กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   สนุกสนานวุ่นวายในเนปาล (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=62)
-   -   สนุกสนานวุ่นวายในเนปาล ตอนที่ ๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4670)

สุธรรม 28-10-2015 16:45

สนุกสนานวุ่นวายในเนปาล ตอนที่ ๓
 
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1446025484
ตั้งแต่ศึกษาเรื่องยันต์ทำน้ำมนต์มาก็ปลุกอยู่ทุกวัน

วันศุกร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๗


ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน ตื่นขึ้นมาตอนตีสองครึ่งของเมืองไทย รู้สึกว่านอนเต็มอิ่มแล้ว อาการไข้ก็ไม่มี จัดการชัก "ยันต์ทำน้ำมนต์" แล้วภาวนาอิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๗ จบ ต่อด้วยนะมะพะทะ ๑๕ จบ แล้วจึงลุกไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นจัดการกรอกน้ำลงไปครึ่งลิตร ตั้งแต่ "วัยร่ำรวย" มาถึง อาตมาสามารถดื่มน้ำธรรมดา (ไม่แช่เย็น) ได้ ไม่ต้องอาศัยน้ำร้อนตลอดเวลาเหมือนก่อนหน้านี้...

เปิดประตูห้องแง้มไว้ เผื่อใครตื่นแล้วจะได้รู้ว่าอาตมาตื่นเช่นกัน จัดการเปิดไฟตรงโต๊ะญี่ปุ่น แต่เขาพ่วงไว้สามดวง จึงกลายเป็นเปลืองไฟไปโดยปริยาย เปิดโน้ตบุ๊กพิมพ์เรื่องราวของเมื่อวานต่อ อยากจะให้เสร็จของแต่ละวัน จะได้ไม่เป็นภาระมากเมื่อกลับไปวัดแล้ว...

เสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านไป ๑ คัน นาน ๆ จะมีเสียงคนเดินผ่านมาคุยกันดังเข้ามา ซึ่งมักจะตามมาด้วยเสียงหมาเห่าทุกครั้ง พอทุกอย่างผ่านไปแล้วถือว่าบรรยากาศสงบเงียบทีเดียว ทำให้ได้ยินเสียงยุงบินเข้ามาด้วย อาตมาจึงต้องดึงประตูปิดลง แต่ก็ไม่ทันแล้ว เจอยุงเนปาลีมาขอชิมเลือดสยามเข้าให้ คันบรรลัยเลย ต้องนั่งพิมพ์หนังสือไปเกาไปด้วย...

สุธรรม 29-10-2015 02:25

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1446060309
"ห้องนอนสวยมากค่ะ"

จนตีสี่ครึ่งของบ้านเรา รู้สึกแสบตา จึงปิดโน้ตบุ๊กไปนอนภาวนาต่อ เพิ่งได้อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๕ จบ ก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ฉันยา จึงไปเคาะประตูห้องของลูกปุ๊ก อีกฝ่ายที่ตื่นแล้วเช่นกันรีบเอายามาให้ ซึ่งก็คือวิตามินซี ขนาดเม็ดละ ๑,๐๐๐ มิลลิกรัม อาตมาฉันเฉพาะตอนมาที่นี่เท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัดจนเสียกำหนดการ...

คุณลูกบอกว่านอนอยู่กับป้ามอย แม่ป๋อมหนีไปนอนกับน้องเก๋และน้องเล็ก ส่วนตนเองท้องเสียเพราะดื่มน้ำขวดของที่นี่เข้าไป อ้าว..คุณลูกพอไม่มีน้ำร้อนเป็นเสร็จทุกที หวังว่าคงไม่ใช่เป็นเพราะไอศกรีมเมื่อวานนี้นะ อาตมาฉันยาแล้วนอนภาวนาต่อ จนตีห้ากว่าของไทยได้ยินเสียงนกร้อง จึงลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำ ถึงได้รู้ว่าในตู้ไม้ข้างประตูห้องน้ำ มีผ้าเช็ดตัวทั้งผืนใหญ่ผืนเล็กอยู่ด้วย ตูหนอตู..ความไม่ช่างค้นทำให้ใช้ของตัวเองไปแล้ว ยังดีที่แห้งพอดีจึงเก็บลงกระเป๋าได้ แต่ก๊อกน้ำเปิดอย่างไรก็ยังเย็นเจี๊ยบเหมือนเดิม...

สรงน้ำแล้วเปิดโน้ตบุ๊กพิมพ์งานต่อ ได้ยินเสียงห้องอื่นเปิดประตูจึงออกไปดู เห็นน้องเก๋ยืนยิ้มอย่างมีความสุข บอกว่าห้องนอนสวยมาก มีระเบียงให้ชมวิวได้ด้วย อาตมาจึงขอเข้าไปดูบ้าง น้องเล็กก็ตื่นแล้ว ส่วนแม่ป๋อมนั่งสมาธิอยู่ ห้องนี้แบ่งเป็นสองช่วง ช่วงนอกที่ตรงกับประตูเป็นที่นอนของน้องเล็ก มีหน้าต่างสามบานเปิดออกไปชมวิวได้ ช่วงในเป็นที่นอนของน้องเก๋และแม่ป๋อม ซึ่งอยู่ตรงกับห้องน้ำ มีโถชักโครกแบบเป็นปุ่มดึงไม่ใช่ปุ่มกด...

สุธรรม 29-10-2015 14:20

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1446103115
ไม่ใช่อีกาแต่เป็นอีแก (Raven) (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

พออาตมาบ่นเรื่องน้ำไม่ร้อน น้องเล็กบอกว่าต้องเปิดสวิทช์ก่อน แล้วเข้าไปช่วยดูให้ ปรากฏว่าเป็นสวิทช์ตรงกลางจากที่เรียงกัน ๓ อัน กว่าจะรู้ก็เจอน้ำเย็นเข้าไปแล้ว พอดีตีห้าของที่นี่ มีเสียงตีระฆังดังกังวาน ๓ ที แล้วมีเสียงคนเดิน เสียงรถวิ่ง เหมือนกับว่ากิจกรรมการดำเนินชีวิตของที่นี่ต้องรอเสียงระฆังก่อนอย่างนั้นแหละ...

พนักงานโรงแรมเปิดประตูออกมาเห็นอาตมาที่หน้าต่างก็ทักว่า "Good Morning, Sir" อาตมาตอบกลับไปว่า "Good Morning" แล้วบอกน้องเก๋ว่ากว่ารถจะมาก็เก้าโมง เราไปเที่ยวกันที่ไหนก่อนดี อีกฝ่ายบอกว่าเดินแถวนี้แหละ คาดว่ามีสารพัดชีวิตชาวบ้านให้ดู แต่ได้ดูชีวิตนกก่อน เพราะมีอีกาเนปาลีบินมาเกาะบนยอดต้นสนข้างระเบียง แต่พอส่งเสียงร้องก็รู้ว่าเป็น "อีแก" เพราะร้องกา..กา ไม่เป็น...

เอาของออกจากกระเป๋าโน้ตบุ๊ก แล้วใส่สมุดฉีกกับปากกาลงไป คว้าจีวรได้ก็ตะโกนถามไปว่า "มีใครจะไปเดินเล่นบ้าง ?" น้องเล็กบอกว่าแม่ป๋อมออกไปแล้ว ตัวเองยังไม่ได้อาบน้ำ ขอเวลา ๑๐ นาที อาตมาบอกว่าไม่รอ ให้ตามไปสมทบทีหลังก็แล้วกัน พอดีแม่ป๋อมเดินสวนขึ้นบันไดมา บอกว่าไม่ได้เอาเงินติดตัวไป เลยต้องกลับมาก่อน อาตมาล็อกกุญแจห้องแล้วจะเดินลงไปข้างล่าง...

สุธรรม 30-10-2015 03:00

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1446148751
Pagoda อยู่ติดกับหน้าโรงแรมเลย

พนักงานทักท้วงว่าล็อกกุญแจผิด อาตมาคิดว่าเขาจะเข้าไปทำความสะอาดห้อง ปรากฏว่าไม่ใช่ ที่แท้อาตมาดึงโซ่มาก็คล้องกุญแจเลย เขาผลักให้ดูว่ากว่าจะสุดสายโซ่นั้นกว้างขนาดช้างลอดได้..! อาตมาจึงต้องเอาโซ่คล้องกับห่วงด้านบนขอบประตูก่อน แล้วกดกุญแจล็อกใหม่...

แต่อาตมามักจะคล้องกุญแจตรงข้ามกับคนอื่นเขา จึงเอารูกุญแจเข้าด้านใน พนักงานบอกว่าควรจะเอารูกุญแจไว้ด้านนอก จึงต้องไขกุญแจใหม่ แต่สงสัยว่าจะไปยุ่งกับชีวิตของมันมากเกินไป ไขเท่าไรก็ไขไม่ออก พนักงานเข้ามาช่วยไขให้ก็ไม่ออกเช่นกัน จนเห็นว่าจะเสียเวลามาก อาตมาจึงปล่อยเลยตามเลย เก็บลูกกุญแจลงกระเป๋า เดินลงไปด้านล่างรอที่หน้าโรงแรม...

สักครู่ป้ามอย แม่ป๋อมกับลูกปุ๊กก็เดินตามมา ที่ลานหน้าโรงแรมมี Pagoda หรือที่น่าจะเรียกว่าวิหารมากกว่า แต่ที่นี่เขาเรียกแบบนี้กันทั้งนั้น ตัว Pagoda เป็นอาคารเล็ก ๆ สูงขึ้นไปสองชั้น ด้านในน่าจะประดิษฐานรูปเคารพในศาสนาฮินดู ที่อยู่ห่างกันออกไปไม่กี่เมตรคือสุเหร่าของอิสลาม ลูกปุ๊กชี้ให้ดูอีกฝั่งของถนนแคบ ๆ ว่ายังมีสถูปเล็ก ๆ อยู่ในซอกตึกอีกด้วย พอเดินเข้าไปก็เห็นหญิงชราชาวทิเบตกำลังเดินวนขวาสวดมนต์อยู่...

สุธรรม 30-10-2015 17:55

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1446202418
สถูปเล็ก ๆ ของวัดสุธรรมารามกับคุณยายที่เดินสวดมนต์อยู่

พวกเราเข้าไปเดินทักษิณาวรรตบ้าง การถ่ายรูปของพวกเราอาจจะรบกวนการสวดมนต์ของคุณยาย แกจึงเดินเข้าบ้านไปเลย อาตมาถ่ายรูปไปหลายมุมแล้ว จึงเห็นป้ายที่มีภาษาอังกฤษว่า Sudhammaram Temple อ้าว..นี่วัดของอาตมาเองนี่หว่า ?

ออกจากวัดมาก็เดินสวนทางที่เมื่อคืนรถตู้พาพวกเรามา มีแต่คนเดินสวนทางไป หมาจรจัดหลายตัวรุมกันอยู่ที่กองขยะที่กองออกมาครึ่งถนน ครั้นถึงสามแยกกำลังคิดว่าจะไปทางไหน แม่ป๋อมก็เดินดุ่ย ๆ ไปดูเขาทอดขนมเสียแล้ว แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรติดมือมา แล้วจะไปไหนต่อดีหว่า ? เห็นแสงสว่างวาบแล้วนภิสราเทวีโผล่ใบหน้าสวย ๆ มา ชี้เลยร้านขนมไปหน่อยหนึ่ง มีรั้วสีแดงแข็งแรงและต้นโพธิ์ใหญ่ขึ้นร่มครึ้ม พลางบอกว่า "ตรงโน้นค่ะ" แล้วหายวับไปทันทีตามเคย อาตมาเดินนำเข้าไปก่อน อ้อ..วัดนี่เอง...

เหตุที่มั่นใจเพราะมี Pagoda ขนาดใหญ่ ๗ ชั้น อยู่ด้วย มีคนกำลังเดินทักษิณาวรรตกันอยู่มากมาย อาตมาถ่ายรูปตามซอกมุมต่าง ๆ ด้วยความทึ่งอย่างยิ่ง เพราะ...

๑. งานแกะสลักไม้ละเอียดยิบ ดูก็รู้ว่าเป็นของเก่าแก่อายุเป็นร้อย ๆ ปี
๒. ในนี้มีทั้งรูปพระพิฆเณศวร์ โคนนทิ ศิวลึงค์ อุมาโยนี และมีกงล้อมนต์ของพุทธ

สุธรรม 31-10-2015 04:14

1 Attachment(s)

มีสระน้ำขนาดใหญ่ที่ตอนนี้แห้งผาก มีหนุ่มใหญ่คนหนึ่งกำลังเจิมตัวเองด้วยน้ำ แล้วสูดลมปราณแบบปราณะยะมะของโยคะอยู่ข้างบันไดลงสระ ในสระมีสาวใหญ่กำลังตักน้ำจากหลุมเล็ก ๆ ตรงมุมสระใส่ลงในกาทองแดง มีคนเข้าไปขอน้ำมาเจิมศีรษะตัวเองหลายราย...

รอบขอบสระทั้งด้านในด้านนอก มีรูปปั้นสัตว์หลายชนิด ทั้งสิงโต ลิง งู และที่หน้าตาคล้ายคลึงกับ "คุณพญานาครูปหล่อ" ที่อินโดนีเซีย ส่วนท่อน้ำรูปหัวสิงห์นั้นแห้งไปตั้งชาติหนึ่งแล้ว อาตมาถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ ของ Pagoda ซึ่งมีสิงห์และครุฑที่มีอวัยวะบอกว่าเป็นเพศผู้ขนาดใหญ่มาก ได้ทั้งรูปสลักและศิวลึงค์ไปบูชาในโอกาสเดียวกัน แถมช่างยังมีอารมณ์ขัน แอบสลักตุ๊กแกไต่อยู่ข้างลายขอบประตูอีกด้วย...

เสียงร้อง "แอ้..แอ้.." แล้วอีแกเนปาลีก็โผลงมาเกาะที่ยอดสถูปเตี้ย ๆ จึงเห็นถนัดว่าอีแกแถวนี้ ไม่ใช่อีแกอย่างที่อาตมาเข้าใจ เพราะสีดำหัวเทาแบบนี้คืออีกาฝรั่ง (Raven) นั่นเอง พอยกกล้องขึ้นจะถ่ายรูป ไอ้นกแสนฉลาดก็บินหนีทันที เพราะไม่แน่ใจในความปลอดภัยของตนเอง...

สุธรรม 31-10-2015 17:09

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1446286082
แม่ครับ...อย่าหอบโชคลาภของเขากลับไปหมดนะครับ..!

เดินออกมาทางด้านนอกของประตูอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นประตูทางเข้าจริง ๆ ก็เจอ Pagoda เล็ก ๆ อีกหลัง ลูกปุ๊กตรงเข้าไปที่ประตูทางเข้าซึ่งมีระฆังเล็ก ๆ แขวนเป็นราว กางมือกวาดรวบเข้ามาดังกราว แล้วกอบใส่หัวแบบเดียวกับคนที่นี่ แม่ป๋อมเห็นก็เอาอย่างบ้าง อย่าถึงกับหอบเอาโชคลาภของเขากลับเมืองไทยไปหมดเน้อ..!

เลยไปอีกหน่อยก็เจอตัวอาคารไม้มีลายแกะสลักแบบศิลปะเนวารีสวยงามทั้งหลัง ที่เมื่อคืนเราวิ่งผ่านมานั่นแหละ ด้านหลังอาคารมีสถูปสัมฤทธิ์รูปดอกบัว สูงประมาณ ๑ เมตรครึ่ง มีหญิงชาวฮินดูสองคนกำลังเอาชาดเจิมรูปเคารพต่าง ๆ รอบสถูปอยู่ อาตมาถ่ายรูปแล้วก็พากันเดินมาด้านหน้าซึ่งถนนเป็นตรอกแคบ ๆ มาเดินตอนนี้ยังสงสัยว่าเมื่อคืนรถตู้เข้ามาได้อย่างไร ?

เพิ่งรู้ว่าอาคารสวยหลังนี้เป็นวัดแห่งหนึ่ง แต่เขายังไม่เปิดให้เข้าชม ลูกปุ๊กตะกายขึ้นไปบนขอบหน้าต่างไม้แกะที่ไม่สูงนัก พลางร้องบอกให้ช่วยถ่ายรูปให้ด้วย อาตมารีบยกกล้องถ่ายแบบด่วนจี๋แล้วเร่งให้ลงมา เพราะไม่รู้ว่าเป็นการสมควรหรือเปล่าที่ทำแบบนั้น..?

สุธรรม 01-11-2015 04:40

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1446327522
หลุดมาที่จตุรัสดูบาร์แบบไม่รู้ตัว

เลี้ยวซ้ายออกมาหน่อยเดียวก็เจอ Pagoda อีก ๓ หลัง อยู่ฝั่งที่เราเดินมา ๒ หลัง อีกฝั่งของถนนหนึ่งหลัง เรียกว่าทุกซอกทุกมุมต้องมีที่เคารพบูชาของพวกเขา ขนาดบันไดตึกที่ขุดลงไปเจอหินกลม ๆ หน่อย เขายังทำกรอบปูนครอบไว้ให้บูชาเป็นศิวลึงค์...

แม่ป๋อมถ่ายรูปสถานที่แข่งกับอาตมา ขณะที่ป้ามอยกับลูกปุ๊กเดินตามแบบเซ็งชีวิต เพราะไม่คิดจะถ่ายคนกันบ้างเลย จนทะลุออกมาถนนใหญ่ที่มีคนเดินพลุกพล่าน มองเห็น Pagoda ขนาดมหึมาหลายหลัง พร้อมกับสถูป ระฆัง และตัววิหารที่เหมือนบ้านยาว ๆ แต่แกะสลักลวดลายละเอียดมาก ก็รู้ว่าหลุดออกมาถึงจัตุรัสดูบาร์ (Durbar square) แล้ว...

น้องเล็กเดินเข้ามาสมทบ บอกว่ามาที่นี่ตั้งนาน เดินจนทั่วหมดแล้วไม่เจอพวกเราเลย กำลังจะกลับอยู่พอดี จึงพากันเดินชมจตุรัสเก่าแก่แห่งนี้ ดูผู้คนที่เข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และถ่ายรูปกันเป็นระยะไป ช่วงนี้อนุญาตให้มี "คน" เข้าไปมีส่วนร่วมในรูปด้วย เมื่อถ่ายรูปนกพิราบที่ลงมากินเมล็ดข้าวที่เขาเอามาถวายเทพเจ้ากันเป็นร้อยเป็นพันตัวแล้ว ก็เดินต่อไปทางด้านตลาดสด ซึ่งบรรดาพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งรถเข็นหรือปูผ้าแบกับดิน วางสินค้าจำหน่ายกันตลอดสองข้างทาง...

สุธรรม 01-11-2015 17:22

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1446373308
ตลาดสดที่คนแน่นทีเดียว

บรรดาผักหญ้าทั้งหลายนั้น ที่คุ้นตาก็มีกระหล่ำดอก กระหล่ำปลี ต้นกระเทียม ต้นหอม มะเขือเทศ มะเขือม่วง ดูหน้าตาแล้วไม่ชวนกินนัก อาจเป็นเพราะขาดน้ำ จึงเหี่ยวแห้งหงิกงอ กระดำกระด่างพิกล แต่เขาก็เลือกซื้อกันแน่นไปหมด พวกขมิ้น หัวหอม กระเทียม พริกไทย และผักเครื่องเทศอื่น ๆ ก็มาก บรรดาข้าวของเครื่องใช้ ทั้งในครัวนอกครัว ตลอดจนเสื้อผ้าเต็มไปหมด ชุดชั้นในระดับ Big Size มีมากที่สุด...

เดินจนรองเท้ากัด เพราะไม่ได้ใส่ถุงเท้ามาด้วย จึงเดินกลับกับน้องเล็ก เพราะอาตมามัวแต่ถ่ายรูปอยู่ ป้ามอย แม่ป๋อม และลูกปุ๊ก เดินหายเข้าไปในกลุ่มคนแน่นขนัดหมดแล้ว กลับมาถึงห้องไขกุญแจไม่ได้ จึงขอเข้าไปปัสสาวะในห้องของน้องเล็ก แล้วมาลองไขกุญแจใหม่ ทั้งพ่อบ้านแม่บ้านมาช่วยกันก็ไขไม่ออก...

เมื่อไขด้วยลูกกุญแจไม่ได้ก็ต้อง "ไขด้วยใจ" ขอกุญแจกลับมาจากแม่บ้านแล้วไขเอง แกร๊กเดียวก็สิ้นเรื่อง แต่แบบนี้ไม่ดีเลย ถ้าฉุกเฉินขึ้นมาโควตาหมด มีหวังได้เดี้ยงกันทั้งคณะ เข้าห้องไปเปิดโน้ตบุ๊ก พิมพ์งานต่อได้พักหนึ่ง เสียงน้องเล็กทักยายจี๋ดังมาถึงชั้นบน สักครู่ยายจี๋ก็โผล่ขึ้นมา บอกว่าไปมาตั้งหลายแห่งแล้ว ครู่ต่อมาน้องเก๋ก็กลับมาอีกราย ไปกินโรตีจิ้มแกงถั่วมาแล้วด้วย ฮ่วย..ปล่อยตูหิวไส้แขวนอยู่คนเดียว...

สุธรรม 02-11-2015 04:26

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1446413075
กินอาหารเช้าที่มาตอนเกือบแปดโมง

น้องเล็กเอาบะหมี่ซองที่น้องเก๋ขนมาเป็นกระสอบชงน้ำร้อนมาถวาย แต่ดันใส่เครื่องปรุงลงไปจนหมด รสชาติเค็มปี๋เลย ยายจี๋เอามะม่วงทั้งในห้องตัวเองและในห้องอาตมา ปอกใส่จานมาเพิ่ม รสเปรี้ยวจืด ๆ พิกล แถมยังมีกลิ่นเหมือน "มะม่วงขี้ไต้" บ้านเราอีกด้วย ส่วนน้องเก๋เอาส้มเช้ง ท้อ และทับทิมที่ซื้อมาจากตลาดเมื่อครู่นี้ ปอกใส่ชามมาอีก แต่ผลไม้แถวนี้รสชาติไม่เอาไหน ยังไม่ทันจะฉันเสร็จลูกปุ๊กก็มาบอกว่าอาหารเช้าพร้อมแล้ว...

ต้องขึ้นไปรอที่ชั้นสาม โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เขาจัดให้นั่งคู่กัน มีอาตมาไร้คู่อยู่คนเดียว สักพักพนักงานก็เอาน้ำส้ม น้ำชา กาแฟ มาตัดกำลังก่อน ตามมาด้วยผลไม้รวม ขนมปังปิ้ง ๑ คู่ เนยกับแยมสตอเบอรี่อย่างละถ้วยจิ๋ว และไข่เจียว ๑ ชิ้น...

เนื่องจากเขาส่งอาหารมาแบบกลับหน้าเป็นหลัง ของที่ควรจะมาก่อนกลายเป็นมาทีหลังสุด อาตมาจึงต้องรอให้มาจนครบก่อนแล้วค่อยลงมือฉัน ใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เรียบร้อย แล้วขอตัวกลับห้องไปพิมพ์หนังสือต่อ เพื่อรอว่าถ้าปวดท้องขึ้นมาจะได้เข้าส้วมก่อนออกเดินทาง...

สุธรรม 02-11-2015 16:54

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1446457939
น้องเก๋ปรึกษากำหนดการวันนี้กับนายกาญจัน (ฝีมือยายจี๋ถ่ายภาพ)

ท้องไส้ปวดมวน ๆ อย่างไรพิกล แถมยังทำท่าว่าจะเป็นไข้อีกด้วย อาตมาจึงปิดโน้ตบุ๊กไปนอนภาวนาแทน ตะโกนบอกลูกปุ๊กว่าถ้ารถมาแล้วให้เรียกด้วย เพิ่งภาวนาพระคาถาชินบัญชรไปได้ ๓ จบ ลูกปุ๊กก็มาเคาะประตูบอกว่าเก้าโมงแล้ว ให้ลงไปรอมัคคุเทศก์ที่ด้านล่าง...

คว้าจีวรมาห่ม หยิบกระเป๋าโน้ตบุ๊กมาสะพาย ทำท่าจะยกน้ำลงไปทั้งแพ็ก แต่แม่ป๋อมที่เข้ามาถึงจัดการเจาะแล้วหยิบออกไปแค่สามขวด อาตมาจึงต้องหยิบเพิ่มอีกสามขวด เพราะปกติก็ฉันน้ำเหมือนอูฐอยู่แล้ว ขืนเอาไปแค่นั้นมีหวังได้แห้งตายกันพอดี...

มือหนึ่งหอบน้ำสามขวด มือหนึ่งใส่กุญแจห้อง จึงทุลักทุเลน่าดู แม่ป๋อมที่ทนดูไม่ไหว จึงฉวยน้ำไป ๒ ขวด ครั้นลงมาข้างล่างเจอพวกเรานั่งกันสลอน น้องเก๋กำลังเจรจากับหนุ่มใหญ่คนหนึ่ง ที่หน้าผากกว้างขึ้นตามอายุ จอนผมและหนวดขาวประปราย ใส่เสื้อเชิร์ตสีแดงลายพร้อย ครั้นเห็นอาตมาก็แนะนำตัวว่าชื่อกาญจัน (Kanchan) บอกว่าถ้านึกไม่ออกให้นึกถึงกาญจนบุรีก็ได้ เพราะแปลว่าทองเหมือนกัน น่าน..ลูกเล่นไม่เบาทีเดียว...

สุธรรม 03-11-2015 02:46

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1446493488
สงสัยว่าทำไมวัดนี้หน้าตาไม่เหมือนกับที่ค้นมา ?

นายเมืองกาญจน์บอกว่า ช่วงเช้านี้เราไม่ได้ใช้รถ เขาจะเป็นคนพาเดินเที่ยวแถวนี้เอง ดังนั้นทุกคนที่เพิ่งรับน้ำจากแม่ป๋อมไปเพื่อเฉลี่ยน้ำหนัก จึงส่งคืนกันหมด หลายคนทำท่าจะไม่เอากระเป๋าสะพายใบใหญ่ไปด้วย แต่เมื่อเห็นป้ามอยกับลูกปุ๊กยืนยันแข็งขันว่าจะเอาไป จึงเอาแต่น้ำไปเก็บ ส่วนอาตมาหยิบน้ำมาใส่ในกระเป๋าโน้ตบุ๊กตัวเองก่อน ๑ ขวด...

เดินตามกันออกมาหน้าโรงแรม นายทองนำตรงไปทางขวา แต่เลี้ยวแค่แยกแรกตรงสถูปขนาดเล็กรูปโดมที่คืนก่อนมารถติดกันอยู่ เดินย้อนเส้นทางรถตู้ ผ่านร้านขายของที่ระลึกที่เปิดกันหลายร้านแล้ว อาตมาถ่ายรูปอัษฎมงคล ซึ่งมีเงื่อนไร้ที่สุดวางขายอยู่หน้าร้าน เดินตามไปอีกหน่อยก็หยุดถ่ายรูปน้ำตกจำลองเล็ก ๆ ข้างกำแพง กว่าจะเดินตามไปทัน นายกาญจนบุรีก็พาคณะไปยืนรออยู่หน้าวัดที่เมื่อเช้าเรามาเที่ยวกันแล้ว...

ครั้นมัคคุเทศก์หน้าผากกว้างบรรยายว่า นี่คือวัดกุมเภชวาร์ (Kumbeshwer) เป็นวัดฮินดูที่สร้างมานานนับพันปีแล้ว น้องเล็กซึ่งเป็นผู้ค้นข้อมูลก็ทำหน้าพิกล ล้วงเอากระดาษข้อมูลออกมาเป็นปึก เปิดดูส่วนของวัดกุมเภชวาร์ พลางทักท้วงว่าทำไมรูปวัดไม่เหมือนกันเลย? ทำเอานายทองต้องขอดูข้อมูลด้วย แล้วสรุปว่าน้องเล็กค้นมาผิด ในข้อมูลเป็นรูปวัดกุมเภชวาร์ที่อินเดีย ส่วนวัดนี้เป็นวัดกุมเภชวาร์ที่เนปาล..!

สุธรรม 10-11-2015 04:20

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447103933
คุณลุงกำลังพากเพียรจับด้าย

นายทองทำหน้าที่มัคคุเทศก์ บรรยายต่อไปว่า วัดนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าชัยฐิติแห่งราชวงศ์มัลละ (King Jayasthiti Malla) เพื่ออุทิศแด่พระศิวะ จึงเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองปาทาน มีงานประติมากรรมไม้แกะสลักที่หาดูได้ยาก เพราะฝีมือละเอียดประณีตมาก โดยเฉพาะคันทวยนับร้อยอันที่มีลวดลายไม่ซ้ำกันเลย...

กลายเป็นว่าพวกเรามารับข้อมูลเพิ่มเติมจากเมื่อเช้า เพราะถ่ายรูปกันไปทุกซอกทุกมุมแล้ว ยกเว้นยายจี๋ที่ย่องไปถ่ายรูปใน Pagoda ซึ่งเมื่อเช้ามืดยังไม่เปิดเท่านั้น ที่นับว่าได้ของใหม่ เมื่อวนรอบ Pagoda มาทางซ้ายครึ่งรอบ ก็เจอคุณลุงท่านหนึ่ง น่าจะเป็นคหบดีมีเงิน เพราะแต่ง ตัวดูดีมีสกุลมาก กำลังตั้งหน้าตั้งตาจับด้ายเป็นไจเล็ก ๆ แล้วใส่ในกระจาดขนาดเล็กข้างตัว ซึ่งเต็มไปหลายกระจาดแล้ว นายทองเห็นเข้าก็รีบชี้ชวนให้พวกเราดู บอกว่าเป็นของที่เห็นได้ยาก...

สิ่งที่ท่านคหบดีกำลังทำอยู่นั้น เป็นการจับด้ายบูชาเทพเจ้าในวาระพิเศษ ที่ต้องใช้ด้ายถึง ๑๐๘,๐๐๐ ไจ เพื่อให้พระผู้เป็นเจ้าเห็นถึงความอดทนและพากเพียร จะได้ให้พรตามที่ขอ ซึ่งมักจะเป็นเรื่องการจบการศึกษา หรือขอให้คนในครอบครัวหายจากการเจ็บไข้ได้ป่วย...

สุธรรม 13-11-2015 14:03

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447398166
วงพิธีที่กำลังรอให้ท่านคหบดีจับด้ายเสร็จก่อน

เมื่ออ้อมสถูปขนาดเล็กที่ท่านคหบดีนั่งจับด้ายอยู่ไปแล้ว ก็มาเจอวงพิธีซึ่งมีเก้าอี้สีน้ำเงินวางรอบ มีหญิงและชายแต่งตัวสวยงามดูดีมีสกุลนั่งอยู่หลายคน บนพื้นในวงพิธีมีกองไฟเล็ก ๆ ก่ออยู่บนกองอิฐ ซึ่งเอาผงสีโรยเป็นหลายแฉก มีไม้ฟืนขนาดเล็กที่วางขัดกันอย่างประณีตบรรจง รอบกองไฟมีถาดข้าวสาร ๑ ถาด ดูแล้วข้าวสารเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในทุกพิธี...

สาวใหญ่ในชุดส่าหรีสีแดงนางหนึ่ง กำลังบรรจงจัดแจกันดินเผาใบเตี้ย ๆ ผูกผ้าขาวแดงรอบปากแจกัน พร้อมกับเสียบใบไม้บางชนิดลงไปเป็นสามมุม เหมือนกับมีกรวยในแจกันอีกที แล้ววางไว้ในถาดใบเล็ก เอาไปวางรอบวงพิธี เท่าที่เห็นก็ ๖ - ๗ แจกันเข้าไปแล้ว...

เมื่อสาวใหญ่อีกนางหนึ่งในชุดส่าหรีสีแดงเช่นกันเข้ามาถึง สาวใหญ่คนแรกก็ลุกเดินเข้าไปหาแบบดีใจ ก้มศีรษะให้อีกฝ่ายที่เอาสองมือกุมศีรษะไว้เหมือนกับจะให้พร หนุ่มใหญ่ที่กำลังดูแลกองไฟก็ลุกไปก้มศีรษะรับพรบ้าง ดูท่าสาวใหญ่นางนี้จะเป็นคนสำคัญของพิธี...

สุธรรม 14-11-2015 05:17

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447453009
ถ่ายรูปหมู่แบบไม่ครบคน

นายทองอธิบายว่า การทำความเคารพของอินเดียนั้น ถ้าไม่คุ้นเคยสนิทสนมกันก็จะยกมือไหว้ หรือน้อมตัวคำนับ แต่ถ้าคุ้นเคยสนิทชิดเชื้อกันมาก ก็จะยื่นศีรษะให้ฝ่ายที่สูงวัยกว่าเพื่อรับพรอย่างที่เห็นอยู่นี้ ทำเอาน้องเก๋บ่นว่า "สงสัยว่าน้องบัว (ดวงพร สุวรรณธรรมา) ลูกสาวหนูจะเกิดเป็นแขกบ่อย เจอหน้าใครก็พุ่งหัวเข้าไปก่อนทุกที ถ้าไม่ระวังก็โดนโหม่งจนเซไปเลย..."

ขั้นตอนพิธีกรรมคงจะต้องรออีกนาน เพราะท่านคหบดียังจับด้ายไม่เสร็จ พวกเราจึงหันมาถ่ายรูปหมู่กัน แต่ได้ไม่ครบคน เพราะยายจี๋มัวแต่ไปก้ม ๆ เงย ๆ ถ่ายรูปใน Pagoda อยู่ อาตมาจึงตามเข้าไปถ่ายบ้าง พอดีมีสาวใหญ่ในชุดส่าหรีสีแดงถือถาดเครื่องบูชาเดินตามกันมาเป็นพรวน ตรงไปยังวิหารหลังหนึ่งข้าง Pagoda ที่กำลังมีการเผาเครื่องสังเวยควันโขมงอยู่...

สุธรรม 14-11-2015 14:27

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447485952
ในศาลานี้ Full Power ที่สุด

แม่ป๋อมรำพึงกึ่งถามว่า "ถ่ายรูปได้ไหมนี่ ?" แต่อาตมาจัดการถ่ายไปเรียบร้อยแล้ว มัคคุเทศก์หน้าผากกว้างบรรยายว่า สาว ๆ เหล่านี้เอาเครื่องบูชามาสังเวยพระแม่กาลี ที่แต่งตัวสีแดงเป็นการประกาศว่าแต่งงานแล้ว ซึ่งก็น่าจะแต่งงานแล้ว เพราะอายุรวมกันไม่น่าจะต่ำกว่าสี่ร้อยปี..!

การบูชาตามปกติก็จะทำกันแบบนี้ คือใครมีโอกาสก็มา แต่หลังวันพระจันทร์เต็มดวง ๙ วัน ถือเป็นวันสำคัญของศาสนาฮินดู ทุกคนจะเอาเครื่องสังเวยมาบูชาเทพเจ้าต่าง ๆ กันเป็นพิเศษ น้องเล็กสงสัยว่าทำไมต้องเป็นวันแรม ๙ ค่ำ ? ป้ามอยก็ถามว่าเป็นวันขึ้น ๙ ค่ำหรือเปล่า ? นายทองอธิบายซ้ำว่า "9 days after full moon" ซึ่งฟังอย่างไรก็เป็นข้างแรมอย่างที่น้องเล็กว่า ซ้ำแกยังโบ้ยมาว่าให้ถามนักบวชอย่างอาตมาเองก็จะรู้ อ้าว..แล้วตูจะรู้ไหมนี่ ?

เมื่อถามว่าพวกเราเข้าไปข้างในวิหารหลังนั้นได้หรือเปล่า ? นายทองว่าได้และควรที่จะเข้าไปขอพร เพราะที่นั่น "Full power" ที่สุด ใคร ๆ ก็มาขอพรกัน แต่พวกเราไม่อยากอ้อมวัดไปซื้อเครื่องสังเวยข้างนอก จึงได้แต่สิบนิ้ววันทา มีน้องเก๋ถอดรองเท้าเข้าไปชะโงกดูตรงปากประตู กับแม่ป๋อมที่ย่องเข้าไปถ่ายรูประฆังพวงใหญ่ข้างวิหารเท่านั้น...

สุธรรม 15-11-2015 02:59

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447531154
เดินบนถนนดีกว่า (ฝีมือแม่ป๋อม)

พวกเราตามนายทองออกมาทางประตูเดิม เดินผ่านร้านขายเครื่องสังเวยต่าง ๆ ตรงไปยังซอยข้างหน้า ทางขวามือมีร้านขายเนื้อสด ซึ่งน่าจะเป็นเนื้อแพะ เจ้าของร้านกำลังสับกระดูกโคนหางอยู่โครม ๆ ลูกปุ๊กที่ประทับใจเขียงของเขา และเล่าให้คนอื่นฟังหลายรอบเมื่อเช้านี้ รีบชี้ให้ดูว่า ที่บอกว่าเขาเอาไม้ทั้งตอมาทำเขียงนั้นเป็นอย่างไร ?

ร้านค้าเปิดกันมากมาย ทำเอาน้องเก๋แวะซ้ายมองขวา ทำท่าเหมือนกับว่าวิญญาณสาบสูญไปแล้ว อาตมาชี้ให้ดูหินกลม ๆ ที่แทรกอยู่ข้างบันได ซึ่งเขาก่ออิฐถือปูนคร่อมไว้ให้บูชากัน น้องเล็กพูดว่า เหมือนกับเขามีที่บูชากันอยู่ทุกย่างก้าว ทำให้ใจเกาะความดีตลอดเวลา ยายจี๋บอกว่าได้ยินหลายคนเดินไปสวดสาธยายมนต์ไปด้วย แสดงถึงความเคร่งครัดในวัตรปฏิบัติของพวกเขา...

มาถึงวัดที่ลูกปุ๊กตะกายขึ้นไปให้ถ่ายรูปบนขอบระเบียง อาตมาก็เดินอ้อมไปดูสถูปโลหะด้านหลังตัวอาคาร ถ่ายรูปแล้วค่อยกลับมาเดินตามนายทองใหม่ ถนนขรุขระซ้ำรถยนต์รถมอเตอร์ไซค์วิ่งกันเต็มไปหมด หลายคนต้องโดดขึ้นไปเดินบนบันไดหน้าบ้านเขา จึงเข้าใจว่าทำไมเนปาลีทั้งหลายถึงเดินกันบนถนน เพราะบันไดเดี๋ยวยาวเดี๋ยวสั้น เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ ต้องกระโดดขึ้นกระโดดลงตลอดเวลา สู้ลงไปแย่งรถด้วยการเดินบนถนนไม่ได้ สบายกว่ากันเยอะเลย...

สุธรรม 15-11-2015 17:58

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447585005
สิงห์ที่มีการแบ่งเพศอย่างชัดเจน

แม่ป๋อมผลุบเข้าไปดูสินค้าในร้านแห่งหนึ่ง ขณะที่นายทองเร่งพวกเราให้ไว ๆ หน่อย เดี๋ยวจะไปได้ไม่ครบทุกที่ แล้วพาเข้าซุ้มประตูขวามือซึ่งมีสิงโต ๒ ตัว ที่แบ่งเพศอย่างชัดเจน เพราะตัวผู้มีอวัยวะเพศที่เขาทาสีจนแดงโร่ และตัวเมียมีเต้านมเหมือนคน ทาสีเอาไว้ชัดเจนเช่นกัน...

อาตมาถ่ายรูปลูกปุ๊กกับซุ้มประตูที่เมื่อเช้ายังไม่เปิด แล้วเดินตามคณะเข้าไปในทางเดินที่เป็นตรอกแคบ ๆ ลูกปุ๊กชี้ให้ดูภาพมันดาลาละเอียดยิบที่แกะสลักไว้กลางซุ้มประตูด้านใน พอเดินเข้าไปในตรอกก็เห็น "สาธุ" ของฮินดูท่านหนึ่ง ยกมือไหว้อาตมาพร้อมกับทักทายว่า "นมัสเต" อาตมาก็ตอบรับไปด้วยดี...

ทั้งคณะกำลังมุงนายทองที่อธิบายเกี่ยวกับวัดนี้ แล้วพาเดินไปยังประตู ที่มีกรอบไม้แกะสลักศิลปะเนวารีลวดลายสวยงามมาก ด้านบนเป็นหลังคาเต็มความกว้างของตรอก มีคันทวยไม้ขนาดใหญ่แกะเป็นเทพเจ้าด้านละองค์ ตรงพื้นข้างทางเข้าตั้งสิงห์มีปากเหมือนครุฑและมีปีกด้วย น่าจะเป็น "สิงหปักษิน" แต่ของเราไม่มีเขาเป็นแพะเหมือนสิงหปักษินคู่นี้...

สุธรรม 16-11-2015 03:28

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447619270
รูปหล่อเทวดาขี่ช้าง

ด้านในประตูชั้นที่ ๒ ข้างขวามีโต๊ะขายบัตร น้องเก๋ส่งเงินให้นายทองไปซื้อตั๋วเข้าชม เขาเก็บคนละ ๕๐ รูปี พระอย่างอาตมาไม่ต้องจ่าย เพราะป้ายเขาเขียนไว้ชัดเจนว่า Free entrance for monks and nuns น้องเก๋บอกว่า "น่าสงสารจริง ๆ ไปไหนเขาก็ไม่ให้ความสนใจเลย" ขืนให้ความสนใจด้วยการต้องจ่ายในทุกที่ ก็อย่ามาสนใจกันเลยจะดีกว่า...

แม่ป๋อมยังไม่มา ลูกปุ๊กวิ่งออกไปตามขณะที่นายทองพาพวกเราเดินเข้าประตูไปโผล่ตรงหน้าวิหารทองคำ ซึ่งมีระเบียงคดล้อมรอบ ตรงทางลงไปสู่วิหารเป็นบันไดสามขั้น ข้างบันไดมีรูปหล่อทองเหลืองขนาดใหญ่คู่หนึ่งของเทวดา ที่นั่งบนหลังช้างซึ่งยืนบนแท่นบัวที่ตั้งอยู่บนหลังเต่าอีกที นายทองบรรยายว่า...

สุธรรม 16-11-2015 16:44

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447667014
แผ่นทองเหลืองเป็นเส้นยาวแทนหนทางไปสู่สวรรค์

"วัดทองคำ (Golden Temple) หรือ วัดหิรัญยะวรรณะมหาวิหาร (Hiranya Varna Mahavihan) เป็นวัดในพุทธศาสนาสายมหายานลัทธิวัชรยาน เป็น Pagoda สูง ๓ ชั้น จากชายคาของ Pagoda มีแผ่นทองเหลืองร้อยเป็นเส้นยาวลงมาจรดพื้นดิน สร้างขึ้นตามความเชื่อที่ว่าจะเป็นเส้นทางเดินไปสู่สรวงสวรรค์ องค์ Pagoda ประดับตกแต่งด้วยทองเหลืองและทองแดง ขัดเงาจนเหลืองอร่ามไปทั้งองค์ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมืองปาทาน มีรูปพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ รวมทั้งคัมภีร์โบราณต่าง ๆ อยู่ภายใน Pagoda ด้วย"...

อาตมาขี้เกียจเถียงนายทองว่า "หิรัญ" แปลว่า "เงิน" ต่างหาก จึงลงไปถ่ายรูปวิหารหลังเล็กตรงกลางก่อน มัคคุเทศก์ยังบรรยายแจ้ว ๆ ว่า "วิหารหลังเล็กนี้เป็นวัดฮินดูที่สำคัญมาก ชื่อวัดพระนารายณ์ ได้รับอิทธิพลศิลปะแบบเนวารีของตระกูลช่างศากยะ ตัววิหารเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเสาค้ำยันโดยรอบ ส่วนบนของยอดเป็นทองเหลืองเป็นรูปมงกุฎและฉัตร.."

สุธรรม 17-11-2015 04:00

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447707568
เจ็บตรงไหนให้ลูบตรงนั้น

อ้าว..ชีวิตสับสนซะแล้ว ข้อสังเกตที่ว่าชาวเนปาลีนับถือทุกศาสนาท่าจะเป็นจริง ก็เล่นสร้างวัดฮินดูกับพุทธเอาไว้ที่เดียวกัน แถมวิหารวัดฮินดูยังอยู่ข้างหน้าเสียด้วย ข้างหน้าวิหารเป็นศาลาขนาดเล็กที่มีแต่หลังคา ในศาลามี "วัชระ" ขนาดใหญ่หล่อด้วยสัมฤทธิ์ตั้งเอาไว้ วัชระนี้แทนพระปัญญาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วงกลางรอบศาลาเป็นกงล้อมนต์ ใครมากราบไหว้พระปัญญาคุณแล้ว ก็หมุนกงล้อมนต์ไปด้วย เชื่อว่าจะช่วยให้ความจำดี สามารถจดจำบทสวดหรือพระสูตรต่าง ๆ ได้มาก...

มัคคุเทศก์พาเดินไปตามระเบียงด้านซ้าย ถึงตรงมุมที่มีพระพุทธรูปสัมฤทธิ์องค์หนึ่งยืนอยู่บนฐานบัวในท่าห้อยพระหัตถ์ขวาที่จีบเป็นท่ามุทรา มีสายโลหะรัดช่วงพระอุระติดกับกำแพงเพื่อกันล้ม พระโอษฐ์ พระหัตถ์และพระบาท ถูกลูบจนลื่นเงาวับ นายทองบอกว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์มาก ใครเจ็บไข้ได้ป่วยตรงส่วนไหน ก็จะมาลูบส่วนนั้นของพระพุทธรูป แล้วมาลูบตรงจุดที่เจ็บป่วยของตน เชื่อว่าทำให้หายป่วยได้...

ป้ามอยรี่เข้าไปลูบก่อนเพื่อน คนอื่น ๆ ก็ทำตาม อาตมาที่คันเพราะวัยทองมาหลายวัน แม้อาการเกือบจะปกติแล้ว ก็ไปลูบองค์พระที่เย็นจนเสียดกระดูก แล้วมาลูบตัวเองบ้าง แล้วกราบขอขมาพระพร้อมกับถ่ายรูปองค์พระไว้ด้วย จากนั้นเดินลงจากระเบียงมายังพื้นข้างล่าง...

สุธรรม 17-11-2015 15:39

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447749503
ไม่ว่าอะไรก็หล่อด้วยทองเหลือง

เดินรอบตัวอาคารในลักษณะทักษิณาวรรต ทางซ้ายมือเป็นแถวกงล้อมนต์ที่ยาวไปตลอดพื้นที่วัด มีรูปหล่อสัมฤทธิ์เป็นลิงกำลังถือลูกขนุนอยู่ในมือด้วย นายทองไม่ได้เดินมาใกล้ จึงไม่ทราบว่ารูปทหารพระรามนี้มีความหมายว่าอะไร ด้านในติดกับวิหารทองคำ มีรูป "สิงห์หัวจุกตาโต" หล่อด้วยสัมฤทธิ์ยืนแลบลิ้นอยู่ทั้งสองข้างทางขึ้น...

รูปปั้นเทวดาและสิงสาราสัตว์ต่าง ๆ ตลอดจนพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ แม้แต่เสาหรือกรอบประตูและทับหลังทั้งหมด ล้วนแต่หล่อขึ้นมาจากทองเหลือง ทองแดง หรือสัมฤทธิ์ทั้งสิ้น องค์ไหนศักดิ์สิทธิ์มากหรือเป็นที่เชื่อถือมาก ก็โดนลูบจนลื่นไปหมด...

สุธรรม 18-11-2015 05:12

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447798268
ที่นี่เขาศึกษาพระไตรปิฎกกันเอง

วนมาจนถึงด้านหน้าแต่เป็นมุมทางขวา มีบันไดให้ขึ้นไปชั้นบน ถามมัคคุเทศก์ของเราแล้ว นายทองบอกว่าขึ้นไปได้ พวกเราจึงเดินตามกันขึ้นไป หลบหญิงคนหนึ่งที่กำลังกวาดบันไดอยู่ ขึ้นถึงชั้นบนมีกงล้อมนต์ ๓ ใบ ใบใหญ่เป็นโอบติดตั้งอยู่ตรงกลาง สองใบย่อมติดอยู่ทางซ้ายขวา...

มองเข้าไปในห้องแคบ ๆ ยาว ๆ ตรงกลางเป็นแท่นสำหรับตามประทีปเป็นพุทธบูชา มีแผ่นไม้สำหรับกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์วางอยู่ด้วย มีแท่นสวดมนต์อยู่ทั้งสองฝั่ง ตรงกลางเป็นห้องกระจก มีรูปเจ้าแม่กวนอิม ๘ กร ยืนอยู่ข้างใน ญาติโยมหลายท่านกำลังถวายเครื่องบูชาอยู่..

ไม่อยากรบกวนกิจกรรมของพวกเขา เมื่อไหว้เจ้าแม่กวนอิมแล้ว พวกเราจึงกลับลงมายังด้านล่าง ที่เป็นห้องยาวเหมือนกับชั้นบน ในห้องนี้มีผู้ชายเป็นสิบคน กำลังอ่านสมุดพับหน้าแคบเหมือนกับจารึกใบลาน ที่น่าจะเป็นพระไตรปิฎกในพระพุทธศาสนา วางอยู่บนแท่นเตี้ย ๆ เหมือนกับโต๊ะขนาดเล็ก แต่ละคนดูคร่ำเคร่งจริงจังมาก...

สุธรรม 18-11-2015 14:16

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447830904
บาตรสัตตโลหะราคา "แพงโคตร"

แม่ป๋อมเดินเข้ามาพอดี บอกว่าไปซื้อ "บาตรสัตตโลหะ" มา ราคาใบละ ๙๐ ดอลลาร์ อาตมาบอกว่า "แพงโคตร" ทำเอาคุณแม่หน้าจ๋อยไปเลย ป้ามอย น้องเก๋ น้องเล็ก และลูกปุ๊ก จึงชวนให้เข้าไปไหว้รูปเจ้าแม่กวนอิม ๘ กร ปางประทับนั่ง ที่หล่อสัมฤทธิ์งดงามมาก ๆ ตั้งอยู่ในห้องตรงมุมขวานี่เอง ซื้อประทีปน้ำมันเนยมาจุดถวายแล้วอธิษฐานเอาตามอัธยาศัย...

ทุกคน "รู้สึก" เหมือนกันหมดว่า ต้องเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้เท่านั้น ที่ Full Power จริง ๆ พลังที่แผ่ออกมาเยือกเย็นจับใจ เต็มไปด้วยความเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ แสดงว่าผู้สร้างต้องเปี่ยมได้ด้วยพรหมวิหาร ๔ กระแสพลังถึงได้เย็นกายเย็นใจจนถึงขนาดนี้...

อิ่มเอมเปรมใจกับความปีติที่ได้สัมผัสกับพลังแห่งเมตตากันเต็มที่แล้ว นายทองก็พาออกมานอกวัด เลี้ยวขวาไปตามซอยที่พวกเราเดินมาเมื่อเช้า ซึ่งตอนนี้ร้านค้าต่าง ๆ เปิดกันหมดแล้ว มีทั้งร้านจำหน่ายของที่ระลึกต่าง ๆ ทั้งพระพุทธรูป หน้ากาก กงล้อมนต์ บาตรศักดิ์สิทธิ์ ลูกประคำ ร้านจำหน่ายภาพทังกา ร้านภาพวาดและแกะสลัก พวกเราเดินไปพลางดูของไปพลาง...

สุธรรม 19-11-2015 02:41

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1447875656
ช่วงสายแดดจัดมาก

มาถึงหน้าจตุรัสดูบาร์อีกครั้ง อาตมาถ่ายรูปครุฑสัมฤทธิ์ ที่เหมือนคนใส่เสื้อคลุมขนนกไปด้วย พร้อมกับ "นาคเกี้ยว" ขนาดในกรอบเล็ก ๆ บนพื้นหน้าวิหารฮินดู ที่มีคนมาถวายเครื่องสักการะกันเต็มไปหมด นายทองเร่งยิก ๆ ให้รีบเดินเพราะแดดร้อนเอาเรื่องทีเดียว แต่อากาศของเนปาลร้อนแค่ไหนก็ไม่มีเหงื่อออกแม้แต่น้อย จึงไม่เหนียวตัวแบบบ้านเรา...

มีเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งเดินมาถามนายทองประมาณว่า พวกเราเป็นใคร ? มาจากไหน ? แล้วนายทองหันมาบอกกับพวกเราว่า การเข้าชมมรดกโลกอย่างจตุรัสดูบาร์ นักท่องเที่ยวต้องจ่ายค่าเข้าชมคนละ ๕๐๐ รูปี ยกเว้นนักบวชอย่างอาตมาที่ไม่ต้องจ่าย...

พวกเขาสงสัยมาตั้งแต่เช้ามืดแล้ว ว่าคณะของเราคงจะเป็นนักท่องเที่ยว แต่ไม่เห็นมีมัคคุเทศก์มาด้วย ประกอบกับยังไม่ได้เวลา จึงไม่ได้มาขอเก็บค่าเข้าสถานที่ คนอื่น ๆ จึงต้องควักเงินส่งให้กับนายทองรวม ๓,๐๐๐ รูปี เจ้าหน้าที่รับไปแล้วเดินหายไปครู่หนึ่ง ก็กลับมาพร้อมกับบัตรคล้องคอสีฟ้า ๖ ใบ แจกให้ทุกคนคล้องคอเอาไว้ คราวนี้เชิญชมสถานที่ตามสบายเลย...

สุธรรม 22-11-2015 13:10

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448172586
ด้านหลังคือวิหารพระกฤษณะ (รูปนี้ถ่ายในช่วงเช้า)

มัคคุเทศก์พาหลบเข้าไปในร่มของตัวอาคารพลางบรรยายว่า "เมืองปาทานนี้เป็นเมืองโบราณ ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเหนือแม่น้ำบาคมาตี ห่างจากกรุงกาฐมาณฑุประมาณ ๕ กิโลเมตร สร้างในศตวรรษที่ ๓ สมัยราชวงศ์มัลละ เป็นเมืองคู่แฝดของกรุงกาฐมาณฑุ ได้รับการขนานนามว่า ลลิตปุระ หรือ เมืองแห่งความงาม (City of Beauty) เป็นเมืองแห่งศิลปะ มีชื่อเสียงทางเป็นศูนย์กลางงานหัตถศิลป์ของชาวทิเบตอพยพ โดยเฉพาะในเรื่องของพระพุทธรูป...

ด้วยความหลากหลายของวัฒนธรรมในยุคกลาง ทำให้ศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธเฟื่องฟูในแถบนี้ ในเมืองจึงเต็มไปด้วยวัดฮินดูและสิ่งปลูกสร้างในพระพุทธศาสนา เมืองนี้เป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมและการวางผังเมืองแบบเนวารีที่สุดยอด มีถนนโบราณตัดตามแนวเหนือใต้ และตะวันออกตะวันตก แบ่งเมืองออกเป็น ๔ ส่วน โดยมีจตุรัสปาทาน ดูร์บาร์ และพระราชวังปาทานเป็นศูนย์กลาง.."

นายทองชี้ให้ดูตัววิหารและอาคารต่าง ๆ ทั่วจตุรัส พลางบอกว่า วิหารหลังที่มีคนเดินเข้าออกอยู่นั้น คือวิหารพระกฤษณะ เป็นหลังเดียวที่ได้รับอนุญาตให้เปิดใช้งานตามปกติ มีคนมาสักการะเป็นจำนวนมากทุกวัน อาคารอื่นนอกจากนั้นถูกปิดเพื่ออนุรักษ์ไว้ในฐานะมรดกโลก...

สุธรรม 23-11-2015 04:01

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448226013
ถ่ายรูปหมู่ระหว่างรอนายทองซื้อบัตร

แม้ว่าตอนนี้แดดจะดีมาก แต่พวกเราถ่ายรูปไปหมดตั้งแต่เช้าแล้ว อาตมาจึงถ่ายเพิ่มอีกเล็กน้อยเท่านั้น ผู้คนช่วงนี้ก็ไม่ได้แน่นหนามากเท่ากับช่วงเช้ามืด คงจะมาสักการะเทพเจ้าต่าง ๆ แล้วไปซื้อข้าวปลาอาหาร จากนั้นกลับบ้านหรือไปทำงานกันแล้วเป็นส่วนมาก...

จากนั้นนายทองชวนพวกเราเดินเข้าประตูพิพิธภัณฑ์เมืองปาทาน (Patan Museum) พลางแจ้งว่า ต้องจ่ายค่าเข้าชมในส่วนนี้อีกคนละ ๔๐๐ รูปี เว้นให้นักบวชอย่างอาตมาตามเคย ทำเอาทุกคนแทบจะโกนหัวบวชกันเดี๋ยวนี้เลย..!

เจ้าหน้าที่รับเงิน ๒,๔๐๐ รูปีไปจากนายทอง แล้วตอกบัตรส่งให้พวกเรา ๖ ใบ รับบัตรมาแล้วมัคคุเทศก์ของเราบอกว่า บัตรนี้ใช้ชมสถานที่ทุกแห่งในเขตพระราชวังเก่าแห่งนี้ อ้าว..อาตมานึกว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมดา ไม่ได้นึกว่าเข้ามาอยู่ในพระราชวังเก่าแก่ของราชวงศ์มัลละแบบนี้...

สุธรรม 23-11-2015 21:17

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448288166
กระดานหรือเสาก็ไม่รู้ ? แกะสลักได้สวยมาก

ภายในพระราชวังมัลละนี้ มีสภาพเหมือน “บ้านสี่องค์” ของจีน ก็คือมีลานกว้างตรงกลาง ล้อมรอบด้วยอาคารทั้งสี่ด้าน ประตูที่พวกเราเดินเข้ามาซื้อบัตรเป็นชั้นล่างของตัวอาคารด้านตะวันตก ที่กลางลานมีอาคารคอนกรีตสีขาว ยอดเป็นโลหะทองเหลือง ทรงเหมือนเสลี่ยงหรือวอที่ไม่มีคานหามตั้งอยู่...

สงสัยว่าคนสมัยก่อนทั้งแขกทั้งไทยก็ตัวใหญ่กว่าพวกเราตั้งเยอะ แต่ทำไมตัวอาคารแบบเนวารีก็ดี เรือนไทยก็ดี ถึงได้เตี้ยชวนให้ชนหัวแตกกันทั้งนั้น อาจจะเป็นว่าคนสมัยก่อนสติดีกว่าพวกเรา หรือเป็นคนใจเย็นไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ถึงกรอบประตูหรือคานจะเตี้ยก็ไม่เป็นปัญหา...

พวกเราเดินเข้าไปหน่อยเดียวก็มีบันไดไม้ไม่ชันนักให้ขึ้นไปยังชั้นสอง อาตมาเดินขึ้นไปนับได้ ๑๐ ขั้น ตรงนี้ต่างจากความเชื่อของไทย เพราะของเรานิยมให้ขั้นบันไดตกเลขคี่ จะเป็น ๓ – ๕ – ๗ – ๙ ขั้นก็ได้ แต่ไม่ใช่ลงเลขคู่สิบถ้วนแบบนี้ ที่ผนังสองข้างบันได จะเป็นแผ่นไม้ก็หนาไป จะเป็นเสาก็บางเกินไป แกะสลักอย่างสวยงามติดอยู่ด้านละ ๓ – ๔ ชิ้น...

สุธรรม 24-11-2015 03:51

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448311653
"ยายกระรอก" บอกว่า เนปาลเคยอยู่ใต้ทะเลมาก่อน

ข้างบนเป็นชานแคบ ๆ ยาว ๆ ไปตามตัวอาคาร แยกออกไปทางซ้ายและขวา พวกเราเลี้ยวไปทางขวามือก่อน ชิ้นแรกที่ตั้งอยู่ทางซ้ายมือถัดจากหน้าต่างฉลุลายแบบเนวารี เป็นซุ้มไม้แกะสลักทรงเหมือนพระขุนแผนบ้านกร่างของเรา แต่ขอบสลักลวดลายนูนต่ำซึ่งถึงจะเริ่มลบเลือนไปบ้างแล้ว แต่ยังสวยสะดุดตา ในซุ้มเป็นรูปหล่อโลหะเล็ก ๆ ของพระสงฆ์ที่ยืนพนมมืออยู่บนแท่น อาตมามองดูโดยรอบแล้ว ไม่เห็นว่ามีป้ายห้ามถ่ายรูป จึงรีบถ่ายเอาไว้ทันที แม่ป๋อมก็เอาอย่างบ้าง ถือคติว่าถ้าผิดก็มีเพื่อนโดนด้วยกัน..!

ช่องถัดมาลักษณะเป็นตู้กระจกติดผนังบานใหญ่ ภายในมีพระพุทธรูปและรูปพระโพธิสัตว์หล่อโลหะ ตลอดจนเทพพิทักษ์ในพระพุทธศาสนา ศิลปะวัชรยานแบบทิเบตอยู่สิบกว่าองค์ ช่องถัดไปตรงกลางเป็นใบหน้าที่ไม่มีลวดลายอยู่ในซุ้มซึ่งหล่อโลหะด้วยกัน แสดงออกถึงความเป็นอนัตตาคือไม่มีตัวตน รอบข้างเป็นพระพุทธรูปและรูปพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ เช่นกัน ยกเว้นมุมขวาบนเป็นซากดึกดำบรรพ์ (Fossil) ของหอยงวงช้าง (Nautilus Shell) ที่มาปนอยู่ได้อย่างไรก็ไม่รู้ ?

“เนปาลเคยอยู่ใต้ทะเลมาก่อนเจ้าค่ะ พออนุทวีปอินเดียเลื่อนมาชนเข้า แผ่นดินโดนดันจนโก่งตัวเป็นที่ราบสูงและแนวเทือกเขาหิมาลัย จึงยังมีซากสัตว์ทะเลหลงเหลืออยู่มาก” เจ้าแม่คนสวยทำตัวเป็นมัคคุเทศก์เถื่อน อธิบายเสร็จก็แวบหายเป็นนินจา เพราะกลัวว่าอาตมาจะ “หลังมือ” ให้ โทษฐานที่เป็น “นางฟ้าขี้ฮก” ต่อไปคงต้องเรียกว่า “ยายกระรอก” เพราะหนีไวจริง ๆ..!

สุธรรม 24-11-2015 14:19

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448349527
รูปนี้แกะจากหินตั้งอยู่กลางทางเดิน

การจัดพิพิธภัณฑ์ของเขานับว่าเป็น “มืออาชีพ” มาก เพราะมีทั้งพระพุทธรูปหรือเทวรูปที่ตั้งอยู่บนแท่นข้างทางเดิน ซึ่งถ้าไม่เกรงใจก็ลูบเล่นได้เลย มีทั้งที่อยู่ในตู้กระจกแบบบานใหญ่ มีทั้งที่อยู่ในกล่องแขวนลอยกับข้างฝา มีทั้งที่ตั้งบนแท่นที่มีฐานสูง และที่จัดตั้งกลางทางเดินให้คนดูเดินอ้อมได้ทั้งสองฝั่ง ตลอดจนที่ตั้งไว้ตามขอบหน้าต่างและช่องเว้าของผนัง...

วัสดุก็มีทั้งไม้แกะสลัก หินแกะสลัก หล่อสัมฤทธิ์ ส่วนใหญ่แล้วเป็นพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ เทพพิทักษ์พระพุทธศาสนา มีเทวรูปฮินดูน้อยมาก แสดงให้เห็นชัดว่าเมืองปาทานโบราณเป็นอาณาจักรพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ส่วนที่มีค่อนข้างมากก็คือตะเกียงทองเหลืองแบบต่าง ๆ แสดงว่านิยมการตามประทีปบูชาเป็นอย่างมาก อาจจะติดมาจากความเคยชินในการบูชาไฟของนักบวชฮินดูก็เป็นได้...

การจัดแสดงแบ่งออกเป็นห้อง ๆ ตามยุคตามสมัย บางครั้งก็เป็นไปตามประเภทของวัตถุ มีการใช้แสงน้อยมาก บางชิ้นก็น่าสนใจสุด ๆ อย่างเช่น ตะเกียงแขวนหล่อสัมฤทธิ์ ที่มีเชิงสำหรับไส้ตะเกียงยื่นออกไปทุกทิศ พระนารายณ์ทรงครุฑ ซึ่งครุฑนั้นอ้วนกลมน่ารักมาก หรือ ทัพพีที่มีด้ามเป็นงาแกะสลักลวดลายละเอียดยิบ...

สุธรรม 25-11-2015 03:22

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448396499
สร้างได้งามมาก แต่..คนไทยรับไม่ได้..!

เมื่อวนดูครบรอบของชั้นที่สอง พวกเราก็ขึ้นบันไดไปชั้นที่สามต่อ ชั้นนี้มีทั้งเครื่องทองเหลือง รูปหล่อพระโพธิสัตว์ ภาพวาดบนกระดาษ รูปหล่อโลหะพระสงฆ์ ที่เด่นชัดที่สุดก็คือรูปของท่านมิราเลปะ (Jetsun Miralepa) พระพุทธรูปทั้งธยานิพุทธะทั้ง ๕ พระองค์ ได้แก่ พระไวโรจนะ พระรัตนสัมภวะ พระอักโษภยะ พระอโมฆสิทธิ และพระอมิตาภะ ตลอดจนมนุสสีพุทธะ คือพระศากยมุนีโคดม...

ห้องถัดไปมีโมเดลของพระสถูปโพธานารถ และเครื่องโลหะจำพวกยอดปราสาท พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระโพธิสัตว์แบบต่าง ๆ รวมถึงนางปรัชญาปารมิตา และที่พวกเราแทบจะไม่เคยเห็นมาก่อน คือพระพุทธรูปปางเสพสม (Yub Yum) ซึ่งเป็นความเชื่อยุคพระพุทธศาสนาเสื่อม...

“ความเชื่อนี้สืบเนื่องมาจากความเชื่อในเทพสตรีของฮินดู และการเทิดทูนอวัยวะเพศของชายหญิง ว่าเป็นสุดยอดพลังในการสร้างโลกเจ้าค่ะ เมื่อมาผสมผสานเข้ากับพระพุทธศาสนายุคมันตรยาน จึงกลายเป็นว่า ชาย (Yub) คือ ปัญญา หญิง (Yum) คือ เมตตากรุณา ทั้งสองประการต้องผสานกันเป็นหนึ่งเดียว จึงจะเข้าถึงธรรมอย่างแท้จริงได้” มัคคุเทศก์กระรอกกลัวว่าจะไม่กระจ่าง จึงแวบมาอธิบาย พอยั่วให้อยากแล้วก็จากไปตามเคย...

สุธรรม 25-11-2015 15:06

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448438730
น่านอนมากกว่านั่ง..!

ด้านท้ายห้องแสดง H (Gallery H) มีรูปไม้แกะสลักคนผอมกะหร่อง แขนขายาวยืดผิดปกติ ป้ายภาษาอังกฤษบอกว่า ไม่สามารถอธิบายได้ว่ารูปนี้สื่อความหมายว่าอะไร ? “สำหรับพระคุณท่านแล้ว แค่นึกถึงเสาชิงช้าวัดสุทัศน์ ก็ทราบความหมายแล้วเจ้าค่ะ” ฮ่า..ยายกระรอกเธอพูดเหมือนกับที่อาตมานึกไว้ตั้งแต่แรก ก็คือรูปเปรตนั่นเอง...

มาถึงห้องแสดง G (Gallery G) นี่แปลว่าคณะของอาตมาเดินย้อนสวนทางชาวบ้านเขาแน่ ๆ ห้องนี้แสดงถึงวิธีการหล่อโลหะพระพุทธรูปและเทวรูปแบบต่าง ๆ มีทั้งแบบหล่อตันและหล่อแบบกลวง มีทั้งแบบเต็มองค์และหล่อเป็นชิ้น ๆ แล้วค่อยเอามาประกอบกันภายหลัง และแสดงวิธีการดุนลายโลหะ ตั้งแต่การร่างภาพบนกระดาษ การลอกลายลงบนแผ่นโลหะ การตอกดุนลายทีละส่วน จนสำเร็จออกมาเป็นพระพักตร์ของทั้งพระพุทธรูปหรือเทวรูป ตลอดจนซุ้มประตู หน้าบัน หรือทับหลัง ที่เป็นโลหะทองเหลืองหรือสัมฤทธิ์ล้วน ๆ...

เดินกันจนขาลากมาถึงตรงนี้ เขามีเบาะนุ่ม ๆ วางไว้ตรงส่วนที่เป็นเหมือนขอบหน้าต่าง แต่กว้างเกือบเมตร สามารถนอนเล่นได้เลย แต่พวกเราแค่นั่งพักขาและถ่ายรูปกันครู่หนึ่ง แล้วปล่อยให้บรรดานักท่องเที่ยวฝรั่งนั่งทอดหุ่ยกันต่อไป อาตมานำคณะเดินขึ้นไปชั้นบนสุด ซึ่งแสดงภาพบุคคลสำคัญในอดีตของเมืองปาทาน และภาพบันทึกเหตุการณ์สำคัญ เช่น งานฉลองเทพเจ้าต่าง ๆ ภาพเมืองปาทาน กาฐมาณฑุ และภักตรปุระในอดีต มีทั้งภาพขาวดำและภาพสี เดินดูจนครบก็วนมาลงบันไดตรงมุมเดิม กลับลงมายังข้างล่าง ใช้เวลาในการเดินชมรวม ๓๙ นาที...

สุธรรม 26-11-2015 05:45

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448491445
ลานพิธีใหญ่ในพระราชวังปาทาน

อาตมาดูเวลาในกล้องถ่ายรูป เห็นเป็นเวลา ๑๑.๐๗ น. แล้ว แต่นายทองที่นั่งรอพวกเราอยู่ข้างล่างพาเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ เลี้ยวซ้ายมาที่ประตูไม้แกะสลักสวย ๆ ซึ่งอาตมาถ่ายรูปไปเมื่อเช้า พามุดเข้าไปข้างใน ขึ้นบันไดแคบ ๆ ไม่กี่ขั้นก็เลี้ยวขวาเข้าประตูไป ข้างในมีลานไม่ใหญ่นัก ด้านหนึ่งทำเป็นขั้น ๆ ในสมัยก่อนน่าจะใช้เป็นที่นั่งสำหรับชมงานต่าง ๆ ที่มีขึ้นในลาน แต่ตอนนี้เป็นที่วางกระถางต้นไม้จนกลายเป็นสวนขนาดย่อมไปแล้ว รอบข้างก็คล้ายคลึงกับในส่วนของพิพิธภัณฑ์ ก็คือเป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ที่มีเสา ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นไม้แกะสลักแบบเนวารี...

มัคคุเทศก์ชี้ให้ดูลักษณะของตัวอาคาร ที่มีหลังคาทรง Pagoda ซ้อนกันหลายชั้น บอกว่าเป็นลักษณะของงานสถาปัตยกรรมแบบศิขะระ (Shikhara style) ของเนปาล ซึ่งฟังดูแล้วก็เข้าใจเลยว่า เป็นสิ่งก่อสร้างทรง “ภูเขา” ซึ่งก็คือเขาพระสุเมรุอันเป็นที่สถิตของทวยเทพต่าง ๆ ส่วนประกอบสำคัญก็คือลานที่พวกเรายืนกันอยู่นี่เอง เพราะไม่ว่าจะเป็นบ้านคหบดี คฤหาสน์เศรษฐี หรือจะเป็นพระราชวังก็ตาม ต้องมีลานประกอบพิธีที่เรียกว่า Chowk อยู่ด้วย เพื่อเอาไว้ทำพิธีต่าง ๆ โดยเฉพาะการบวงสรวงหรือสังเวยเทพเจ้า ยิ่งเป็นสิ่งก่อสร้างใหญ่โตเท่าไรก็ยิ่งมีลานพิธีหลายแห่งเท่านั้น...

“สำหรับในพระราชวังปาทานนี้ ยังมีลานพิธีอีกสองแห่งซึ่งจะพาไปดูกันเดี๋ยวนี้” นายทองว่าแล้วพาเดินกลับลงบันได เลี้ยวซ้ายออกมาที่ประตูซึ่งแกะสลักอย่างสวยงามบานหนึ่ง มีป้ายชี้ทางเป็นภาษาอังกฤษว่า Mul Chwok, Sundari Chwok & the Architecture Galleries พอพวกเรามุดผ่านประตูเข้าไป (โปรดเข้าใจว่าประตูทุกบานเตี้ยมาก หากไม่มุดเข้าไปก็เสี่ยงกับการหัวแตก) ก็เจอลานกว้างใหญ่ ซึ่งรายล้อมด้วยตัวอาคารแบบบ้านสี่องค์ ที่ตรงกลางมี “มณฑป” ทองเหลืองตั้งอยู่...

สุธรรม 26-11-2015 13:49

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448520498
พระแม่คงคากับมกรหน้าตาประหลาด

ท่ามกลางแสงแดดจัดจ้า มองไปเห็นยอด “ศิขะระ” ตรงหน้าที่กำลังซ่อมแซมอยู่ ด้านล่างมีรูปหล่อสวย ๆ ที่มองแต่ไกลคล้ายพระพุทธรูปยืน นายทองบอกกับพวกเราว่า ลานพิธีแห่งนี้ยังคงเปิดใช้งานตามปกติ ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็มีการบูชายัญเพื่อสังเวยเจ้าแม่ตาเลจู (Taleju) ส่วนรูปหล่อสัมฤทธิ์ตรงหน้าเป็นรูปพระแม่คงคา (Ganga) กับ พระแม่ยมุนา (Yamuna) เป็นเทพีแห่งน้ำ ที่สร้างไว้บูชาเพื่อความอุดมสมบูรณ์ แล้วปล่อยให้พวกเราเดินชมกันตามอัธยาศัย...

อาตมาเดินเลาะชายคาด้านที่มีเงาเพื่อหลบแดด ทุกคนเดินตามมาเป็นพรวน เห็นเสาค้ำอาคารแต่ละต้นที่แกะสลักอย่างสวยงาม เก่าแก่จนลวดลายบางส่วนเริ่มลบเลือนไปตามกาลเวลา เมื่อเลี้ยวเลาะมาถึงเบื้องหน้ารูปพระแม่แห่งสายน้ำทั้งสองก็ต้องยืนงง เพราะแยกไม่ออกว่ารูปไหนเป็นรูปของใคร ??? “รูปหล่อพระแม่คงคาจะเหยียบมกร ส่วนพระแม่ยมุนาจะเหยียบเต่าเจ้าค่ะ” ในที่สุดก็ต้องพึ่งบริการ “ยายกระรอก” ตามเคย...

เมื่อหันหน้าเข้าหารูปหล่อ รูปทางซ้ายจะเป็นพระแม่คงคา แต่มกรหน้าตาแปลก ๆ เหมือนช้างที่มีหัวเป็นปลา เขาเป็นควาย แต่ตูดเป็นเป็ดมากกว่า ส่วนรูปพระแม่ยมุนานั้นเหยียบเต่าที่หน้าตาปกติ จึงไม่มีอะไรให้น่าสงสัย ยายจี๋กับแม่ป๋อมที่ถือกล้องติดมือ เลือกถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย อาตมาถ่ายรูปให้ป้ามอย แม่ป๋อม น้องเล็ก น้องเก๋ และลูกปุ๊ก คนละรูปสองรูป แล้วถ่ายรูปซุ้มประตูโลหะที่ปิดสนิทไปด้วย...

สุธรรม 27-11-2015 05:58

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448578605
คุณ รปภ. ที่น่าสงสารลงไปยืนทำอะไรไม่ถูก..!

“ซุ้มประตูแบบนี้เรียกว่า “โตรัน” เจ้าค่ะ เป็นศิลปะแสดงถึงสกุลช่างฝีมือเนวารี ซึ่งรวมไปถึงการแกะสลักบานหน้าต่างแบบมีขอบปีกที่เรียกว่า “นยาร” การแกะสลักคันทวยเป็นรูปต่าง ๆ ที่เรียกว่า “ตุนาล” และการแกะสลักหน้าบันเป็นลวดลายงามอลังการที่เรียกว่า “เตียมปะนำ” สกุลช่างนี้รุ่งเรืองสุดขีดประมาณศตวรรษที่ ๒๒ ตกประมาณปลายยุคกรุงศรีอยุธยา เพราะกษัตริย์แห่งราชวงส์มัลละ ส่งเจ้าชายออกไปครองเมืองต่างๆ ทุกคนจึงแข่งขันกันสร้างเมืองเป็นการอวดความสามารถ ถ้าผลงานของใคร “เข้าตา” ก็มีสิทธิ์ได้สืบทอดราชบัลลังก์ ทำให้บรรดาช่างได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่เจ้าค่ะ” นึกว่ามีแต่ “ยายจ้อ” ของเขมรที่ท็อปวิชาประวัติศาสตร์ “ยายกระรอก” ของเนปาลนี่ก็ไม่แพ้เขาเหมือนกัน...

เมื่อถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ กันจนพอใจแล้ว นายทองก็พาพวกเราเดินเข้าประตู (เตี้ยจริง ๆ) อีกบานหนึ่ง โผล่ออกไปด้านหลังของพระราชวัง ซึ่งมีสนามหญ้าที่ปักหลักขึงเชือกเอาไว้ ไม่รู้ว่าตั้งใจจะทำอะไร ขอบสนามเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นติดกำแพงเลย พวกเราเดินเลาะตัวอาคารไปจนสุด ผ่านแท่นคอนกรีตที่เป็นบ่อน้ำแบบบ่อโพง ก่อขอบขึ้นมาเป็นแท่น ด้านบนแกะสลักรูปพระนารายณ์มีพญานาครายล้อมเอาไว้ด้วย ปากบ่อมีตะแกรงเหล็กตาห่าง ๆ ครอบปิดเอาไว้ มองลงไปเห็นตามอิฐรอบบ่อมีเฟิร์นขึ้นรกไปหมด เกือบจะมองไม่เห็นข้างในบ่ออยู่แล้ว...

อาตมาถ่ายรูปด้านหลังมุมต่าง ๆ เอาไว้หลายรูป เลยสนามหญ้าไปด้านในเป็นสระน้ำไม่ใหญ่นัก ที่ขอบสระมีซุ้มเหมือนที่นั่งเล่นสำหรับชมทิวทัศน์ ซึ่งตอนนี้มีทหารหรือ รปภ. นายหนึ่ง นั่งเฝ้าอยู่ตรงบันไดขึ้นซุ้ม เมื่ออาตมาถ่ายรูปไปแล้ว ลูกปุ๊กอยากได้รูปตรงนี้ จึงเข้าไปเจรจาหรือไล่ก็ไม่รู้ ? จน รปภ.ยอมลงมายืนงง ๆ อยู่ข้างล่าง ปล่อยให้คุณเธอขึ้นไปวางท่าให้อาตมาถ่ายรูปแทน จากนั้นนายทองพาเลี้ยวขวาไม่กี่ก้าวก็เข้าประตูเตี้ย ๆ อีกบาน ซึ่งนำไปสู่ลานพิธีอีกแห่งหนึ่ง...

สุธรรม 28-11-2015 05:16

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448662511
สุดยอดศิลปะสกุลช่างเนวารีซ่อนอยู่ที่นี่เอง

ลานนี้ค่อนข้างแคบ ประมาณด้วยสายตาไม่น่าจะเกิน ๒๐ X ๒๐ เมตร แต่เจ้าประคุณเถอะ..รอบผนังทั้งสี่ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ตุนาล นยาร โตรัน หรือเตียมปะนำ ฝีมือแกะสลักประณีต สวยงามอลังการสุด ๆ คาดว่าคงไม่มีศิลปะแบบเนวารีที่ไหนงดงามไปกว่านี้อีกแล้ว ตรงกลางลานมีบ่อน้ำที่กระหนาบข้างด้วยเสาสูงแกะสลักสองต้น ระหว่างเสาเป็นแผ่นกระดานที่เก่าจนกร่อนไปตามกาลเวลา แค่ดูด้วยสายตาก็รู้ว่ามีอายุการใช้งานมาหลายร้อยปี...

นายทองบอกว่านี่คือลานสุนทรี (Sundari Chowk) เป็นห้องอาบน้ำหลวง (Royal Bath) ของกษัตริย์ หากว่าองค์กษัตริย์สิ้นพระชนม์ ก็จะมีพิธีการสรงน้ำพระบรมศพที่บนกระดานแผ่นที่เห็น แล้วปล่อยพวกเราเดินชมและถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย อาตมาตรงไปยังบ่อสรงน้ำเป็นอันดับแรก เห็นเป็นบ่อทรงกลมลึกลงไปเกือบเท่าหัวคน เมื่อยืนตรงกลางเสาสองต้นมองไป กึ่งกลางวงกลมของอีกด้านจะเป็นวิหารเล็ก ๆ ทรงศิขะระ แทนเขาพระสุเมรุ สองฝั่งของวงกลมเป็นรูปสลักวิมานที่สถิตของเทพเจ้าต่าง ๆ รายล้อมรอบบ่อน้ำ...

ที่ล้อมอยู่นอกสุดรอบวิมานเป็นพญานาคหัวจุก (น่าจะเป็นมงกุฎ) สองตนที่ยกหัวทอดกายเป็นวง มีหางบรรจบกันตรงศิขะระ ข้างหัวพญานาคมีสิงห์สองตัวยืนขนาบข้างบันได ๘ ขั้นซึ่งทอดลงไปในบ่อ บริเวณกลางบ่อเป็นรูปหล่อทองเหลืองของพระนารายณ์และพระลักษมี ที่เงาวับเหมือนทองคำ ทรงครุฑที่น่าสงสารเพราะรับน้ำหนักเทพถึงสององค์ จึงทำท่าแบนติดท่อน้ำทองเหลืองที่รองรับอยู่ข้างใต้ไปเลย ข้างท่อเป็นหัวสัตว์ต่าง ๆ มีทั้งปลาและจระเข้ ข้างองค์มหาเทพทั้งสอง เป็นซุ้มวิมานด้านละสองซุ้ม ด้านใต้ท่อน้ำที่ไหลริน ๆ แกะสลักเป็นรูปช้างสองเชือกที่ชูงวงเหมือนกับช่วยหนุนท่อน้ำอยู่...

สุธรรม 28-11-2015 16:53

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448704374
ไม่มีใครแน่ใจว่าอาหารแต่ละอย่างในเมนูคืออะไร..?!?

รอบบ่อน้ำด้านในแบ่งออกเป็นสองช่วง แกะสลักลวดลายเป็นวิมานที่สถิตของเทพเจ้าต่าง ๆ ไว้จนเต็ม เรียกว่าใครมาสรงน้ำที่นี่ก็จะได้รับการประสาทพรจากพรหมเทวดาผู้เป็นใหญ่ ให้ได้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาทั้งปวง ลวดลายการแกะสลักสวยงามระดับบรมครูช่างฝีมือ ประมาณว่าได้รับพรมาจากพระวิษณุกรรมเทพเจ้าแห่งช่างมาก็ไม่ปาน อาตมาถ่ายรูปรอบบริเวณไว้ แต่ยังไม่บังอาจลงไปในบ่อเพื่อถ่ายรายละเอียดใกล้ ๆ แล้วนั่งลงบนแผ่นกระดานสรงน้ำพระบรมศพ ให้ยายจี๋กับแม่ป๋อมถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก จากนั้นเดินรอบลานพิธีเพื่อถ่ายรูปเตียมปะนำงาม ๆ ที่แกะสลักเป็นเทพเจ้าทั้งหลายไปจนครบถ้วน หันกลับมาอีกทีเห็นหัวยายจี๋ไปผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในบ่อน้ำโน่นแล้ว แหม..ช่างกล้า...!

นายทองชวนพวกเราเข้าไปชมงานแสดงศิลปะใน Architecture Galleries อาตมาจึงตะโกนเรียกยายจี๋ให้ขึ้นมาจากบ่อสรง แล้วเดินตามกันเข้าไปในโตรันที่แกะลายละเอียดยิบ ขึ้นบันไดไปยังห้องแสดงศิลปะการแกะไม้ สลักหิน และดุนลายทองเหลืองแบบต่าง ๆ สำหรับสร้างเป็นคันทวย บานหน้าต่าง หน้าบัน และซุ้มประตูโดยเฉพาะ แต่ละชิ้นเก่าแก่คร่ำคร่า สึกกร่อนไปตามเวลา พวกเราที่เริ่มเป็นวัตถุโบราณแล้ว จึงชวนกันถ่ายรูปตามมุมต่าง ๆ ตามแต่ชอบใจ วนดูจนครบทุกชิ้นก็กลับลงบันไดมาอีกด้านหนึ่ง ตรงหน้าซุ้มประตูทางออกมีรอยสีน้ำตาลเข้ม เหมือนกับใครเอาแปรงขนาดใหญ่มาจุ่มสีแล้ววาดเร็ว ๆ เกือบจะเป็นวงกลม “เป็นร่องรอยการบูชายัญของปีนี้เจ้าค่ะ” ถึงอาตมาคาดเดาได้ก็ยังรู้สึกสยองอยู่ดี เมื่อชี้บอกคนอื่น ๆ ตามที่ "ยายกระรอก" แถลงไข ทุกคนก็ทำท่าขนลุกขนพองไปตาม ๆ กัน..!

"Follow me." นายทองบอกพลางเดินกลับออกมาทางเดิม ผ่านสวนหลังวังมาโผล่ตรงลานที่ถ้ามุดประตูก็จะออกไปที่จุดขายบัตร บอกว่าได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว อาตมาดูเวลาในกล้องเห็นตรงกับบ่ายโมงของบ้านเรา ที่นี่ยังเป็นเวลา ๑๑.๔๕ น. เดินขึ้นบันไดเตี้ย ๆ สองขั้นสองช่วง ตรงไปยัง Museum Cafe ผ่านโต๊ะอาหารใต้ต้นไม้ที่มีร่มกางไว้ด้วย ขึ้นไปยังศาลาเล็ก ๆ ที่มีโต๊ะตั้งไว้หลายตัว นายทองเรียกบริกรหญิงให้เอาเมนูมาให้ แล้วตัวเองเดินหายไปเลย ไม่มีการช่วยแนะนำสักนิดว่าควรจะสั่งอาหารอะไร ปล่อยให้พวกเราเสี่ยงดวงกับเมนูอาหารชื่อประหลาด ๆ กันเอาเอง...

สุธรรม 29-11-2015 05:45

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448750660
ข้าวแข็งโป๊กและมามากจนกินกันไม่หมด

อาตมาจิ้มลงไปที่ข้าวผัด บริกรหญิงจดรายการลงใบสั่ง แล้วฉีกแคว่กส่งให้บริการชายรูปร่างล่ำเตี้ยใส่แว่นสายตา รายนั้นวิ่งเอาใบสั่งไปส่งให้พ่อครัว ส่วนสาวเจ้าเธอไปรับรายการจากทางโต๊ะของป้ามอย ซึ่งไม่รู้ว่าสั่งอะไรกันไปบ้าง เวลาผ่านไปสิบกว่านาที บริกรชายก็เอาข้าวผัดมาส่งพร้อมกับน้ำเปล่าแก้วใหญ่ โอ้..พระเจ้า ข้าวผัดสุมมาบนจานจนเป็นภูเขาเลย มีผักสดจำพวกแครอตหั่นมาอีกขยุ้มหนึ่ง อาตมาลองตักมาชิมคำแรก รสชาติไม่เลวทีเดียว มีเนื้อไก่หั่นชิ้นเล็ก ๆ แทรกมาด้วย เสียแต่ข้าวแข็งเป็นหัวอ้ายโจรเท่านั้น...

กล้ำกลืนฝืนฉันลงไป กว่าจะหมดก็เกือบจะวายชีวา และเป็นเหตุให้แอปเปิลที่น้องเก๋ซื้อมาเหลืออย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ใครไปคิดว่าเขาจะให้ข้าวมามากขนาดนี้ ทางโต๊ะโน้นได้ยินว่าสั่ง Salad แต่สิ่งที่ได้มาน่าจะเป็น Palad (ประหลาด) มากกว่า "กินไปบ่นไป" เหมือนกับรายการทีวีที่ผู้ดำเนินรายการโดนปลดออกจากนายกรัฐมนตรีไปเลย ส่วนมากก็เป็นเรื่องข้าวที่แข็งและมามากจนสองคนกินจานเดียวกันยังไม่หมด ท้ายสุดก็เรียกบริกรมาเก็บเงิน ควักกระเป๋าจ่ายไป ๓,๐๗๐ รูปี ตกจานละ ๑๗๕ บาท อิ่มจนจุกแบบนี้ไม่ถือว่าแพง..!

อาตมาเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ข้างครัว เห็นพ่อครัวกำลังผัดอาหารอีโล้งโช้งเช้งอยู่ กลิ่นลอยเข้ามาในห้องน้ำเต็มที่ จึงต้องรีบฉี่รีบราดน้ำ เมื่อกลับออกมาบรรดาสาว (แก่) ก็ผลัดกันไปเข้าห้องน้ำบ้าง นายทองซึ่งแอบไปกินอาหารที่ไหนก็ไม่รู้ ? มารออยู่ตรงหน้าบันไดสองขั้น เมื่อพวกเรามากันครบก็พาเดินออกจากพิพิธภัณฑ์ โผล่ไปที่จตุรัสซึ่งทั้งนักท่องเที่ยวและชาวบ้านเดินกันไขว่ไปหมด เลี้ยวซ้ายพาไปจนถึงสุดทางที่มีรถตู้ใหม่เอี่ยมจอดรออยู่ เมื่อเห็นพลขับหน้าปรุยับยู่ยี่ไม่ใช่นายสามานย์อาตมาก็ชะงัก แต่นายทองดันหลังให้ขึ้นไปเลย แปลว่าใช่รถของเราแน่ ๆ...

สุธรรม 29-11-2015 16:49

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448790517
ร้านนี้เป็นทางเข้าวัด..!

“นายยู่ยี่” พาพวกเราฝ่าการจราจรที่หนาแน่นและระงมไปด้วยเสียงแตร จากที่เราหันข้างซ้ายให้กับพระราชวังปาทาน วิ่งตรงไปยังถนนข้างหน้า ที่หัวมุมถนนมีรถเข็นขายผลไม้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นส้มและแอปเปิล วิ่งยาวไปตามถนนแคบ ๆ ซึ่งมีตึกเตี้ย ๆ กระหนาบสองข้าง มาถึงบริเวณที่มีธงฉัพพรรณรังสีผืนมหึมาแขวนอยู่ระหว่างตึก ก็นำรถจอดที่หัวมุมสามแยก นายทองรอพวกเราลงมาครบแล้วก็เดินนำเข้าไปใน “ซอย” ที่เต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกประเภทพระพุทธรูปต่าง ๆ ระหว่างร้านเหล่านั้น มี “ร้านหนึ่ง” ที่ที่สีสันหน้าร้านสดใสมาก พอมองดี ๆ อาตมาก็สะดุ้ง เพราะเห็นมีตัวหนังสือภาษาอังกฤษเขียนว่า MAHA BUDDHA TEMPLE พร้อมกับลูกศรที่ชี้เข้าไปด้านใน..!

มัคคุเทศก์หน้าผากกว้างพาเดินเข้าไปในประตู ซึ่งข้างในเป็นซอยแคบ ๆ ยาว ๆ ระหว่างตึก พลางบรรยายว่า “วัดมหาพุทธะ สันนิษฐานว่าเป็นวัดพุทธแห่งแรกที่สร้างขึ้นในเนปาล เพื่อที่อุทิศแด่พระพุทธมารดา เป็นศิลปะแบบศิขะระ ภายในวัดมีพระพุทธรูปที่สำคัญสามยุคคือ พระพุทธทีปังกร (Dipankar Buddha) ซึ่งเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าในอดีต พระศากยมุนี (Shakayamuni Buddha) ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และ พระศรีอาริยเมตตรัย (Maitriya Boddhahisattva) ซึ่งเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าในอนาคต” แกพูดไปเดินไป พวกเราที่ตามหลังจึงฟังไม่ค่อยถนัด...

สิ่งที่ปรากฏอยู่ในซอกตึกแคบ ๆ นั้น คือพระเจดีย์ทรงคล้ายคลึงกับพระเจดีย์พุทธคยา ฐานล่างสุดเป็นภาพนูนต่ำคล้ายครุฑอัดแบกพระเจดีย์ ถัดขึ้นไปเป็นภาพนูนต่ำพระพุทธรูปรายล้อมอยู่โดยรอบ ด้านบนของฐานช่วงแรกเป็นย่อมุมมีพระเจดีย์องค์เล็กอยู่สี่ทิศ ตรงส่วนย่อมุมที่เป็นส่วนคอระฆังของเจดีย์บ้านเรายังเป็นสี่เหลี่ยมมีซุ้ม ถัดขึ้นไปส่วนที่ควรเป็นปล้องไฉนก็คือส่วนที่เริ่มโค้งจนไปเรียวรับกับฐานสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ซึ่งรองรับยอดพระเจดีย์อยู่ด้านบน...

สุธรรม 30-11-2015 12:03

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448859735
สุภาพสตรีห้ามนั่ง เพราะฉะนั้น..จงยืนเสียดี ๆ..!

ฐานล่างมีซุ้มประตูที่เป็นลูกกรงเหล็ก ซึ่งมีพระพุทธรูป ๓ ยุคอยู่ด้านใน พวกเรากราบพระเจดีย์กันแล้ว ก็เดินหามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย มาได้มุมดีที่สุดด้านในซึ่งเป็นซอยค่อนข้างกว้าง สามารถถ่ายรูปพระเจดีย์ได้ทั้งองค์ อาตมานั่งลงบนแท่นสี่เหลี่ยมหน้าพระเจดีย์ ส่งกล้องให้น้องเล็กช่วยถ่ายรูปให้หน่อย เลยได้กล้องของยายจี๋กับแม่ป๋อมเพิ่มเข้ามาด้วย แล้วอาตมาให้ทุกคนนั่งเพื่อถ่ายรูปหมู่ นายทองรีบบอกว่าผู้หญิงไม่ควรนั่งบนแท่นนั้น ยายจี๋ แม่ป๋อม น้องเก๋ น้องเล็กจึงต้องยืนแทน ส่วนป้ามอยกับลูกปุ๊กที่มัวแต่สวดมนต์บูชาพระเจดีย์อยู่ตกขบวนไปโดยปริยาย...

เมื่อเดินวนพระเจดีย์จนครบสามรอบ อาตมาก็สรุปได้ว่า “วัด” แห่งนี้ มีศาสนวัตถุหลักก็คือพระเจดีย์องค์นี้เท่านั้น ส่วนอื่น ๆ ก็คือซุ้มพระพุทธรูปเล็ก ๆ ที่ “แปะ” อยู่กับผนังตึก ถ้าเป็นวัดเก่ามาก่อน แปลว่าบรรดาตึกทั้งหลายเหล่านี้สร้างทับที่วัด จนเหลือไว้แต่องค์พระเจดีย์ ไม่อยากนึกเลยว่า บรรดาท่านเจ้าของตึกทั้งหลายจะ “ติดหนี้สงฆ์” กันขนาดไหน...

ในเมื่อไม่มีอะไรให้ดูอีกแล้ว พวกเราก็เดินตามนายทองมาขึ้นรถ “นายยู่ยี่” พาวิ่งไปไม่ถึงสองนาทีก็จอดลงที่หน้าประตูซึ่งมีสิงห์คู่ตัวมหึมาสูงท่วมหัว บนซุ้มประตูทางสีน้ำตาลแดงสลับขาวนั้น มีสิงห์แบบอังกฤษสีทองตัวใหญ่ ถือหอกกระหนาบเครื่องราชอิสริยาภรณ์อยู่ เหนือประตูเป็นทับหลังครึ่งวงกลม บนทับหลังมีภาษาอังกฤษว่า RUDRAVARNA MAHAVIHAR อ่านแบบไทยได้ประมาณว่า รุทรวรรณะมหาวิหาร...


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:05


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว