กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=117)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8459)

ตัวเล็ก 26-03-2022 20:19

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๕
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๕



เถรี 27-03-2022 00:18

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ หลายวันที่ผ่านมา กระผม/อาตมภาพทดสอบการบันทึกเสียงในช่วงเช้าแทน แล้วก็พบความเป็นจริงอย่างหนึ่งว่า พระเณรของเราไม่ได้ใส่ใจที่จะไปฟังเลย รออยู่อย่างเดียวว่าจะฟังตอนก่อนทำวัตรค่ำรอบที่สอง ต้องถือว่าขาดการขวนขวายอย่างแรง ทำให้หลายเรื่องพวกเรารู้ช้ากว่าญาติโยมที่อยู่ต่างประเทศเสียอีก..!

เรื่องนี้ทำให้นึกถึงสมัยที่ยังอยู่กับพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง สมัยนั้นยังมีพระพี่พระน้องอยู่กับหลวงพ่อด้วยกันกัน ๔๐ กว่ารูป จำนวนใกล้เคียงกับวัดของเราสมัยนี้ แล้วท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า ในปัจจุบันนี้มีสักกี่รูป ที่สามารถรับภาระ สืบทอดเจตนารมณ์ และรักษาชื่อเสียงเกียรติคุณของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเอาไว้ได้ ?

ท่านที่ออกจากวัดไปก่อนเพื่อนเลยแล้วยังปรากฏอยู่ทุกวันนี้ก็คือ ตุ๊พ่อสิงห์ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ต้องบอกว่าตุ๊พ่อสิงห์ท่านบุญน้อย มีโอกาสถวายการรับใช้หลวงพ่ออยู่แค่ ๒ พรรษาเท่านั้น แต่ท่านก็ถอดแบบและนำเอาแนวทางในการปฏิบัติ ไปปฏิบัติอย่างจริงจังและแนะนำสั่งสอนพระภิกษุสามเณรตลอดจนกระทั่งญาติโยม จนกระทั่งมั่นคงในระดับหนึ่ง

รูปต่อไปก็คือท่านพระครูสาครสิทธิวิมล หรือหลวงตาชลอของพวกเรา พวก
กระผม/อาตมภาพเรียก "พี่ชลอ" กันจนชิน ท่านอยู่กับหลวงพ่อ ๘ พรรษา แล้วก็ลากลับไปสร้างวัดทางบ้านเกิด ซึ่งปัจจุบันนี้ก็คือวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ สร้างจากพื้นดินที่เป็นบ่อกุ้ง พูดง่าย ๆ ว่าไม่มีแม้แต่พื้นจะให้สร้างวัด..! จะตอกเข็ม จะตั้งเสา ก็ต้องถมที่ก่อน ท่านก็ทำวัดจนสำเร็จใหญ่โตขึ้นมาได้

ลำดับต่อไป กลายเป็นกระผม/อาตมภาพเอง ออกมาสร้างไป ๗ - ๘ วัด แล้วเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ก็ตามมาในปีถัดไป หลังจากนั้นอีกหลายปี หลวงพี่วิรัช ที่พวกเราเรียกกันว่าหลวงพ่อวิรัชนั่นแหละ ก็ไปซื้อที่ทางบ้านเกิด สร้างวัดธรรมยานขึ้นมา จนใหญ่โตมหึมา ราคาหลายร้อยล้านในปัจจุบัน

นี่คือพี่น้องที่อยู่ด้วยกันในวัดท่าซุงสมัยนั้น ๔๐ กว่ารูป สามารถออกมาปฏิบัติตามปฏิปทา รักษาชื่อเสียงเกียรติคุณของครูบาอาจารย์ได้กี่รูป ?

เถรี 27-03-2022 00:21

เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว พวกเราขาดการขวนขวายในการศึกษาหาความรู้อย่างแรง กระผม/อาตมภาพเองแค่พรรษาแรก ๆ เมื่อออกกิจนิมต์ ส่วนใหญ่ก็โดนหัวแถวใช้งาน หัวแถวส่วนมากก็เป็นพระรุ่นเก่า สมัยโน้นก็จะมีหลวงตาผ่อง หลวงตานา หลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีป เมื่อภายหลังหลวงตาผ่อง หลวงตานามรณภาพแล้ว ก็จะมีหลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีปเป็นหลัก แล้วก็ตัวกระผม/อาตมภาพ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ต้องไปนั่งอยู่ท้ายแถว

พอถึงเวลาจะเจิม จะจาร จะอะไรแล้วแต่ หัวแถวก็จะบอกว่า "ท่านเล็กไปทำที" พอเจอเข้ามาก ๆ หลายครั้ง
กระผม/อาตมภาพก็ประท้วงว่า "พวกพี่แต่ละคนอยู่กับหลวงพ่อมา ๑๐ กว่า ๒๐ ปี ไม่ได้คิดจะศึกษาอะไรไว้บ้างเลยหรือ ?" แล้วก็มีท่านที่หลุดปากออกมาว่า "เป็นแล้วมันเหนื่อย..!" ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ก็คือไม่ต้องเหนื่อย เพราะว่าท่านไม่เป็นอะไร..!

ดังนั้น...การที่เปลี่ยนไปบันทึกเสียงในช่วงเช้า ปรากฏว่าพระภิกษุสามเณรของเราไม่ได้ใส่ใจที่จะเข้าไปฟัง หลายเรื่องจึงรู้ทีหลัง ถ้าญาติโยมถามกันก็ไม่รู้เรื่อง เห็นชัดเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราทำตัวเป็นลูกนก อ้าปากรอพ่อแม่ป้อนให้อย่างเดียว ถ้าแก้ไขนิสัยนี้ไม่ได้ ชาตินี้อย่าหวังเลยว่าจะเอาดีได้ แล้วก็คงไม่มีพ่อนกแม่นกที่ไหน ที่จะคอยคาบอาหารมาป้อนอยู่ตลอดเวลา

แม้กระทั่งญาติโยมทั้งหลายที่ฟังอยู่ก็เหมือนกัน เราต้องระลึกอยู่เสมอว่าชีวิตนี้เป็นของน้อย จะสิ้นลงไปวันไหนก็ไม่แน่ ดังนั้น...จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจัง ทำให้เกิดผล เมื่อเกิดผลแล้ว ต้องสามารถนำไปบอกต่อคนอื่นได้ด้วย นั่นถึงจะเป็นการทำหน้าที่ของพุทธบริษัททั้ง ๔ อย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วก็ต้องบอกว่าเสียทีที่เกิดมา

ดังนั้น...ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่รู้จักขวนขวายหาความดีใส่ตัว โดยเฉพาะท่านที่ปฏิบัติธรรมมาเป็นสิบปี หรือหลายสิบปี ลองนึกดูว่าตั้งแต่ท่านตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมครั้งแรกมาจนถึงปัจจุบันนี้ ครูบาอาจารย์ล่วงลับดับขันธ์ไปกี่รูปกี่องค์แล้ว ? แล้วถ้ายังเอาดีไม่ได้นี่แปลว่าอะไร ?


เพราะว่าหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังสมบูรณ์บริบูรณ์อยู่ ใครปฏิบัติถูกก็มีสิทธิ์เข้าถึงธรรมทั้งนั้น แต่เราก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไป วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า แล้วอย่าได้ไปคุยอวดใครเชียวนะว่าปฏิบัติธรรมมาหลาย ๑๐ ปี ถ้าเขาถามกลับมาว่าแล้วได้อะไรบ้าง ? ก็จะขายขี้หน้าเขาเป็นที่สุด..!

เถรี 27-03-2022 00:22

โดยเฉพาะพวกท่านทั้งหลายที่อยู่กับกระผม/อาตมภาพที่วัดแห่งนี้ ต้องบอกว่าแทบจะกรอกหูกันอยู่ทุกวันที่อยู่วัด แล้วทำอะไรเป็นมรรคเป็นผลกันขึ้นมาหรือยัง ? แม้กระทั่งเสียงที่บันทึกเอาไว้ก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะไปฟัง

เมื่อทดสอบในลักษณะนี้แล้ว กระผม/อาตมภาพก็ฟันธงได้เลยว่าเรื่องของเวลาไม่สำคัญ สำคัญที่สุดก็คือน้ำใสใจจริง หรือจะเรียกว่า "สันดาน" ของพวกท่านเอง ว่าตั้งใจจะเอาดีหรือไม่ ? เพราะถ้าหากว่าไม่คิดที่จะเอาดี ต่อให้กระผม/อาตมภาพพูดจนปากฉีกถึงหูก็ไม่มีประโยชน์

เปรียบเทียบแค่วัดท่าซุงสมัยก่อนก็พอ สมัยนั้นก็ยังดีว่ายังมีพี่ ๆ น้อง ๆ ที่พอจะเห็นแววกันอยู่หลายท่าน แล้วปัจจุบันนี้เราก็เห็นชัดแล้วว่าใครบ้าง แต่ว่าในปัจจุบันนี้ ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้
กระผม/อาตมภาพยังไม่เห็นใครเลย อย่าลืมว่ากระผม/อาตมภาพก็อายุกาลผ่านวัยเลยเกษียณมาหลายปีแล้ว พรรคพวกเพื่อนฝูง ตลอดจนกระทั่งรุ่นน้องก็ตายกันไปมาก แล้วถ้าท่านทั้งหลายยังประมาทอยู่ กระผม/อาตมภาพก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร..!?

สมัยก่อนพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ พระพี่พระน้องก็สบายใจ มั่นใจว่าท่านจะอยู่ถึง ๑๒๐ ปี แล้วอยู่ ๆ เมื่อร่างกายไม่ไหว ท่านจากไปกะทันหัน แม้กระทั่งพระเถระเกิน ๑๐ พรรษา ก็ยังมานั่งร้องไห้ให้อายชาวบ้านเขา แล้วท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า ถ้ากระผม/อาตมภาพปุบปับตายลงไปวันนี้พรุ่งนี้ แล้วจะเป็นอย่างไร ?

ในสมัยโน้นกระผม/อาตมภาพไม่เคยคิดเลยว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านจะอยู่ได้เกินกว่าวันนั้น ดังนั้น..ทุกอย่างที่ศึกษามา ที่ท่านสั่งสอนไว้
กระผม/อาตมภาพพยายามฝึกหัด ซักซ้อม กอบโกยไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ วันไหนดินฟ้าอากาศผิดปกติ กระผม/อาตมภาพต้องลุกขึ้นมานั่งกรรมฐานดูว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้วหรือยัง !!? ดังที่เคยบอกกล่าวกับท่านทั้งหลายว่าหลวงพ่อมรณภาพวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ ไม่ใช่วันที่ ๓๐ ตุลาคมอย่างที่ทุกคนว่า

เถรี 27-03-2022 00:24

แม้กระทั่งในระยะเวลาที่จัดงานศพถวายหลวงพ่อท่านตลอดระยะเวลา ๑๐๐ วัน พระเถระจากกรุงเทพฯ เมื่อมาแล้วมักจะถามว่า "ท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปใหม่หรือ ?" กระผม/อาตมภาพต้องบอกว่า "ไม่ใช่ขอรับ กระผมเป็นพระใหม่เท่านั้น" เพราะว่าตอนนั้นเพิ่งจะได้ ๗ พรรษา แต่คราวนี้ด้วยความที่ขวนขวายศึกษาเอาไว้ทั้งทางโลกและทางธรรมอย่างเต็มที่ ทุ่มเทสุดกำลังเท่าที่มี เมื่อถึงเวลาจึงเป็นหลักให้กับคนอื่นเขาได้

ตรงจุดนี้พวกเราประมาทจนเกินไป จะไปคิดว่า
กระผม/อาตมภาพยังไม่แก่ อย่าลืมว่ากระผม/อาตมภาพมีโรคภัยไข้เจ็บประจำตัวมาตั้งแต่อายุ ๒๒ ปี ระยะเวลา ๔๐ กว่าปีที่ผ่านมา ไม่มีวันไหนที่สบายดีเลยแม้แต่วันเดียว แล้วถ้าหากว่าท่านทั้งหลายยังประมาท ไม่พยายามขวนขวายหาความดีใส่ตัว เมื่อถึงเวลาผมปุบปับเป็นอะไรไป ก็ต้องใช้คำว่า "ตัวใครตัวมัน..!"

เรื่องพวกนี้บอกแล้วว่าเป็นเรื่องของจิตสำนึก เป็นเรื่องของความใฝ่ดี เป็นเรื่องของสันดาน คนเราถ้าจะเอาดี อยู่ในสภาพอย่างไร อยู่ในฐานะแบบไหน ก็เอาดีจนได้ ส่วนคนไหนที่ไม่คิดเอาดี ต่อให้อยู่ในสภาพ อยู่ในฐานะที่สูงส่งกว่าคนอื่นเท่าไร ก็หาดีไม่ได้เหมือนเดิม

จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:48


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว