กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6480)

เถรี 04-02-2019 08:09

ถาม : ตอนนี้ที่ห้องเช่ารู้สึกเหมือนถูกรบกวนทั้งจากเสียงของคนข้างห้องและจากผู้ที่มองไม่เห็น ลูกขอคำแนะนำในการคิดและการวางกำลังใจด้วยค่ะ ?
ตอบ : หาสำลีมาอุดหูซะ..!

เถรี 04-02-2019 08:09

ถาม : หนูมักจะคิดฟุ้งซ่านจากข่าวที่ได้ยินและได้เห็น ขอคำแนะนำหลวงพ่อในการวางกำลังใจด้วยค่ะ ?
ตอบ : ไม่รู้ไม่เห็นก็จบแล้ว

เถรี 04-02-2019 08:11

พระอาจารย์กล่าวว่า “ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะฟุ้งซ่านไม่เข้าท่า เรื่องของการรู้การเห็นเกิดจากเราวางอารมณ์ตรงช่องนั้นพอดี โดยเฉพาะในสิ่งที่ไม่สามารถที่จะรู้เห็นได้เห็นทั่วไป เราก็แค่ลดกำลังใจลงมา หรือไม่ก็เพิ่มกำลังใจขึ้นไป พ้นจากจุดนั้นไปก็ไม่รู้ไม่เห็นแล้ว

อยากจะแนะนำว่าทรงปฐมฌานไว้จะดีที่สุด เพราะว่าทำการทำงานทุกอย่างก็ได้ คนปกติหรือว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจะสร้างเสียงรบกวนเท่าไร เราก็ไม่รำคาญ แล้วขณะเดียวกันก็จะอยู่ในจุดที่ไม่สามารถที่จะรับรู้เรื่องในโลกทิพย์ต่าง ๆ ได้ เพราะว่ากำลังสูงเกินกว่าอุปจารสมาธิซึ่งเป็นจุดรับรู้ แต่ก็ต่ำกว่าฌาน ๔ ซึ่งเป็นจุดรับรู้อีกจุดหนึ่ง ก็แค่ลองเพิ่มขึ้นลดลงนิดหน่อยก็พ้นจากภาวะนั้นไปแล้ว

แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราขาดความกล้าที่จะทำ หรือไม่ก็ขาดการซักซ้อม ทำให้ไม่เข้าใจ ก็เลยต้องมาเสียเวลาถามกันอยู่บ่อย ๆ”


เถรี 04-02-2019 08:23

ถาม : คนที่มีกำลังสมาธิสูงกว่า จะสามารถโน้มน้าวคนที่มีสมาธิต่ำกว่าได้ แต่ถ้าเป็นสมาธิชั่วคราว ผลการโน้มน้าวจะเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ก็ได้ชั่วคราวเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตัวเองจะหมดสภาพ ให้สังเกตดูว่าถ้าเราทุ่มเทกำลังใจมาก ๆ ถึงเวลาเราเองนั่นแหละ ที่เหนื่อยเหมือนกับทำงานมาทั้งวันทั้งคืน

เถรี 04-02-2019 08:24

ถาม : กรณีที่อาราธนาคุณพระหรือใช้สีผึ้งเพื่อการโน้มน้าว ?
ตอบ : เหมือนกัน เพราะว่าต้องมีกำลังใจของเรารองรับ อานุภาพของวัตถุมงคลถึงจะแสดงได้เต็มที่ คราวนี้ต้นทุนของเราน้อย แต่ดันไปซื้อของราคาแพงมาก ก็แปลว่าต้องหมดสภาพไปพักหนึ่ง

เถรี 04-02-2019 08:25

พระอาจารย์กล่าวว่า “ส่วนมากแล้วปัญหาในการปฏิบัติธรรม ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ จะได้คำตอบในตัวอยู่แล้ว เพราะว่าพอทำถึงก็จะหายสงสัย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะสงสัยโดยไม่ทำ ซึ่งจะมีโทษมากกว่าประโยชน์ ถ้าเราทำแล้วติดขัดตรงไหนค่อยมาถาม ก็จะแก้ไขจุดติดขัดของเราไปได้ ก่อให้เกิดประโยชน์คือมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

แต่ถ้าเราถามแล้วค่อยไปทำ จะทำให้ทำได้ช้ามากเพราะว่าเราจะไปฟุ้งซ่าน
ถึงเวลาก็จะไปเปรียบเทียบว่าท่านบอกมาอย่างนี้ ท่านตอบมาอย่างนี้ ขั้นตอนเป็นอย่างนี้ ตอนนี้เราทำถึงตรงไหนแล้ว โอกาสที่จะเข้าถึงตามที่ตนเองต้องการก็จะยากขึ้น เพราะฉะนั้น..ให้ทำ ติดขัดแล้วค่อยถาม อย่าถามแล้วค่อยไปทำ เพราะว่าโทษจะมีมากกว่า”

เถรี 04-02-2019 08:26

พระอาจารย์กล่าวว่า “ท่านใดที่ไปซื้อหน้ากากกันฝุ่นเอาไว้ อาตมายืนยันว่าไม่ต้องใช้ ร่างกายเราเก่งพอ สามารถจัดการกับฝุ่นได้ ไอ้ที่ฮือฮากันขึ้นมาเพราะว่าเขาอยากจะขายหน้ากากเท่านั้นเอง”

เถรี 04-02-2019 10:50

พระอาจารย์กล่าวว่า “การที่วัดจัดงานในวันเสาร์อาทิตย์นั้น สะดวกแก่ญาติโยมที่ไปร่วมงาน แต่ไม่ค่อยสะดวกกับพระที่จะไป เพราะว่าส่วนใหญ่ญาติโยมก็มักจะนิมนต์พระทำบุญกันวันเสาร์อาทิตย์เหมือนกัน ดังนั้น..ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครนิมนต์ได้เร็วกว่า ส่วนใหญ่แล้วพระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ แนะนำว่า ถ้านิมนต์ให้นิมนต์ในวันศุกร์ ถามว่าทำไม ? วันศุกร์เขาไม่เผาศพ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่มีงานศพมาขวาง

เรื่องของการไม่เผาศพวันศุกร์มีคติอยู่สองอย่างด้วยกัน อย่างแรก..ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาไปเอามาจากไหน เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าเกิดวันศุกร์ เพราะฉะนั้น..ไม่ควรที่จะเผาศพวันศุกร์ซึ่งเป็นวันเกิดของพระพุทธเจ้า..! ส่วนอีกคติหนึ่งเชื่อว่า วันศุกร์มีคำว่า “สุข” ซึ่งไม่ใช่ความทุกข์อยู่ เพราะฉะนั้น..ไม่ควรที่จะไปเผาศพซึ่งเป็นความทุกข์ของบุคคลที่รักของเขา”

เถรี 04-02-2019 10:51

พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องการถือมงคล ถ้าจะถือให้ถือตามพระพุทธเจ้า ก็คือมงคล ๓๘ ในมังคลสูตร ตั้งแต่อย่าคบคนพาล ให้คบบัณฑิต บูชาบุคคลที่ควรบูชา ไปจนกระทั่งถึงการปฏิบัติธรรม ทำพระนิพพานให้แจ้ง ทำให้สภาพจิตไม่หวั่นไหวในการกระทบโลกธรรม มีความผ่องใส มีความเบิกบานเป็นปกติ ส่วนมงคลอื่น ๆ นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ยั่งยืน ถ้าเราถือสาบางทีก็ทำอะไรลำบาก

อาตมาเจอบางคนศึกษาวิชาพรหมศาสตร์มา ไม่เดินทางเลย เพราะว่าห้ามลอดสะพาน แล้วสมัยนี้ไปด้านไหนก็มีแต่สะพานลอย กลายเป็นว่าสร้างความลำบากให้กับชีวิตตัวเอง เวลาเดินก็ต้องคอยมอง มีอะไรที่ทำมุมเป็นสามเหลี่ยมบ้าง จะได้ไม่เดินลอด ดูแล้วน่าเครียดมากเลย”

เถรี 04-02-2019 10:53

ถาม : ผู้หญิงที่ปรารถนาพุทธภูมิต้องบำเพ็ญบารมีอีกนานไหมครับจึงจะสำเร็จ ?
ตอบ : นานกว่าผู้ชายเป็นเท่าตัว เพราะว่าถ้าหากว่าไม่ใช่เนื่องด้วยคำอธิษฐานหรือกรรมที่สร้างไว้ ต้องเป็นอุปบารมีถึงจะเกิดเป็นผู้ชาย

ถาม : แปลว่าขั้นต้นก็ยังไม่เป็นผู้ชาย ?
ตอบ : ยังเป็นผู้หญิงอยู่ ยกเว้นบรรดาท่านที่เป็นปรมัตถบารมีแล้วยังต้องเป็นผู้หญิง อย่างเช่นว่าเนื้อคู่พระโพธิสัตว์หรือผู้ที่ตั้งใจขอเป็นพระพุทธมารดา

เถรี 05-02-2019 08:24

พระอาจารย์กล่าวว่า “เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก..ใช่ไหม ? อย่างน้อยก็ทุกข์กว่าผู้ชาย ๕ อย่าง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า หนึ่ง..ต้องมีระดู เวลาผู้หญิงมีรอบเดือนนี่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญไปหมด สอง..ต้องตั้งครรภ์ สาม..ต้องบำเรอสามี สี่..ต้องเลี้ยงบุตร ห้า..ต้องดูแลญาติของสามี

เพราะฉะนั้น..สมัยนี้หาผู้ชายสวย ๆ ดีกว่านะ ทุกข์น้อยลงไปเยอะเลย..! ไม่ต้องมีระดู ไม่ต้องตั้งครรภ์ ไม่ต้องเลี้ยงดูบุตร ทุกข์น้อยลงไปตั้งเยอะ”

เถรี 05-02-2019 08:33

พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของเพศสัมพันธ์ในระหว่างเพศเดียวกัน มีมาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้ว อย่างในบันทึกประวัติศาสตร์จีนเป็นพัน ๆ ปีมาแล้วก็มีอย่างนี้ เขาระบุไว้ชัดเลยว่า บรรดาข้าราชการผู้ใหญ่หรือเศรษฐี จะเลี้ยงดูเด็กผู้ชายในลักษณะของผู้หญิง ถ้าอย่างสำนวนเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ใช้คำว่า เอาไว้ “เล่นสวาทกัน” ซึ่งก็คือการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน

พระพุทธเจ้าทรงห้ามพระภิกษุนอนใต้ผ้าห่มเดียวกัน ห้ามสัมผัสร่างกายกัน เพราะว่าเกรงเรื่องพวกนี้ ท่านใช้คำว่า “กายะสังสัคคัง” มีกายอันสัมผัสกัน แล้วถ้าหากว่าไม่สัมผัสกัน ไปห่มผ้าผืนเดียวกันก็ไม่อนุญาต พระองค์ท่านกันเอาไว้ทุกอย่าง แต่ก็อย่างที่ปรากฏคือ กันแค่ไหนถ้าหากว่าคิดจะทำ คนเราถ้าไม่ละอายชั่วกลัวบาป ไม่รักศีลตัวเองก็ทำจนได้"

เถรี 05-02-2019 08:35

“แม้กระทั่งอัจฉริยภาพที่พระองค์ท่านห้ามอุภโตพยัญชนก ก็คือบุคคลที่มีสองเพศในคนเดียวกัน ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปแล้วไม่น่าจะมี แต่ว่ามีจริง ๆ ซึ่งพระองค์รู้ได้อย่างไร ๒,๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา อุภโตพยัญชนกไม่ใช่บัณเฑาะก์ บัณเฑาะก์คือแค่ผิดเพศ ก็คือตัวเป็นชาย ใจเป็นหญิง เป็นต้น แต่อุภโตพยัญชนกนั้น จะเป็นผู้ชายก็ได้ จะเป็นผู้หญิงก็ได้ สามารถตั้งท้องได้ รับบทของพ่อก็ได้ รับบทของแม่ก็ได้

อาตมาจำไม่ได้แล้ว ตอนนั้นอ่านแล้วไม่ได้ตั้งใจจำรายละเอียด ว่ามีเกาะอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งทุกคนที่อยู่บนเกาะนี้มีสองเพศทั้งหมด จะเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชายต้องเลือกเอาเอง”


ถาม : แบบนี้ถือว่าเป็นมนุษย์สมบูรณ์ไหมคะ ?
ตอบ : เขาสมบูรณ์กว่าเราอีก..! สามารถทำในสิ่งที่เราทำไม่ได้

ถาม : ผู้ชายสวยทำบุญพิเศษมากกว่าผู้หญิงสวยอย่างไรคะ ?
ตอบ : พึ่งมีดหมอ..! หรือไม่ก็ถวายดอกไม้พลาสติกบ่อย ๆ

เถรี 05-02-2019 08:37

สมัยก่อนการผ่าตัดแปลงเพศยังมีน้อยมาก ขนาดช่วงอาตมาอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว ก็เพิ่งได้รับรู้เป็นครั้งแรกว่า มีการผ่าตัดแปลงเพศจากผู้ชายให้เป็นผู้หญิง ก็แปลว่าความนิยมต่าง ๆ นี้มาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง แต่เป็นอะไรที่ลำบากสาหัส เพราะไม่ใช่เพศภาวะของตนเอง แล้วอีกอย่างหนึ่ง พอเป็นผู้ชายจะดูแลตนเองให้สวยให้งามเหมือนผู้หญิงอยู่ตลอดก็เป็นเรื่องที่ยาก ลำบาก เหนื่อย สิ้นเปลือง กว่าที่จะสวยมาอย่างที่พวกเราเห็นนี้ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเจ็บตัวมากี่รอบ

พอไปผ่าตัดดัดเปลี่ยนแปลงขึ้นมาก็ไม่ยั่งยืน ถึงเวลาก็ต้องไปแก้ไขกันอยู่บ่อย ๆ ไม่ทราบเหมือนกันว่าสร้างเวรสร้างกรรมด้านปาณาติบาตเอาไว้มากมายขนาดไหน ถึงต้องเจ็บตัวเป็นประจำอย่างนั้น บางคนแค่จมูกอย่างเดียวก็ผ่าแล้วผ่าอีก เขาบอกว่าพอผ่านไป ๒-๓ ปี ผิวหนังและกล้ามเนื้อมีการเปลี่ยนแปลง จมูกก็เสียรูป ต้องไปทำใหม่อีกแล้ว

เถรี 05-02-2019 08:39

พระอาจารย์หยิบรูปหลวงปู่ไดโนเสาร์ “หลวงปู่ไดโนเสาร์ คนชอบไปถามปัญหาแล้วโดนหลวงปู่อัดหงายท้องมาทุกราย เห็นพระแก่ ๆ บ้านนอกบ้านนา แต่หารู้ไม่ว่าท่านเป็นพระระดับไหน”

เถรี 05-02-2019 08:41

พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของการบวชที่ท่านถาม อะนะโณสิ มีหนี้หรือเปล่า ? เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะหนีหนี้ไปบวชกันมาก แล้วก็จะเป็นที่ครหานินทา ดังนั้น..ถ้าใครเป็นหนี้เป็นสินอยู่แล้วจะบวช ให้หาคนรับภาระหนี้นั้นแทนให้ได้ก่อน เพราะในระหว่างที่บวช ถ้าหากว่าถึงเวลาที่ต้องจ่าย ก็ให้บุคคลนี้รับภาระแทน ถ้าเป็นอย่างนี้เราก็สามารถที่จะบวชได้”

เถรี 06-02-2019 08:52

ถาม : วันไหว้ครูผมติดเรียน ถ้าผมจะตั้งเครื่องบูชาที่บ้านได้ไหมครับ ?
ตอบ : เขาก็ทำอย่างนั้นกันทั้งนั้นแหละ ส่วนใหญ่การรับยันต์เกราะเพชรไม่จำเป็นต้องไปที่วัด อยู่มุมไหนของโลกถ้าตั้งใจรับด้วยความเคารพก็ได้ทั้งนั้น ถึงเวลาก็ตั้งเครื่องบูชาแล้วภาวนาสัก ๓๐ นาที ตั้งใจว่าบารมีอะไรที่พระท่านสงเคราะห์มา เราขอรับไว้ทั้งหมด

เถรี 06-02-2019 09:02

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยคุยเรื่องพระมเหศวร พระมเหศวรสมัยอาตมาเด็ก ๆ เขาเรียกว่า พระสวน ก็คือด้านหน้าองค์หนึ่งด้านหลังองค์หนึ่ง แล้วก็หันเศียรไปคนละทิศ แต่คราวนี้พอพวกเสือฝ้ายดังขึ้นมา ในหมู่นั้นก็มีเสือมเหศวรอยู่ด้วย แล้วเขาก็ใช้พระรุ่นนี้ คนก็เลยเรียกพระมเหศวรมาตลอด

หลวงพ่อท่านบอกว่า สมัยที่ท่านไปช่วยทางตำรวจปราบพวกโจรผู้ร้าย มีโจรอยู่คนหนึ่งยิงอย่างไรก็ยิงไม่ออก จะคัดของก็แล้ว จะอะไรก็แล้ว ยิงไม่ออกทั้งนั้น ปรากฏว่าวันนั้นโจรโดนยิงตาย หลวงพ่อวัดท่าซุงพอได้ข่าวก็รีบไปดู คนที่ยิงโจรตายก็คือร้อยตำรวจเอกขุนบำราบปรปักษ์ ก็ถามว่าท่านขุนทำอย่างไร ? ท่านบอกว่า “ผมก็ไม่ได้ทำอย่างไรหรอกครับ ผมก็ยิงตามปกตินี่แหละ...แต่มันตาย”

หลวงพ่อท่านบอกว่า ปกติไอ้นี่จะหลับจะตื่นก็ยิงไม่ออกทั้งนั้น ท่านขุนบอกว่า "ครับ...ตอนนี้ก็ยิงไม่ออก" ท่านบอกให้ขยับศพออกจากที่ศอกหนึ่ง ยิงศพเท่าไรก็ยิงไม่ออก ท่านก็เลยถามท่านขุนว่าเป็นเพราะอะไร ? ท่านขุนก็บอกตรงนี้น่าจะเป็นที่ตายของเขา ถ้าพ้นจากตรงนี้ไปแม้แต่คืบเดียว ก็ไม่มีทางทำอะไรเขาได้เลย ก็คือเขาถึงที่จริง ๆ ถึงไปอยู่ตรงนั้น แล้วดวลกับท่าน ขยับศพออกจากที่ศอกเดียวก็ยิงไม่ออกเหมือนเดิม

อาตมาถามหลวงพ่อท่านว่า "โจรเขาใช้วัตถุมงคลหรือเครื่องรางของอะไร ?" ท่านบอกว่าพระมเหศวร แต่คราวนี้ที่ใช้ได้ขนาดนั้นไม่ใช่เฉพาะพระเครื่อง ต้องเป็นกำลังใจของเขาด้วย คงมีการอาราธนาลักษณะชักพระเข้าตัว ซึ่งสมัยนี้ของเราก็เหมือนกับที่อาตมาสอนให้พวกเราภาวนากำหนดภาพพระนั่นแหละ สมัยก่อนเรียกว่า ชักพระเข้าตัว ใครทำได้ก็จะมีอานุภาพมากกว่าคนอื่น"


เถรี 06-02-2019 09:09

ถาม : หลวงพ่อนำอธิษฐานเวลาทำกรรมฐานว่า ขอให้รู้เหตุนั้นโดยไม่ต้องกำหนดจิต ปรากฏว่ามีผลจริง ๆ ครับ วันนั้นขึ้นมอเตอร์ไซค์ อยู่ ๆ ภาพพระก็สวนขึ้นมาเลย ก็เลยตกใจ ไม่ทันจะทำอะไร ปรากฏว่ามีรถมาเฉี่ยวตัว ห่างไปนิดเดียว ?
ตอบ : บางอย่างเราจำเป็นต้องรับรู้ ไม่อย่างนั้นก็ตั้งหลักไม่ทัน มีอยู่เที่ยวหนึ่งอาตมาไปกับหัวหน้าประเดิมชัย คุยงานกันไปตลอดทาง ไปถึงตลาดเขตเรื่องหมดพอดี อาตมาก็หลับตานึกถึงพระจะภาวนา เอ๊ะ...ทำไมพระท่านแตกลายงาทั้งองค์ ลืมตาขึ้นมาจะบอกให้หัวหน้าเดิมระวัง ไม่ทันแล้ว เสียงเปรี๊ยะ...! กระจกหน้าแตกทั้งบานเลย

เถรี 06-02-2019 20:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยววันนี้คุณชลทิตก็คงจะมาอธิบายว่าจะทำพิพิธภัณฑ์ออกไปในรูปแบบไหน พอดีหม้อแปลงเราติดตั้งเสร็จ งานเขาก็คงได้ใช้พอดี

ตอนแรกที่เราติดตั้งหม้อแปลงที่วัด ๒๕๐ kVA นายก อบต. ของเราบอก “อาจารย์..อะไรจะขนาดนั้น ของผมทั้งตำบลเพิ่งจะ ๑๖๐ kVA เอง” ปรากฏว่า ๒๕๐ kVA ที่เราว่า พอถึงเวลาพื้นที่พิพิธภัณฑ์ ๑๖,๐๐๐ ตารางเมตร ต้องใช้เครื่องปรับอากาศประมาณ ๕๐ ตัว ถ้าเปิดพร้อมกันนี่ไฟไม่พอแน่นอน ก็เลยต้องใช้หม้อแปลงอีกใบหนึ่ง

แต่ไม่นึกว่าราคาจะขึ้นไปโหดขนาดนี้ ๑๐ ปีที่แล้วหม้อแปลงใบเก่าราคาล้านเศษ ๆ ส่วนใบนี้ราคา ๒ ล้าน ๖ แสนกว่าบาท เขาลดราคาลงมาเหลือ ๒ ล้าน ๒ แสนกว่าบาท ยังดีว่ามีลดราคาให้"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:48


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว