาต่อรถสองแถวไปเมืองมุด่ง พี่เขาสนุกกันมากไปนิด ตำรวจจราจรจึงโบกเรียก แจ้งข้อหาพลขับว่าให้พระขึ้นนั่งบนหลังคารถมากเกินไป จนอาจเกิดอันตรายพังลงมาก็ได้ ทั้งที่มีแต่ท่านจันทร์นั่งหัวโด่อยู่คนเดียว..! ไม่ว่าโชเฟอร์จะพูดอะไร คุณตำรวจตาดีไม่ฟังทั้งนั้น เพราะเขาเห็นเต็มตาว่ามีพระนั่งอยู่ตั้ง ๕ รูป...!
โชเฟอร์ยอมให้ยึดทะเบียนรถไว้ ขอไปส่งผู้โดยสารก่อน รอกลับมาเคลียร์ภายหลัง มีหวังได้เถียงกันหน้าดำหน้าแดง หากโชเฟอร์ยืนยันว่ามีพระนั่งมาบนหลังคารูปเดียว กราบขอบพระคุณพี่ ๆ ทุกท่าน ขอให้สนุกแค่นี้ก็พอ... สามโมงเช้ามาถึงมุด่ง รถไปด่านเจดีย์สามองค์กำลังจะออก ช่างเฮงอะไรเช่นนั้น จ่ายค่ารถรวมค่าอาหารคนละสี่พัน อาตมากับครูบาน้อยนั่งหน้า จ่ายค่าเบาะนั่งอีกคนละพัน มันไปจ้างรถสองแถวเส้นใหญ่พาเราออกไปส่งนอกเมืองตันบวยเซียท... สองแถวเจ้าถิ่นมันแน่มาก พาเราผ่านด่านรวดเดียวหกด่าน..! แม้แต่ด่านที่ล็อกตัวท่านชา (พระปรีชา จิรนาโค) กับท่านกอล์ฟ (พระศราวุธ ฐานิสฺสโร) ไปส่ง ต.ม.ไทยเมื่อปีก่อน ก็ยังผ่านได้ง่าย ๆ..! เออ..นายแน่มาก... สิบโมงครึ่งมาฉันเพลรอเปลี่ยนรถที่นอกเมืองตันบวยเซียท ค่าอาหารรวมอยู่ในค่ารถจึงไม่ต้องจ่ายอีก... |
สิบเอ็ดโมงครึ่งรถหกล้อตามมาทัน แต่วิ่งเลยไปก่อน หาที่ลับหูลับตาค่อยถ่ายคนขึ้น ถ้าไปทำประเจิดประเจ้อกลางชุมชน มีคนคาบข่าวไปแจ้งทางการ อาจจะพาซวยทั้งคู่..! ให้ตายเถอะ..มันขนของมาค่อนคันรถ จนแทบไม่มีที่ให้นั่ง...
อาตมาสองคนจ่ายค่าที่นั่งพิเศษแท้ ๆ นอกจากมันจะยัดของมาจนแทบไม่มีที่วางเท้าแล้ว ยังเอาคุณปู่เจ้าปัญหาเข้ามาเบียดอีกคนจนกระดิกตัวไม่ได้ แต่ได้หัวเราะคุณปู่ที่นั่งคล่อมเกียร์อยู่จนท้องคัดท้องแข็ง..! รถวิ่งบนทางเกวียนฝุ่นตลบอบอวล เข้าเกียร์ทีปู่แกก็สะดุ้งที โอดครวญกลัวของรักของหวงชำรุด โชเฟอร์บอกว่าปู่นั่งผิดที่ ปกติตรงนี้สาว ๆ เขานั่ง “หา..แล้วเอ็งเข้าเกียร์ตรงหว่างขาของเขาแบบนี้นะเรอะ..!?!” ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า..! บ่นอุบอิบตลอดทางว่ายังไม่ได้กินข้าว พอลูกหลานส่งมาให้กลับวางไว้เฉย ๆ ถามว่าทำไมไม่กิน ? แกว่ารถกระแทกแบบนี้ติดคอตาย...พอดีรถตกหลุมโครมใหญ่... “โอ๊ย...แบบนี้ถ้าปวดตดนิดหน่อยก็ขี้แตกกันพอดี..!” ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า..! |
กินฝุ่นอ่วมอรทัย ผ่านบ้านเลโพ เต็งเง ตำมะยา อะนังกวีน คงคาน ซินแต ทุกด่านไม่มีปัญหา มามีตรงด่านพม่าเฮงซวยที่ตองซุน มาถึงยังไม่บ่ายสามครึ่ง มันว่าใกล้ค่ำแล้ว ให้ค้างกันที่นี่แหละ..! รถมากี่คัน มันกักเอาไว้หมด..!
นายด่านเพิ่งย้ายมาจากเมืองจะอีน อยากจะทำตัวให้ชาวบ้านรัก ดันกักรถกักคนไว้ เขาต้องกินต้องพักเป็นเงินทั้งนั้น ครูบาน้อยว่า “ถ้ามีคนฟ้องทหารกะเหรี่ยง ไอ้นี่ถูกเก็บแน่ มันกักรถที่เขาเคลียร์ทางไว้ รถไม่ได้วิ่งรายได้ก็ไม่มี...” ช่างศีรษะมารดามันเถอะ...พวกเราพากันไปอาศัยนอนที่วัดตองซุนดีกว่า... คุณโชเฟอร์อ่วมอรทัยคนเดียว แทนที่จะถึงด่านเจดีย์สามองค์ตั้งแต่เมื่อวานเย็น กลับต้องจ่ายค่าอาหารทั้งเย็นและเช้านี้เพิ่มอีกสองมื้อ ทุนหายกำไรหดโอดครวญกับใครก็ไม่ได้ บทดวงซวยขึ้นมาก็เจออย่างนี้แหละ..! คลิกเพื่ออ่านตอนต่อไป |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:11 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.