กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=108)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=7988)

ตัวเล็ก 13-09-2021 20:49

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๔
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๔



เถรี 13-09-2021 23:54

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ มีงานใหญ่ของชาวมหาจุฬาฯ ก็คือเป็นวันครบรอบ ๑๓๔ ปี การสถาปนามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตั้งแต่เช้ามืดมีแต่กิจกรรม แล้วก็เพิ่งจะมาจบลงตอนเกือบ ๕ โมงเย็น

คราวนี้จากหน่วยงานทั้งหมดที่เข้าไปร่วมงาน ปรากฏว่าวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี (วัดไร่ขิง) คว้าไป ๒ รางวัล ก็คือรางวัลที่ ๓ จำนวนบุคคลเข้าร่วมงานมากที่สุด กับรางวัลชนะเลิศการจัดการความรู้ หรือที่ตัวย่อว่า K.M. เราจะเห็นว่าวัดไร่ขิงนั้น จำนวนบุคลากรที่เข้าไปร่วมงานมีถึง ๕,๐๐๐ เศษ วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีของเรา ทั้งอาจารย์ทั้งนิสิตรวมกัน เพิ่งจะ ๓๘๕ รูป/คน จำนวนต่างกันเหมือนฟ้ากับเหว

แต่ว่าเรื่องนี้ก็ว่ากันไม่ได้ เพราะว่าทางด้านท่านอาจารย์พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ, ศ. ดร. ท่านเป็นบุคคลที่กล้าทำงานและกล้ารับผิด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น โครงการต่าง ๆ ที่ท่านคิดขึ้นมา แม้ว่าบางอย่างจะเดินคาบเส้น ท่านก็จะไป..!

ในขณะเดียวกัน วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ของเรา ผู้อำนวยการท่านรักษากฎหมายอย่างเคร่งครัด จึงต้องค่อยเป็นค่อยไป โตทีละนิด ๑๐ กว่าปีผ่านไป เพิ่งโตเข้ามาแค่ ๓๐๐ กว่ารูป/คน ส่วนทางด้านโน้นยังไม่ถึง ๑๐ ปี เตรียมจะขยับจากวิทยาลัยสงฆ์ขึ้นเป็นวิทยาเขตแล้ว

เราจะเห็นว่า เรื่องของภาวะผู้นำเป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้นำไม่ใช่คิดได้อย่างเดียว ต้องกล้าตัดสินใจด้วย เราลองคิดดูว่า ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่ตัดสินใจออกมหาภิเนษกรมณ์ เราก็คงไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีศาสนาพุทธมาจนทุกวันนี้

เถรี 13-09-2021 23:56

สิ่งที่พระองค์ท่านตัดสินใจไป ถ้าเป็นเราจะตัดขาดได้หรือเปล่า ? อันดับแรกก็คือครอบครัว ราชสมบัติรออยู่ ลูกก็เพิ่งจะเกิด อันดับที่สอง คือความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ดังนั้น..ถ้าหากว่าเปรียบเทียบกับพวกเราเอง ก็จะเห็นว่ากำลังใจของพระองค์ท่านนั้นสุดยอดขนาดไหน เป็นปุถุชน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ตัดสินใจได้เด็ดขาดถึงขนาดนั้น

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ถ้าไม่มีการตัดสินใจ ไม่มีทางที่จะได้มรรคได้ผล ยกตัวอย่างคนอื่นก็คงจะไม่ชัดเจน กระผม/อาตมภาพขอยกตัวอย่างตัวเอง ก่อนบวช ๒ ปี ได้ถวายการรับใช้พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ที่บ้านสายลม วันหนึ่งในช่วงปฏิบัติพระกรรมฐานภาคค่ำ เมื่อปฏิบัติเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านบอกว่า "พระพุทธเจ้าเสด็จมา บอกว่าทั้งหมดที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในวันนี้ มี ๗๐ คนที่สามารถรักษาศีล ๘ ได้เลย"

ทันทีที่ได้ยิน กระผม/อาตมภาพตัดสินใจตรงนั้นเลยว่า "ข้าคือ ๑ ใน ๗๐ คนนั้น" แล้วตั้งแต่ตอนนั้นมา ความรู้สึกทุกอย่างเปลี่ยนหมด เหมือนอย่างกับว่า จากการที่เคยรักษาศีล ๕ กึ่ง ๆ ศีล ๘ เพราะว่าศีลอะไรในศีล ๘
ก็ไม่ขาดเลย ยกเว้นกินข้าวเย็นอย่างเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับแค่ตัดสินใจว่า "เราเลิกกินข้าวเย็น" ความรู้สึกก็คือ พอหลังเที่ยงเหมือนกับคอหอยตัน นอกจากน้ำแล้วก็ไม่อยากจะกินอะไรเลย

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็อยู่ในอาการเดียวกันมาตลอด ก็คือหลังเที่ยงแล้วไม่ต้องมาชวนกินอะไร บางทีพวกท่านพอถึงเวลาทำวัตรเย็นเสร็จสรรพ ญาติโยมถวายน้ำปานะ กี่ปีต่อกี่ปีที่ผ่านมา พวกท่านเคยเห็นผมหยิบสักถ้วยไหม ? ก็คือแม้ว่าจะเป็นน้ำ แต่ถ้าหากว่าเป็นน้ำหวานก็ไม่เอาเหมือนกัน

เถรี 13-09-2021 23:57

ดังนั้น...ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าเราขาดการตัดสินใจที่เด็ดขาด โอกาสเข้าถึงมรรคผลก็ไม่มี แล้วกว่าที่จะได้อย่างนั้นอีกทีหนึ่ง ก็ต้องรอวาระบุญวาระกรรมบรรจบครบรอบอีกครั้งหนึ่ง บางคนก็หลายปี บางคนก็หลายสิบปี ถ้าหากว่าเจอหลายปี หรือหลายสิบปีก็มีสิทธิ์ที่จะตายก่อน โดยที่ไม่ได้อะไรเลย..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมไป เมื่อถึงเวลาแล้ว กำลังใจจะบอกเราเองว่าอะไรควร อะไรไม่ควร แบบเดียวกับคุณแม่จันทนา วีระผล ปฏิบัติธรรมไปถึงจุดหนึ่ง ญาณคือเครื่องรู้ก็เกิดขึ้น รายงานกับตัวเองว่า ถ้าหยุดกำลังใจไว้แค่นี้ จะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีก ๑๒ ปี แต่ถ้าไม่หยุด ก็ตายภายใน ๗ วัน..!

คุณแม่จันทนาตัดสินใจว่า ในเมื่อไปได้แล้ว ทำไมต้องอยู่ทนลำบากไปอีก ๑๒ ปี ? ในเมื่อตัดสินใจแค่นั้น ก็แปลว่าทุกอย่างไม่เอาแล้ว แม้กระทั่งร่างกายของตนก็ไม่เอา คือชีวิตอีก ๑๒ ปีก็ไม่เอา ท่านจึงตายไปตามกฎเกณฑ์กติกา ก็คือพระอริยเจ้าระดับสูงขนาดนั้น อยู่ร่วมกับคนปกติไม่ได้ เพราะว่าจะเป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่นเขามาก เนื่องจากคนอื่นไม่รู้ว่าท่านเป็น ถึงเวลาล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ก็จะเกิดโทษสาหัสแก่เขา จึงกลายเป็นกฎเกณฑ์ที่ว่า ถ้าฆราวาสบรรลุมรรคผล ก็จะสิ้นชีวิตลงภายใน ๗ วัน

แต่ตามประสบการณ์ของครูบาอาจารย์ ตลอดจนของตัวกระผม/อาตมภาพเอง ยังไม่เคยเห็นใครอยู่ได้เกินวันเลย ถ้าได้กลางวัน ก็ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก ถ้าได้กลางคืน ก็ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น ถ้ากำลังใจไม่ถึง ก็จะรู้สึกว่าน่ากลัว แต่สำหรับคนที่กำลังใจถึงแล้ว กลับเป็นสิ่งที่ท่านปรารถนาอย่างยิ่ง

เถรี 13-09-2021 23:59

จำไว้ว่า บุคคลที่เข้าถึงระดับนี้ ไม่ได้แสวงหาความตาย ไม่ได้อยากตาย แต่พร้อมเสมอที่จะตาย กำลังใจยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด อยู่ก็ได้ ตายก็ดี อยู่ก็ได้สร้างบุญบารมี ตายก็ไปพระนิพพาน

เพราะฉะนั้น...ใครที่คิดว่าตนเองปฏิบัติธรรมถึงระดับอยากตายแล้วดี กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าไม่ได้เรื่อง..! เพราะว่าคนที่อยากตายกำลังใจจะเศร้าหมอง ตายตอนนั้น อาจจะลงอบายภูมิไปเลย..!

ย้ำอีกครั้งหนึ่ง ไม่ได้อยากตาย แต่พร้อมที่จะตาย อยู่ก็ได้ตายก็ดี อยู่ก็ได้สร้างบุญบารมี ตายก็ไปพระนิพพาน เก็บเอาไว้ใช้งาน กำลังใจทำถึงเมื่อไร จะเข้าใจว่าตรงนี้หมายถึงอะไร

ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวให้ญาติโยมได้ทราบแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:16


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว