กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมีนาคม ๒๕๖๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=132)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9346)

ตัวเล็ก 15-03-2023 19:55

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๖
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๖



เถรี 16-03-2023 00:15

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ ไม่ได้อยู่ให้พวกท่านเห็นหน้าไป ๘ วัน น้ำหนักตัวเองก็หายหลายกิโลกรัม จาก ๖๓ กิโลกรัม ใกล้จะได้เท่าของเดิมก่อนบวชแล้ว ชั่งก่อนจะออกมาทำวัตรเหลือ ๕๘ กิโลกรัม ไม่ต้องไปโทษใคร เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเป็นคนน้ำหนักขึ้นยากที่สุด แล้วก็น้ำหนักหายไปเร็วที่สุด ก็แค่ปฏิบัติธรรม กินน้อยนอนน้อยแค่ ๗ วันเท่านั้น หายไปได้ขนาดนั้น

ก่อนอื่นเลยก็ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนบาลีที่ "ได้ไปต่อ" ความจริงก็ต้องขอบคุณมหาไบท์ (พระมหาจักรพงษ์ ปญฺญาทีโป ป.ธ.๖) ที่จุดประกายในเรื่องของการอบรมว่าควรจะเน้นเฉพาะวิชา เอาแค่ติดซ่อมก่อน หลังจากนั้นเราจะได้มีเวลาซ้อมแปลอีกประมาณ ๒ เดือน

ปรากฏว่าทุกอย่างเป็นไปตามคาด และที่เป็นไปมากกว่าคาดก็คือนักเรียนบาลีของเราที่ส่งสอบประโยค ๑ - ๒ จำนวน ๑๒ รูป ผ่านวิชาไวยากรณ์ รอซ่อมวิชาแปล ๑๑ รูป..! ต้องบอกว่าเป็นผลงานอย่างชัดเจนของ
มหาจอม (พระมหาภูมินทร์ ฐิตญาโณ ป.ธ. ๗) ใช่ไหม ? ความจริงท่านตั้งใจมาปฏิบัติธรรม แต่ปรากฏว่าโดนพวกท่านเบียดเบียนเวลา จนต้องมานั่งสอนหนังสือแทน..!

แต่ความจริงการสอนหนังสือก็คือการปฏิบัติธรรม ถ้ากำลังใจเราจดจ่ออยู่กับงานเฉพาะหน้า รัก โลภ โกรธ หลง ก็กินใจเราไม่ได้เหมือนกัน แต่เพียงแต่ว่าพวกท่านทั้งหลายส่วนใหญ่ก็ "อ่อนซ้อม" แม้กระทั่งงานปฏิบัติธรรมของบรรดาเจ้าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ที่ผ่านมาก็เช่นกัน ปัญหาใหญ่ก็คือ ส่วนใหญ่แล้ว "อ่อนซ้อม" พอทุกคนได้ยินว่า หลวงพ่อเล็กซ้อมกรรมฐานมาตั้งแต่อายุ ๑๖ จนอายุ ๖๔ ก็ทำตาเหลือกไปตาม ๆ กัน..!

เรื่องของการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องของความขยันและไม่ประมาท เพราะไม่รู้ว่าวินาทีไหนที่กิเลสจะยึดครองกำลังใจของเราไป คนไหนที่ยังประมาทอยู่ ยังทำบ้างไม่ทำบ้าง ก็แปลว่าหาเรื่องเดือดร้อนเอง เพราะว่าถ้ากิเลสฉวยโอกาสได้เมื่อไร เราจะตีคืนได้ยากมาก ท่านทั้งหลายที่มีประสบการณ์จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก จะรู้รสชาติของชีวิตเลยว่า เวลาที่จะเอาคืนให้ดีเท่าเดิมนั้นลำบากสาหัสขนาดไหน..!?

เถรี 16-03-2023 00:26

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านไปตั้งใจจะเอาดีเท่าเดิม ซึ่งก็คือความฟุ้งซ่านนั่นเอง ในเมื่อจิตฟุ้งซ่าน ไม่สามารถที่จะทรงตัวได้ แล้วเราจะไปเอาดีเท่าเดิมได้อย่างไร เพราะฉะนั้น..วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำใจสบาย ๆ เรามีหน้าที่ภาวนา ผลจะเกิดอย่างไรก็ "ช่างมัน" ถ้าทำใจแบบนี้ได้ เราจะรักษากำลังใจเดิมและดึงกลับคืนมาได้เร็วมาก

อีกปัญหาหนึ่งที่พบในการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ก็คือ บรรดาท่านที่ศึกษามาในสายพองยุบ ซึ่งกรรมฐานสายพองยุบไม่ได้มีปัญหา แต่ส่วนที่กระผม/อาตมภาพนำไปถวายคำแนะนำท่านทั้งหลาย เป็นกรรมฐาน ๔๐ แล้วก็ไม่ใช่กรรมฐาน ๔๐ ธรรมดา แต่เป็นการรวมกรรมฐานทั้ง ๔๐ กองเลย ซึ่งถ้าจะรวมกรรมฐานทั้ง ๔๐ กอง แปลว่าท่านทั้งหลายต้องมีความชำนาญในเรื่องของสมาธิสมาบัติอย่างสูงมาก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วกองท้าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกสิณ หรือว่าเรื่องของอรูปฌาน ตลอดจนกระทั่งพรหมวิหาร ๔ เราจะจับไม่ติด

ผู้ฝึกกรรมฐานสายพองยุบส่วนใหญ่โดนฝึกสอนมาให้ใช้กำลังใจแค่ขณิกสมาธิหรือว่าอุปจารสมาธิเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นอกจากเวลาฝึกจะอันตรายมาก เพราะว่ากำลังไม่เพียงพอที่จะป้องกันนิวรณ์แล้ว ถึงเวลาถ้าจะรับกรรมฐานแนวอื่น ๆ ไป เผื่อว่าสำนักปฏิบัติธรรมของตนไปเจอแนวอื่นเข้า จะได้แก้ไขปัญหาให้เขาได้ ก็กลายเป็นว่ารับไม่ไหว

ถึงกับมีบางท่านบอกว่า สมาธิพังบรรลัยหมดเลย เพราะว่าตะกายตามไม่ไหว แสดงว่าท่านไม่ได้ฟังที่กระผม/อาตมภาพบอกว่า ถ้าไม่ไหว ให้ศึกษาแค่รูปแบบไปก่อน แล้วไปฝึกซ้อมเอาทีหลัง

หลังจากพิธีปิดการปฏิบัติธรรมและรับวุฒิบัตรเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพต้องรีบเดินทางไปยังวัดอาวุธวิกสิตาราม เพื่อร่วมปลุกเสกวัตถุมงคลฉลองอายุ ๙๐ ปี พระเดชพระคุณพระธรรมวชิรสุธี (หลวงปู่ทองดี ฐิตายุโก) ท่านนิมนต์พระเกจิอาจารย์แค่ ๔ รูปเท่านั้น ประกอบไปด้วย

พระเดชพระคุณพระเทพวชิรญาณโสภณ วิ. (เยื้อน ขนฺติพโล) หรือที่พวกเรารู้จักกันในนามหลวงพ่อเยื้อน พระญาณวิเศษ วิ. (หลวงปู่สุพรรณ กนโก) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษ (ธรรมยุต) เจ้าอาวาสวัดซำตาโตง
ฟังจากสมณศักดิ์ก็รู้แล้วว่าท่านเป็นพระปฏิบัติชั้นยอด สองท่านนี้เป็นธรรมยุต

แล้วก็ท่านเจ้าคุณพระภาวนาวิสุทธิโสภณ วิ. (สุรศักดิ์ อติสกฺโข ป.ธ.๕) หรือหลวงพ่อพระมหาสุรศักดิ์ กับกระผม/อาตมภาพ พระครูวิลาศกาญจนธรรม วิ. สองท่านนี้เป็นมหานิกาย

เถรี 16-03-2023 00:40

ที่เล่าถึงตรงนี้อยากจะบอกว่า ที่ต้องมาเล่าก็เพราะว่า ในงานเขามีการเสริมดวงด้วยการบูชาเทวดานพเคราะห์ด้วย ทำให้งานเพิ่มขึ้นมามากมหาศาล จากการเริ่มพิธี ๖ โมงเย็นตามที่ฎีกานิมนต์เอาไว้ กระผม/อาตมภาพนั่งจน ๒ ทุ่มแล้ว เพิ่งจะสวดบูชาเทวดานพเคราะห์ไปได้แค่องค์เดียว ก็คือพระอาทิตย์ จนกระทั่งต้องตัดจบด้วยการเดินทางกลับ ถ้าถามถึงท่านอื่น หลวงพ่อเจ้าคุณสุรศักดิ์ไปก่อนนานแล้ว ที่มาเล่าเรื่องนี้ไม่ได้ตำหนิว่าทางวัดอาวุธวิกสิตารามไปจัดงานลักษณะนี้ เพราะว่าเจ้าพิธีก็คือ "หมอดูฟันธง" ..!

แต่ส่วนที่วันนี้กระผม/อาตมภาพไปร่วมงานอบรมเพิ่มศักยภาพเจ้าคณะตำบลในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ แล้วปรารภกับพระเดชพระคุณพระราชวชิรโมลี (สมชาย พุทฺธญาโณ ป.ธ.๗) รองเจ้าคณะภาค ๑๔ ว่า กระผมเห็นแล้วรู้สึกท้อใจ พุทธศาสนิกชนของเรามักง่ายมาก ต้องการวัตถุมงคลที่เป็นเมตตามหานิยม ต้องการวัตถุมงคลด้านลาภผล ต้องการวัตถุมงคลด้านเสริมดวง หลายท่านพอดวงไม่ดีก็ยังไปเปลี่ยนชื่ออีกด้วย

ทำไมถึงได้กล่าวว่ามักง่าย ? ก็เพราะว่าถ้าหากว่าท่านต้องการที่จะเสริมดวง ต้องการความดีแท้จริง ๆ ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น จะเห็นผลเร็วที่สุดและถาวรด้วย ก็คือท่านจะดีแล้วก็ดียาวไปเลย แต่เรื่องพวกนี้ในสายตาของเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็คือทำยาก สู้มักง่ายด้วยการไปหาวัตถุมงคลไม่ได้ หรือว่าเปลี่ยนชื่อเลย..ง่ายดี..!

เรื่องของวัตถุมงคลส่วนใหญ่แล้ว ตั้งแต่โบราณมาท่านสร้างเอาไว้เพื่อเป็นอนุสติ คือการระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานใหญ่ ก็คือพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ ได้แบบง่าย ๆ เพราะว่าผู้รับไปไม่ทราบว่านั่นคือกรรมฐาน จึงไม่เครียด ในเมื่อบอกข้อห้ามไปก็ตั้งใจละเว้น อย่างเช่นว่าห้ามด่าแม่ นั่นก็คือศีล เพราะว่าสามารถปฏิบัติตามข้อห้ามได้ แล้วถ้ามีคาถากำกับ นั่นก็คือการสอนในสมาธิภาวนา

แต่ในปัจจุบันนี้ พอกระผม/อาตมภาพไปปลุกเสกวัตถุมงคลให้เขาแล้วก็รู้สึกท้อใจ เพราะว่าวัตถุประสงค์ในปัจจุบันนี้ของญาติโยม ไม่ได้ตรงกับที่โบราณต้องการ แสวงหาวัตถุมงคลไปเพื่อค้าขาย แสวงหาวัตถุมงคลไปเพื่อความเป็นเมตตามหานิยม แสวงหาวัตถุมงคลไปหนุนดวง ต้องบ่นดัง ๆ ว่า "กูจะบ้า..!"

เถรี 16-03-2023 00:44

ถ้าถามว่า "แล้วไปทำให้เขาทำไม ?" อันดับแรกเลย เจ้าภาพมีศรัทธานิมนต์ อันดับที่สองก็คือ หวังว่าสักวันหนึ่ง เขาทั้งหลายเหล่านั้นจะได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าวัตถุมงคลมีไว้เพื่ออะไร..!?

ผลลัพธ์จากวัตถุมงคลเป็นแค่ผลพลอยได้เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นมหาอุด คงกระพัน ลาภผล เมตตามหานิยม แต่ว่าผลใหญ่ที่ต้องการจริง ๆ ก็คือ ให้ท่านทั้งหลายฝึกกรรมฐานโดยที่ไม่ต้องเครียดมาก เพราะว่ามีสิ่งที่ชอบติดตัวอยู่ ระลึกถึงได้ง่าย ปฏิบัติตามข้อห้ามได้ ก็เท่ากับเรารักษาศีลได้ รู้จักภาวนาด้วยการอาราธนา

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่จะช่วยให้ทางชีวิตของเราสะดวก คล่องตัวขึ้น เพราะว่าสร้างกุศลใหญ่อยู่ตลอดเวลา ตื่นเช้ามา ก่อนออกเดินทางก็เริ่มแล้ว พุทธัง อาราธะนานัง ธัมมัง อาราธะนานัง สังฆัง อาราธะนานัง อย่างน้อยก็ต้องนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนครูบาอาจารย์ให้พระคาถาอื่น ๆ อะไรเอาไว้ก็แล้วแต่ ภาวนาไปก็เท่ากับว่าสร้างกุศลจากการภาวนา ซึ่งอานิสงส์มากกว่าการรักษาศีลเป็นร้อย ๆ เท่า

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะไปหวังก็คงจะยาก
กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่พยายามทำหน้าที่ของศากยบุตรพุทธชิโนรสให้เต็มที่ที่สุด ส่วนญาติโยมจะรู้เรื่อง รับได้รับไม่ได้เท่าไร ก็คงต้องแล้วแต่บุญแต่กรรม ตลอดจนกระทั่งปัญญาที่สั่งสมกันมาเอง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:42


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว