กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3286)

ลัก...ยิ้ม 07-06-2020 00:05

ภวังคจิต

“... ภวังคจิต คำว่าจิตตกภวังค์ บางท่านอาจไม่เข้าใจ จึงขออธิบายไว้บ้างเล็กน้อย คำว่า ภวังค์ แปลอย่างป่า ๆ ตามนิสัยที่ถนัด จึงขอแปลว่า องค์แห่งภพ หรือเรือนพักเรือนนอนของอวิชชามาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แสนกัปนับไม่ถ้วน คำว่า จิตตกภวังค์ คืออวิชชารวมตัวเข้าไปอยู่ในที่แห่งเดียว ไม่ทำงานและไม่ใช้สมุนให้ออกเที่ยวล่าเมืองขึ้นตามสายทางต่าง ๆ นั่นแล ทางออกทางเข้าของสมุนอวิชชาคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เมืองขึ้นของอวิชชา คือรูปร้อยแปด เสียงร้อยแปด กลิ่นร้อยแปด รสร้อยแปด เครื่องสัมผัสร้อยแปด ซึ่งล้วนเป็นที่รักชอบของอวิชชาทั้งสิ้น สมุนของอวิชชา คือราคะตัณหาโดยอาศัยสัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่านี้ เป็นเครื่องมือช่วยจัดการงานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามความหวัง

ขณะที่จิตตกภวังค์ด้วยกำลังของสมาธิ อวิชชาก็พักงานไปชั่วระยะหนึ่ง พอจิตถอนขึ้นมาก็เริ่มทำงานอีกตามหน้าที่ของตน แต่ไม่รุนแรงเหมือนที่ยังไม่ถูกหักแข้งหักขาจากสมาธิภาวนา ดังนั้น สมาธิภาวนาจึงเป็นเครื่องมือตัดกำลังของอวิชชาได้ดี เพื่อปัญญาจะได้ทำการกวาดล้างไปโดยลำดับ จนไม่มีอวิชชาเหลืออยู่ภายในใจ คำว่าภวังคจิตนี้ เริ่มทราบได้จากการภาวนาเมื่อจิตรวมสงบตัวลงไป พอถอนออกมาเรียกว่า จิตออกจากภวังค์ และเริ่มยุ่งไปกับเรื่องร้อยแปดที่อวิชชาเป็นผู้บงการ ไม่มีวันสำเร็จเสร็จสิ้นลงไป ฉะนั้น จึงไม่มีงานใดจะยืดยาวจนสืบสาวราวเรื่องหาเหตุผลต้นปลายไม่ได้เหมือนงานของอวิชชาที่แผ่กระจายไปทุกแห่งหนตำบลหมู่บ้านตลอดโลกสงสาร และกล้าได้กล้าเสียต่องานของตน...

ภวังคจิตจะสูญสิ้นไปได้เมื่อไร ภวังคจิตไม่มีวันสูญสิ้นไปโดยลำพัง เพราะเป็นแหล่งสร้างภพสร้างชาติ สร้างกิเลสตัณหามานาน และทางเดินของอวิชชาคือ การสร้างภพชาติบนหัวใจสัตว์โลกอยู่ตลอดไป .. ถ้าต้องการหลุดพ้น ก็ต้องสร้างสติปัญญาขึ้นกับใจจนคล่องแคล่วแกล้วกล้า สามารถทำลายภวังคจิตอันเป็นตัวภพชาตินั้นเสีย ภวังคจิตก็สลายหายซากไปเอง ผู้จะทราบภวังคจิตได้ต้องเป็นผู้มีสมาธิอันมั่นคงและมีสติปัญญาอันแหลมหลัก เข้าเขตข่ายแห่งมหาสติมหาปัญญานั่นแล นอกนั้นไม่สามารถทราบได้ แม้เรียนจบพระไตรปิฏก...”

ลัก...ยิ้ม 07-06-2020 11:18

พระอรหันต์ตื่นตลอดเวลาแล้วนอนหลับได้อย่างไร ?

“... เวลานี้ศาสนานับวันมีสิ่งที่เป็นภัย สิ่งที่เป็นข้าศึกหนาแน่นขึ้นโดยลำดับ แม้ในวงชาวพุทธของเราเองโดยไม่มีเจตนาจะทำลายหรือจะขัดแย้งมันก็ยังมีได้ เพราะสิ่งที่ขัดแย้งที่ทำลายนั้นไม่ขึ้นกับเจตนา มันก็ขัดได้แย้งได้ ทำลายได้ นี่คือภาคแห่งความจำ ภาคแห่งความคาดคะเน จะไปตรงกับความจริงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นเขาออกเป็นหนังสือว่า “ถ้าผู้ใดหรือพระองค์ใดยังมีการนอนหลับอยู่แล้ว พระองค์นั้นไม่ใช่พระอรหันต์” นั่น ! พระอรหันต์แท้ไม่ได้หลับ เพียงพักผ่อนธาตุขันธ์เท่านั้น ส่วนจิตใจของท่านตื่นอยู่ตลอดเวลา คือหมายเอา ชาครธรรม ที่มีอยู่ประจำจิตที่บริสุทธิ์ของท่านนั้นน่ะ แต่เวลาเอานำออกมาพูดด้วยความจำ ด้วยความคาดคะเนจึงผิดกันไปคนละโลก หาเข้าใกล้ชิดกับความจริงนั้นแม้แต่น้อยไม่ เลยกลายเป็นคนละเรื่องขึ้นมา

การหลับนอนเป็นเรื่องของธาตุของขันธ์ก็ทราบด้วยดีอยู่แล้ว แล้วผู้รู้อันบริสุทธิ์ซึ่งครองร่างอยู่นั้นคืออะไร คือชาคร หมายถึงธรรมชาติที่ตื่นอยู่ นอกจากวงสมมุติทั้งปวงมีขันธ์เป็นต้น อาการแห่งความทราบในวงขันธ์ จะเป็นอาการใดก็ตามเป็นเรื่องของขันธ์ เป็นเรื่องของสมมุติ อาการเหล่านี้ระงับตัวลงไปก็เรียกว่าขันธ์ระงับ ธรรมชาตินั้นเป็นชาคร อยู่นอกสมมุติคือขันธ์อันนี้ ไม่ได้อยู่ในวงสมมุติคือขันธ์อันนี้ แม้จะอยู่ในท่ามกลางแห่งขันธ์ก็ตาม ชาครนั้นคือ ชาคร เมื่อหลับก็เป็นเรื่องของขันธ์นี้ระงับตัวลงไป ไม่ใช้อาการทุกส่วนของขันธ์ของสมมุติที่มีอยู่ในขันธ์นี้ ส่วน ชาคร นั้นขันธ์จะตื่นไม่ตื่นจากหลับก็ตาม ชาคร ก็คือ ชาคร อยู่นั้นโดยหลักธรรมชาติของตัวเอง ไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งหลับและตื่น นั่น

นี้เอามาคาดซิ เลยกลายเป็นเรื่อง.. พระอรหันต์นอนหลับอยู่แล้วไม่ใช่พระอรหันต์ นี่จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความคาดความหมาย ความจดความจำ กับความจริงมันต่างกันอย่างไร ต่างกันอยู่มากทีเดียวหรือต่างกันเอามาก อาการทั้งหมดที่แสดงในขันธ์ล้วนเป็นสมมุติด้วยกันทั้งนั้น เพราะขันธ์เป็นรากฐานของสมมุติอยู่แล้ว ขันธ์กระดิกอะไรออกมาก็เป็นสมมุติทั้งหมด พอขันธ์ระงับตัวลงไป สมมุติในวงขันธ์นี้ก็ระงับตัวไปด้วย แล้วชาครนั้นจะมามีส่วนได้ส่วนเสียกับขันธ์นี้อย่างไร เพราะไม่ใช่ฐานะที่จะมาเกี่ยวข้องกันได้ หรือมาสัมผัสสัมพันธ์กันเหมือนโลกทั่ว ๆ ไปได้ ต่างอันต่างเป็นหลักธรรมชาติของตัวอยู่เช่นนั้น

ความรู้ที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ นั้น เราจะนำมาพูดเกี่ยวกับเรื่องความรู้ เช่นเดียวกับความรู้ในขันธ์นี้พูดไม่ได้ อันนี้มันหยาบ ๆ นี่ รู้เด่นอยู่ในขันธ์อันนี้ก็เป็นเรื่องสมมุติอันหนึ่ง นั่น ไม่ต้องพูดถึงว่ารู้ด้วยการคิดการปรุง รู้ด้วยการรับทราบสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับขันธ์ทุกอายตนะ แม้แต่ความรู้อยู่ธรรมดาโดยลำพังตนเอง ที่เด่น ๆ นี้ก็เป็นเรื่องสมมุติอันหนึ่ง นั่น ที่นอกจากนี้ไปคืออะไร นั่นพูดไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่รู้ แต่ไม่รู้แบบที่รู้อยู่ในวงขันธ์.. อันนี้เป็นเรื่องอาการของสมมุติทั้งมวล จะเอาความรู้เหล่านี้ไปใช้ที่ไหนได้เพราะเป็นเรื่องสมมุติทั้งหมด จะเอาไปใช้ในวิมุติได้เหรอ.. ใช้ไม่ได้

ธรรมชาติที่เป็นวิมุติ ที่เป็นความรู้ของวิมุติอย่างแท้จริงแล้วพูดไม่ได้นี่ เพราะไม่ใช่สิ่งนี้ทั้งนั้น นั่น ถ้าไม่รู้สิ่งนั้นเราก็เหมือนว่าสิ่งนั้นไม่มี จะมีแต่ความรู้ที่เด่น ๆ อยู่ในขันธ์เห็น ๆ ชัด ๆ กันอยู่นี้เท่านั้นว่าเป็นความรู้ที่วิเศษวิโสอะไรไป มันวิเศษอะไรความรู้เหล่านี้ สิ่งที่ว่าวิเศษนั้นไม่ได้พูดว่าวิเศษ ไม่ได้พูดว่าเลว ไม่ได้พูดว่าอะไร บรรดาที่เป็นสมมุตินั้นต่างหาก แม้อยู่ในขันธ์ก็ไม่ใช่ขันธ์ ลองปฏิบัติดูซิ...”

ลัก...ยิ้ม 07-06-2020 21:32

พระอรหันต์ถ้าไม่บวชจะตายใน ๗ วัน จริงหรือ ?

“... อันหนึ่งในหนังสือก็มี ดูเหมือนจะหลายเล่มอยู่นะ ที่ว่า “ผู้ที่สำเร็จพระอรหันต์แล้วต้องบวชภายใน ๗ วัน ถ้าไม่ได้บวชภายใน ๗ วันแล้วต้องตาย” ว่างั้น นี่อันหนึ่ง

ในหลักธรรมชาติแล้ว ผู้นั้นจะรู้ตัวเองในหลักธรรมชาติ อะไรจะต้องมีขีดมีคั่น มีบังคับบัญชากัน กดกันถึงขนาดว่า ถ้าไม่ได้บวชแล้วเลย ๗ วันไปแล้วตาย คือจะอยู่ได้ภายใน ๗ วัน ผู้สิ้นกิเลสแล้วถ้าไม่บวชเลย ๗ วันไป.. ตาย นี่นะในหนังสือนี่ ผมก็เห็น ไม่ใช่คุยเฉย ๆ เราเห็นจริง ๆ นี่นะ นี่ก็ดี แต่ผมไม่ได้ใช้ความพิจารณาอะไรมากนักแต่ก่อน ก็เหมือนที่ว่าพระอรหันต์นอนหลับแล้วไม่ฝัน นี่อันหนึ่ง ที่ว่าผู้สำเร็จอรหันตภูมิแล้วต้องบวชภายใน ๗ วัน ถ้าไม่บวช.. ตาย นี่ก็เห็น ทีนี้ก็มาทำให้อดคิดไม่ได้นะ ทุกวันนี้ให้คิดเหมือนกัน

อันหนึ่งที่ว่า ถ้าสำเร็จธรรมชั้นสูงสุดคืออรหันตภูมิแล้ว ถ้าไม่ได้บวชจะตายภายใน ๗ วันนี้ก็เหมือนัน ทำให้คิดเหมือนกันนะ วิสุทธิธรรมหรือวิสุทธิจิตนี้เป็นเพชฌฆาตฆ่าขันธ์ ๕ เชียวเหรอ นั่น อันนี้ไม่ใช่เป็นเพชฌฆาตนี่นะ สิ่งใดที่ควรไม่ควร พระอรหันต์ท่านจะรู้ของท่านเอง ถึงขั้นนี้แล้วจะไม่มีใครมาบอกก็ตาม.. ท่านจะรู้วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องขันธ์ของท่าน เหตุใดจะต้องไปตายภายใน ๗ วันวะ นี่อันหนึ่ง จะว่าบ้าก็บ้าแล้วผม เอ้า มันเกินเหตุเกินผลก็ต้องอย่างนั้นซิ

วิธีการจดจารึกนี่สำคัญอยู่นะ เอาแต่ความจำล้วน ๆ อะไรมาก็อาจจะจำสุ่มสี่สุ่มห้า จดมาเรื่อย ๆ อย่างนั้นก็ได้ เราก็ไม่ได้ประมาท เราอาจเป็นทางสันนิษฐาน อะไร ๆ ก็จดมาเรื่อย จารึกมาเรื่อยด้วยความจำ ๆ ไม่มีความจริงเข้าไปแทรกกันบ้างแล้วก็ลำบากเหมือนกันนะ มีความจริงคือตัวไปจดจารึกนั้นน่ะ ถ้ามีความจริงภายในจิตใจ มีภูมิจิตภูมิธรรมแล้ว จะได้ธรรมะละเอียดมามากมาย จะไม่มีแต่ความจำล้วน ๆ มา..”

ลัก...ยิ้ม 09-06-2020 15:27

ศาสนาเชน

“... เรื่องศาสนาเชน เราพิจารณาแล้วเราไม่สงสัย ศาสนาเชนก็เรียกว่าศาสนาพุทธ เราอ่านหมดแล้วเรื่องศาสนาเชน อ่านเต็มกำลังเลย ศาสนานี้ท่านแสดงถึงธรรมฝ่ายสูง ธรรมขั้นสูง ศาสนาเชนให้ใช้ปัญญา ๆ ผู้ที่เป็นเชน ผู้ที่บรรลุธรรมผ่านเข้าไปจนถึงกับได้ตั้งศาสนาเชนขึ้นมา นั่นผ่านไปแล้ว ก็คือจากพุทธศาสนานั่นเอง พวกนี้ก็มาตั้งอันหนึ่งขึ้นมาเป็นเนื้อหนังของตัวเอง ว่าเป็นศาสนาเชน

ความจริงศาสนาเชน คือภาคปฏิบัติ เอาอย่างนี้เลยให้มันเห็นชัด ๆ เทียบกันได้ทันที ภาคปฏิบัติขั้นปัญญา ก้าวเข้าถึงขั้นปัญญาอัตโนมัติ อะไร ๆ จะเป็นปัญญาทั้งหมด มองเห็นอะไร ได้ยินอะไรก็ตาม ไม่เห็นก็ตาม สติปัญญานี้จะก้าวเดินไปตลอดเวลาเป็นอัตโนมัติ จากนั้นก็บรรลุธรรม พอบรรลุธรรมแล้ว.. เขาเลยเอาสติปัญญาขั้นนี้เป็นศาสนาของเขาไปเสีย เขาหาได้รู้ไม่ว่า ศาสนธรรมขั้นละเอียดนี้มาจากพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าแสดงศีล สมาธิ ปัญญา เห็นไหม.. ขึ้นศีล สมาธิ ออกจากสมาธิก็ปัญญา ปัญญานี้.. ปัญญาขั้นละเอียดเข้าถึงที่ว่าสติปัญญาอัตโนมัติ แล้วบรรลุธรรมไปเลย

เขาเลยเอาจุดนี้มาเป็นศาสนาของเขา เป็นศาสนาเชน ความจริงเป็นกิ่งก้านของพุทธศาสนาตอนปลาย ตอนยอดที่จะถึงที่สุด เข้าใจไหม นี่เราพิจารณาแล้ว อ๋อ.. เขาเอาอันนี้เองไปเป็นศาสนาเชน ก็มันยันกันอยู่นี้ในหัวใจนี่ เราจะสงสัยไปไหน เราผ่านมาหมดแล้ว อันนั้นผ่านไปก่อนก็ตาม เราผ่านทีหลังมันก็เหมือนกันแล้ว แล้วไปเถียงกันทะเลาะกันหาอะไร เข้าใจไหมล่ะ อ๋อ.. อันนี้เอง ที่ว่าเป็นศาสนาเชน คือธรรมะส่วนละเอียดของพระพุทธเจ้าที่จวนจะบรรลุธรรม จนกระทั่งถึงขั้นบรรลุธรรม คือจุดนี้ แล้วเขาเอาจุดนี้เป็นจุดสุดยอดของเขาไปเลย เขาไม่สนใจ เขาไม่ทราบว่าจุดนี้มาจากอะไร มาจากปัญญา มาจากสมาธิ มาจากศีล เข้าไปเรื่อย ๆ เข้าใจเหรอล่ะ

นี่เราพิจารณาหายสงสัย อ๋อ.. ศาสนาเชนไปตรงนี้เอง ก็มีสองเท่านั้นที่เชื่อได้อยู่เวลานี้ ตายใจได้เลย แต่ศาสนาเชนใช้ปัญญา ทีนี้ผู้ถือศาสนาเชนตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กา ไป ก็ได้โดดใส่ด็อกเตอร์ ด็อกเตอร์คือขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ท่านไปถึงขั้นด็อกเตอร์แล้วบรรลุธรรม ทีนี้พวกนั้นมาไม่ต้องเรียน ก.ไก่ ก.กา ล่ะ ฟาดใส่ด็อกเตอร์เลย มันก็เลยเป็นด็อกหมาไปละซิ ผู้นั้นท่านเดินตามนั้น ไอ้เราไม่รู้เรื่องจะเอาอันนั้นไปปฏิบัติ ทีนี้ใครมาถือศาสนานี้.. ต้องใช้ปัญญาทั้งนั้น ๆ ใช้ถึงวันตายมันก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ขั้นของปัญญาขั้นนั้น ก.ไก่ ก.กา ยังไม่ได้ ไปฟาดเอาด็อกเตอร์ ใครเชื่อถือได้ยังไง...”

ลัก...ยิ้ม 09-06-2020 15:46

1 Attachment(s)
“อาจารย์ของเราก็มีสอง เราชี้นิ้วได้เลย

อาจารย์ทางฝ่ายวิปัสสนาก็... หลวงปู่มั่น อาจารย์ทางฝ่ายปริยัติก็... สมเด็จพระมหาวีรวงศ์

สององค์นี้แหละ อยู่บนหัวใจเรา”

ลัก...ยิ้ม 10-06-2020 00:09

๗. บ่มเพาะแม่ทัพธรรม

ภายหลังการพิจารณาธรรมขั้นละเอียดสุดจบสิ้นลงบนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร กิจควรทำในพระพุทธศาสนาขององค์หลวงตาเป็นอันสิ้นสุด การบำเพ็ญบารมีเพื่อประโยชน์ตนสมบูรณ์แล้วโดยประการทั้งปวง ข้อวัตรปฏิบัติ ปฏิปทา และความเด็ดเดี่ยวจริงจังของท่าน ดึงดูดพระเณร และนักปฏิบัติให้เข้ามาศึกษาอบรมด้วย ทำให้มีแม่ทัพธรรมที่ได้รับการอบรมจากท่านเกิดขึ้นในวงกรรมฐานจำนวนมาก

ลัก...ยิ้ม 10-06-2020 00:24

เปิดวิมุตติธรรม

หลังจากผ่านเหตุการณ์ในยามดึกของคืนฟ้าดินถล่มบนเขาวัดดอยธรรมเจดีย์แล้ว รุ่งเช้าวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๔๘๓) องค์หลวงตาก็ลงจากวัดดอยธรรมเจดีย์มาถึงวัดป่าสุทธาวาส เพื่อเข้ากราบบูชาสังเวชนียสถาน ระลึกบุญคุณพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่นผู้มีพระคุณสูงสุดของท่าน พอดีในวันนั้นมีกล้องถ่ายภาพ ท่านพระอาจารย์มหาทองสุกจึงมีเมตตากุลีกุจอจัดการให้ท่านถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ดังนี้
“... ท่านอาจารย์มหาทองสุกท่านเอาพัดมาใส่ให้เลย ท่านถามว่า ‘เป็นยังไง เรียนหนังสือมาแทบล้มแทบตาย ได้เคยเห็นพัดมหาไหมล่ะ’


คือเราไม่เคยสนใจกับสิ่งเหล่านี้ จึงเรียนท่านว่า ‘อู๊ย ! กระผมไม่เคยสนใจกับมัน’ พอว่างั้น ท่านก็ปุ๊บปั๊บวิ่งเข้าไปเอาพัดในห้องท่านมาตั้งกึ๊ก ‘มหาบัว มาถ่ายรูป มหาทั้งคนไม่มีพัดยศติดบ้างมันมีอย่างหรือ เรียนมาแทบเป็นแทบตาย ต้องเป็นเครื่องหมายของทางโลกทางธรรมบ้าง

ท่านว่าของท่านเอง แล้วกุลีกุจอจัดการของท่านเอง ช่างเขามาที่นั่น ถ่ายรูปเดี๋ยวนั้นเลย ‘เอ้า ! นั่งตรงนี้ นั่งให้เราถ่ายรูป ตั้งพัดยศไว้ข้างหลัง’

เราก็เฉย..ทำตามท่าน นี่เป็นพัดยศท่านอาจารย์ทองสุก เอามาให้เราถ่ายรูป...”

ที่วัดป่าสุทธาวาสแห่งนี้ ยังมีความสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับท่าน คือเป็นสถานที่เปิดเผยความรู้ธรรม เห็นธรรมภายในใจแก่พระผู้ร่วมบำเพ็ญสมณธรรมมาด้วยกันตั้งแต่ครั้งอยู่กับหลวงปู่มั่น ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ดังนี้
ท่านเพ็งนี้เอง คือผู้ที่เราบอกเป็นคนแรก เมื่อเราพ้นจากสมมุติทั้งปวงแล้ว”


ที่ท่านให้ความเมตตาต่อพระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต เช่นนี้ก็เนื่องจากติดสอยห้อยตามมานาน และในระยะที่หลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ท่านพระอาจารย์บุญเพ็งยังเป็นสามเณรอยู่ มีความขยันขันแข็ง อดทนและใส่ใจในการงานดี ท่านจึงคิดสงสารว่า
หากมีโอกาสได้ฟังธรรมอัศจรรย์ครั้งนี้ จะเป็นกำลังใจให้ขันแข็งในการบำเพ็ญเพียรยิ่งขึ้น และจะเป็นที่แน่ใจตายใจว่า มรรคผลนิพพานนั้นมีจริง


ด้วยเมตตาเช่นนี้ ท่านจึงเรียกมาแล้วค่อยเปิดเรื่องว่า
“นี่ ! จะเล่าอันหนึ่งให้ฟังนะ ท่านเคยติดสอยห้อยตามผมมาเป็นเวลานานแล้ว แล้วคำที่ผมจะพูดเวลานี้ ท่านเคยได้ยินได้ฟังไหม ?”


จากนั้นท่านก็เล่าเรื่องบนวัดดอยธรรมเจดีย์ในคืน ๑๕ ค่ำให้ฟังจนจบ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “พอฟังแล้วเป็นยังไงคำนี้ ท่านเคยอยู่กับผมมาเป็นเวลานาน เคยได้ยินไหม ? ผมเคยพูดให้ฟังไหม ?”

พระอาจารย์บุญเพ็งตอบด้วยความตื่นเต้นปิติในใจเป็นล้นพ้นว่า “โห กระผมไม่เคยฟังอย่างนี้มาก่อนเลย”

จากนั้นท่านเมตตาสอนพระอาจารย์บุญเพ็งต่อไปว่า
“นั่นละ ให้ตั้งใจหนา อย่างนี้ละ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็น อกาลิโก มีเป็นพื้นฐานประจำตลอดเวลา เป็นปัจจุบัน เอาให้จริงนะ นี่ได้เห็นเสียแล้ว.. หายสงสัยทุกอย่าง หายสงสัยพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หายหมดเลย เป็นอันเดียวกันหมด


แล้วเราว่าอย่างนี้ เราไม่สงสัยพระพุทธเจ้าอยู่ตรงไหน ๆ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ตรงไหน จิตกับธรรมนี้เป็นอันเดียวกันแล้ว กับพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอันเดียวกันแล้ว ไม่แยก ไม่มีแยก เป็นอันเดียวกัน"

ต่อมาภายหลัง พระอาจารย์บุญเพ็งผู้ฟังธรรมครั้งสำคัญ เปิดเผยถึงความรู้สึกในอดีต ขณะที่ฟังนั้นว่า
ตั้งใจรับฟังด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงสุด ถึงแม้ว่าในระยะนั้นจะยังไม่เข้าใจในอรรถธรรมที่ลึกซึ้งละเอียดลออได้ตลอดก็ตามที แต่ก็ได้เก็บคำสอนที่ออกมาจากเมตตาธรรมของท่านไว้เป็นข้อระลึก และเป็นกำลังใจในการบำเพ็ญสมณธรรมอย่างมิรู้ลืมตลอดมา


หลังจากพักวัดป่าสุทธาวาสกับพระอาจารย์มหาทองสุกได้ ๒ คืน ท่านกับพระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต ก็ออกเดินทางไปถ้ำ อำเภอวาริชภูมิ บ้านนาเชือก ทุ่งเชือก ตั้งใจว่าจะเข้าอยู่จำพรรษาในถ้ำแห่งนี้ต่อไป

ลัก...ยิ้ม 10-06-2020 13:08

ย้อนกลับวัดป่าบ้านหนองผือ

เมื่อองค์หลวงตาและท่านพระอาจารย์บุญเพ็งเดินทางมาถึงถ้ำอำเภอวาริชภูมิ บ้านนาเชือก ทุ่งเชือก เพื่อเตรียมตัวเข้าจำพรรษาเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อได้พบโยมคนหนึ่งถึงกับทำให้ท่านต้องเปลี่ยนใจ ดังนี้

“... เผอิญผู้เฒ่าทิดผาน คนบ้านหนองกุง แกเคยไปหาเราที่วัดบ้านหนองผือบ่อย ๆ ทราบว่าเรามา แกจึงขึ้นไปหาเราที่ภูเขาอำเภอวาริชภูมิ ก็ไปเล่าสภาพของวัดป่าหนองผือให้ฟังว่า ‘โอ๋ย ! น่าสลดสังเวช ดูสภาพหนองผือเหมือนบ้านร้าง วัดร้าง แต่ก่อนพระเณรเหลืองอร่าม ๆ เต็มวัดตลอด มีหลวงปู่มั่นเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ประชาชนญาติโยมยิ้มแย้มแจ่มใส ทำบุญใส่บาตรเหมือนแดนสวรรค์อยู่ในบ้านหนองผือ

พอท่านหลวงปู่มั่นล่วงไปแล้ว เวลานี้เหมือนวัดร้าง ซบเซาหมดเลย ยังเหลืออยู่แต่พระหลวงตา ๒-๓ องค์’

ฟังแล้วเราสะดุดใจอย่างแรง.. ไม่ถามไม่ตอบเลยพอแกพูดอย่างนั้น แกก็เล่าธรรมดา แกไม่รู้ว่าเราเอาจริงเอาจัง ไปสะดุดเราอย่างไรบ้าง พอแกไปแล้ว ก็พิจารณาเต็มเม็ดเต็มหน่วยถึงบุญถึงคุณของบ้านหนองผือ เวลานี้จะกลายเป็นวัดร้าง ยังไงกันนี่

พอตอนเช้า ฉันเสร็จแล้ว ตัดสินใจบอกท่านเพ็งว่า ‘ไป กลับหนองผือ’

‘เอ้า กลับไปยังไงอีก’ ท่านเพ็งนิสัยอย่างนั้น

‘ท่าน.. ไม่ได้ยินหรือ ? เมื่อวานนี้เฒ่าทิดผานมาเล่าให้ฟังนั่นน่ะ’

เราเล่าให้ฟังเหตุผล ท่านก็เข้าใจทันทีเพราะนั่งอยู่ด้วยกันในถ้ำ นี่ละเหตุที่ตัดสินใจกลับไป จวนเข้าพรรษา พอไปถึงหนองผือตรงกับเดือน ๘ ขึ้น ๕ ค่ำ ก็ประชุมเข้าพรรษา

พอเห็นเราเข้าไปเรื่องก็กระจายออกไปข้างนอก พระเณรจึงพากันหลั่งไหลเข้าไป ปีนั้นจำพรรษาร่วม ๓๐ รูป ไล่เลี่ยกับปีพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นอยู่ ๓๕-๓๖ รูป พระเณรแน่นหนามั่นคง ดูเหมือน ๒๘ หรือ ๒๙ องค์นั่นละ ถึงกลับมาเพื่อสนองคุณชาวบ้านหนองผือ ...”

ผู้เฒ่าทิดผานเป็นลูกศิษย์วัดป่าบ้านหนองผือ ได้เล่าความเปลี่ยนแปลงไปของวัด ถึงกับทำให้ท่านเกิดความรู้สึกสลดหดหู่ใจอย่างมาก จึงคิดตัดสินใจกลับคืนในทันทีด้วยเหตุผลต่อไปนี้

วัดหนองผือเป็นวัดที่ท่านอาจารย์มั่นจำพรรษาในวาระสุดท้ายของชีวิต และบ้านหนองผือเองก็เป็นบ้านที่มีบุญมีคุณต่อพระกรรมฐานมากมาย พระเณรมาเท่าไร ๆ สามารถเลี้ยงพระได้ทั่วถึงหมด ทั้ง ๆ ที่มีบ้านเพียง ๗๐ หลังคาเรือนเท่านั้น บัดนี้จะกลายเป็นวัดร้าง เหมือนไม่มีใครเหลียวแล คล้ายกับว่าบ้านนี้เป็นเหมือนผ้าขี้ริ้ว มันสมควรแล้วเหรอ ? ดูมันเกินเหตุเกินผลไป

องค์ท่านจึงตัดสินใจย้อนกลับมาจำพรรษาที่นี่อีก.. ทั้งที่เหลือเพียง ๗ วันจะเข้าพรรษาแล้ว บรรดาหมู่เพื่อนพระเณรที่หวังพึ่งพาอาศัย หวังได้รับคำแนะนำอรรถธรรม ข้อวัตรปฏิบัติจากท่าน ก็เลยต่างย้อนกลับมาจำพรรษาที่นี่ด้วยกันจำนวนมาก เลยกลายเป็นว่าในพรรษานั้นมีพระเณรอยู่ด้วยกันถึง ๒๘ องค์ เป็นที่อบอุ่นเย็นใจแก่ชาวบ้านหนองผือเช่นเดิม

ลัก...ยิ้ม 11-06-2020 02:48

พ่อตาย พ่อยัง

ย้อนมากล่าวถึงคุณยายผู้มีญาณหยั่งรู้ ที่มักมาสนทนาธรรมกับหลวงปู่มั่นบ่อย ๆ ที่บ้านหนองผือแห่งนี้ แกยังคงมีชีวิตอยู่แต่ก็ชราภาพมากแล้ว เวลามาวัด แกจะค้ำด้วยไม้เท้า มาครั้งหนึ่ง ๆ ต้องพักถึง ๕ หน ทั้ง ๆ ที่บ้านของคุณยายก็อยู่ไม่ไกลจากวัดนัก คือราว ๑๐ เส้นกว่า

คุณยายแกสงสารหลานชาย (ชื่อพุด) ซึ่งเคยอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นมาก่อน เกรงว่าจะไม่ทราบถึงคุณธรรมของท่าน (หมายถึงองค์หลวงตา) และอาจปรนนิบัติรับใช้ท่านไม่ดีเท่าที่ควร แกเลยแอบกระซิบหลานชายว่า

“ไอ้พุด ! นี่น่ะ กูจะบอกให้มึงรู้ มึงอย่าพูดให้ใครฟังนะ มึงต้องรู้นะ มึงรู้แล้วยังว่าวัดหนองผือนี้ พ่อตายแล้วพ่อยัง ? มึงรู้ไหม.. พ่อตายแล้วพ่อยัง ?”

จากนั้นแกก็ชี้ไปที่องค์หลวงตา แกเรียกท่านว่า “ท่านมหา” แกกระซิบหลานต่อว่า
ท่านมหาบัว มาจำพรรษาที่นี่แล้ว องค์นี้กับญาท่านมั่นเป็นอันเดียวกันนะ ให้มึงรู้เสีย ตั้งแต่นี้ต่อไปให้มึงรู้ ท่านมหาบัวครองวัดแทน ครองธรรมแทนแล้ว ครองทุกอย่างสมบูรณ์เต็มที่แล้วนะ ให้มึงเคารพเหมือนกันกับหลวงปู่มั่นนะ มึงอย่าปล่อยอย่าวางนะ ให้มึงคอยแอบปฏิบัติ อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านให้ดีเหมือนหลวงปู่มั่นนะ คุณธรรมอันเดียวกันเลย ไม่มีใครรู้ละ กูกระซิบให้มึง มึงอย่าไปบอกใครนะ”


พระเณรที่วัดป่าบ้านหนองผือระยะนั้นต่างเห็นว่า คุณยายแกออกมาหาหลวงปู่มั่นอย่างไร แกก็ออกมาหาท่านแบบเดียวกัน เหมือนกับสมัยที่หลวงปู่มั่นยังคงมีชีวิตอยู่ไม่ผิดกัน ท่านเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า

“... หลวงปู่มั่นเสียไปแล้ว เราไปจำพรรษาที่นั่น แกก็ออกมาจากบ้านมาหาเราตอนเช้า จึงถามแกว่า 'มานี่ พักกี่หน ?’

แกตอบว่า ‘๕ หน’

‘แล้วมาทำไม ?’

‘ก็มันอยากมานี่’ แกพูดอย่างนั้นแหละ นิสัยแกพูดอย่างตรงไปตรงมา

‘มาอะไร ?’ เราว่า

‘ก็มันอยากมานี่ ก็มาแหละ’

แกมาเรื่อย มาหาเรา... แกก็เข้ามาหาเราพร้อมกับหลาน แต่ไม่คุยอะไรกับเรามาก.. เหมือนกับที่เคยคุยกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น... พอฉันเสร็จแล้วแกก็มา ขึ้นมาคุยธรรมะลั่นเลย สนุกนะ.. แกพูดธรรมะ พูดด้วยความรู้ คนไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน หนังสือตัวเดียวก็ไม่ได้นี่ แกพูดนี้ร่าเริงมาก พระเณรนี้รุมเลย เวลาแกพูดมันน่าฟังทั้งนั้นนี่ พูดด้วยความรู้ออกในแง่ต่าง ๆ รู้พวกอินทร์ พวกพรหม พวกเทวบุตร เทวดา...”

ด้วยนิสัยของหลานชายที่ปิดความลับไว้ไม่อยู่ คำกระซิบของคุณยายจึงเป็นที่รู้กันแม้กระทั่งตัวท่านเอง ดังนี้
ไอ้หลานก็มากระซิบเราอีก เราถึงขบขันจะตาย แกกระซิบหลาน.. มึงอย่าบอกใครนะ ไม่บอกใครแต่ไปบอกหลวงตาบัวเสียเอง” (หัวเราะ)

ลัก...ยิ้ม 11-06-2020 15:29

ตาย ๙๙ %

ในพรรษานี้ วันหนึ่งมีโยมมาจากในเมืองได้นำยาถ่ายท้องมาถวายให้พระเณรในวัดฉัน จะด้วยเหตุผลใดนั้นท่านลืมเลือนไปเสีย พระเณรองค์อื่น ๆ เมื่อได้ฉันยานี้ แล้วต่างก็ถ่ายท้องกันแบบปกติตามฤทธิ์ยาถ่ายทั่วไปที่เจ้าหน้าที่กำหนดไว้ จึงไม่มีอะไรผิดแปลก

แต่สำหรับท่านเอง หลังจากฉันไปได้ไม่นาน ผลปรากฏว่า ท่านต้องถ่ายท้องอย่างหนักถึง ๒๕ ครั้ง อาเจียน ๒ ครั้ง ความรุนแรงถึงขนาดที่ว่า เศษอาหารนี้พุ่งออกมาติดข้างฝาเลยทีเดียว จนร่างกายอ่อนลง ๆ อย่างรวดเร็ว แม้ว่าท่านจะฉันยาแก้กันแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถแก้ฤทธิ์ยาขนานนี้ได้ ดังนี้
“... มีคนนำยามาขาย ยาขวดแบบนั้น เราก็ไม่เคยเห็นมาก่อน คนขายเขาว่า เขาอยู่กรมการแพทย์ โรงพยาบาลนครพนม บอกจนกระทั่งห้อง ๗ นี่ละ เวลาเป็นเหตุแล้วมันไม่ลืมนะ


วันที่เขามา เราก็ปัดกวาดไปถึงศาลา พอดีเขาก็มาถึงนั้น เราปัดกวาดพอดีเสร็จเรียบร้อย แล้วก็เอาไม้กวาดไปวางไว้แล้ว ก็เลยขึ้นไปศาลา พอขึ้นไปเห็นเขาเปิดหีบออกมา กระเป๋าของเขานั่นละ มียาหลายประเภท แต่ยาขวดนั้นมองไปปั๊บ มันสะเทือนใจทันทีทันใด
‘โอ๊ย ! ยาขวดนี้ฉันไม่ได้นะ ใครฉันตายนะ


เราว่างี้นะ รู้สึกเสียมารยาท เขาหน้าซีดแห้งไปหมดละ ที่เราไปว่าเขาอย่างนั้น จากนั้นแล้วเราค่อยพลิกใหม่
‘ยาขวดนี้ เป็นยาแก้อะไร’ เราถาม


‘ยาถ่าย ไม่เป็นอะไรละครับ พวกผมมียาห้าม’ พวกขายยามันกล่อมคนเก่ง

เราจึงฉัน ก็ฉันธรรมดา พระองค์ละช้อน ๆ ๆ พระท่านถ่ายธรรมดา พอถึงสองทุ่ม เขาเอายาห้ามมาห้าม พระท่านก็หาย ไอ้เราก็ฉันเท่ากันกับเขา เวลายาห้ามมามันไม่ยอมหายซิ ถ่ายเสียจนตั้งแต่นั้นจนกระทั่งถึง ๘ โมงเช้า ...
เรานั่งอยู่เขียงส้วม ถ่ายท้อง ๒๕ หน เกิดอาเจียนอย่างรุนแรง ๒ หน ความแรงของมัน ทำให้เศษอาหารพุ่งจากนี้ไปติดฝาโน่น ร่างกายอ่อนลงทันที มันจะตายอย่างเห็นได้ชัด อ่อนลง ๆ อย่างรวดเร็ว แน่ะ.. มันสนุกพิจารณากันสบายเลย ตอนมันจะไปจริง ๆ แล้วความรับผิดชอบของร่างกายส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ในตัวของเรานี้มันหดมาพร้อม ๆ กัน ข้างล่างก็หดขึ้นมาอยู่กลางหัวใจนี่ ข้างบนก็หดลงไป ข้างซ้ายข้างขวาหดเข้ามาพร้อมกันเลย ลงไปตรงกลาง


ความรับผิดชอบของจิตที่ซ่านออกไปตามร่างกายส่วนต่าง ๆ นี้.. หดตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วทีเดียว ตายไป ๙๙% เหลือเพียงเปอร์เซ็นต์เดียว แต่มันแปลกอยู่นะที่ไม่ล้ม

จากนั้นมาก็ปล่อยเลย.. หมด ร่างกายก็หมดความหมาย คือร่างกายเป็นเหมือนท่อนไม้ ท่อนฟืนไปแล้ว หูนี้เลยหนวก ไม่ใช่หนวก ไม่ใช่บอดเสียแล้ว เลยนั้นไปแล้ว เป็นท่อนไม้ ท่อนฟืน ... ประสาทส่วนต่าง ๆ ดับหมด เป็นเหมือนท่อนไม้ไปหมด เวทนาของกายที่มันเป็นอย่างสาหัสนั้น ก็พลันดับวูบ ไม่มีอะไรเหลือ

พอกายหมดความหมาย ทุกขเวทนาก็หมดความหมาย ทุกขเวทนาก็ดับหมด นี่จึงได้เชื่ออย่างแน่ใจว่า คนเราเวลาจะตาย ถ้ามีสติทราบเรื่องของตัวเองอยู่อย่างชัดเจนแล้ว ขณะจะตายนั้นเวทนาต้องดับหมด อันนี้มันดับ ขณะที่เวทนาดับหมด... ยังเหลือแต่ความรู้อันเดียวเท่านั้น ความรู้นั้น.. เราก็พูดไม่ถูกนะ คือตอนที่มันผ่องใส เราก็รู้ว่ามันผ่องใส แต่ก่อนรู้กันทุกระยะ ๆ แต่ตอนนั้นคำว่า “ผ่องใส” หรือ “เศร้าหมอง” มันไม่มี ...

ทั้ง ๆ ที่ทุกขเวทนาอย่างสาหัส พอถึงขั้นจะไปจริง ๆ แล้ว ความรับผิดชอบในความรู้สึกนี้มันหดตัวเข้ามา วูบเดียวเท่านั้นพร้อมกันหมดเลย เข้าไปอยู่ตรงกลางนี้ ตรงกลางนี้ก็สักแต่ว่ารู้นะ จะว่าเป็นจุดเป็นต่อมแห่งผู้รู้อย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี พูดได้แต่ว่า “สักแต่ว่ารู้” เท่านั้น แล้วทุกขเวทนาดับ อะไรดับ ร่างกายดับหมดจากความรู้สึกของกายเอง และความรู้สึกของทางประสาท จิตก็เป็นจิต ทุกขเวทนาก็ดับพร้อมกันเลย ...

พอมันมี “สักแต่ว่ารู้” เท่านั้น สังขารมันยังใช้ได้อยู่นะ ความปรุงของจิตยังใช้ได้อยู่ทั้ง ๆ ที่ตา หู จมูก ลิ้น กายทุกส่วน.. มันหมดความหมายกลายเป็นท่อนไม้ท่อนฟืนไปหมด แต่ทำไมสังขารนี้อยู่ในวงขันธ์มันปรุงได้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันปรุงได้ แต่ความปรุงอันนี้หรือมันเกี่ยวกับจิต เพราะปรุงออกมามันก็ออกมาจากจิต สัญญาก็ออกมาจากจิต

ตอนมันหดเข้ามาแล้ว เรียบร้อยหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนยังเหลือเปอร์เซ็นต์เดียว เรียกว่า ๙๙% ก้าวเข้ามาถึง ๙๙% พอ ๑๐๐% ก็ดีดพั้บออกเลย ประโยคหลังประโยคสุดท้ายก็จิตเคลื่อนออก แต่นี้ยังไม่เคลื่อน แต่มันปรุงได้ทั้ง ๆ ที่มีแต่ความรู้ที่สักแต่ว่ารู้

แล้วมีอันหนึ่งปรุงถามขึ้นมาว่า ‘หือ ! จะไปเดี๋ยวนี้เชียวหรือ ?’ มันปรุงตอบว่า ‘เอ้า ! ไปก็ไป’

พอกำหนดจิตลงเหมือนกับว่าจะเสริมให้มันไป จะช่วยให้มันไปเลย ‘เอ้า ! จะไปก็ไป’ มันก็ตั้งท่าไป ตั้งหน้าไป แต่แล้วมันกลับไปสนับสนุนกัน มันก็เลยเป็นพลังอันหนึ่ง พอจ่อจิตเข้าไปตั้งท่าจะไป จ่ออยู่กับผู้รู้เท่านั้น ความรับผิดชอบของจิตนี้ซ่านออกไปอีก แทนที่มันจะไปกลับไม่ไป .. ด้วยอำนาจพลังของจิตที่กำหนดจะไปนี้ เลยเป็นพลังทำให้จิตมันซ่านออกไปอีก ให้รับรู้ในสิ่งต่าง ๆ ในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ... ทางนี้ก็ขึ้นมา ทางนั้นก็ลงไปข้างล่าง ลงไปทั่วสรรพางค์ ออกทั่วสรรพางค์ร่างกายอย่างรวดเร็วเลย
‘หือ ? ไม่ไปหรือ ? ไม่ไปก็อยู่ซิ’ ว่างั้น


มันไม่เห็นเสียดายหึงหวงอะไรเลย เอ ! มันก็คิดได้นี่นะ มันแปลกอยู่นะ สังขารนี้มันปรุงได้

แน่ะ เป็นอย่างนั้นไม่ลืมนะ ความรู้สึกของเจ้าของเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คิดอย่างนั้นด้วยเวลาจะไป ‘จะไปจริง ๆ เหรอ เอ้า ไปก็ไปซิ’ กำหนดปั๊บเพื่อจะช่วยให้มันไปเสีย คือไปอย่างหายห่วงพูดง่าย ๆ ไม่ได้สงสัยอะไรนี่ ระยะนั้นเราก็ไม่ได้สงสัยอะไรแล้ว ..

หายสงสัยทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พูดตามความจริง เวลานั้นมันจะมาประกาศความจริงให้เราเห็นอยู่ซิ ตอนจะตายนี่ ก็ไม่เห็นมันจะกลัวอะไร มันตามรู้กันทุกระยะ ๆ จนกระทั่งถึงว่า หมดทุกขเวทนาที่เป็นอย่างสาหัสขนาดถึงขั้นจะตาย มันก็รู้ของมันอยู่ตลอดเวลา ไม่พลั้งไม่เผลอ จนทุกขเวทนาในร่างกายนี้ที่เป็นสาหัส.. ดับจนหมด เพราะความรับผิดชอบของจิตมันหดตัวเข้ามา วูบเดียวเท่านั้น ทุกขเวทนาก็เป็นอันว่าดับไปพร้อมกันกับความรับผิดชอบทางด้านร่างกาย
‘เอ้า จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ ? เอ้า ไปก็ไป’


ยังเหลือแต่ความรู้เท่านั้น กำหนดปั๊บเข้าจุดความรู้นั้น ไม่ถึงนาทีนะ.. มันซ่านออกไปอีก พอความรู้นี่มันซ่านออกไปทั่วสรรพางค์ร่างกายแล้ว หูก็เริ่มรู้เริ่มได้ยินเสียง ตาฝ้าฟางก็เหมือนกับมองเห็น ความรู้สึกทางส่วนร่างกายก็รู้ พอความรับผิดชอบมันออกไปสู่อวัยวะส่วนต่าง ๆ ประสาทส่วนต่าง ๆ มันก็รับทราบของมัน ... ทีนี้ทุกขเวทนาก็เริ่มขึ้น ก็สาหัสเหมือนอย่างที่เคยเป็น สาหัสมันก็สาหัสในส่วนร่างกายต่างหาก ไม่ได้สาหัสในจิต ไม่ได้เข้าถึงจิต จิตเป็นปกติอยู่อย่างนั้นธรรมดา ๆ ...

นี่ก็ทำให้คิดเหมือนกันว่า คนเราถ้ามีสติดี ๆ จะทราบเวลาตาย คนเวลาจะตายจริง ๆ เวทนาจะดับหมด เวทนาไม่มีเหลือ จิตถึงจะเคลื่อนตัวออก...”

จากนั้นอาการป่วยของท่านก็ค่อยทุเลาลง ๆ กำลังวังชาก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ และกลับคืนจนเป็นปกติในที่สุด

ลัก...ยิ้ม 11-06-2020 23:42

หลวงปู่ศรี ติดตามธุดงค์

หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดประชาคมวนาราม จังหวัดร้อยเอ็ด ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ในตอนหนึ่งของประวัติว่า
“... ปลายปี ๒๔๙๓-๒๔๙๔ เราได้ติดตามท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน ธุดงค์ท่องเที่ยวกรรมฐาน เดินทั้งวันจนค่ำ แต่ว่าท่านไม่ได้สะพายของหนัก เราสะพายช่วยท่าน แม้ลำบากแต่ก็เต็มใจเพราะคิดว่า ‘เรามาสู้สงคราม สงครามโลกแต่ไม่ใช่โลกข้างนอก โลกในตัวเรา ขันธโลก คือโลกขันธ์ ๕ ถ้าผู้ใดชนะตน ท่านเรียกว่าดีกว่าชนะสงครามภายนอกหลายเท่า โลกที่เขาใช้อาวุธยุทธภัณฑ์ฆ่ากันเป็นอีกพวกหนึ่ง แต่ปัญหาของเราโลกอันนี้.. ขันธโลกสู้กับอำนาจฝ่ายต่ำที่มันดึงเราลงไปทางต่ำ ภาษาธรรมะท่านเรียกว่ากิเลส’


ในสมัยครั้งกระโน้นสมัยเมื่อไปอยู่ป่าอยู่เขา เราจะไปอาศัยอะไร ๆ มันก็แสนจะยาก ต้องเอากระบอกไม้ไผ่แทนถ้วยแก้วและกาน้ำ ไปมาสะดวกดี ไม่ต้องระมัดระวัง.. เพียงแต่รักษาเครื่องอัฐบริขารเท่านั้น อย่างอื่นไม่ต้องเกี่ยว หมายความว่าไปอย่างง่าย ๆ ไม่ต้องกังวลในเรื่องอื่น ๆ มาพิจารณาถึงตัวเรา นึกถึงใจเราให้มากขึ้น ถ้าเรามีสติจดจ่ออยู่ตลอด ไม่นานก็จะเกิดความสงบได้สติง่าย ในระยะนี้จำเป็นเหลือเกินที่เราจะพยายามให้มันเกิดขึ้น

รู้จักเรื่องของตัวเอง จึงจะมีความเมตตาสงสารตัวเองเกิดขึ้นในจิตใจของเรา ถ้าจิตใจรู้รสของธรรมะสักอย่างหนึ่ง พอคิดถึงการกระทำซึ่งเราได้กระทำมา ตั้งแต่เรารู้เดียงสามาตลอดจนถึงปัจจุบันนี้.. จะเกิดสงสารตัวเองจนน้ำตาไหล ว่าการกระทำมาหรือความคิดความเห็นมาแต่ก่อน
‘โอย ! .. น่าสลด น่าสังเวช ห่างกันเหมือนฟ้ากับดิน’


เมื่อเราดำเนินจิตไปสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นความเหลวแหลกของจิตใจที่มันเป็นมาแล้วแต่หนหลัง จิตใจก็หยั่งไปสู่ถึงคุณธรรมได้อย่างดูดดื่ม มีธรรมะมากเท่าไหร่ จิตใจก็ยิ่งบริสุทธิ์ผุดผ่องมากขึ้นเท่านั้น ...

เราได้ติดตามท่านอาจารย์มหาบัวธุดงค์ไปทางบ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม* และได้อยู่จำพรรษา ๑ พรรษา...”

===========================

* อำเภอคำชะอียังขึ้นอยู่กับจังหวัดนครพนม ระยะนั้นยังไม่มีจังหวัดมุกดาหาร

ลัก...ยิ้ม 11-06-2020 23:57

กรรมฐานยุคห้วยทราย

ภายหลังหลวงปู่มั่นเข้าสู่นิพพาน องค์หลวงตาได้เข้าจำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองผือได้ ๑ พรรษา จากนั้นท่านก็ไปจำพรรษาที่บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร อยู่ถึง ๔ ปี พระเณรก็หลั่งไหลติดตามไปอยู่ด้วยมากมายตามบ้านเล็กบ้านน้อยแถบนั้น แต่ที่อยู่ในสำนักของท่านจริง ๆ มีประมาณ ๑๐ กว่าองค์ องค์หลวงตากล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ว่า
“เราไปอยู่ห้วยทรายถึง ๔ ปี ห้วยทรายสงัดดี อยู่ตีนเขา บ้านห้วยทรายอยู่ทางด้านตะวันออก ภูเขาอยู่ทางด้านตะวันตก วัดอยู่ทางทิศเหนือของภูเขา จำพรรษาปีแรก เราขึ้นไปจำพรรษาบนเขากับเณรภูบาล (ต่อมาศึกษาจบมหาเปรียญ) ให้หมู่เพื่อนอยู่ข้างล่าง เราขึ้นไปอยู่บนภูเขามันใกล้ ๆ กัน พอถึงเวลาที่จะประชุมก็ลงจากภูเขาไปประชุมที่วัดตีนเขา เราเป็นผู้เทศน์แหละ อาจารย์มหาบุญมี ท่านอยู่วัดข้างล่าง เราอยู่ข้างบน .. ทางผ่านแต่ก่อนไม่มี ลงจากภูเขาก็เข้าวัดตีนเขา..”


องค์หลวงตาสงเคราะห์พระเณรด้วยการเทศนาอบรม สั่งสอนด้วยความเอาใจใส่จริงจัง เข้มงวดทั้งธรรมวินัย ทั้งข้อวัตรปฏิบัติต่าง ๆ และเทศน์ให้กำลังใจในการบำเพ็ญเพียร จนพระเณรหลายต่อหลายรูปรวมทั้งฆราวาสเกิดผลภาวนาประจักษ์ใจขึ้นเป็นลำดับ

หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) จังหวัดร้อยเอ็ด เป็นพระอีกรูปหนึ่ง ที่จำพรรษาอยู่ในช่วงเวลานั้น ได้กล่าวไว้ในตอนหนึ่งของหนังสือประวัติว่า
“... ท่านอาจารย์มหาบัว ท่านอยู่ในวัยหนุ่ม ร่างกายแข็งแรง ปราดเปรียว ทำความเพียรเป็นแบบอย่างในทุกอิริยาบถ เป็นที่พึ่งอันมั่นคงของพระเณร เหมือนอย่างที่ท่านพระอาจารย์มั่นสั่งลาก่อนปีที่ท่านจะนิพพานว่า ‘เมื่อเราตาย ให้หมู่เพื่อนพึ่งมหาบัว’


ในสมัยนั้น สมถะสันโดษมาก กระโถนใช้กระบอกไม้ไผ่ เสนาสนะกุฏิกั้นด้วยใบตองและฟาง แม้กุฏิท่านอาจารย์มหาบัวเอง ก็ยังเป็นฟากมุงด้วยหญ้าคา ประตูหน้าต่างทำเป็นงวงฝาแถบตองผลักไปมา หรือเวิกออกแล้วก็ค้ำเอา

ข้อปฏิบัติที่ท่านถือเคร่งในยุคนั้นคือ ปฏิบัติอย่างหยาบ ๆ ห้ามนอนก่อน ๔ ทุ่ม ถ้าใครนอนก่อน ๔ ทุ่ม ต้องตื่นขึ้นมาทำความเพียรก่อนตี ๔ ถ้าผิดจากนี้ ได้ตักเตือนถึงสามครั้ง ถ้าทำไม่ได้ท่านจะไล่หนีจากวัดทันที

พระกรรมฐานยุคห้วยทรายโดยท่านอาจารย์มหาบัวเป็นผู้นำ ปฏิปทาถอดแบบมาจากท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ยุคหนองผือทุกอย่าง ท่านตีและเข่นพระเณร โดยมิเห็นแก่หน้า พากเพียรเป็นอย่างมาก วันคืนที่ผ่านไปล้วนแต่ประกอบจิตภาวนาในอิริยาบถทั้ง ๔ ยืน เดิน นั่ง นอน ประกอบความพากเพียรด้วยสติปัญญาตลอด

มองไปทางด้านใด เห็นพระเณรต่างเร่งความเพียร เหมือนว่าจะสิ้นกิเลสกันไปหมดทุกคน กิริยาแห่งความขี้เกียจขี้คร้านไม่มีให้เห็น ทุกรูปทุกนามต่างก็เร่งความเพียร เหมือนจะสิ้นกิเลสในวันนี้หรือพรุ่งนี้...”

การแสดงธรรมภาคจิตภาวนาขององค์หลวงตาในช่วง ๔ ปีที่ห้วยทรายนี้ นอกจากท่านจะแสดงธรรมอบรมพระเณรที่อยู่จำพรรษาร่วมกับท่านแล้ว ยังเปิดโอกาสให้พระเณรที่อยู่บริเวณโดยรอบเข้ามาร่วมฟังธรรมด้วย หนึ่งในนั้นคือ ท่านพระอาจารย์มหาบุญมี สิริธโร ซึ่งองค์หลวงตากล่าวยกย่องคุณธรรมของท่านไว้ว่า
“อาจารย์มหาบุญมีนี้ ท่านไปอยู่ห้วยทรายกับเรา ท่านแก่พรรษากว่าเรา ดูเหมือน ๒ พรรษา ท่านเรียนเป็นเปรียญหลังเรา แล้วก็ออกปฏิบัติหลังเรา เราออกก่อน ท่านมาก็มาอยู่กับเราที่ห้วยทราย ท่านออกมาทีแรก.. ท่านมาฝึกหัดทางด้านภาวนา


‘ทีนี้จะออกภาวนาแล้ว’ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านออกมาอยู่ห้วยทราย เราอยู่บนเขากับเณรหนึ่ง ให้ท่านอยู่กับพวกพระ อยู่ทางตีนเขาทางนู้น ท่านเป็นตุ๊กตาเลยนะ ท่านไม่ถือเนื้อถือตัว ท่านหมอบให้เราหมด ท่านบอกว่า ท่านเป็นพระอาคันตุกะ เพียงมาอาศัยเท่านั้น มาอาศัยก็มาอาศัยท่านอาจารย์ บอกตรง ๆ เลย มาอาศัยท่านอาจารย์เพื่อจะอบรมทางด้านจิตภาวนา ท่านเอาจริง ๆ ...

คุ้นกันมากกับเรานะ เพราะท่านเคยอยู่กับเราแล้ว จะเรียกตามหลักธรรมชาติ.. อย่างพระโปฏฐิละกับเณรนั้นก็ไม่ผิด ท่านถือเราเป็นอย่างนั้น ท่านเคารพมาก แต่ท่านเป็นอาวุโส ท่านเคารพในทางด้านธรรมะธัมโม ทางพระวินัยเราเคารพท่าน เพราะพระวินัยมีอาวุโสภันเต ธรรมะไม่มี.. ถือคุณธรรมเป็นสำคัญ ท่านนับถือมากทีเดียว

ลัก...ยิ้ม 12-06-2020 14:37

เข่นหนัก ด้วยอรรถธรรม

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร วัดป่าแก้วชุมพล จังหวัดสกลนคร เป็นองค์หนึ่งที่ได้อยู่จำพรรษาในระยะนี้ หนังสือประวัติย่อของท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ได้กล่าวถึงความจริงจังขององค์หลวงตาต่อพระเณรยุคบ้านห้วยทรายว่า
“.. ท่านพระอาจารย์มหาบัว ท่านเข้มงวดกวดขันกับพระเณรที่ไปปฏิบัติกับท่านมาก ยามค่ำคืนท่านอาจารย์มหาบัวจะลงเดินตรวจพระเณรในวัดโดยไม่ใช้ไฟฉาย ว่าพระเณรองค์ไหนทำความเพียรอยู่หรือเปล่า ถ้ามองเห็นจุดไฟอยู่ท่านก็จะไม่เข้าไป ถ้าองค์ไหนดับไฟท่านจะเข้าไป เข้าไปจนใต้ถุนกุฏิแล้วฟังเสียงว่าจะนอนหลับหรือเปล่า หรือนั่งภาวนา เพราะคนที่นอนหลับส่วนมากเสียงลมหายใจจะแรงกว่าธรรมดาที่ไม่หลับ


ถ้าหากว่าองค์ไหนนอนหลับก่อน ๔ ทุ่มแล้ว พอตอนเช้าประมาณตี ๔ ท่านจะเดินตรงไปที่กุฏิองค์นั้นแหละและถ้ายังไม่ตื่น ตอนเช้าลงศาลาจะเตรียมบิณฑบาต ท่านจะเทศน์ว่าให้พระเณรองค์นั้น ถ้าท่านได้เตือนถึง ๓ ครั้งแล้วไม่ดีขึ้น ท่านจะขับไล่ออกจากวัด ให้ไปอยู่วัดอื่นโดยพูดว่า
‘ผมสอนท่านไม่ได้แล้ว นิมนต์ออกไปจากวัดเสีย’


ฉะนั้น พระเณรยุคบ้านห้วยทราย ภายใต้การนำของท่านจึงมีความพากเพียร.. ในด้านการทำสมาธิภาวนาเป็นอย่างมาก ต่างองค์ต่างลักกัน (แอบปฏิบัติ) คือบางองค์เวลาหมู่เดินจงกรม จะขึ้นกุฏิแล้วไม่จุดไฟ ทำท่าเหมือนกับว่านอนแต่ความจริงนั่งภาวนา เวลาหมู่ขึ้นจากจงกรมหมดแล้ว จึงค่อยลงเดินก็มี

ท่านอาจารย์สิงห์ทองเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยนั้นเหมือนกับว่าพระเณรในวัดนั้นจะไม่ค้างโลกกัน พอตื่นนอนขึ้นมามองไปเห็นแต่แสงไฟ.. โคมสว่างไสวตามกุฏิของพระเณรเหมือนกับไม่นอนกัน

เรื่องอาหารการกิน เขามีกบหรือเขียดตัวเดียวอย่างนี้ เขาก็แบ่งใส่บาตรได้ ๔ บาตร ๔ องค์ก็มี ในคราวที่อดอยาก มะเขือลูกเดียวอย่างนี้ เขาจะผ่าใส่บาตรได้ ๔ องค์ ทั้งนี้เนื่องจากทางอีสานนั้นกันดารน้ำ โดยเฉพาะหน้าแล้งบางแห่งต้องได้กินน้ำในสระ พร้อมทั้งไปตักเอาไกลด้วยเป็น ๒-๓ กิโลเมตรก็มี เพราะขุดบ่อไม่มีน้ำ ถึงจะมีบางแห่งน้ำก็เค็ม กินไม่ได้และสิ่งที่ตามมาด้วยก็คือ ความอดอยากเรื่องอาหารการกิน

อาศัยแก่นไม้ รากไม้ ใบไม้มาต้มฉัน นาน ๆ จะมีน้ำอ้อยก้อนทีหนึ่ง ... ก้อนเดียวแบ่งกันฉัน ๓-๔ องค์ก็ยังพอ .. บางปีพระเณรป่วยเป็นไข้มาลาเรียเกือบหมดทั้งวัด ยังเหลือแค่ท่านพระอาจารย์มหาบัวและพระอีกองค์หนึ่งก็มีเป็นผู้ทำกิจวัตรประจำวัน เช่น ปัดกวาดลาดวัด และตักน้ำใช้น้ำฉัน...”

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดภูจ้อก้อ จังหวัดมุกดาหาร เป็นอีกรูปหนึ่งที่อยู่ร่วมจำพรรษาด้วย หลวงปู่หล้าเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนเข้าห้วยทราย และบรรยากาศในยุคบ้านห้วยทรายไว้อย่างน่าประทับใจ ดังนี้
“... (ข้าพเจ้า) พักอยู่วัดโพธิสมภรณ์คืนหนึ่ง แล้วท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ก็ส่งขึ้นรถยนต์มาลงสกลนคร พักอยู่สุทธาวาส ๑ คืน ก็เดินทางด้วยฝีเท้ามาพักวัดป่าบ้านโคกกับพระอาจารย์อุ่นหนึ่งคืน แล้วไปพักวัดดอยธรรมเจดีย์ประมาณ ๗ วัน เอาฟืนช่วยหลวงปู่กงมาอยู่บ้าง ลาออกจากนั้นก็ไปพักวัดป่าบ้านนาโสกอยู่ประมาณ ๗ วัน มีเณรโส บ้านนาโสก อยากจะไปห้วยทรายด้วย จึงพูดกับเณรว่า
‘ถ้าเณรอยากไปจงไปทีหลัง อย่าได้ไปพร้อมกัน เพราะจะทับถมข้า คล้ายกับข้ามายักยอกเอาเณรไปด้วย’


เณรกล่าว ‘อยากจะไปศึกษากับพระอาจารย์มหาบัวที่วัดป่าห้วยทราย ได้ยินแต่กิตติศัพท์มาหลายปีแล้ว อยากเห็น อยากรู้’..

ตื่นขึ้นเป็นวันใหม่ ฉันเสร็จเรียบร้อยก็กราบลาหลวงพ่อเตรียมเดินทาง ... แล้วโยมก็ไปส่งสองคน ไปส่งถึงแจ้งตะวัน (แจ้งตะวันเป็นชื่อสถานที่) แล้วก็กลับ ต่อแต่นั้นก็ตั้งหน้าเดินตรงข้ามบ้านโพนแดง ข้ามบ้านดงมอนก้านเหลือง ข้ามห้วยบางทราย ไปพักใกล้บ้านสงเปือย ที่ทุ่งนาแห่งหนึ่ง อยู่กลางดง มีเถียงนาว่าง ๆ อยู่หลังหนึ่งก็พอดีกับค่ำ พักนอนที่นั่น .. ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตั้งหน้าภาวนา เดินข้ามบ้านนำคำ บ้านตากแดดเข้าบ้านหนองเอี่ยนทุ่ง แล้วเดินทางตามทางหลวง พอถึงห้วยทรายก็มืดพอดี.. จุดไฟ องค์หลวงปู่มหาก็อยู่ในศาลากำลังเทศน์พระและแม่ชีอยู่

ท่านทักว่า ‘ท่านหล้ามาแล้ว’ ท่านประกาศว่า ‘นี่แหละ..เขียงเช็ดเท้าพระอาจารย์ใหญ่มั่นองค์หนึ่ง

กราบนมัสการแล้วองค์ท่านก็ถามไถ่ทุกประการ ตกลงได้นอนอยู่ที่ศาลาเพราะกุฏิเต็ม..

พอข้าพเจ้ามาพักวัดป่าสุทธาวาส คุณเพ็ง คุณสีหา พอได้รับทราบข่าวว่า ข้าพเจ้ามาถึงวัดป่าสุทธาวาสจะไปหาพระอาจารย์มหาบัว ขณะนั้นคุณเพ็งคงอยู่กับหลวงปู่มั่น คุณสีหาคงอยู่กับพระอาจารย์วัน ก็พากันชวนกันไปหาพระอาจารย์มหาบัว เพื่อจะได้จำพรรษารวมกันหมู่เก่าอีก เพราะเคยได้อยู่ร่วมกันมาแล้วในยุคหนองผือ รู้จักนิสัยใจคอกันแล้วจะปฏิบัติสะดวก

สมัยนั้นเป็นเวลาฤดูเดือนพฤษภาคมข้างแรม หลังวิสาขบูชา ๒๔๙๖ แล้ว พระอาจารย์มหาได้ปรารภลับหลังกับหมู่ว่า
‘ผมไปอยู่กับหลวงปู่มั่น เสนาสนะเต็มหมด องค์ท่านได้พาหมู่ทำกุฏิให้ผมอยู่ มาบัดนี้ ผมจะได้ทำกุฏิให้ท่านหล้าอยู่ละ ผมเป็นเวรกับองค์หลวงปู่ในตอนนี้อีกแล้ว ใช้เวรไปเสีย’


แล้วได้รีบทำกุฏิมุงหญ้า ปูฟากอีกหลังก็เสร็จไปโดยเร็ว ได้ให้อาจารย์สิงห์ทองไปอยู่ แล้วได้สับเปลี่ยนหลังอื่นให้ข้าพเจ้าไปอยู่ แต่อยู่ใกล้พระอาจารย์มหาทางทิศเหนือนั้น กุฏิที่ปลูกใหม่อยู่ใกล้พระอาจารย์มหาทางทิศใต้ สามเณรโสให้อยู่ข้างใกล้โรงไฟ

ปีนั้นมีพระ ๑๑ รูป สามเณร ๔ องค์ คือ ๑. พระอาจารย์ผู้เป็นหัวหน้า (อาจารย์มหาบัว) ๒. พระอาจารย์สม ๓. พระอาจารย์สิงห์ทอง ๔. พระอาจารย์นิล ๕. ข้าพเจ้า ๖. คุณเพียร ๗.คุณสุพัฒน์ ๘. คุณเพ็ง ๙.คุณสีหา ๑๐.คุณสี ๑๑. คุณสวาส ๑๒. เณรน้อย ๑๓. เณรน้อยอีก ๑๔. เณรบุญยัง ๑๕. เณรโส

ปฏิปทาของหลวงปู่มหา.. พาทำเหมือนสมัยยุคหนองผือหลวงปู่มั่น เพราะสมัยห้วยทรายแขกโยมยังไม่มาก ประวัติยุคห้วยทราย ก็เป็นยุคที่พระอาจารย์มหาตีและเข่นพระเณรโดยมิได้เลือกหน้าเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่าสมัยบ้านห้วยทรายในยุคนั้น ในศาลาโรงฉันยังได้ใช้กระโถนกระบอกไม้ไผ่บ้านอยู่นะ แม้อยู่ตามกุฏิเป็นส่วนมากก็เหมือนกัน น้ำมันก๊าดก็มีเพียงปีละสองปีบ ผ้าที่จะทำไตรจีวรก็เหลืออยู่หมดวัดเพียงปีละไม้สองไม้เท่านั้น มูลค่าในวัดทั้งหมดรวมกันในวัด บางทีก็ร้อยสองร้อยเท่านั้น

ปรารภไว้เพื่อให้กุลบุตรสุดท้ายคำนึง จะได้ไม่ลืมตัวในสมัยวัตถุนิยมหรูหรา เพราะเกรงกิเลสจะหรูหราขึ้น

ด้านเสนาสนะก็กั้นใบตองและฟางเป็นส่วนมาก พระอาจารย์มหาก็ยังอยู่กุฏิฟางและมุ่งหญ้า ประตูหน้าต่างก็ทำเป็นวงฝาแถบตองผลักไปมา หรือเวิกออกแล้วก็ค้ำเอา

ด้านทำความเพียรมีเวลามากกว่าทุกวันนี้ คราวหนุ่มอยู่.. หลวงปู่มหายิ่งประเปรียวกว่านี้มาก พวกลูกศิษย์ที่ได้ไปหุ้ม (รุมล้อม) หลวงปู่บ้านตาดในยุคปัจจุบันนั้น องค์ท่านอนุโลมที่สุด อย่าว่าองค์ท่านดุเลย...”

ลัก...ยิ้ม 12-06-2020 22:34

1 Attachment(s)
อัศจรรย์.. ความเด็ดเดี่ยวองค์หลวงปู่มหา

ด้วยเหตุที่หลวงปู่หล้าท่านเห็นถึงปฏิปทาความจริงจังขององค์หลวงตา ตั้งแต่สมัยที่ปฏิบัติต่อสู้กับกิเลส กระทั่งถึงระยะที่เป็นครูบาอาจารย์ สอนสั่งพระเณรหลายรุ่นต่อหลายรุ่นด้วยกันมานี้

ดังนั้น เมื่อหลวงปู่หล้าท่านตั้งวัดภูจ้อก้อขึ้นมา มีพระเณรเข้ามาอยู่ศึกษากับท่าน เพื่อให้พระเณรลูกหลานที่อยู่ในการปกครอง ได้เห็นคติแบบฉบับอันงดงาม.. การแสดงธรรมของท่านจึงมักต้องได้กล่าวถึงองค์หลวงตาอยู่เสมอ ๆ

ดังบันทึกฉบับหนึ่ง ที่หลวงปู่หล้าท่านเขียนเป็นจดหมายไว้เป็นอุบายสอนพระ ดังนี้

ลัก...ยิ้ม 13-06-2020 19:24

โปรดคุณแม่ชีแก้ว

ที่บ้านห้วยทรายแห่งนี้ มีนักปฏิบัติธรรมหญิงท่านหนึ่งนามว่า คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ เวลาภาวนามักจะมีความรู้แปลกพิสดารมาก เมื่อท่านมาจำพรรษาที่บ้านนี้ จึงมีโอกาสได้สนทนาซักถามพร้อมกับให้อุบายทางจิตภาวนาแบบเด็ด จนสามารถพลิกภาวะจิตของคุณแม่ชีแก้วได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังนี้
“.. แม่ชีแก้วที่อยู่บ้านห้วยทรายนี้ เป็นลูกศิษย์ดั้งเดิมของท่านอาจารย์มั่นมาตั้งแต่เป็นสาวโน่นนะ แกภาวนาเป็นตั้งแต่เป็นสาวโน่น ถ้าวันไหนภาวนาแปลก ๆ พอท่านอาจารย์มั่นบิณฑบาตมาถึงนั้น ท่านจะว่า ‘วันนี้ ออกไปวัดนะ’


เพราะท่านหยั่งทราบทุกอย่าง .. ทีนี้พอท่านจะจากที่นั่นไป ท่านก็บอกตรง ๆ เลย บอกว่า ‘นี่ถ้าเป็นผู้ชายแล้ว เราจะเอาไปบวชเป็นเณรด้วย’

อายุตอนนั้นราว ๑๖-๑๗ ปี ‘นี่เป็นผู้หญิง มันลำบากลำบน ไม่เอาไปแหละ อยู่นี่แหละ จะเป็นบ้าครอบครัวเหมือนโลกเขาก็แล้วแต่เถอะ’ ว่าดังนี้แล้วท่านก็ไป ก่อนจะไปท่านสั่งว่า ‘แต่อย่าภาวนานะ’

นี่สำคัญ ท่านสั่งไว้จุดนี้แหละ คือนิสัยแกผาดโผนมาก เรื่องภาวนานี้.. นิสัยผาดโผนมากจริง ๆ เพราะเหินเดินฟ้าดำดิน บินบนในหัวใจ มันออกรู้ออกเห็นหมด เทวบุตรเทวดา อินทร์พรหม เปรต ผีนี้ มันไปรู้ไปหมดนั่นซิ ทีนี้เวลาไม่มีครูมีอาจารย์คอยแนะ คอยบอก กลัวมันจะเสีย

ท่านจึงห้ามไม่ให้ภาวนา ‘เราไปนี้ไม่ต้องภาวนา ต่อไปมันก็จะมีครูมีอาจารย์สอนเหมือนกันนั่นแหละ

ท่านว่าอย่างนี้ ท่านว่าผ่าน ๆ ไปอย่างนี้แหละ .. ทีนี้นานเข้า ๆ หนักเข้ามันอดไม่ได้ มันอยากภาวนาอยู่ตลอด แกก็เลยภาวนา ก็พอดีเป็นจังหวะที่เราไปที่นั่น พอเหมาะดีเลยเทียว

พอเราไปถึง แกก็มาเล่าให้ฟัง ตอนที่เราไปนั้น เราไปจำพรรษาบนภูเขา ให้หมู่เพื่อนจำพรรษาข้างล่าง เรากับเณรหนึ่งไปจำพรรษาอยู่บนภูเขา บ้านห้วยทรายนั่นแหละ

พอวันพระหนึ่ง ๆ พวกเขาจะไป ไปพร้อมกัน ไปละไปทั้งวัดเขาเลยแหละ พวกแม่ชีแม่ขาวหลั่งไหลกันไป ขึ้นบนภูเขาหาเราตอนบ่าย ๔ โมง ๔ โมงเย็นเขาก็ไป ตอนจวน ๖ โมงเย็นเขาก็กลับลงมา พอไปถึงแกก็เล่าให้ฟัง ขึ้นต้นก็น่าฟังเลยนะ พอแกขึ้นต้นก็น่าฟังทันที
‘นี่ก็ไม่ได้ภาวนา เพิ่งเริ่มภาวนานี่แหละ ญาท่านมั่น.. ท่านไม่ให้ภาวนา’ แกว่าอย่างนั้น ‘ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา’


เราก็สะดุดใจกึ๊ก มันต้องมีอันหนึ่งแน่นอน ลงหลวงปู่มั่นห้าม ไม่ให้ภาวนานี้ต้องมีอันหนึ่งแน่นอน จากนั้นแกก็เล่าภาวนาให้ฟังนี้ โถ.. ไม่ใช่เล่น ๆ พิสดารเกินคาดเกินหมาย เราก็จับได้เลยทันที ‘อ๋อ..อันนี้เอง ที่ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา’

พอไปอยู่กับเรา..ไปหาเราก็ภาวนา พูดตั้งแต่เรื่องความรู้ความเห็น ไปโปรดเปรต โปรดผี โปรดอะไรต่ออะไร นรก สวรรค์ แกไปได้หมด รู้หมด แกรู้ ทีนี้เวลาภาวนา มันก็เพลินแต่ชมสิ่งเหล่านี้ ครั้นไปหาเรานานเข้า ๆ เราก็ค่อยห้ามเข้า หักเข้ามาเป็นลำดับลำดานี่แหละ เอากันตอนนี้ ทีแรกให้ออกได้ ‘ให้ออกก็ได้ ไม่ออกก็ได้ .. ได้ไหมเอาไปภาวนาดู ?

ครั้นต่อมา ‘ไม่ให้ออก’ ต่อมาตัดเลย เด็ดเลย ‘ห้ามไม่ให้ออกเป็นอันขาด’

นั่นเอาขนาดนั้นนะ ทีนี้ให้แกรู้ภายใน อันนั้นเป็นรู้ภายนอก ไม่ใช่รู้ภายใน ไม่ใช่รู้เรื่องแก้กิเลส จะให้แกเข้ามารู้ภายในเพื่อจะแก้กิเลส แกไม่ยอมเข้า เถียงกัน แกก็ว่าแกรู้ แกก็เถียงกันกับเรานี่แหละ ตอนมันสำคัญนะ พอมาเถียงกับอาจารย์ อาจารย์ก็ไล่ลงภูเขา ร้องไห้ลงภูเขาเลย
‘ไป..จะไปที่ไหน..ไป สถานที่นี้ไม่มีบัณฑิต นักปราชญ์ มีแต่คนพาลนะ ใครเป็นบัณฑิต นักปราชญ์ให้ไป..ลงไป
..’

ลัก...ยิ้ม 13-06-2020 19:49

ไล่ลงเดี๋ยวนั้น ร้องไห้ลงไปเลย.. เราก็เฉย น้ำตานี่ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร เราเอาตรงนั้น ไล่ลงไป ‘อย่าขึ้นมานะ แต่นี้ต่อไปห้าม’ ตัดเด็ดกันเลย ไปได้ ๔-๕ วัน โผล่ขึ้นมาอีก ‘.. ขึ้นมาทำอะไร !!!..’

‘เดี๋ยว ๆ ให้พูดเสียก่อน เดี๋ยว ๆ ให้พูดเสียก่อน’ แกว่า

‘มันอะไรกัน นักปราชญ์ใหญ่’ เราว่าอย่างนั้นนะ ว่านักปราชญ์ใหญ่

แกว่า ‘เดี๋ยว ๆ ให้พูดเสียก่อน ๆ’ แกจึงเล่าให้ฟัง คือไปมันหมดหวัง.. แกก็หวังจะพึ่งก็พูดเปิดอกเสียเลย

แกหวังว่า ‘จะพึ่งอาจารย์องค์นี้ ชีวิตจิตใจมอบไว้หมดแล้ว.. ไม่มีอะไร แล้วก็ถูกท่านไล่ลงจากภูเขา เราจะพึ่งที่ไหน ? แล้วเหตุที่ท่านไล่ ท่านก็มีเหตุมีผลของท่านว่าเราไม่ฟังคำท่าน ท่านไล่ นี่ถ้าหากว่าเราจะถือท่านเป็นครูบาอาจารย์แล้ว ทำไมจึงไม่ฟังคำของท่าน เพราะเราอวดดีแล้วมันก็เป็นอย่างนี้ ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร ทีนี้ก็เลยเอาคำของท่านมาสอนมาปฏิบัติ มันจะเป็นยังไง ? เอาว่าซิ มันจะจมก็จมไปซิ

คราวนี้แกเอาคำของเราไป สอนบังคับไม่ให้ออกอย่างว่านั่นแหละ แต่ก่อนมีแต่ออก ๆ ห้ามขนาดถึงว่าไล่ลงภูเขา แกไม่ยอมเข้า มีแต่ออกรู้อย่างเดียว พอไปหมดท่าหมดทาง หมดที่พึ่งที่เกาะแล้ว ก็มาเห็นโทษตัวเอง ‘ถ้าว่าเราถือท่านเป็นครูเป็นอาจารย์ ทำไมไม่ฟังคำท่าน ฟังคำท่านซิ ทำลงไปแล้วเป็นยังไงให้รู้สิ’ ...

ทีนี้ก็มีแต่บังคับให้อยู่ละ คราวนี้เพราะมันชินพอ พอบังคับให้อยู่ พอแน่วลงอยู่นี้ก็สว่างจ้าขึ้น แล้วก็ปรากฏเป็นนิมิต เรานี้แหละมา.. ถือมีด เรียกว่าอะไรไม่รู้ มีดก็มีดคมกริบ แสงออกแพรวพราว ๆ ทีนี้ให้พิจารณาอย่างนี้นะ การทำลายกายทำลายอย่างนี้ จุดตะเกียงเจ้าพายุมาด้วยนะ หิ้วตะเกียงเจ้าพายุมาด้วยแกว่า.. หิ้วตะเกียงเจ้าพายุมาแล้วก็ฟันเลย ฟันตัวแกนั่นแหละในนิมิตภาวนา ฟันพออันนี้ขาดตก อันโน้นขาดตก ฟันนี้ ๆ ทำอย่างนี้ ๆ แยกกายแยกอย่างนี้ ฟันฟาดมันแหลกไปเลยนะ ฟันแล้ว เขี่ย ๆ เขี่ยออก

‘นี่ ๆ ดูเอา ๆ แล้วแยกออกไป อันไหนเป็นสัตว์ อันไหนเป็นบุคคล อันไหนเป็นหญิง อันไหนเป็นชาย เอ้า.. ดูเทียบดู อันไหนสวย อันไหนงาม เอ้า.. ดู’

ฟันออกจนแหลก ทางนี้ก็ดู เกิดความสลดสังเวชภายในจิตใจ มันเป็นนิมิตอันหนึ่ง.. ออกแต่เป็นธรรม พออันนี้แตกกระจัดกระจายไปจนกระทั่งว่าเกิดความสลดสังเวชตัวเอง พอคราวนี้พึ่บลงอีก คราวหลังนี้เงียบเลย พูดไม่ถูกคราวนี้ จะว่าอัศจรรย์ขนาดไหนพูดไม่ถูก ทีนี้พอจิตถอนขึ้น จากนั้นก็หมอบกราบไปทางภูเขาเลยแกว่า ..

พอทำตามนั้นมันก็เปิดโล่งภายในซิ ทีนี้จำขึ้นเลยเชียว .. นี่แหละที่กลับขึ้นมา กลับขึ้นมาเพราะเหตุนี้ ทีนี้ได้รู้อย่างนั้น ๆ ละ ทีนี้รู้ตามที่เราสอนนะ
‘เออ เอาละ ทีนี้ขยำลงไปนะตรงนี้ ทีนี้อย่าออก อย่ายุ่ง ยุ่งมานานแล้วไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร เหมือนเราดูดินฟ้าอากาศ ดูสิ่งเหล่านั้นน่ะ ดูเปรต ดูผี ดูเทวบุตรเทวดา มันก็เหมือนตาเนื้อเราดู สิ่งเหล่านี้ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ถอนกิเลสตัวเดียวก็ไม่ได้ นี่ตรงนี้.. ตรงถอนกิเลส


เราก็ว่าอย่างนี้ ‘เอ้า ดูตรงนี้นะ’

แกก็ขยำใหญ่เลย เอาใหญ่เลย ลงใจไม่นานนะก็ผ่านไป แกบอกแกผ่านมานานนะ ... พ.ศ. ๒๔๙๔ เราไปจำพรรษาที่ห้วยทรายในราวสัก ๒๔๙๔ ละมัง แกก็ผ่าน...”

ลัก...ยิ้ม 14-06-2020 20:48

หลวงปู่คำดีนิมิตรู้ องค์หลวงตาจะมาพบ

ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ องค์หลวงตาหาอุบายหลบหลีกหมู่เพื่อนไปเยี่ยมหลวงปู่คำดี ที่วัดศรีฐาน จังหวัดขอนแก่น องค์ท่านจึงปิดเงียบ ไม่บอกกล่าวให้ผู้ใดทราบเลย แต่ถึงอย่างนั้น หลวงปู่คำดีก็สามารถรับรู้ได้ล่วงหน้า ดังนี้
“... นิมิตท่านสำคัญมาก ปรากฏในภาวนาไม่ผิดพลาดนะ ที่อยู่วัดศรีฐาน.. แต่ก่อนเป็นวัดป่าจริง ๆ เขาเรียกสามเหลี่ยมไปขอนแก่นนั่นน่ะ ที่แยกไปทางชุมแพ แยกไปทางโคราช แยกไปทางไหน สามเหลี่ยมใหญ่นั่นนะ แต่ก่อนเป็นดงทั้งหมด วัดป่าศรีฐานอยู่ตรงนั้นแหละ


เราไป.. เรายังจำได้ ปี พ.ศ. ๒๔๙๕ ขโมยหนีจากหมู่เพื่อนไป หาอุบายมาเยี่ยมโยมแม่ เพราะรำคาญพระเณรรุม หาอุบายมาเยี่ยมโยมแม่ ก็มาพักอยู่กับโยมแม่เพียงสองคืนเท่านั้นเอง เราเปิดไปขอนแก่นคนเดียว ทีนี้ท่านได้นิมิต .. ตอนนั้นมันบันดลบันดาลยังไงก็ไม่รู้ แทบจะทุกครั้งเรื่องมันรับกันได้พอดี ๆ อันนี้ท่านนิมิตในภาวนาของท่าน ท่านบอกท่านฝัน ถ้าพูดนอก ๆ ท่านก็บอกว่าฝัน.. จริง ๆ ก็คือฝันภาวนานั่นเอง เป็นไรไปท่านฝันในของท่าน นักภาวนารู้กัน วันนั้นภาวนาอยู่มันเกิดเรื่องราวขึ้นมา พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็รีบสั่งพระเลย
‘เอ้อ.. เมื่อคืนนี้ผมได้นิมิตแปลกประหลาดมาก จะมีพระองค์สำคัญ แต่ว่าองค์ไหนท่านก็ไม่ได้บอก จะมีพระองค์สำคัญมาวัดเราในเร็ว ๆ นี้ ถ้ามีพระกรรมฐานมาจากที่ไหนก็ตาม อย่างไรขอให้ได้พบกับเราเสียก่อน

ท่านจัดพระมาเลยนะ จัดพระมาเฝ้าศาลา ศาลาวัดป่าศรีฐานเป็นป่าจริง ๆ ไม่ให้ไปไหน คือท่านสั่งไว้ว่า ถ้าพระกรรมฐานมาไม่ว่าองค์ใดก็ตาม แก่หรือหนุ่มก็ตามถ้าเป็นพระกรรมฐาน นอกนั้นท่านไม่พูด แล้วมานี้อย่างไรก็ขอให้พบผมเสียก่อน.. ก่อนที่ท่านจะผ่านไปให้ได้พบผมเสียก่อน ผมจะได้พบพระองค์สำคัญเร็ว ๆ นี้ นี้นะ ท่านว่างั้น ท่านจึงจัดพระให้มาอยู่มาเฝ้าศาลา

ครั้นเวลาพระมาเฝ้าศาลา พอดีเราไปที่นั่นองค์เดียว ขโมยหนีนี่ ตีตั๋วก็ไม่ให้ใครทราบ มาเยี่ยมมารดา ๒ คืน นี่ละต้นเหตุที่จากหมู่เพื่อนได้ ถ้าว่าไปเที่ยววิเวก โอ๋ย.. ไม่ได้นะ แหลกเลย รุม..เข้าใจไหม นี่จะไปเยี่ยมมารดาจะไปได้ยังไง จะไปหาที่สงัดยังไง ฟังแต่ว่าไปเยี่ยมแม่เป็นไรล่ะ มันก็หาทางออกได้

เราก็มาพักอยู่กับแม่ ๒ คืน ต่อจากนั้นก็ออก ออกไปไม่ให้ใครทราบ ให้น้องไปตีตั๋วสถานีรถไฟคำกลิ้งนี่ละ ไปลงขอนแก่นแล้วจะไปเข้าในภูเขา ความคิดว่าอย่างนั้น อำเภอภูเวียง พอตีตั๋วแล้วก็ขึ้นรถไฟไปคนเดียว มันก็บันดลบันดาลไปเจอเอาโยมคนหนึ่ง โยมคนนั้นก็คุ้นกับเรา คุ้นมหา.. คุ้นว่างั้นเถอะ แล้วคุ้นกับท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ อุปัชฌาย์เราด้วย

พอไปเจอเราบนรถไฟ ‘เอ้ย ท่านอาจารย์มายังไง..ขึ้นเลย’

‘เป็นบ้าหรือไง’ เราว่างั้น หมดละทีนี้ ความขลังของกู หมดละทีนี้ เป็นบ้าเรอะเราว่างั้น.. มันโมโห มันหมดแล้วความขลังของเรา เขาลบลายหมดแล้ว ไปนี้มันก็จะไปบอกท่านเจ้าคุณว่าเราไปทางไหน ๆ นี่ ท่านจะลงไหน ตีปากเอานะ บอกเท่านั้นพอ ไม่พูดมากนะ ทีแรกถามเราก็ว่าเป็นบ้าเหรอ

‘แล้วท่านอาจารย์จะตีตั๋วลงไหน’

‘นี่ฟาดปากเอานะ’ เลยนิ่งเลย

ทีนี้มันไม่อยู่เฉย ๆ ซิ มันคอยแอบดูเรา เวลาเราจะลงสถานีรถไฟ มันจะไปโคราช เราไปลงขอนแก่น ปั๊บลง..มันเห็นแล้วนะนั่น

พอกลับไปก็ไปหาท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ละซิ แว้ด ๆ โอ๋ย.. อยากฟาดปากมันอีก มันโมโห หมดขลัง ไปอยู่ไม่ได้นาน.. ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ให้คนไปตามบอก ‘จะพาไปกรุงเทพฯ’ อย่างนั้นละ..เรื่องราวนะ

พอลงรถไฟก็ไปวัดท่านอาจารย์คำดี ไปองค์เดียว สะพายบาตรไปองค์เดียว พระก็ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร พระองค์นั้นท่านเล่าละเอียดลออตามที่ท่านอาจารย์คำดีสั่งนะ
‘ผมมาอยู่ที่นี่ เพราะท่านอาจารย์คำดีสั่งให้ผมมา มาเฝ้าวัดอยู่ที่นี่ คือท่านบอกว่า ท่านได้เหตุว่าจะมีพระองค์สำคัญมาวัดเราเร็ว ๆ นี้ แล้วท่านก็สั่งเอาไว้ว่า ถ้าเป็นพระกรรมฐาน ไม่ว่าหนุ่มว่าแก่ อย่าด่วนให้ท่านไปไหน ให้พบกับท่านเสียก่อน เพราะฉะนั้น ท่านถึงได้สั่งให้ผมมาพักอยู่ที่ศาลา คอยต้อนรับพระ สังเกตพระที่ควรจะได้พบหรือไม่ได้พบ ผมจึงได้มาอยู่นี้’


ก็เลยมาเฝ้าตามท่านสั่ง แกก็เล่าสะเปะสะปะไป แล้วก็ไม่รู้ใครเป็นใคร เราเป็นใคร เราก็มีแต่คอยหลบคอยซ่อนตลอด จะเปิดง่าย ๆ ได้เหรอ ท่านก็พูดสะเปะสะปะไปตามภาษาของแก เป็นพระบวชใหม่ได้สองพรรษา .. เราก็ถาม ตอนนั้นพระไม่รู้เรานะ พระองค์นั้นไม่รู้ เราก็เลยถามว่า ‘ท่านให้มาอยู่ได้กี่คืนแล้ว ได้ ๒ คืนนี้แหละ’ ว่างั้นนะ

จำได้จนกระทั้งชื่อ ชื่อท่านชื่อพระฮวด อย่างนี้ละ ถ้ามีเหตุมันไม่ได้ลืมนะเรา มันจับปั๊บเลย

ที่นี้พอนั่งอยู่นั้น เราดูไปที่ไหน ๆ ท่านก็ว่ามาเฝ้าศาลาเฝ้าอะไร มีสาระอะไรบ้างบนศาลา มีที่ไหนมันก็ไม่มี มีแต่กระบอกไม้ไผ่ตัดเป็นกระโถน แต่ก่อนกระโถนไม่มี ถ้วยดินครอบไว้มุมเสา ๆ แล้วกระโถนนั่นก็คือไม้ไผ่ตัดครึ่ง เอาเป็นกระโถนแทน เราดูก็ไม่เห็นมีอะไร ที่ท่านสั่งไว้นั้นน่าจะเป็นความจริง เราก็คิด ต่อไปท่านก็ถามชื่อ
‘ท่านอาจารย์ชื่อว่ายังไง?’ ... ‘ถามไปทำไม’


‘คือเวลามีพระกรรมฐานมาอย่างนี้แล้ว เวลาไปกราบเรียนท่าน ท่านถามชื่อถามนามก็จะได้กราบเรียนให้ท่านทราบ’

นั่นซิ..เราก็เลยบอกว่า ‘บัว

‘เหอ ๆ อาจารย์มหาบัวเหรอ !!!’

‘อาจารย์อะไรก็จะเป็นไร’ เราว่างี้ ดุเลย ต่อจากนั้นก็รู้ล่ะซิ

‘โอ๊ย.. ท่านอาจารย์พูดถึงท่านอาจารย์อยู่ตลอดเวลา เทศน์สอนพระนี้ เอาท่านอาจารย์มาขนาบพระอยู่เรื่อย’

ที่นี้พอเราไปนั้น พระยังไม่รู้จักเรานี่ พอตกกลางคืนมาก็คุยธรรมะกัน ตอนเช้าตอนมาฉันจังหัน พระยังไม่รู้เรานี่ รู้เฉพาะท่าน เพราะเราไปอยู่กุฏิข้าง ๆ ท่าน ไปคุยกับท่านตอนกลางคืนแล้วกลับมานอนกุฏิ

ตอนเช้าออกบิณฑบาต พอมาแล้วอันนี้ตอนสำคัญนะ คือท่านนั่งองค์หัวหน้า พอดีเราก็เป็นองค์ที่สองนั่งอยู่ข้าง ๆ ท่าน แล้วพระเณรก็นั่งเป็นแถว ทีนี้เวลาพระเณรแจกอาหารไปใกล้ ๆ ท่าน พอจัดอาหารถวายท่าน ท่านกระซิบ
‘นั่นรู้ไหม..เสือ ?’ ท่านว่าอย่างนั้นนะ


ท่านพูดเบา ๆ ให้รู้เฉพาะพระองค์นั้น แต่เราหูดีก็ได้ยินอยู่ตลอด องค์ไหนก็ตามพอเข้าไปหาท่านใกล้ชิดท่าน ‘ให้รู้นะ..เสือ..ระวังนะ’ .. พระเณรกิริยาท่าทางก็เป็นธรรมดาของพระเณร ที่ท่านไม่ดุ..ว่างั้นเถอะ มันก็อาจเป็นไปอย่างนั้นละ ทีนี้พอท่านกระซิบต่อไปแล้ว องค์ใดผ่านท่านจะกระซิบทั้งนั้นละ เราได้ยินตลอด ๆ เลย แต่เราก็เฉยเหมือนไม่ได้ยิน ..

พอวันหลังมาพระเณรเรียบหมด แปลกอยู่ หลังจากนั้นแล้วเรียบหมด คงรู้กันหมดทั้งวัด นี่ละองค์ที่ท่านเอามาขนาบพวกเราอยู่ทุกวัน คือองค์นี้เอง...”

ลัก...ยิ้ม 15-06-2020 12:58

ธุดงค์จันทบุรี

อีกคราวหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ องค์ท่านหลบหลีกหมู่เพื่อน แวะไปเที่ยววิเวกทางจังหวัดจันทบุรี ซึ่งท่านได้เล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ ดังนี้
“... เราขโมยหนีจากหมู่เพื่อน จากห้วยทราย มุกดาหาร มาจันทบุรี พ.ศ. ๒๔๙๕ มาหลบภาวนาอยู่ที่วัดป่าคลองกุ้ง ...


ที่ขโมยหนีหมู่เพื่อนไปนะ เพราะลำบาก รำคาญ หาอุบายมาเยี่ยมโยมแม่..จะไปยังไง..ไปเยี่ยมโยมแม่.. มันหาความสงัดที่ไหน มานั่นพระรู้หมดแล้วแหละ ยังไงก็จะเผ่น ที่ไหนแหละ มานี้ปั๊บ มาเยี่ยมโยมแม่สองคืน ปั๊บลงจันทบุรี หนีไปนู้นแหละ ไม่ให้ใครทราบนะไปจันทบุรีก็ไม่ให้ใครทราบเหมือนกัน ไปพักอาศัยอยู่กับอาจารย์เฟื่อง*” ... เมื่อเรามาถึงแล้วก็บอกท่านอาจารย์เฟื่อง (โชติโก) ว่า
ผมไม่ไปฉันในที่ไหน ๆ ขออย่าให้ผมเกี่ยวข้องกับอะไรต่าง ๆ ส่วนเรื่องการนิมนต์ออกไปฉันที่นั่นที่นี่ตามงานต่าง ๆ ขออย่าให้ผมเกี่ยวข้องเลย ผมมาพักผ่อนภาวนา สบาย ๆ ของผมต่างหาก


ในตอนนั้น พระวัดป่าคลองกุ้งก็ไม่มาก วัดยังเป็นป่าเป็นดง ส่วนในเรื่องการบิณฑบาต ก็บิณฑบาตกับชาวสวนที่อยู่ในถิ่นแถวนั้น ไม่ได้เข้าไปบิณฑบาตในเมือง อาจารย์เฟื่องท่านก็พาเราไปบิณฑบาตตามบ้านชาวสวน ส่วนพวกพระเข้าไปบิณฑบาตในเมือง ...

อาจารย์เฟื่องเป็นคู่กับอาจารย์เจี๊ยะ อยู่นั่นสบาย คือการถูกนิมนต์ไปฉันที่นั่นที่นี่..ไม่ให้ไปยุ่งเลย ... เราสั่งขาดเลย พอไปอยู่ที่นั่น เราก็เลยเป็นผู้มีพรรษาแก่กว่าท่าน เราก็มอบให้ท่านหมด เราไม่ไปเลยจริง ๆ ท่านดูเหมือนไปแทบทุกวัน เดี๋ยวร้านนั้นนิมนต์ ร้านนี้นิมนต์ไปฉัน เราอยู่ที่นั่นสบาย เป็นป่าล้วน ๆ เรียกว่าวัดป่าคลองกุ้ง ถูกต้อง..มีเท่านั้น นอกนั้นเป็นป่าหมดเลย นั่นแหละเป็นครั้งแรกที่เราไป ไปคนเดียวนั่นแหละ ไปอยู่สบาย ๆ .. เรากับอาจารย์เฟื่องเคยอยู่ด้วยกันที่วัดป่าหนองผือ สกลนคร ส่วนอาจารย์เจี๊ยะ (จุนโท) กับเราก็เคยอยู่ด้วยกันที่วัดบ้านโคกนามน สกลนคร จำพรรษาด้วยกันที่นั่น ก็เลยคุ้นกันมาตั้งแต่อยู่ร่วมสมัยหลวงปู่มั่นโน้น

เพราะฉะนั้น เราถึงมาหลบซ่อนตัวอยู่ทางจันทบุรีนี้ เพราะเราทราบแล้วว่าอาจารย์เจี๊ยะกับอาจารย์เฟื่องอยู่ที่นี่ คุ้นกับท่านมานานมาก

เราจากหมู่เพื่อนมาหลบอยู่จันทบุรี เนื่องจากหมู่เพื่อนรุมตั้งแต่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมรณภาพลง รุมมากจนกระทั่งไปไม่ได้ว่างั้นเถอะ เราจึงได้เกี่ยวกับหมู่เพื่อนตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คือตั้งแต่ปีหลวงปู่มั่นมรณภาพ ๒๔๙๒ ถวายเพลิงท่านปี ๒๔๙๓ พอเดือนกุมภาพันธ์ หมู่เพื่อนวิ่งตามเรา..ไปไหนตามเกาะอยู่ตลอด พออยู่จันทบุรีพอสมควรแล้วจึงย้อนกลับไปห้วยทราย มุกดาหาร ตามเดิม...”

===============================

* เกิดในสกุล เชื้อสาย เมื่อวันอังคาร ที่ ๖ แรม ๖ ค่ำ ปีเถาะ ตรงกับวันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๘ ที่บ้านน้ำฉู่ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี

พ.ศ. ๒๔๗๘ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ พ.ศ. ๒๔๘๐ พบพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีร์เมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธัมมธโร) และได้ญัตติเข้าคณะธรรมยุติ, พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นเจ้าอาวาสวัดธรรมสถิต, วันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๙ มรณภาพที่ประเทศฮ่องกง, วันที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๐ บรรจุพระศพ ณ สถูปญาณวิศิษฏ์ รวมสิริชนมายุได้ ๗๑ ปี พรรษา ๔๙

ลัก...ยิ้ม 16-06-2020 11:52

นิมิตอัศจรรย์ “สรงน้ำพระพุทธรูปทองคำ” หยั่งรู้อนาคต

ในคืนหนึ่งที่ห้วยทราย มีนิมิตอัศจรรย์ปรากฏขึ้นมา ให้ท่านได้ทราบถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับประชาชนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้
“... เหตุที่จะบวชโยมแม่มันก็มีต้นเหตุ นู่น.. อยู่ห้วยทราย มันไปเจอทางนู้นแล้ว เป็นขึ้นทางนู้นแล้ว มาก็ได้เล่าให้หมู่เพื่อนฟัง ‘เอ้อ.. ไอ้เรานี้นึกว่าจะไปสะดวกสบาย นี่มันจะไม่สะดวกสบายนะ


มาพิจารณา คืนนี้ปรากฏเรื่องเกี่ยวกับโยมแม่มาเกี่ยวกับเรา ตลอดถึงเรื่องของโลกนี้ก็มาเกี่ยวกับเรา คือคำว่าโลกมาเกี่ยวกับเรา ได้แก่วันนั้น.. เวลามันแสดงขึ้นภายในจิตใจนี้ เหมือนว่าเรานี่จะขึ้นไปสรงน้ำพระพุทธเจ้ามากต่อมาก ... เป็นแท่นที่สูงประมาณสัก ๑ เมตร ๓๐ ความสูงนะ เป็นแท่นใหญ่ เราขึ้นไปสรงน้ำพระพุทธเจ้าทั้งหลาย นิมิตแสดงออก

ครั้นเวลาก้าวขึ้นไปแล้ว เป็นพระพุทธเจ้ารูปทองคำทั้งแท่ง ๆ เท่าองค์ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ไปเลย อยู่บนแท่น น้ำที่เรานำไปก็มีน้ำหอม น้ำอะไรที่เป็นน้ำเคารพนับถือนั่นแหละ ขึ้นไปก็ประพรมท่านด้วยความเคารพ เรื่องของในนิมิตมันก็ไม่นาน พระพุทธเจ้าที่อยู่บนแท่น พระเป็นทองคำทั้งแท่ง ไปประพรมท่านด้วยความเคารพ ๆ ๆ ทั่วถึงไปหมด ฟังซิว่าทั่วถึงไปหมดในเวลาไม่เนิ่นนาน

พอก้าวออกจากนั้นมา ดูประชาชนนี้แน่นหมดเลย อ้าว.. นี่มันนิมิตยังไงอีก แต่มันก็รู้ของมันเอง ลงมานี้เขารอรับน้ำพุทธมนต์อยู่ รับน้ำสรงน้ำพุทธมนต์จากเราเต็มไปหมดเลย

พอลงจากแท่นพระพุทธรูปแล้ว ก็ลงมาประพรมน้ำมนต์ให้ประชาชน ไม่ใช่เป็นน้ำอบน้ำหอมที่เราขึ้นประพรมสรงพระพุทธเจ้านะ อันนั้นขึ้นด้วยนิมิต มันขึ้นพอเหมาะพอดีด้วยความเคารพ ภาชนะอะไรที่จะไปสรงน้ำท่านก็เหมาะสมทุกอย่าง ในนิมิตมันพูดไม่ได้มันหากพร้อมกัน พอสรงน้ำไม่เนิ่นนานนักก็ทั่วถึงหมดเลย

เรามาพิจารณาตรองตามเรื่องนี้ ‘เอ๊.. โยมแม่กับเรานี้ ถ้าไม่เอาโยมแม่บวชเห็นจะไม่ได้ มันเกี่ยวพันกันอยู่อย่างนี้’ พิจารณา ผมก็เข้าใจ ๆ ไปตามลำดับของนิมิตที่เป็นเครื่องเทียบเคียง โยมแม่เราก็เอามาบวชตั้งแต่โน้น

ส่วนที่รดน้ำประชาชนนี้ เกี่ยวกับการสั่งสอนประชาชนนั้น เราก็เข้าใจ ส่วนเรื่องสรงน้ำพระพุทธรูปทั้งหลาย เราไม่พูดเท่านั้น เรื่องนิมิตมันก็แปลก

มองไปทางนี้ประชาชนแน่นหมด รอบหมดเลย นี่มันอะไรกันอีก แล้วมันก็เข้าใจ ลงไปทีนี้ประพรมเหมือนกับว่าน้ำพุทธมนต์ให้ประชาชน พอออกจากนี้ไปแล้วก็มีแต่ประชาชน เรื่องพระพุทธเจ้าก็เรียกว่าหาย ผ่านไปแล้วหายเงียบเลย

ทีนี้มีแต่ประชาชนเต็มหมดเลย มองไปไหนสุดสายหูสายตา ฟากจากนั้นไปอีกพักหนึ่งลงต่ำไป มันต่ำกว่ากันประมาณสักวากว่า ๆ เราก็ลงจากฟากนั้นลงไป ทีนี้เวลาประพรมน้ำมนต์ให้ประชาชน รดน้ำมนต์ประชาชนนี้ มันออกจากนิ้วมือออกจากฝ่ามือ พอมือเราสาดน้ำนี้แตกกระจายไปเลย แตกกระจายนี้ทั่วถึงอย่างรวดเร็ว มันก็ชัดเหมือนกันพอส่ายนิ้วมือนี้ ช่า ๆ ๆ ไปหมด น้ำนี้ออกจากนิ้วมือ มันก็ใม่นาน มันทั่วถึงหมดนะ มาก ๆ นั่นน่ะ เพราะมันเป็นในนิมิตให้รู้เรื่องราว พอส่ายมือไปนี้น้ำอันนี้จะออกจากปลายมือ ๆ นี้ ช่า ๆ ๆ สาดนู้นสาดนี้จนรอบหมดในเวลาไม่นานเลย พอจากนั้นปั๊บลงไปแล้ว อ้าว.. จะลงจากที่ประพรมน้ำมนต์ให้ประชาชน

จากนั้นมาเกี่ยวกับโยมแม่ เห็นโยมแม่มาข้างล่าง ตอนนั้นเรายังเหาะอยู่ ประชาชนนั่งอยู่นี้ เหมือนเราเหาะอยู่บนประชาชน น้ำส่ายมือไปนี้ น้ำออกปั๊บ ๆ กำลังก้าวลงไป โยมแม่อีกแล้ว อ้าว.. โยมแม่มาคอยอยู่นั้น ‘อ้าว.. นี่จะไปไหนอีกล่ะ’ ‘ไม่ไปไหนแหละ’

‘จะไปแล้วเหรอ จะไม่กลับเหรอ’ ลักษณะว่างั้น ‘อ๋อ.. ไปทำประโยชน์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะกลับมา’ คือเวลาจะลงมาเห็นอย่างนั้น พอว่างั้นก็เลยลงไป ตอนนี้ยังมัว ๆ นิดหน่อย ดูว่าเวลาจะขึ้นนะ โยมแม่มารออยู่นี่ จะขึ้นไปสรงน้ำพระพุทธเจ้าและประชาชนทั้งหลาย โยมแม่ว่า ‘เหอ จะไปแล้วเหรอ จะไม่กลับมาแล้วเหรอ’ ว่างั้นนะ

เราบอกว่า ‘จะกลับ คือเราจะไปทำธุระ เรียบร้อยแล้วจะกลับมาหาโยมแม่ รออยู่นี่แหละ’ เราว่างั้น รออยู่นี่ หมายถึงรออยู่บ้านโยมแม่

พอว่าอย่างนั้นแล้วเราก็ผ่านขึ้น สรงน้ำเสร็จแล้ว โยมแม่ปูเสื่อเอาไว้ ก็มีบ้านหลังหนึ่งเล็ก ๆ หลังในนิมิต ปูเสื่อไว้ก็มีน้องชายคนหนึ่ง นั่งอยู่นั้น คอยอยู่ เราก็เหาะลงไปหน้าบ้านขึ้นไปนั่ง พอลงไปแล้วเราก็ไปนั่งเสื่อ โยมแม่ก็นั่งอยู่นี้ น้องชายนั่งอยู่คนหนึ่ง เหมือนกับจะสอนโยมแม่อะไร ๆ นี่แหละ พอดีรู้สึกตัวเสีย พอไปถึงอันนี้ยังไม่ได้สอนว่าไงนะ มันก็รู้ในจิตทันทีเลย ทีนี้จิตมันก็ถอยออกมา เรื่องราวก็เลยหมดไป มันก็เข้าใจทันที

ลัก...ยิ้ม 17-06-2020 03:36

‘เอ้อ.. เรานี้จะไปไหนไม่พ้นละนะ โยมแม่มาเกี่ยวกันแล้ว ไอ้เด็กน้องชายนี่ มันมีอะไรอีกนะ มันมีอะไรมาเกี่ยวพันกับเราอีกนะ’

จากนั้นไปแล้ว เราจึงได้พิจารณา จึงได้กลับมาบวชโยมแม่ ไปไหนไม่ได้นะ เกี่ยวกับโยมแม่แล้ว ออกมาก็มาบวชโยมแม่ได้อย่างคล่องตัว ไม่มีอุปสรรคขัดข้องประการใดเลย แล้วไอ้น้องชายนั้นก็มีธุระ เราไปเปลื้องเหตุผลกลไกอะไรทุกอย่าง.. ให้ผ่านไปได้เรียบร้อย แน่ะ..มันก็มาเกี่ยวข้องกับเรา เรื่องราวสงบเรียบร้อยไป จากเราเป็นผู้ไประงับเหตุการณ์ต่าง ๆ

ทีนี้ก็มาพิจารณานี้ เราพูดจริง ๆ อ้าว.. ทีนี้จะเปิดนะ เรื่องที่ขึ้นไปสรงน้ำพระพุทธเจ้านี้ พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ เต็มไปหมดเลยอยู่บนแท่น ขึ้นไปแล้ว เป็นพระพุทธรูปทองคำทั้งแท่ง ๆ นี้ มันก็วิ่งถึงกันนี่แหละ ที่ว่าจิตขอให้ได้ถึงวิมุติเถอะน่ะ พอมันจ้าขึ้น.. เท่านี้มันจะถึงกันหมด บรรดาพระพุทธเจ้าไม่ต้องถามกัน เป็นอันเดียวกันหมดเลย ครอบไปหมดเลย ถึงหมด นี่เราแยกออกนะ พออันนี้มันผางเข้าไปจุดนั้นแล้ว มันจะทั่วถึงกันหมด บรรดาพระพุทธเจ้ามีจำนวนมากน้อยทั่วถึงกันหมด เป็นอันเดียวกันเลย ดังที่เคยพูดแล้วเหมือนน้ำมหาสมุทร

ทีนี้ออกจากนี้ไปมันเกี่ยวข้องอะไรอีก นี่ก็มาเกี่ยวข้องกับเรื่องการแนะนำสั่งสอนประชาชนอย่างทุกวันนี้ เห็นไหมล่ะ มันก็พอเป็นพยานได้แล้วมิใช่เหรอ สอนประชาชนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย.. สอนไม่หยุดไม่ถอย กว้างขวางออกไปจนออกทั่วโลก นี่ที่ว่าเอามือส่ายไปอย่างนี้ มันก็เข้ากันได้ เอาโยมแม่มาบวช แนะนำสั่งสอนโยมแม่ เรื่องราวจึงจบลงไป มันก็เดินตามนั้นไม่เห็นผิด

นี่ได้ออกปากพูดจริง ๆ ให้กับหมู่เพื่อนฟังเรื่องเฉพาะโยมแม่นี่ เรามาพิจารณาตรองตามเรื่องนี้ ‘ผมไปไหนไม่รอดนะ โยมแม่มีมาเกี่ยวข้องแล้ว จะต้องได้เกี่ยวข้องกับโยมแม่ ถ้าไม่เอาโยมแม่บวช.. เห็นจะไม่ได้ มันเกี่ยวพันกันอยู่อย่างนี้

พิจารณาผมก็เข้าใจ ๆ ไปตามลำดับของนิมิตที่เป็นเครื่องเทียบเคียง โยมแม่เราก็เอามาบวชตั้งแต่โน้น เรื่องโลก เรื่องสงสารมันก็เกี่ยวพันมา ดังที่แนะนำสั่งสอน มันไม่ได้เป็นไปด้วยความเสความแสร้งอะไรนะ มันเป็นไปโดยหลักธรรมชาติ ส่วนที่รดน้ำประชาชนนี้ เกี่ยวกับการสั่งสอนประชาชนนั้น เราก็เข้าใจ ส่วนเรื่องสรงน้ำพระพุทธรูปทั้งหลาย เราไม่พูดเท่านั้น เรื่องนิมิตมันก็แปลก ส่วนที่ขึ้นไปสรงน้ำพระพุทธเจ้านี้ เราก็ไม่เคยคาดเคยคิด ไม่อาจไม่เอื้อมว่าจะเป็นอย่างนั้น ขึ้นมาแล้วจะได้พูดอย่างนี้ขึ้นมา

ลัก...ยิ้ม 17-06-2020 03:52

ในหลักธรรมชาติเวลาจิตมันเข้าถึงขั้นของมันเต็มภูมิแล้วถึงพระพุทธเจ้า มันถึงหมดเลย ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าองค์ใด ไม่มองดูองค์ใดแหละ เป็นอันเดียวกันแล้วพอ นี่ละธรรม ที่เวลามันเข้าถึงเรียกว่า ธรรมธาตุ วิมุติหลุดพ้นแล้ว จ้าขึ้นเป็นอันเดียวกันหมดเลย นี่มันก็เข้ากันได้ เราก็ไม่สงสัย นิมิตอันนั้นขึ้นมากับจิต ที่มันเป็นมันก็เข้ากันได้ จากนั้นมาที่ว่าจะสั่งสอนประชาชนมืดแปดทิศแปดด้าน เวลาสอนประชาชนก็น้ำที่ประพรมประชาชน มันออกจากนิ้วนะ ออกทุกนิ้ว สาดจ้าไปหมดเลย จนกระทั่งหมดแล้วถึงได้ลงไปหาโยมแม่ มันก็เป็นไปตามนั้น จะให้ว่าไง

นี่เราก็พูด อันนี้มันเกี่ยวกับประชาชน เราพูดกว้าง ๆ ไว้ ธรรมดาอันนี้มันเกี่ยวกับประชาชน พูดให้พระฟัง สำหรับพระพุทธเจ้านั้น เราก็พูดถึงเรื่องหลักธรรมชาติแล้วเป็นอันเดียวกัน ถึงกันหมดเลยไม่ต้องถามกัน ทั่วถึงหมด ส่วนเกี่ยวข้องกับประชาชนในการแนะนำสั่งสอน ก็พูดเท่านั้น เราไม่ได้พูดกว้างขวางอะไรนะ มันก็เป็นไปตามนั้น จะพูดไปอะไรนักหนา แล้วสอนประชาชนเป็นยังไง ทุกวันก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ กว้างขวางหรือไม่กว้างขวางก็พิจารณา...”

ลัก...ยิ้ม 17-06-2020 20:16

องค์ท่านกล่าวถึงความรู้จากนิมิตในครั้งนั้น กับการออกมากู้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในเวลาต่อมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงบั้นปลายชีวิตว่า เป็นสภาวธรรมที่ประจักษ์รู้เห็นได้เฉพาะตน ดังนี้
“... นี่ความรู้ ถ้ามันลงได้เป็นขึ้นในจิตมันจะไปถามใครง่าย ๆ ไม่ถามนะ ความแน่อยู่ในนั้นหมด เช่นอย่างขึ้นไปสรงพระพุทธเจ้านี้ ทางนี้รับกันแล้ว สรงพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็คือ ความรู้นี้เข้าซ่านถึงกันหมดแล้ว ที่รดน้ำประชาชนมันก็เข้าใจ บอกในตัว รู้ในนี้ ๆ เสร็จไม่ต้องไปวินิจฉัย อันนี้เกี่ยวกับการสอนโลก สอนประชาชนเป็นอย่างนี้ ๆ มันก็เป็นอย่างนั้น นี่ความรู้ที่เกิดขึ้นจากจิตใจทางด้านจิตตภาวนา อย่างนี้เราก็ไม่เคยพูดอย่างจะแจ้งเหมือนวันนี้ วันนี้มันเกี่ยวกับโยมแม่มาแล้วก็เลยพูดให้ฟัง


อย่างอื่นก็เหมือนกันนี้ นี่มันเป็นอยู่ในจิตใจ แต่ไม่จำเป็นต้องพูดก็เหมือนไม่รู้ ๆ อันใดที่ควรจะพูดเพราะมันเป็นสักขีพยาน ดังที่เทศน์สอนโลกก็ออกมาแจงกันดู สรงพระพุทธรูปก็คือเข้ากราบซ่านถึงพระพุทธเจ้า.. เป็นอันเดียวกันหมด มันก็เข้าใจ สอนประชาชนเข้าใจจนกระทั่งมาสอนโยมแม่ มันก็ได้เหตุได้ผลไปตามร่องรอยที่รู้แล้ว ๆ บอกว่าเรานี้ไปไหนไม่ได้นะ เวลานี้โยมแม่เข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว จะต้องได้เกี่ยวข้องโยมแม่ก่อน มันก็เป็นไปตามนั้น

นี่พูดถึงเรื่องความรู้ภายในจิตใจ ไม่ใช่ธรรมดานะ การปฏิบัติธรรม.. ขอให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ที่พูดเหล่านี้นั้น เอามาพูดเฉพาะที่พอพูดได้ ๆ ที่พูดไม่ได้มันหนาแน่นครอบโลกธาตุ ความรู้นี่มันซ่านไปหมดเลย อะไรที่ควรพูดไม่ควรพูดมันก็รู้เองในจิตที่รู้ ๆ อันใดที่ควรจะนำออกมาพูดได้ เป็นประโยชน์มากน้อยก็นำมา อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ แต่มันเกลื่อนในสิ่งที่รู้ที่เห็น มันก็เกลื่อน ก็ปล่อยไว้ตามสภาพเป็นจริงเสีย

เรื่องสภาวธรรมทั้งหลายจะปิดธรรมชาติที่รู้นี้ ปิดไม่ได้นะ ถึงการรู้การเห็นไปถามพระพุทธเจ้าที่ไหน ไม่ถาม..ว่างั้นเลย เวลารู้มันประจักษ์ ๆ หายสงสัย ๆ ไปในตัวเลย ท่านจึงว่า สันทิฏฐิโก การแก้กิเลสทุกประเภทก็เป็น สันทิฏฐิโก ไม่ต้องไปถามใคร นี่ละอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

อย่างที่เรามาสอนโลกนี่ก็เหมือนกัน พาพี่น้องทั้งหลายช่วยชาติบ้านเมืองก็เหมือนกัน เราพิจารณาโดยอรรถโดยธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างไปตลอดจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ดำเนินไปโดยอรรถโดยธรรม เราจะไม่เอาเรื่องโลกเรื่องสงสาร.. เข้ามาเป็นใหญ่เป็นโตยิ่งกว่าธรรมที่เราได้ปฏิบัติ ได้รู้ ได้เห็น แล้วเอาธรรมนี้เป็นเข็มทิศทางเดิน พิจารณาตามธรรม สมควรยังไง ไม่สมควรยังไง จะออกมากน้อย ๆ ออกช่องไหน ๆ มันจะเป็นไปตามธรรม ๆ แล้วก็พาก้าวเดินไปตามที่เป็นมานี้ ..

เดี๋ยวนี้เราเหมือนกับว่า อยู่ในท่ามกลางชาติไทยของเราทั้งชาติ ทั้งศาสนา เพราะเราก็เป็นคนไทย ทั้งชาติทั้งศาสนาก็อยู่กับเราหมด ความรับผิดชอบกระเทือนถึงกันหมดทั่วประเทศไทย แล้วเราก็มาทำประโยชน์เพื่ออุ้มชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ...”

ลัก...ยิ้ม 19-06-2020 19:16

พาโยมมารดาบวช

ในช่วงพักจำพรรษาที่ห้วยทรายตลอด ๔ ปี องค์ท่านมักออกเที่ยววิเวกตามอัธยาศัย ที่ไปมาอย่างสะดวกสบายเงียบ ๆ ตามลำพัง สถานที่ที่ท่านวิเวกในช่วงนั้น หากไม่นับย่านที่ไกลออกไปเช่นในจันทบุรีแล้ว บริเวณเทือกเขาภูพานในแถบนี้ ท่านออกเที่ยวชมหมด ดังนี้
“ตอนไปอยู่ห้วยทรายก็ขื้นเทือกเขาภูพานทางโน้น เรียกว่าภูเขาตั้งแต่หนองสูง คำชะอี (จังหวัดมุกดาหาร) มาถึงอำเภอสว่าง (สว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร) เราเที่ยวแหลกหมดเลย เที่ยวป่าเที่ยวเขา .. ออกพรรษาแล้วหายเงียบ ๆ ไปอย่างสบาย”


อย่างไรก็ตาม หลังมีนิมิตอัศจรรย์ปรากฏแก่ท่านเช่นนี้แล้ว การท่องเที่ยววิเวกไปตามอัธยาศัยก็มีอันต้องสะดุดลง ดังนี้
“นิมิตแปลกดีนะ นิมิตอันนี้มีแปลกแต่ต้องได้ชม ถ้าลงนิมิตได้แสดงให้เห็นชัด ๆ อย่างนั้น มันไม่ค่อยผิดค่อยพลาดเท่าไร


‘ผมมาพิจารณาดูเรื่องเกี่ยวกับโยมแม่ ภาวนาอยู่นิมิตปรากฏเกี่ยวกับโยมแม่ ถ้าเราได้เอาโยมแม่บวชจะไม่ได้นะ มันเกี่ยวกันอย่างไรจะต้องให้โยมแม่บวช แล้วจะต้องเป็นอย่างนั้น ๆ ตามนิมิตตามความเป็นในสิ่งนี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่สงสัย

แล้วเป็นจริง ๆ ตามนั้น เราจึงไม่มีอะไรคิดเพราะเป็นไปตามที่คิดไว้แล้ว มันก็ได้ตั้งสำนัก (จริง ๆ) นี่ว่ายังไง แต่ก่อนผมไม่มีสำนักนี่ ตามนิสัยเราอยู่ที่ไหนเราก็อยู่ของเรา ไปของเราสบาย ออกพรรษาแล้วหายเงียบ ๆ ไปอย่างสบาย หายห่วงเหมือนนกมีแต่ปีกกับหางเท่านั้น...

อันนี้มาเอาโยมแม่บวชจะต้องเป็นอย่างนั้น ๆ แล้วก็เป็นอย่างว่าจริง ๆ พะรุงพะรังเราไม่มีทางแก้ไข เพราะพิจารณาทราบไว้แล้วตั้งแต่โน้น เอามือเขียนจะเอาตีนลบได้ยังไง ถ้าไม่เอาโยมแม่บวชนี้เห็นจะไม่ได้แล้วกัน แต่โยมแม่ก็บวชได้อย่างง่ายดาย โยมแม่ก็ยิ้มเอาเลย
‘แน่ะ ! มันก็เป็นไปตามนั้น’ ...”


จากนั้นท่านจึงจากบ้านห้วยทรายมาที่บ้านตาด เพื่อชักนำให้โยมมารดาออกบวช หลวงปู่หล้าบันทึกเหตุการณ์ในระยะนี้ไว้ว่า
“ ... พอถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ออกพรรษาแล้ว จีวรกาลเสร็จ องค์ท่าน (หมายถึงองค์หลวงตามหาบัว) จะได้ไปเอามารดาบวชขาว องค์ท่านก็คิดละหวนทวนไปมาว่า ถ้าบวชแล้วจะเอาโยมมารดามาอยู่ห้วยทราย คุณชีแก่ ๆ อายุมากตลอดทั้งหนุ่มก็มีอยู่มากแล้ว เกรงจะมาทับถมให้ภาระหนักขึ้นแก่ผู้ที่ท่านบวชก่อน เพราะเป็นโยมมารดาของผู้เป็นเจ้าอาวาส ก็ต้องจะได้ให้เกียรติให้คุณเป็นพิเศษ เกรงจะหนักใจแก่ท่านผู้มีอายุมากและพร้อมทั้งบวชก่อน จึงตกลงใจว่าบวชโยมมารดาแล้วจำจะหาที่อยู่ใหม่ องค์ท่านจึงปรึกษากับคณะสงฆ์ว่า
‘ผมจะได้ไปบวชโยมมารดา ส่วนจะกลับนั้นบอกไม่ถูกเสียแล้ว ส่วนที่จะไปกับผมนั้น จะไปหมดก็ไม่ถูก เวลาอยู่เราก็แย่งกันอยู่ เวลาไปเราก็แย่งกัน มันเป็นเรื่องไม่งามแก่ฝ่ายปฏิบัติ จะเสียวงศ์ตระกูลฝ่ายปฏิบัติ


ฉะนั้น ขอให้คุณสม.. จงพาหมู่อยู่นี้บ้างในพรรษาต่อไปนี้ ทีนี้ส่วนผู้ที่จะไปกับผม คนนั้นคนนี้ผมก็ไม่ว่า ส่วนจะอยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน ถ้าไปกับผมมากก็ลำบากอีก เพราะไม่ทราบว่าจะได้อยู่ที่ใดแน่ จึงเป็นของน่าควรคิดมากแท้ ๆ ในเรื่องนี้’...”

เมื่อถึงบ้านตาด ท่านจึงจัดการบวชชีให้โยมมารดา และให้การอบรมปฏิบัติจิตภาวนา ปีนั้นโยมมารดามีอายุครบ ๖๐ ปีพอดี ท่านเล่าเหตุการณ์ในระยะนั้นว่า
“... พอได้เวลาแล้ว ก็จดหมายมาบอกโยมแม่ว่า ‘จะมาจากห้วยทรายประมาณวันที่เท่านั้น ให้เตรียมพร้อมไว้’


ตั้งใจว่าเมื่อมาแล้วจะเอาโยมแม่บวชทันที พอมาถึงโยมแม่ก็พอดีเตรียมพร้อมไว้แล้วก็จับบวชเลย มีผู้เฒ่าแม่แก้ว (คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ) ที่ติดตามมา ๓ คนนี้มาเพื่อโยมแม่นี่เอง ถ้าไม่อย่างนั้นโยมแม่จะไม่มีเพื่อนฝูงอยู่ เพราะพวกนั้นก็เห็นคุณเรานี่ ...

ทีนี้เราจะบวชโยมแม่นี้ เขาก็ติดตามมาเพื่อมาเป็นเพื่อนฝูงของโยมแม่นั่นละ... พอมาก็จับบวชเลยทันที คล่องตัวเลย ...”

ลัก...ยิ้ม 19-06-2020 20:46

หลวงปู่เจี๊ยะสร้างวัดให้

จันทบุรีเป็นจังหวัดที่มีความพิเศษ มีความเคารพเลื่อมใส และมีความเกี่ยวข้องผูกพันยาวนานกับพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ตลอดมา มีฆราวาสนักภาวนาและพระภิกษุสามเณรออกบวช.. ปฏิบัติธุดงค์กรรมฐานจนปรากฏชื่อเสียงเรียงนามจำนวนมาก องค์หลวงตากล่าวถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ไว้ตอนหนึ่งว่า
“พระกรรมฐานเรามีมากอยู่ที่จันทบุรีแห่งหนึ่ง ที่จันท์ฯ นี้ต้นเหตุก็ไปจากท่านอาจารย์ลี เราไปที่นั่น เขาค่อยรู้เรื่องรู้ราวแล้ว ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ไปไล่เลี่ยกัน ไปแถวนั้น เลยกลายเป็นตั้งหลักกรรมฐานขึ้นที่จันทบุรี ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ วัดกรรมฐานจึงมีมากอยู่เสมอ เพราะสถานที่ทำเลเหมาะ ๆ ๆ มันเป็นป่าเป็นเขาแล้วก็ไปที่จันท์ฯ นั่น มีแต่ครูบาอาจารย์องค์สำคัญ ๆ นะ ท่านอาจารย์ลี ท่านอาจารย์กงมา ท่านอาจารย์จันทร์ และก็ท่านอาจารย์มหาทองสุกที่มาเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดสุทธาวาส จึงว่าจันท์ฯ นี่มีแต่พระดี ๆ พระองค์สำคัญ ๆ ทั้งนั้น ไปตั้งฤกษ์ตั้งแถวเป็นปฐมฤกษ์ได้ดีมากทีเดียว”


ด้วยเหตุนี้เอง จันทบุรีจึงมีสำนักกรรมฐานกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ จำนวนมาก เฉพาะท่านพ่อลีองค์เดียวจำพรรษาที่จันทบุรี ๑๔ พรรษา ได้สร้างสำนักปฏิบัติที่จันทบุรีมากถึง ๑๑ สำนัก ขอย้อนกล่าวถึงองค์หลวงตา สมัยอยู่ห้วยทราย จังหวัดมุกดาหาร ท่านหาอุบายหนีหมู่เพื่อนพระเณรมาหลบพักอยู่วัดป่าคลองกุ้ง จังหวัดจันทบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕ และกลับไปจำพรรษาที่ห้วยทรายเช่นเดิม

พอถึงปลาย ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ ท่านตัดสินใจเดินทางออกจากห้วยทราย มาบวชโยมแม่ที่บ้านตาด จากนั้นจึงเดินทางต่อไปยังวัดยางระหง จังหวัดจันทบุรี สมัยนั้นยังเป็นป่าดง รถยนต์เข้าได้เป็นบางเวลา หน้าแล้งรถจี๊ปเข้าไปได้บ้าง ท่านเล่าเหตุการณ์ในช่วงนี้ว่า
“... ที่จะได้ลงมาจันทบุรี ก็เพราะเป็นห่วงโยมแม่ ถ้าโยมแม่บวชแล้วอยู่บ้านตาด จะเป็นสัญญาอารมณ์กับลูกกับหลาน อยู่ในบ้านใกล้บ้านไม่เหมาะ พอบวชโยมแม่แล้วก็พาโยมแม่หนี กลัวจะเป็นกังวลกับลูกหลานบ้านเรือนอะไร ก็พาหลบหนีมาจันทบุรีนี้แหล


เข้าไปอยู่วัดยางระหงลึก ๆ ที่ท่านถวิลอยู่ พักอยู่วัดยางระหงประมาณ ๓ เดือน ออกจากยางระหงเพราะอาจารย์เจี๊ยะ (จุนโท) มานิมนต์เราว่า
‘พี่สาว เจ้ลุ้ย คุณรัตน์ ซื้อที่ไว้ ๒๖ ไร่ ๓ งาน ๕๓ ตารางวา เป็นจำนวนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นทำเลเหมาะสมกับบำเพ็ญกรรมฐาน อยากถวายเป็นวัดกรรมฐาน ก็มองเห็นท่านอาจารย์พอดี เวลานี้ท่านอาจารย์กำลังเที่ยวธุดงค์มา ยังไม่ได้ตั้งรกตั้งรากฐานที่ไหน มาขอนิมนต์ให้ไปที่วัด ใกล้สถานีทดลองฯ’


มานิมนต์เรา เราก็ว่าจะไปดูเสียก่อน เราก็มาจากยางระหง..มาดู ทำเลดีอยู่ก็เลยรับ นั่นละเรื่องราวมัน ที่สามแยกพลิ้วนั่นละ อาจารย์เจี๊ยะพอทราบว่าเรารับเท่านั้นละ แถวคลองแถวอะไร ท่านเป็นคนหนองบัว ทรายงาม แถวนั้นเป็นญาติเป็นมิตรท่านทั้งหมด แถวคลองแถวนั้น พอเรารับเท่านั้น ท่านสั่งคำเดียวเลย คนนั้นเอาหลังนั้น ๆ ต่างคนต่างมาสร้างกุฏิกระต๊อบ ๆ ให้คนละหลัง ๆ เหมือนไม่ได้สร้างวัดนะ เพราะต่างคนต่างมาทำเฉพาะกุฏิของตัว ๆ นี่ท่านอาจารย์เจี๊ยะนะ เป็นคนสั่งทีเดียว เราไม่ได้สร้างอะไรเลยสักนิดเดียว

ที่ครัวโยมแม่ก็อาจารย์เจี๊ยะเป็นคนจัดเอง ไปสั่งให้ไปอยู่รวม ๔ คนทั้งโยมแม่ด้วย นั่นละสร้างวัดที่นั่น อาจารย์เจี๊ยะจึงมีคุณมากต่อเรา คือสร้างวัดทั้งหมดนั้น บรรดาพระกรรมฐานดูเหมือน ๑๑ องค์หรือไง ให้ได้ทุกองค์ ๆ กระต๊อบอย่างของเรานั่น อย่างเดียวกันนี่ละแต่มุงจาก ไม่ใช่หญ้า มุงจาก สร้างปั๊บ ๆ สูงขนาดนี้ แล้วมีพักหนึ่งนั่งภาวนา แล้วก็ทางจงกรม

ก็ท่านเป็นกรรมฐานลูกศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ได้ยังไง ท่านก็รู้ สร้างกุฏิตรงไหน ทางจงกรมตรงไหนเหมาะสม ท่านรู้เอง ท่านจัดสั่งหมดเลย เราไม่ได้ไปสร้างกระทั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ไปนิมนต์เรา.. ออกมากับโยมแม่..ละมา

ท่านเจี๊ยะมาสร้างให้อยู่สบาย เรียกว่าท่านมีคุณต่อเรา ท่านมาสร้างให้อยู่สบาย กุฏิ ๑๒ หลัง ศาลาให้เอาเล็ก ๆ โยมแม่ก็เล็ก ๆ เหมือนกัน ท่านจัดให้หมด เรียกว่าท่านมีคุณต่อเรามากมาย อาจารย์เจี๊ยะ.. เราไม่ลืมนะ เรื่องคุณนี้รู้สึกจะมีเด่นในหัวใจเรา มันเป็นในนิสัยเองเรื่องคุณ ใครได้ทำคุณให้แก่เราเป็นอยู่ลึก ๆ ไม่ลืมนะ

นี่ท่านอาจารย์เจี๊ยะทำนี้ไม่ลืม ไปก็ขึ้นอยู่เลย ท่านอยู่เขาแก้วตอนนั้น ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่เขาแก้ว ท่านกับเราพัวพันกันมาตั้งแต่ไปอยู่สกลนครด้วยกันกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น รู้จักคุ้นเคยกันมาแต่โน้น กับอาจารย์เฟื่อง อาจารย์เจี๊ยะ สององค์พระชาวจันท์ฯ นะ คุ้นกันมาตั้งแต่สกลนครกับหลวงปู่มั่น เพราะฉะนั้นเวลาเราไปท่านทั้งสอง เฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์เจี๊ยะจึงมารับรองทุกอย่างเลยเทียว

ธรรมดาเราไม่อยู่แหละ รู้สึกมันขวางใจเอาเหลือเกินระหว่างพี่กับน้อง เสียงพี่สาว เสียงไมโครโฟน น้องชายก็เสียงโทรโข่ง ขัดกันเถียงกัน อยู่กระต๊อบเล็ก ๆ บ้านพี่สาวเขาทำโรงน้ำอ้อย

เราไปพักอยู่โรงน้ำอ้อยนี่แหละ ฟังเสียงคุยกันสองคน พี่สาวว่าจะเอาองค์นั้น ทางน้องชายว่ามึงอย่าเอาอีลุ้ย มึงเชื่อกูเถอะน่ะ เถียงกันเราได้ยินชัดเจน
‘ให้มึงเอาอาจารย์มหาบัว มึงต้องการองค์ไหน ๆ มึงคอยดูกูนะ กูพูดผิดไหม อาจารย์องค์นี้มึงเคยเห็นท่านแล้วยัง องค์ที่ว่ากูไม่เคยเห็น.. อย่าว่าแต่มึงเลย ว่าองค์นั้นเทศน์ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ท่านมาอยู่เสียก่อน ดีไม่ดีก็รู้กันเอง” ว่างั้น เถียงกันเราได้ยิน โอ๊ย.. ขบขันกันเอง”


เราจึงได้พาโยมแม่ไปจำพรรษาที่นั้น อาจารย์เจี๊ยะเป็นผู้มีบุญคุณต่อเรามาก เราไม่เคยลืมนะ ฝังลึกมาก เรานี้ไม่เหมือนใคร ถ้าฝังอะไรต้องฝังลึกมาก พูดถึงเรื่องอาจารย์เจี๊ยะที่มีคุณต่อเรา วัดนั้นทั้งหมด สถานีทดลอง เป็นอาจารย์เจี๊ยะทั้งหมดเลยสร้างให้ เอาจริงเอาจังมาก ปรกติท่านก็เคารพเราแค่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่อยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นด้วยกัน ท่านก็รู้อยู่ เป็นพระหนุ่มพระน้อยด้วยกัน ต่อจากนั้นก็เกี่ยวข้องกันมาเรื่อย ๆ ท่านเคารพมาเรื่อย ๆ

พอนิมนต์เราไปที่วัดใกล้สถานีทดลองฯ เราไม่ได้ทำงานอะไร เราไม่ได้เกี่ยวข้อง เป็นสัญญาอารมณ์กับการก่อสร้าง ท่านทำเองทั้งหมด โยมนั่นเอากุฏิหลังนั้น โยมนี้เอากุฏิหลังนี้ ท่านชี้ทีเดียวเลย คนที่ไปอยู่ที่สถานีทดลอง ๆ ย้ายมาจากทางหนองบัว ซึ่งเป็นญาติ ๆ ของท่านทั้งนั้น จะเป็นญาติหรือไม่ก็ตาม ท่านก็คุ้นกับเขาอยู่แล้ว สั่งยังไงก็ได้หมด จึงว่าอาจารย์เจี๊ยะมีคุณต่อเรามากมาย สร้างวัดสร้างวาให้หมด เราไม่ได้ไปแตะ ไม้ชิ้นหนึ่งก็ไม่ได้ไปแตะ ทำเสร็จแล้วเข้าไปอยู่เลยสบาย ทางจงกรมท่านก็ทำให้เหมาะ ๆ หมดเลย สะดวกสบาย อาจารย์เจี๊ยะท่านมีคุณต่อเรามาก...

เรื่องสิ่งปลูกสร้างอะไร ๆ ไม่มีปัญหา ได้คนละ ๑ หลังเลย เราก็เลยอยู่จำพรรษาที่นั่น นั่นละ..ท่านมีคุณต่อเรามากนะ...”

หนังสือประวัติหลวงปู่ฟัก สันติธัมโม วัดเขาน้อยสามผาน จังหวัดจันทบุรี ได้กล่าวถึงพระที่จำพรรษาในครั้งนั้นกับท่าน ดังนี้
“... ในปีนั้น มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ตามท่าน (องค์หลวงตาพระมหาบัว) มาด้วยหลายรูป อาทิ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร พระอาจารย์เพียร วิริโย พระอาจารย์บุญเพ็ง เขมาภิรโต พระอาจารย์ลี กุสลธโร เป็นต้น โดยในครั้งนั้นพระอาจารย์ฟักขณะยังเป็นฆราวาส ก็ได้พามารดาไปกราบท่านที่วัดนี้ด้วย...”

ลัก...ยิ้ม 20-06-2020 13:38

จันทบุรี.. แดนธรรมกรรมฐาน

หลังจากท่านพระอาจารย์เจี๊ยะ จุนโท นิมนต์องค์ท่านมาพักและสร้างวัดขึ้นในที่ดินของโยมพี่สาว บริเวณสถานีทดลองกสิกรรมพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ ท่านพระอาจารย์เจี๊ยะเป็นผู้ดูแลในการจัดสร้างเสนาสนะ ให้ได้รับความสะดวกครบถ้วน ใช้เป็นที่พักจำพรรษาได้เป็นอย่างดี มีขอบเขตบริเวณเป็นส่วนเป็นสัดชัดเจน ทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายอุบาสิกา

การเกี่ยวข้องสังคมกับประชาชนของท่านนั้น ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนที่จังหวัดจันทบุรีนี้เอง ท่านเล่าถึงสภาพธรรมชาติที่เหมาะสม ประกอบกับพี่น้องชาวจันทบุรีที่มันคงเหนียวแน่นทางพุทธศาสนาไว้ ดังนี้
“... ที่จันท์ฯ มีสถานที่วิเวกสงัดมากทีเดียว เพราะเป็นป่าเป็นเขา พระผู้ปฏิบัติเพื่อตักตวงเอามรรคผล นิพพาน ต้องเป็นผู้เช่นนั้น
...


ได้เทศน์ออกสังคมก็ไปเทศน์ที่เมืองจันท์ฯ เทศน์เหล่านั้นก็เทศน์แต่ไม่ได้อะไรนัก แต่เมืองจันท์ฯ นี่ โห.. เหนียวแน่นมาก นะ ศรัทธาสำคัญมากนะ วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระนี่ คนเต็มอยู่ นู่น.. สถานีทดลองฯ ไปฟังเทศน์เต็มอยู่

เขายังมาพูดอวดท่านพ่อลี เขาไม่รู้ว่าเรากับท่านพ่อลีคุ้นกันมาตั้งแต่เมื่อไร เขาไปแล้วก็เอามาคุยโม้กับท่านพ่อลี ระยะนั้นท่านพ่อลีท่านอยู่วัดป่าคลองกุ้ง เขาไปเล่าให้ท่านฟังว่า
‘ท่านพ่อ เดี๋ยวนี้ได้พระองค์สำคัญองค์หนึ่งแล้ว มาอยู่ที่วัดสถานีทดลอง’


‘สำคัญอะไร ?’ ท่านก็ว่าซิ ความจริงคุ้นกันมาตั้งแต่เมื่อไรเขาไม่รู้

เขาว่า ‘อู๊ย.. เทศน์นี้เก่งมากทีเดียว เทศน์น้ำไหลไฟสว่างไปเลย ชื่อท่านอาจารย์มหาบัว’ ว่าอย่างงั้น แล้วก็คุยให้ท่านฟังนะ

‘มันต้องอย่างงั้นซิ’ เวลาท่านตอบ ‘มันต้องอย่างงั้นซิ’ พอคำเดียว ความจริงเรากับท่านเคยสนิทสนมกันมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนท่านไปพักหนองผือ กราบเยี่ยมหลวงปู่มั่น เขาไม่ทราบว่าเรากับท่านอาจารย์ลีมีอะไรกัน เป็นอะไรกันมาเมื่อไร เขาไม่ทราบนะ เอาหัวเข่าไปอวดท่าน..มีอย่างเหรอ เขาจะไปรู้อะไร ...

เรื่องสมเด็จมหาวีรวงศ์ท่านไม่ค่อยสบาย ต้องนิมนต์ให้ท่านอาจารย์ลีไปด้วย ไปวัดบรมนิวาสแล้วกลับมา ไปแล้วกลับมา ทีนี้เป็นจังหวะที่ท่านพักวัดบรมนิวาส เวลาท่านกลับมาจันท์ฯ เขาออกมา เขาก็มาคุยโม้ให้ท่านฟัง ... เพราะเขาไม่รู้ว่ารู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อไรแล้ว ท่านก็อดหัวเราะไม่ได้ ท่านก็ว่าเพียงเท่านั้นละว่า ‘มันต้องอย่างงั้นซิ’ ...

ท่านก็ไปนะ วัดสถานีทดลองเรา ท่านตั้งใจเข้าไปเยี่ยม เสร็จแล้วก็พาเราไปอำเภอขลุงด้วยกันวันนั้น ท่านไปกับญาติโยม พาไปวัดนั้นวัดนี้ รถตู้คันหนึ่งแล้วเรา.. เราไปด้วย เวลาขากลับมาท่านจะเอาเราไปที่วัดคลองกุ้งด้วย ‘โอ๊ย วันนี้ไปยังไม่ได้ วันพรุ่งนี้จะตามไปทีหลัง’

ท่านก็ว่า ‘งั้นวันพรุ่งนี้ไปหาที่วัดนะ มีเวลาน้อย เดี๋ยวจะได้กลับกรุงเทพฯ อีก’

เอาอีกแหละ พอวันหลังก็ตามไปหาท่านที่วัดคลองกุ้งนั่นแหละ ท่านสนิทกับเรามากมาตั้งเมื่อไร พวกนั้นเขาไม่รู้...”

ลัก...ยิ้ม 20-06-2020 21:00

นิมิต “ทางไม่สะดวก” โยมหริ่งรู้ว่าจะมา

คืนหนึ่งระหว่างพักอยู่ที่สถานีทดลองฯ มีนิมิตปรากฏขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง บอกเตือนถึงความไม่สะดวก ที่จะต้องประสบอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ ดังนี้
“... เราอยู่สถานีทดลองฯ จะไปจังหวัดตราด ตัดสินใจปุบปับในเดี๋ยวนั้นว่าจะไป กลางคืนนิมิตไม่ดีแต่มีความจำเป็นที่จะต้องไปตราด ก็เลยเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง เรียกพระมาบอก .. เขาเรียกอะไร มันเป็นเนินหนึ่ง อาจารย์เฟื่องไปพักอยู่ที่เนินนั้น เป็นสวนยาง ที่สงบสงัดดี เราก็ไม่ได้ถามว่าเขาจะถวายวัด.. หรือว่าเขาถวายแล้ว หรือว่าท่านไปพักธรรมดา แต่เป็นทำเลที่เหมาะสมมาก เดินผ่านทุ่งนาไป ไม่มีถนนผ่าน สถานที่เหมาะสมมากในการภาวนา


ตอนนั้นเราไปแบบปุบปับ ท่านเพ็งนี่เราไม่ลืมนะ คือตัดสินใจตอน ๕ โมงเช้า (๑๑.๐๐ น.) จะไปตราด ก็เรียกท่านเพ็งมา
‘เพ็งนี่ ไปเรียกรถมาเดี๋ยวนี้ เรามีธุระด่วน วันนี้ผมจำเป็นที่จะต้องไปจังหวัดตราดด้วยความจำเป็น แล้วให้คอยฟังเสียงของผมด้วยนะ


นิมิตผมไม่ดีนะเมื่อคืน แต่ไม่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่เกี่ยวกับเรื่องเวล่ำเวลามีความคลาดเคลื่อนได้ คราวนี้ผมจะไม่สะดวกนะ หากไม่เป็นภัย เพียงไม่สะดวก’

เมื่อคืนนิมิตแสดงอย่างนั้น แล้วก็ออกเดินทาง จวนเข้าพรรษาแล้วด้วย คอยฟังก็แล้วกัน บอกชัด ๆ เลย ... พอเราเตรียมของปุบปับ ๆ แต่ก่อนรถไม่ค่อยมี มีสองบริษัท บริษัท ร.ส.พ. กับบริษัทเทียนชัย ในระยะเที่ยงมีรถ ร.ส.พ.ไป พอออกไปถึงหน้าสถานีรถประจำทางปั๊บ รถเขาก็มาพอดี เราก็ขึ้นไปถามเขาว่า ‘รถเทียนชัยออกไปหรือยัง ?’

‘อ๋อ ! รถเทียนชัยยังไม่ไป’ เขาว่างั้น พอเขาว่า “รถเทียนชัย” มันสะดุดจิตปุ๊บเหมือนในนิมิต ควรไปรถเทียนชัยหรือไม่ ? มันขวางทันทีเลยนะ

สักเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงรถบึ่ง ๆ มา ไปดูซิรถคันไหนมา เขาก็วิ่งปับออกไปดู รถกำลังวิ่งมานี่ ‘รถ ร.ส.พ. ๆ มา’ เขาว่างั้น

‘เอ้า ! ขึ้นคันนี้ ๆ ถ้าไม่ได้ขึ้นคันนี้ ไม่ได้ไป’ เราว่าอย่างนี้นะ

พอไปแล้วก็คงฝนตกทั้งคืนไปถึงจังหวัดตราด พอเลยอำเภอขลุงไปเท่านั้นแหละ โอ้โห ! ฝนตกหนักจนกระเป๋ารถมันต้องได้เดินนำหน้ารถ น้ำฝนมันท่วมสูง กระเป๋ารถคอยทำมือโบกนำทางไปเป็นย่าน ๆ ก็ต้องเป็นอย่างนั้นไปตั้ง ๓ ย่าน ๔ ย่าน พยายามบุกขึ้นเนินไปจนได้ เราจึงลงที่นั่น ไปค้างอยู่คืนเดียว พอกลับมาวันหลังน้ำฝนมันมากยิ่งกว่าอะไร ... รถก็มาได้แค่ ๑๒ กิโลเมตร

เราก็ลงมาเปลี่ยนผ้าอาบน้ำแล้วเอาผ้าจีวรพันคอ ลุยน้ำลึก ๓-๔ แห่ง บางแห่งก็ได้นั่งเรือ บางแห่งไม่มีเรือ ก็ลุยไปพอขึ้นมาถึงที่เนินนั้น เห็นแต่ใบไม้ลาดอยู่ตามนั้น แล้วก็เห็นรถบัสเทียนชัยเครื่องพังอยู่นั้นไปไม่ได้ เห็นคนเอากิ่งไม้มากั้นดารดาษ ฝนพรำทั้งคืน เปียกแฉะไปหมด มีรถคันเดียวทิ้งไว้นั้น รถอื่นไม่มีสักคันเดียว

ไปดูเห็นคนตากฝนกันคิดว่า ‘ถ้าเรามารถคันนี้มันเป็นอย่างนี้เอง’ นี่ละมันถึงได้ขวางในจิต มันไม่ยอมจะขึ้นรถคันนี้ กี่คนมาก็อยู่นั้นหมด ไม่ทราบว่ากลับคืนไปนู้นหรือไปไหนก็ไม่รู้ กลับคืนไปเขาสมิงหรือไปไหนก็ไม่รู้ เราก็ไม่ได้ถามเขา มองดูข้างทางใบไม้ปูเกลื่อนไปหมดเลย มีแต่ขี้ตมขี้โคลนเต็มไปหมด เพราะฝนพรำทั้งคืนนี่ แล้วทำไมคนจะไม่แย่ล่ะ

เรื่องนิมิตนี้ นอกจากมันสำคัญจริง ๆ เราถึงจะยึดเอามาพิจารณา ถ้าธรรมดา ๆ ที่มันเป็นในจิตนิด ๆ ก็ไม่เป็นไร พอตื่นเช้ามาก็ออกจากนั้นแล้วก็มาค้างที่วัดขลุง...”

ลัก...ยิ้ม 22-06-2020 13:20

เป็นที่น่าประหลาดใจว่า เหตุการณ์การเดินทางในครั้งนี้ขององค์หลวงตา ได้ล่วงรู้มาก่อนแล้วโดยความรู้พิเศษของโยมชาวจังหวัดตราดคนหนึ่ง ดังนี้
“... จังหวัดตราด แต่ก่อนลูกศิษย์มีเยอะแต่ก็คงจะล่วงลับไปแล้ว เพราะแต่ก่อนเป็นคนกลางคนไป เราไม่ได้ไปจังหวัดตราดนาน ลูกศิษย์คงจะหมดไปแล้ว จังหวัดตราดนี้เยอะนะลูกศิษย์ พอพูดถึงเรื่องจังหวัดตราด ก็ทำให้ระลึกถึงที่เคยพูดเสมอว่าโยมหริ่ง..ของเล่นเมื่อไหร่ โยมหริ่งคนจังหวัดตราด เป็นคู่กันกับโยมทองแดง เป็นคนจังหวัดจันท์ฯ ภาวนาเก่งทั้งคู่ ...


โยมหริ่ง...แกอยู่จังหวัดตราดนะคนนี้ อันนี้ก็อีกเหมือนกัน เขาหาว่าแกเป็นบ้า พวกชาววัดด้วยกัน ที่อยู่วัดด้วยกัน ปฏิบัติธรรมอยู่ที่..เขาเรียกอะไรนะ..จากจังหวัดเข้าไป มันเป็นเนิน เป็นเนินแล้วเป็นป่ายาง อาจารย์เฟื่องก็อยู่ที่นั่น ไปตั้งสำนักภาวนาอยู่นั่น มีโยมคนนี้ละกับพวกโยมเขา เป็นสำนักของเขาอีกทางหนึ่ง ท่านอาจารย์เฟื่องก็อยู่อีกทางหนึ่ง นี่ที่สำคัญมากนะ

แกพักอยู่มุมโน้น มีบริเวณที่อุบาสิกาเขาพักอยู่ ดูจะเป็นทางด้านทิศตะวันออก แกวิ่งกุลีกุจอมา แกเป็นคนไม่ชอบพูด ทั้งวันแกจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่รู้ นิสัยแกนิ่งเฉย แต่ภาวนาสำคัญนะ แกปุบปับ ๆ ออกมาศาลาเล็ก ๆ พระก็มีอาจารย์เฟื่องกับใครอยู่นั้น แกปุบปับ ๆ ออกมา ลักษณะตาลีตาลานมา ‘โยมหริ่งมาอะไร ?’

จะมาอะไรก็ท่านพ่อบัวกำลังมา นี่ท่านกำลังมา ท่านกำลังออกเดินทางมา’ ว่างั้นนะ

‘โยมหริ่งไม่ใช่เป็นบ้าแล้วหรือ’ ใครก็รุมโจมตีแก

‘เป็นบ้ายังไง ท่านกำลังออกเดินทางมาเดี๋ยวนี้ ท่านจะมาที่นี่’

ทีนี้เราก็ไม่เคยไป แต่เราจะไปหาอาจารย์เฟื่องนั่นแหละ จุดนั้นละ แกก็พูดอุบอิบกุลีกุจอตาลีตาลานว่า ‘ท่านจะมาที่นี่’ ใครก็รุมโจมตีแก

‘เอ้า ถ้าหากว่าท่านไม่มาคราวนี้ ต้องเผาศพโยมหริ่งวันนี้’

‘เอ้า เผาก็เผา ก็ท่านมาแล้วนี่น่ะ มาแล้วเดี๋ยวนี้’ ว่างั้นนะ

พอบ่ายประมาณสัก ๔ โมงกว่า ๆ เราก็เข้าถึง พอไปเราก็เดินผ่านทุ่งนาเข้าไปนั้นเลย ไปพวกนั้นก็ยังรอกันอยู่ ทั้งคอยฟังว่าเราจะมาถึงจริง ๆ หรือไม่จริง ถ้าไม่จริงจะฆ่าโยมหริ่ง มีสองทาง.. โยมหริ่งอยู่บนเขียงแล้วละว่างั้นเถอะ

พอเราไป เขาก็ฮือเข้ามาเลย ‘โอ๊ย.. มาจริง ๆ’

‘มาจริง ๆ อะไร’ เขาก็เลยพูด

โยมหริ่งตาลีตาลานมาบอกว่า ‘ท่านพ่อมหาบัวกำลังมา มาบอกเดี๋ยวนี้ ว่าจะฆ่าโยมหริ่งอยู่ คอยฟังถ้าอาจารย์ไม่มา โยมหริ่งต้องตาย’

แกพูดอย่างอาจหาญเสียด้วย นั่นเห็นไหมล่ะ พูดอะไรแกไม่ยอมฟัง บอกว่ามาแล้วเดี๋ยวนี้ ว่างั้นเลย พอ ๔ โมงเย็นเราก็ไปจริง ๆ พวกนั้นก็รออยู่นั้นละ พวกญาติโยมมีหลายคน พระก็มีหลายองค์รออยู่ที่ศาลา รอตามที่โยมหริ่งพูด ว่า ‘ท่านจะมาจริง ๆ เหรอ ท่านไม่เคยมาที่นี่ ท่านจะมาเหรอ’

พอโผล่เข้าไป โอ๊ย.. มาจริง ๆ เสียงฮือฮา ๆ รู้ได้ยังไง ก็โยมหริ่งมาฮือฮา ๆ เป็นบ้าอยู่นี้ ว่ากำลังจะฆ่าโยมหริ่ง พอดีท่านอาจารย์มา โยมหริ่งเลยรอดชีวิตไป ‘ไหนโยมหริ่งอยู่ไหน’

‘อยู่โน้น’ บอกให้มาหาเราไม่ยอมมา กลัว คือกลัวมาก สำหรับเราแกกลัวมาก บอกให้มาเดี๋ยวนี้ มาแกก็มานั่งเฉย ๆ ไม่พูด แต่เวลาพูดตรงไหน จริงตรงนั้นนะ...”

ลัก...ยิ้ม 22-06-2020 19:55

ฝันหลวงปู่มั่น พาบิณฑบาต

อีกคราวในปีที่สร้างวัดสถานีทดลองฯ คืนหนึ่งองค์ท่านฝันว่าหลวงปู่มั่นพาออกบิณฑบาต มีลักษณะขู่เตือน ดังนี้
“... วันนั้นฝนตกหนัก พระออกไปบิณฑบาตมีหลายสาย ไอ้เราเป็นผู้ใหญ่มักจะเอาเปรียบผู้น้อยล่ะ มันเป็นธรรมดา แล้วผู้น้อยก็ชอบจะให้เราเอาเปรียบเสียด้วยนะ


พระก็เรียนว่า ‘ท่านอาจารย์ ท่านไปบิณฑบาตสายใกล้ ๆ นี้สะดวกดี’

ผู้น้อยก็อยากให้ผู้ใหญ่เอาเปรียบ ผู้ใหญ่อย่างเราก็ว่า ‘เออ ! เรามันผู้ใหญ่ เราไม่สะดวก ไม่เหมือนผู้น้อย มันไม่คล่องตัว เราไปสายใกล้ ๆ นี้ดีกว่า’

ทีนี้พอไปบิณฑบาต เราไปสายใกล้สถานีฯ พระไปหลายสาย เฉพาะอย่างยิ่งแถวคลอง วันนั้นฝนตกหนักได้กั้นร่มไป ทางผ่านมันมีคลองใช้ไม้พาดข้ามไปแล้วก็ไต่ข้าม

ฝนตกมาก ๆ ลื่น พอลื่นพระที่ไปบิณฑบาตก็ตกลงคลองเลย ลงมันไม่ใช่ลงธรรมดา ลงแต่ไม่ล้มนะ ลงแต่ไม่ล้มนะ ตกลงในน้ำยังกั้นร่มอยู่ ข้าวกับน้ำ โอ้ย ! มันเต็มไปหมดเลยนะ คือน้ำเต็มบาตร.. ข้าวไม่ทราบไปไหน แช่กันเลย (หัวเราะ)

ทีนี้ตอนขากลับมาจากบิณฑบาตแล้ว พระท่านมาเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง องค์นั้นว่าอย่างนั้น องค์นี้ว่าอย่างนี้ เรื่องเกี่ยวกับน้ำ เรื่องตกคลอง คือบิณฑบาตตกลงไป.. น้ำก็เข้าบาตรหมดเลย วันนี้ไม่ได้อะไรเลย ได้แต่บาตรเปล่า ๆ มา ถ้ายังเอาน้ำกับข้าวมาก็ไม่ทราบจะเอามาทำอะไร ท่านพูดก็มีเหตุผลทั้ง ๆ ที่เสียดายอยู่
‘สงสารญาติโยมเขาก็สงสาร แต่มันกินไม่ได้จะทำยังไง’
ท่านว่า


... พอพระเณรท่านว่าอย่างนั้นแล้ว เราก็คิด เอ ! เรานี้หัวหน้า.. เอารัดเอาเปรียบหมู่เพื่อนมากไป หมู่เพื่อนเล่าธรรมดาเราก็รู้เจตนา เราก็รู้ เล่าทั้งหัวเราะ

ทีนี้ก็เลยคิดตกลงใจนะ ‘ต่อไปนี้เราจะไปสายอื่น ไปสายนั้นบ้างสายนี้บ้าง ไม่เอาเปรียบหมู่เพื่อนมากเกินไป สายใกล้สายไกล สายไหนไปทุกสายล่ะทีนี้’ คิดตกลงในใจนะ แต่ไม่ได้พูดให้ใครฟัง

พอตกเวลากลางคืนจึงฝันว่า พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเดินบิณฑบาตมา เราก็ยืนอยู่ธรรมดา ท่านมาชวนว่า ‘ไป..ท่านมหา..จะพาไปบิณฑบาต’ ลักษณะขู่ ๆ

‘เอ ! อย่างไร วันนี้เราจะมีความผิดอย่างไรแน่ ๆ’

อย่างนี้ลูกศิษย์กับอาจารย์มันเป็นอย่างนี้แหละนะ ถ้าเห็นอาการของอาจารย์อย่างนั้น ต้องมองเจ้าของมันจะผิดตรงไหนแน่ ๆ เลยอันนี้ เหมือนอย่างพระเณรมันกลัวเรา มันกลัวแบบเดียวกันนี่แหละ (หัวเราะ) ไม่ได้กลัวแบบอื่นนะ ใจทั้งรัก ทั้งสนิท ทั้งกลัว มันเป็นอย่างนั้นแหละ

จากนั้นก็รีบครองผ้า แต่ครองผ้าในความฝันมันไม่ได้ยากนะ มันปุบปับ ๆ เสร็จเรียบร้อยเลย พอเราเดินไปตามหลัง ท่านพูดขึ้นว่า
ไอ้ผู้ที่เขาหาน่ะ เขาหาแทบล้มแทบตายนะ ผู้ที่เขาจะหามาให้ทานได้แต่ละทัพพี แต่ละห่อนี้ แต่ละหมกละห่อนี้ เขาแทบล้มแทบตายนะ หลังสู้ฟ้าหน้าสู้แดดสู้ฝน ไอ้เราถึงเวลาก็ด้อม ๆ ไปเอามากินเฉย ๆ ก็ว่าลำบาก มันจะทรงศาสนาไปได้อย่างไร มีแต่พระขี้เกียจ พระถ้าจะเห็นตั้งแต่ความลำบาก ไม่มองเห็นอรรถเห็นธรรม ไม่คิดเห็นอรรถเห็นธรรมเลยนี้ ทรงศาสนาไปไม่ได้ แล้วยิ่งจะมีแต่พระขี้เกียจอ่อนแอด้วยแล้ว.. ศาสนาจมไปเลย


พอได้ไม้จากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมาตีหัวเราแล้ว เราก็เอาไม้นั่นแหละไปตีหัวหมู่เพื่อน พอตื่นเช้าขึ้นมา เราก็สอนพระว่า
นี่เขาหามาแทบล้มแทบตาย กว่าจะมาให้ท่านแต่ละครั้งละหน นี่เดินด้อม ๆ ไปบิณฑบาตตกคลองเท่านั้น ตกคลองมันก็ความเซ่อของคนต่างหาก ไม่ได้เป็นเพราะอะไรนี่นะ นั่นละความไม่สำรวมมันเป็นอย่างนั้น ความเซ่อ ๆ ซ่า ๆ มันเป็นอย่างนั้น’ ตีไปเรื่อย ๆ เลย


ที่ท่านว่า (บิณฑบาต) โปรดสัตว์ ๆ เขาได้เห็นครู่เดียวขณะเดียว เขาก็มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ได้ยินได้ฟังนิดหนึ่ง ๆ เขาก็มีผลมาก มีอานิสงส์มาก และเขาได้ให้ทานนิดหนึ่งก็ตาม มีผลมีอานิสงส์มากที่สุดเลย อะไรให้ทานก็ดี ความเคารพทุกสิ่งทุกอย่างก็ดี อะไรที่จะเกินให้ทาน และเคารพพระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลาย...”

ลัก...ยิ้ม 23-06-2020 15:18

เพียงดูรู้ลักษณะคน

อีกเรื่องหนึ่งในปีจำพรรษาที่จันทบุรี ท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง* รู้สึกอัศจรรย์ความสามารถของท่านในการดูลักษณะคนเป็นอย่างยิ่ง เพราะสังเกตเพียงเล็กน้อยก็สามารถทราบถึงอุปนิสัยใจคอได้อย่างถนัดชัดเจน

ในวันนั้น ขณะพระเณรกำลังทำงานกันอยู่ ท่านก็บอกให้ดูคน ๆ หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“พวกท่านดูคน ๆ นี้เป็นยังไง มาใกล้ชิดติดพันอยู่กับวัดนี้น่ะ”


พระเณรทั้งหลายต่างพากันแปลกใจในคำถามของท่าน เพราะก็ไม่เห็นว่าชายผู้นี้จะมีอะไรผิดปกติไปกว่าคนอื่น ๆ แต่อย่างใด ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองจึงได้ตอบไปว่า
“จะว่ายังไง ? ก็เป็นคนดี ๆ นี่”


ท่านว่า “ใช่เหรอ ? ดูให้ดีนะ”

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองพูดอย่างมั่นใจว่า “จะดูให้ดีอะไร ก็ดูมาดีแล้ว”

“ให้พิจารณาเสียก่อนนะ” ท่านย้ำ

จากนั้นองค์ท่านก็ได้อธิบายในฉากหลังของชายผู้นั้นว่า “นี่เป็นนักเลงโตนะ สามารถฆ่าคน ๕ คนได้โดยไม่รู้ตัว เพราะมีลักษณะทุกอย่างพร้อมหมดเลย

ท่านพระอาจารย์สิงห์ทองรู้สึกแปลกใจและยังไม่เชื่อคำพูดของท่าน จึงได้แอบตามไปสืบประวัติเบื้องหลังของชายผู้นั้นอย่างจริงจัง ชนิดจะเอาให้รู้ความจริงให้ได้ เมื่อซักไซ้ไล่เรียงกันอย่างหมดไส้หมดพุงในจุดที่สงสัยแล้ว ผลปรากฏว่าเป็นจริงตามนั้นทุกประการ จึงกลับมาพูดกับท่านว่า
“โอ๊ย.. อัศจรรย์ ท่านอาจารย์ดูคนดูยังไง ทำไมอาจารย์อยู่ ๆ ก็พูดขึ้น ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่มีอะไรกับท่านอาจารย์ให้จับพิรุธได้เลย ทั้ง ๆ ที่เขาก็ดิบก็ดีมาตลอด ผมดูเขามาตลอด ยอมท่านอาจารย์เลย”


องค์ท่านเคยกล่าวถึง.. อุปนิสัยใจเด็ดของท่านพระอาจารย์สิงห์ทองให้พระเณรฟังว่า
ท่านสิงห์ทองนี้เด็ด ! เป็นคนไม่ยอมใครง่าย ๆ และหากไม่ยอมแล้วจะสู้เลย หากยอมแล้วจะยอมจริง ๆ


===============================

* ท่านอาจารย์สิงห์ทอง เคยจำพรรษากับหลวงปู่มั่นที่บ้านหนองผือ ต่อมาติดสอยห้อยตามองค์หลวงตาไปจำพรรษาที่บ้านห้วยทราย จังหวัดมุกดาหาร, จังหวัดจันทบุรี และที่บ้านตาด จังหวัดอุดรธานี

ลัก...ยิ้ม 23-06-2020 15:25

แม่ชีแก้วหยั่งรู้ ... หมาเกิดเป็นลูกเศรษฐี

กล่าวถึงคุณแม่ชีแก้วซึ่งมีความรู้ผาดโผน จนหลวงปู่มั่นต้องสั่งห้ามไว้มิให้ภาวนา ต่อมาเมื่อองค์หลวงตามาพักจำพรรษาที่ห้วยทราย ท่านได้หาอุบายแก้ภาวะจิตของคุณแม่ชีแก้ว จนผ่านเข้าถึงที่สุดแห่งธรรมที่ห้วยทรายนั้นเอง คุณแม่ชีแก้วได้ติดตามดูแลโยมแม่ขององค์หลวงตา ตั้งแต่วันบวชที่บ้านตาดและตามมาพักจำพรรษาที่สถานีทดลองฯ แห่งนี้ด้วย องค์หลวงตาได้เล่าความรู้พิเศษของคุณแม่ชีแก้วที่จันทบุรี
ไว้เช่นกันว่า
“... เรานึกถึงหมาตัวหนึ่งที่อยู่สถานีทดลองฯ มันมีหมา ๓ ตัว ไอ้ช้าง ไอ้สิงห์ ไอ้แพะ มันมักจะมาวัดอยู่เสมอ คือเจ้าของที่เขาถวายที่ เขาเข้าวัดเข้าวาเสมอมันก็มากับเจ้าของ (ชื่อยายลุ้ย เป็นพี่สาวหลวงปู่เจี๊ยะ) ครั้นต่อไปเจ้าของไม่มา เขาก็มาเอง .. ทางจงกรมเรานี้เขาไม่ผ่าน เวลาเขามาทางจงกรม เขาจะเดินเลาะไปนู้น ไปสุดหัวจงกรมเขาถึงจะวกกลับมา เขาไม่เคยผ่านทางจงกรม ไอ้ช้างนี่สำคัญกว่าเพื่อน มันน่ารักทั้งสามตัวแหละ ...


มีแปลกอยู่ แม่ชีแก้วแกสำคัญอยู่นะ แกก็พูดอยู่อย่างนี้แหละจะว่าไง พูดด้วยญาณหยั่งทราบแน่นอนอยู่ ๆ แกก็พูดว่า ‘โอ๊ย น่าเสียดายนะ ไอ้ช้างนี่ไม่นานจะตาย แต่ตายแล้วก็ไม่ไปต่ำละ จะไปเกิดกับเศรษฐีในกรุงเทพฯ ตายแล้วมันจะไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีในกรุงเทพฯ’

นั่นบอกแล้วนะ ไอ้ช้างนี่มันก็มากับเพื่อนฝูงอยู่ธรรมดานั่นละ มันก็มาหากินอยู่นี้ละ น่าสงสาร แกพูดอยู่อย่างนี้ นั่นละญาณ..เห็นไหมล่ะ หยั่งทราบแน่นอนเลย บอกว่าน่าสงสารมัน มาหากินอยู่กับหมู่กับเพื่อน ๓ ตัว นี่ไอ้ช้างแกชี้มืออย่างนี้นะ น่าสงสาร ไม่นานมันจะตายแล้ว จะไปเกิดเป็นลูกเศรษฐีในกรุงเทพฯ ไม่ต่ำแหละว่างั้น

บทเวลาจะตายก็เป็นอย่างว่าจริง ๆ สัก ๓-๔ วันมั้ง หลังจากแกพูด มาหากินอยู่กับเพื่อนสามตัวเขา เขาก็ไม่รู้ภาษีภาษาอะไรละ แกพูดอย่างนี้จะให้ว่าไง แกพูดพระฟังทั่วหน้ากัน ... ไม่นานปุบปับตายจริง ๆ
‘โอ๊ย.. ไปแล้ว ตายแล้ว.. ไอ้ช้างตายแล้ว เป็นยังไงไปเกิดที่ไหน ไปที่นั่น...”


ว่างั้น อย่างนั้นแล้วแกแม่นยำมาก ญาณของแกเรื่องหยั่งทราบ...”

ลัก...ยิ้ม 23-06-2020 21:31

กระแสจิต... โยมหริ่ง โยมทองแดง

อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ท่านพักทางจันทบุรี เกี่ยวกับกำลังกระแสจิตของคน ดังนี้
“... เท่าที่เด่นมากก็คือ เกี่ยวกับเรื่องคนจะมาทำบุญทำทานนี้ รู้สึกเด่น มันมาผ่านจิตใจของคน กระแสของจิตมันเป็นเหมือนคลื่นอากาศ อย่างไรไม่รู้นะ เหมือนคลื่นวิทยุออกอากาศ นี้เป็นไปตามนิสัยของคน ..


กระแสจิตนี้แรงไม่ใช่เล่น ถ้าเพ่งแรงไปแรง ถ้าเพ่งเบาไปเบา แผ่ซ่านชุ่มเย็นไปหมด พอพูดอย่างนี้ก็ให้นึกถึง “โยมทองแดง อยู่จันทบุรี” ลูกศิษย์ของเรานี่แหละ เขามาดูถูกอาจารย์ ลูกศิษย์เราเป็นผู้หญิง แกภาวนาเก่งไม่ใช่เล่นนะ ที่ว่าแกนั่งอยู่ศาลาที่สถานีทดลองจันท์ฯ กระแสจิตของแกแรงมาก แกเคารพเราสุดหัวใจ

เราบิณฑบาตมา แกเป็นนิสัยปากเปราะหน่อย ไม่ค่อยเก็บความรู้สึก เป็นอย่างไร รู้อย่างไร ว่าอย่างนั้นเลย โยมทองแดง แกก็เป็นความจริงของแกทางหนึ่งเหมือนกัน แต่ปากเปราะ ‘จะตีปากเอานะ’ เราว่า ผู้นี้เรียกเราท่านอาจารย์ ผู้นั้นเรียกท่านพ่อ พอดีเราเดินมาศาลาหลังเล็ก ศาลาก็ทำพอได้พักเท่านั้น พอเราเดินเข้ามา ว้ากวี้กขึ้นเลยนะ
‘โอ๊ย.. ท่านอาจารย์ ดูซิ ทำไมท่านอาจารย์รัศมีสง่างามหมด ครอบมาเลย แผ่มาหมดเลยเห็นไหม’


‘รัศมีรัดสะหมาอะไร เป็นบ้าเหรอ เดี๋ยวตีปากเอานะ’ เราว่าอย่างนี้ นิ่งเงียบเลย นั่นละ บทเวลาแกจะพูด แกปากเปราะ

‘ก็มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ‘

‘เป็นก็จะเป็นอะไร’
ว่างั้นแหละเรา เราก็ไม่ลืม แกเลยนิ่งเป็นอย่างนั้นคนนี้


แกภาวนาดีทั้งคู่แหละ โยมทองแดงบ้านแกอยู่ทางหนองสำเร็จ ห่างจากวัดไปประมาณกิโลกว่า เราเคยไปบ้านแก แกนิมนต์ไป ไปแกก็พูดปากเปราะอย่างว่า
‘นี่ท่านอาจารย์ เห็นนิพพานแล้วนะ


‘นิพพานเป็นยังไง’

‘อู๊ย .. นิพพานสง่างามมาก อยู่ทางหนองสำเร็จ’
แกชี้ขึ้นฟ้าไปนู้นละ คือแสงสว่างของแก แกตื่นเงาตัวเอง แต่เราไม่ได้บอก.. เฉย คือนิสัยแกรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้แปลก ๆ จากนั้นมาเล่า.. เราก็ให้พิจารณาอย่างนี้ ๆ จากนั้นมาเล่า.. เราก็ให้พิจารณาอย่างนี้ ๆ เพื่อจะได้เห็นนิพพานชัดเจนมากขึ้น เราว่าอย่างนี้ เราไม่ได้ปฏิเสธนะ แกว่าอะไร.. เราเลยบอกว่าให้พิจารณาอย่างนี้ ๆ จะได้เห็นนิพพาน อันนี้เข้าไปเพื่อเสริมกันแล้วจะได้เห็นงามยิ่งขึ้น แกก็จำเอาไว้เลยแล้วก็ทำ อีกสองวันแกก็ไปหาเรา


‘อู๊ย นิพพานหนองสำเร็จมันนิพพานขี้หมูขี้หมา มันขึ้นนี้แล้วมันสง่าจ้าขึ้นมาเลย โถ.. นิพพานนั้นสู้ไม่ได้เลย’

แน่ะ..เห็นไหมล่ะ อย่างนั้นละ ไม่ได้ปฏิเสธนะ ก็บอกว่าให้ทำอย่างนี้ ๆ แข่งนิพพานนั้นแล้วจะรู้เอง

พอแกพิจารณา แกเอาจริงจังนะ เราว่าอะไร เพราะแกจะลงเต็มที่เลยกับเรา พอเห็นอันนี้แล้ว
‘โอ๋ย.. นิพพานเรา มันนิพพานอะไรก็ไม่รู้’
นี่ละ ผู้หญิงคนนี้


ที่นี้มีพระองค์หนึ่งชอบคุย ชอบจะเก่ง ๆ อยู่งั้นละ ลักษณะบ๊งเบ๊งหน่อย ไปที่ไหนก็อยากให้เขายกตัวว่าดี นิสัยมักเป็นอย่างนั้น เรารู้นิสัยแล้ว แกอาจไม่รู้ยิ่งกว่าเรา เพราะเคยสมาคมกันมามากต่อมากแล้วกับพระองค์นี้ ไม่ระบุชื่อแหละ พระองค์นั้นก็ไปบ้านโยมทองแดง บ้านแกอยู่กลางทุ่งนาหลังเดียวห่าง ๆ กึ๊กกั๊กไปถึงแก พอขึ้นไปก็นั่งภาวนา ไป คุยโม้โอ้อวด ก่อนจะนั่งภาวนาก็บอกแกว่า ‘เอ้า ! โยมทองแดง มานั่งภาวนากัน นั่งภาวนาแข่งอาจารย์ นั่งภาวนาแข่งอาจารย์มหาบัวดูหน่อย เป็นยังไงว่ะ

ปากบ๊งเบ๊งละท่านองค์นี้ แกกับเราเป็นยังไงกัน.. แกก็รู้ดีนี่นะ นี่ละ..แกโกรธตรงนี้ ถ้าว่าโกรธนะ ‘อาตมาก็จะนั่งนี้’

พระนั่งพักบน โยมคนนี้นั่งอยู่ข้างล่างก็นึกว่า เอ้า.. นั่งภาวนาแข่งอาจารย์มหาบัว คือพระนี้หยิ่งอย่างนั้นตลอด.. พระน่ะ พอพระว่าอย่างนั้น โยมคนนี้ก็นึกในใจ ‘โถ.. เราเคารพท่านสุดหัวใจเรา แล้วทำไมถึงให้ภาวนาแข่งอาจารย์มหาบัวล่ะ

คือนิสัยพระองค์นี้ปีนอยู่เรื่อย ๆ นิสัยของแกเป็นอย่างนั้น พระองค์นั้นพูดเสร็จก็นั่งภาวนาทันที โยมทองแดงแกก็นั่งจีบหมากที่จะเอามาถวายเราในตอนเช้า แกคิดว่า ‘พระอาจารย์องค์นี้ดูถูกอาจารย์เรา พูดคำไหนก็มีแต่ขวางอาจารย์ของเรา อวดเก่งกับอาจารย์ของเราตลอด เป็นยังไงพระองค์นี้.. จะเก่งขนาดไหน ท่านเก่งจริง ๆ หรือ เราจะทดลองดูหน่อย จะดัดนิสัยอาจารย์องค์นี้ให้เห็นประจักษ์สักหน่อยน่ะ เอะอะจะให้เป็นคู่แข่งกับอาจารย์ของเรา..อาจารย์มหาบัว ท่านเก่งขนาดไหนเราจะลองดู

แกนั่งอยู่ข้างหลัง พระองค์นี้ก็นั่งภาวนา พอแกคิดอย่างนั้นแล้ว ก็เพ่งกระแสจิตในขณะที่มือกำลังจีบหมาก กินหมากอยู่ พอแกกำหนดจิตดีแล้วก็กำหนดเป็นไฟ เพ่งเอาธาตุไฟเผาพระองค์นั้น ใส่จี้เข้าไปก้นเลย ดีดผึงเลยเทียวนะ จนกระโดดตกตูมลงมาจากที่นั่งภาวนา ร้องเสียงดังบ๊งเบ๊งขึ้นเลยว่า
‘ทำไมทำรุนแรงอย่างนี้ โยมทองแดง ทำไมกำหนดไฟเผาอาตมา’


แกว่า ‘เผาอะไร ฉันก็นั่งอยู่ธรรมดานี้ กำลังนั่งจีบหมากอยู่’

ดีดผึงเลยจริง ๆ นะ โดดตกตูมเลย เผาอย่างแรง แกว่าอย่างนั้น นั่นเห็นไหมกระแสจิต นี่ละ..อำนาจของจิต..กระแสของจิต เผาเสียจนพระโดดตกลงมา ทำไมทำรุนแรง เอาไฟมาเผากัน เผายังไงไม่รู้ละ ดุใหญ่เลย

แกว่า ‘เห็นไหม อยากเก่งกว่าอาจารย์เรานัก แล้วไม่เห็นเก่ง เพียงถูกไฟเท่านี้ก็โดดแล้ว อาจารย์เราไม่เห็นโดด ถ้าเก่งกว่าอาจารย์มหาบัวของเราจริง ๆ ก็ให้รู้ซิ ดับไฟดับยังไง เรื่องภาวนาดับกันได้นี่ ไม่เห็นดับได้ มีแต่บ๊งเบ๊ง โดดผึงออกมา นี่แสดงว่าใช้ไม่ได้ อยากมาคุยโม้กับอาจารย์เรา

แกมาเล่าให้เราฟังทีหลัง แกปากเปราะคนนี้ คือแกคงทดลองเราพอแล้วแหละ แต่เรามันเฉยไม่เคยสนใจ โยมทองแดงแกถือเราเป็นอาจารย์ เคารพเรามากที่สุด ขบขันดีเหลือเกิน พระองค์นั้นมาคุยเหยียบเรา ลูกศิษย์เราซัดเสียก่อน (หัวเราะ) นี่ละอำนาจของจิต

ลัก...ยิ้ม 24-06-2020 11:26

พลังของจิตโยมทองแดงนี้กำหนดให้รถหยุดก็ได้ พูดอย่างตรงไปตรงมา แน่นอนเลย.. รถจะวิ่งขนาดไหนก็วิ่งเถอะ กำหนดปั๊บ.. นี่หยุดเลย..ไปไม่ได้ กำหนดให้หยุด ๆ เลย เครื่องยนต์กลไกพอกำหนดปั๊บ.. หยุดเลย อย่างนี้ละกำลังของจิต ...

โยมทองแดงแกบอกว่า รถนี้จะให้หยุดเมื่อไร..หยุดได้เลย กำหนดปั๊บใส่นี้..หยุดกึ๊กเลย..ไปไม่ได้ จนเจ้าของเขางง เขามองหน้าเรา คือแกเคยมาแล้วละ เรื่องเคยแต่ไม่พูดเฉย ๆ รถมันกระแทก แต่ก่อนทางไม่ได้ลาดยาง เป็นหินลูกรัง รถมันกระแทก แตงอยู่ในตะกร้าของแกตกออกเรื่อย แกเก็บเข้าเรื่อย แล้วกระแทกตกออกไปเรื่อย มันเป็นยังไงรถคันนี้แกนึกในใจ แกกำหนดใส่รถให้รถไปช้า ๆ คือแกจะขนแตงของแกขึ้น

‘เอ๊ รถนี้มันเคยไปเร็ว ทำไมมันถึงไปอย่างนี้เหมือนเต่า’
เขาว่างั้น เขาว่าของเขาเอง รถมันค่อยไปเอื่อย ๆ เร่งเท่าไร ๆ มันก็ไม่ไป มันเอื่อย ๆ แกก็ขนแตงแกใส่ตะกร้า พอแกขนแตงแกเสร็จแล้วแกก็หยุด ทีนี้รถเขาก็วิ่งปึ๋ง ๆ เอา รถกระแทกอีกตกอีก ตูมตาม ๆ อีก แกกำหนดอีกให้รถช้าอีก


‘เอ๊ รถคันนี้ทำไมวันนี้เป็นอย่างนี้’ เขาว่างั้น ทีแรกเขายังไม่สงสัยแก ‘รถคันนี้ทำไมเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า ธรรมดาวิ่งเร็ว เร่งขนาดไหนก็ได้ แต่วันนี้ทำไมเร่งแล้วก็ยังเอื่อย ๆ มันเป็นยังไงรถคันนี้’

พอแกเก็บแตงเสร็จแล้วแกก็ปล่อย รถก็บึ่งไปเรื่อย ๆ พอรถวิ่งไปกระแทกอีก แตงตกอีก เก็บอีก ๆ แกกำหนดจิตใส่อีก สุดท้ายเขาเลยมองหน้าแก ‘เหอ เป็นยังไงหรือยายให้รถหยุด’

‘อ้าว ก็ฉันนั่งอยู่บนรถ จะให้รถหยุดยังไง มันก็ขึ้นอยู่กับแกแหละ’ ‘ใช่เหรอ .. ? ?’

สุดท้ายเขาเลยจ้องดูแก เขาแน่ใจว่าเป็นยายคนนี้แหละ เพราะมันหลายหนกว่าจะไปถึงที่ลง รถวิ่งเอื่อย ๆ แล้วหยุด บางทีหยุดจนกว่าแกจะเก็บแตงเสร็จ

พอวิ่งทีไรรถกระแทกแตงตกออกไปอีก เก็บอีกอยู่งั้น แล้วกำหนดจิตให้รถหยุดอยู่เรื่อย จนกระทั่งเขาจับได้ ‘โฮ้..คงเป็นยายคนนี้แหละ ทำให้รถหยุด’

‘อย่ามาหาเรื่องนะ’ แกว่า แกขับไม่ดีเอง แกว่างั้น ความจริงแตงเราตก เราเก็บแตง ก็เลยกำหนดไม่ให้รถมันวิ่งเร็ว บางทีกำหนดให้มันหยุดมันก็หยุด หลายครั้งหลายหนเขาก็เลยงง สุดท้ายก็มองมาหาเรา มองมาหาแกนะ พอแกเก็บแตงเสร็จก็บอกไปซิรถ มันก็ไปเรื่อยของมัน สักเดี๋ยวแตงตกอีก เอาอีกอยู่งั้น นี่พูดถึงเรื่องแกกำหนดให้หยุด หยุดได้จริง ๆ แกแน่นอนมาก แกบอกเรื่องเครื่องยนต์กลไกกำหนดให้หยุด หยุดได้เลยแกเล่า

ท่านอาจารย์ลี ท่านอาจารย์ฝั้น พลังของจิตใช้ในทางนี้เก่งเหมือนกัน กำหนดให้หยุด หยุดได้เลย ๆ เครื่องยนต์กลไก นี่พลังของจิตมันต่างกัน ..

อีกคนชื่อ โยมหริ่ง (ชาวตราด) แกไปกันสองคน ภาวนาเก่งด้วยกันทั้งคู่ คนนี้แกไม่ค่อยพูด ทุกสิ่งทุกอย่างแกรู้มากนะ คนนี้ยิ่งมากกว่านั้นอีก ทีนี้แกไปเรากำลังเย็บผ้าอยู่ที่กุฏิที่สถานีทดลอง แกขึ้นไปสองคนกับโยมทองแดง เราเย็บผ้ากับพระอยู่เฉลียงกุฏิเรา ‘มาทำไม กำลังเย็บผ้า ไม่รู้จักเวล่ำเวลา ยุ่งหาอะไร’

เราว่าเท่านั้นแล้วเราก็หยุด แล้วก็เย็บผ้าของเราไปเรื่อย ๆ แกนั่งนิ่งทั้งสองคน สักเดี๋ยวไม่นานนัก เราไม่พูดด้วยนี่ เราเย็บผ้า เขาดูเรา เราจ้องเขาอยู่ตลอดเวลา ส่งจิตไปที่ไรจ้องเราอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เย็บผ้าท่านก็เย็บแต่จิตจ้องเราอยู่ตลอดเวลา ทีนี้เลยร้อน ร้อนทั้งคู่เลย รู้ด้วยกันทั้งสอง นั่นเป็นอย่างนั้น สักเดี๋ยวแกก็ลงไป แกลงไปแกพูดขบขัน
‘โอ๊ย วันนี้นึกว่าจะไปดูท่านพ่อบัว ที่ไหนได้พอส่งจิตปั๊บท่านจ้องเราอยู่แล้ว ท่านไม่ได้เย็บผ้า จิตท่านจ้องเราอยู่ตลอดเวลา ส่งทีไรจ้องอยู่แล้ว อยู่ไม่ได้เรา กลัวท่านมากเผ่นเลย


มาดูทีไรท่านจ้องอยู่นี้ เลยถอยจิตออกมา พอจ่อเข้ามาทีไรท่านจ้องเราอยู่แล้ว ถึงสามหน โอ๋ย.. ไม่ได้ เดี๋ยวท่านจะเขกเอา เลยกราบมับ ๆ เปิดหนีลงไปเลย พอตอนบ่าย ๆ โยมหริ่งอยู่ ๆ แกหัวเราะคิก ๆ ขึ้นมาคนเดียว ว่าจะมาดูใจเรา ที่ไหนได้เราดูแกอยู่แล้ว แกไม่ค่อยชอบพูดอะไร นิสัยแกไม่ค่อยชอบพูด ไม่ปากเปราะเหมือนคนอื่น อยู่ ๆ แกก็หัวคิก ๆ ขึ้นมา

โยมทองแดงถาม ‘ป้าเป็นอะไร’

‘อู๊ย.. มันขบขัน เราว่าจะไปดูจิตท่าน โอ๋ย.. ท่านเย็บผ้าอยู่เหมือนไม่ดูไม่อะไร พอส่องจิตเข้าไปทีไรท่านจ้องดูเราอยู่แล้ว ท่านจะตีหน้าผากเรา ท่านเย็บผ้า ท่านดุเราเลยกลัวใหญ่เลย เลยอยู่ไม่ได้ต้องลงมา จ้องไปทีไรท่านจ้องเราอยู่แล้ว ก็เปิดเลยเท่านั้น โหย.. ท่านไม่ได้เย็บผ้านะ .. จิตน่ะ มือท่านเย็บผ้า จิตท่านจ้องอยู่นี้ กลัวท่านก็เลยลงมา มันอดขบขันไม่ได้ เหมือนว่าจะไปต่อยท่าน ที่ไหนได้หมัดท่านจ้องอยู่นี้แล้ว

เลยลงมาหัวเราะกิ๊ก ๆ นะ อย่างนั้นละแกรู้นะ แกไม่ค่อยพูดแหละ พูดอะไรจริงอันนั้นนะ แกพูดตรงไหนแน่ทุกอย่าง แกกลัวมาก กลัวเรา

ก็มีสองคนฝ่ายผู้หญิง คงเสียไปแล้วแหละ เพราะแก่กว่าเราทั้งนั้น โยมทองแดงตอนนั้นดูอายุ ๕๐ แล้ว โยมหริ่งถึง ๖๐ กว่าแล้วแหละ คงเสียไปหมดแล้ว

มีสองคนนี่ละภาวนาดีอยู่ โยมหริ่งก็เก่งทางภาวนา ดูใจคนนี่รู้หมดเลย เพราะฉะนั้น แกมานั่งปั๊บจะมาดูใจเรา

แกภาวนาดีทั้งสอง คิดว่าจะผ่านได้ทั้งสอง เราดูเข้าวิถีแล้ว เข้าวิถีที่จะพ้น.. ไม่ถอยแหละ แต่ตอนนั้นยัง ทางจังหวัดจันท์ฯ มีคนหนึ่ง ทางจังหวัดตราดก็มีคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งนั้น จากนั้นก็ไม่ค่อยปรากฏนัก.. ธรรมดา ๆ แต่สองคนนี่สำคัญอยู่มาก ไปอยู่จันท์ฯ คราวนี้ก็ได้ประโยชน์ สำหรับผู้หญิงก็เด่นอยู่สองคน .. โยมหริ่งจะพ้นได้นะ เพราะเข้าช่องแล้ว เข้าช่องจะไปแล้ว โยมทองแดงก็เหมือนกัน ตอนนั้นยัง หากจะไปถ้าลงเข้าจุดนี้แล้วพุ่งเลย.. ไม่ถอย ส่วนนอกนั้นก็มีธรรมดา พระที่ได้คติเครื่องเตือนใจมีอยู่เยอะ เราไปจำพรรษาที่สถานีทดลองฯ...”

อีกเรื่องหนึ่ง เกิดขึ้นที่สถานีทดลองฯ เช่นกัน แต่คนนี้เป็นโยมผู้ชาย องค์ท่านเล่าไว้ ดังนี้
“.. ที่จันท์ฯ นี่ ลูกศิษย์ก็มีหลายคนนะที่มีจิตประเภทนี้ ที่จันท์ฯ นี้มีหลายคนอยู่ ผู้หญิงมีสองคนกับผู้ชาย ที่เราทราบชัดแล้วก็คือผู้นี้แหละคนหนึ่ง เรียกว่าสามคนก็ได้ ที่ชัดเจนแล้วผู้หญิงก็สองคน คนหนึ่งรู้ทั้งจิต จิตใครเป็นยังไง ๆ แกรู้หมด คนหนึ่งไม่พูดถึง แต่เรื่องภูมิจิตเหมือนกัน มีผู้หญิงสองคนกับผู้ชายคนหนึ่งก็จันท์ฯ ที่สถานีทดลองนั่นละ ..


โยมผู้ชายคนนี้แกมาพูดให้ฟัง ตัวแดงขึ้นนะ แกโมโหให้ตัวเองนั่นแหละ คือแต่ก่อนแกไม่พอใจในการไปวัดไปวา เขามาชวนก็เคียดโกรธแค้นให้เขา ‘ถ้าหากว่าชวนไปแล้วฆ่าเลย แกจะตามฆ่าเลย’ แกว่าอย่างนี้นะ

เวลานี้จิตแกลงแล้ว.. เห็นจิตใจคนอื่น โยมคนนี้นะอยู่ที่สถานีทดลองฯ .. แกมาเล่าให้ฟังเห็นจิตเห็นใจคน ใคร ๆ แกก็เห็น เวลามันกำลังเมาหมัดกิเลสอยู่ เขามาชวนไปวัดโกรธให้เขาทั้งวัน ว่าอย่างนั้นนะแกพูด พูดแล้วดูตัวแก.. ตัวแดงขึ้น แกโมโหให้ตัวเอง แหม เวลามันหนามันหนาขนาดนั้น คือเวลานี้วางแล้ว.. มองเห็นจิตคนอื่น ...

(ทีนี้) ท่านสิงห์ทองเป็นพระขี้ดื้อ พอพูดถึงเรื่องรู้จิตใครต่อใคร ท่านคงคันฟันนะ ท่าอยากให้เขาถาม เขาไม่ถามก็เลย (ถามเอง) .. ‘ส่วนจิตของอาตมาพ้นหรือยัง’

‘จิตท่านยังไม่พ้น แต่ละเอียดมากสุด ไม่เหมือนท่านอาจารย์นี่พ้นแล้ว’

บอกชัด ๆ เลย แกพูดหน้าตาเฉย ท่านสิงห์ทองหน้าซีด ไอ้เราจะหน้าบานหรือหน้าบึ้งก็ไม่รู้ละ แกว่าอย่างนั้นละ แกเล่าให้ฟัง.. เวลาจิตแกผ่องใส แกเห็นจริง ๆ เห็นจิตใจคนอื่น เห็นจริง ๆ ..”

ลัก...ยิ้ม 25-06-2020 02:48

บ้านพักสามผาน

เมื่อออกพรรษาแล้วท่านได้พาโยมมารดามาพักที่บ้านสามผาน อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี (ขณะนั้นยังไม่เป็นวัด) แม้กระนั้น ญาติโยมทางสถานีทดลองฯ ก็ยังได้ตามมาฟังธรรม และนิมนต์ขอให้ท่านกลับไปอยู่เนือง ๆ จนบางครั้งเป็นเหตุให้ญาติโยมทางบ้านสามผานเริ่มรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย เพราะก็เคารพรักท่านเหมือนกัน ไม่อยากให้กลับไป อยากจะให้ท่านอยู่ที่นั่นนาน ๆ หรือหากเป็นไปได้ก็อยากให้อยู่ตลอดไปเลย

ในหนังสือประวัติหลวงปู่ฟัก สันติธัมโม กล่าวถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลานี้ว่า
“... พอถึงช่วงเวลาที่หลวงตามหาบัวมาจำพรรษาที่จันทบุรี ณ วัดชากใหญ่ อำเภอแหลมสิงห์ ก่อนหลวงตาจะกลับไปอุดรธานี ผู้ใหญ่ปิ๋นได้ไปนิมนต์ท่านขึ้นมาพักบนเขาน้อยสามผาน โดยมีพระอาจารย์ฟักซึ่งยังเป็นฆราวาสตามผู้ใหญ่ไปนิมนต์ด้วย


เมื่อท่านรับนิมนต์ จึงได้พาคณะรวมทั้งโยมมารดาของท่าน ขึ้นมาพำนักที่กุฏิชั่วคราวบนเขา สมความปรารถนาของผู้นิมนต์ ในครั้งนั้นพระอาจารย์ฟักเป็นผู้ถือบริขารของหลวงตาเอง พร้อมทั้งมาอุปัฏฐากรับใช้ ครั้งรุ่งเช้าก็คอยถือย่ามตาม เพื่อนำทางว่าควรไปโปรดญาติโยมทางไหนบ้าง เพราะท่านเป็นคนในพื้นที่ย่อมรู้หนทางเป็นอย่างดี...”

พอดีในตอนนั้น โยมมารดาก็ป่วยมากด้วยโรคอัมพาต จำเป็นจะต้องได้พากลับมาที่บ้านตาด จังหวัดอุดรธานี อีกทั้งโรคของโยมมารดาก็บังเอิญถูกกับยาสมุนไพรของหมอที่นั่น จึงเป็นอันต้องจากชาวจันทบุรีมาด้วยความอาลัยทั้งสองฝ่าย

เพราะเหตุที่ท่านไปจังหวัดจันทบุรีในคราวนั้นเอง จากนั้นมาชาวจันทบุรีก็ได้ตามมาศึกษาปฏิบัติธรรมกับท่าน ที่วัดป่าบ้านตาดไม่เคยขาด และท่านเองหากมีโอกาสก็จะไปเยี่ยมพี่น้องชาวจันทบุรีอยู่เสมอเช่นเดียวกัน

สำหรับการเที่ยววัดกรรมฐานในจังหวัดอื่น ๆ ของภาคตะวันออก องค์หลวงตาได้เคยกล่าวไว้เช่นกัน แม้มิได้ระบุช่วงเวลาที่แน่ชัดไว้ก็ตาม ท่านได้ยกเอาท่านพระอาจารย์เกิ่ง อธิมุตตโก เป็นต้นเหตุแห่งกรรมฐานในจังหวัดชลบุรี ดังนี้
“... ท่านอาจารย์เกิ่งได้ลูกศิษย์ลูกหามาก เฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายพระอยู่ทางเมืองชลฯ ฆราวาสไม่ค่อยมี แต่พระมีเยอะ ท่านไปอยู่ต้น ๆ บางพระ แถวนั้นแหละ จากนั้นขยายออกวัดวา เราไปเที่ยวหมดแถวนั้นตามหลังท่านไป สำนักท่านอาจารย์เกิ่ง ๆ เราไปเที่ยวตามหลังท่าน ...


เราไปเที่ยวทางโน้น ท่านไปก่อนหน้าแล้ว .. เบิกทางกว้างขวางไว้หมด วงกรรมฐานเข้าใจกันพอสมควรแล้ว เราไปตามหลัง ท่านอาจารย์เกิ่งเบิกทางก่อน สมชื่อสมนามที่ท่านเคยเป็นอุปัชฌาย์ ญัตติปุ๊บเป็นธรรมยุต ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรียน ก.ไก ก.กา ใหม่.. ตั้งใหม่เลย เป็นผู้ใหม่ใช่ไหมล่ะ นิสัยท่านดูลักษณะท่าทางน่าเกรงขาม

ลัก...ยิ้ม 25-06-2020 03:06

พระโปฏฐิละ ใบลานเปล่า

“...พระโปฏฐิละ พระพุทธเจ้าท่านเห็นนิสัยองค์นี้สามารถที่จะบรรลุธรรม พระโปฏฐิละกำลังเพลินสอนอรรถสอนธรรมให้โลกสงสารอยู่ พอไปหาท่านก็ใส่ปัญหาเลย ‘โปฏฐิละ ๆ’

โปฏฐิละ แปลว่าใบลานเปล่า เรียนเปล่า ๆ หัวโล้นเปล่า ๆ บวชเปล่า ๆ กินข้าวชาวบ้านเปล่า ๆ เข้าใจไหม มีแต่เปล่า ๆ โปฏฐิละ ท่านก็สะดุดใจกึ๊กเลย พระพุทธเจ้าเทศน์โปฏฐิละ..ใบลานเปล่า ๆ เท่านั้น ท่านต้องเล็งเห็นนิสัยของเรา ท่านหยั่งไปทางเป็นมงคลนะ ...

พอกลับมาถึงวัดเตรียมของไปกลางคืนเลย สำนักไหน ๆ สำนักวงกรรมฐาน ครูบาอาจารย์องค์ใดที่เด่นด้วยอรรถด้วยธรรมจริง ๆ ภายในใจ แล้วบึ่งเข้าไปหาองค์นั้น ทีนี้ในวัดนั้นมีแต่พระอรหันต์ จนกระทั่งถึงเณรน้อยก็เป็นอรหันต์ อยู่นี่ ๔-๕ องค์สำเร็จทุกองค์ .. ไปถึงก็เข้าหาพระเถระ มหาเถระ เรื่อยมา ๆ จนกระทั่งสุด เณรสุดท้าย. .ไปถึงองค์ไหนก็ว่า
‘โอ้ย ผมพึ่งบวชมา ผมไม่รู้ภาษีภาษาอะไร’ นี่..ท่านรู้นิสัยแล้ว..ว่างั้น


เณรน้อยก็เณรน้อยอรหันต์ โง่เมื่อไร ... เณรน้อยไม่ใช่ขอนซุง บางรายพระไปตบหัวเณร ไม่อยากสึกหรืออีลุง ว่างั้นนะ เรียกลุงนะ ไม่อยากสึกหรือ เณรไปตบหัวเล่นนะ.. เณรก็บอกว่าไม่อยากสึกก็ว่างั้น ก็เป็นอรหันต์แล้วสึกไปหาอะไร สึกไปหาขอนซุงนี้เหรอ ขอนซุงที่กำลังตบหัวอยู่นี้เหรอ เณรเป็นอรหันต์ พระเป็นพระปุถุชน นี้เป็นปุถุชนไปเคาะหัวพระอรหันต์ แต่ก็ดีนะล่ะ พอมาทราบที่หลังแล้ว โอ้ย เห็นโทษจริง ๆ นะ กลับไปขอขมาเณรนะ เณรก็เฉย ก็เป็นอรหันต์จะไปอะไรกับใคร เณรก็ไม่ว่าอะไร ไปตบหัวเณร คือมันน่ารัก ... นี่ขอนซุงไปเคาะทองคำทั้งแท่ง มันเป็นอย่างนั้น มีในตำรา แล้วก็ไปขอขมาเณรนะ...

ที่ว่าพระโปฏฐิละถวายตัวเป็นลูกศิษย์ เป็นลูกศิษย์จริง ๆ เณรนั้นเป็นเหมือนมหาเถระ โปฏฐิละองค์นั้น ก็เป็นเหมือนสามเณรน้อยตามหลังเลยนะ ท่านจริงจังมาก ถ้าลง.. ลงอย่างนั้น เณรหาอุบายวิธีทรมานทุกอย่างนะ นั่นเห็นไหม เณรอรหันต์นะ หาอุบายวิธีทรมานดูทิฐิมานะ จะมีอะไรบ้าง ? บางทีให้ครองผ้าดี ๆ แล้วบอกว่า ‘ผมอยากได้อันนั้นในกอไผ่’

กอไผ่หนาม ๆ นั่นน่ะ ได้ครองผ้าเสียก่อนให้ไปเอา พอจะเข้าไปถึง ไปจริง ๆ นะ ไปกอไผ่นี้เข้าไป ให้บุกเข้าไป พอไปถึงจริง ๆ .. เอาละ ผมไม่เอาแล้ว เณรทรมาน บางทีครองดี ๆ จะให้ไปเอาอะไรในน้ำ อยากได้อะไรในน้ำนั้น ครองผ้าดี ๆ ก็ลงไป ครั้นพอผ้าจะเปียกให้ขึ้นมาเสีย ก็หาอุบายวิธีดูทิฐิมานะมีหรือไม่มี พอเห็นว่าจริงจังไม่มีทิฐิมานะ เณรก็เลยเริ่มสอน

พอเณรสอนจนท่านถึงธรรมขั้นสูง เพื่อเป็นการให้เกียรติพระโปฏฐิละที่ท่านเป็นเถระ เณรก็เลยพาพระโปฏฐิละนี้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า นั่น.. ให้เกียรตินะ

พอไปถึงพระพุทธเจ้า ‘เป็นยังไงเณร ลูกศิษย์ของเธอเป็นยังไง’

‘อู้ย.. หายาก หาอย่างนี้หายาก’
เวลาจะเข้าด้ายเข้าเข็มจริง ๆ ก็มอบถวายพระพุทธเจ้าให้พระองค์สอน เณรก็หลบก็เพื่อให้เกียรติพระเถระ ไปสำเร็จกับพระพุทธเจ้า เณรสอนเรียบร้อยแล้วนะจวนแล้วก็ไปหาพระพุทธเจ้า


พระองค์ก็ทรงสอนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่เป็นอย่างนั้นละ ท่านถือเนื้อถือตัวเมื่อไร...”

ลัก...ยิ้ม 25-06-2020 14:28

แกล้งดัดเณร

คราวหนึ่งที่ห้วยทราย ท่านมหาต้องหาวิธีดัดนิสัยเณรที่ชอบร้องเสียงดัง เวลามีอะไรมาทิ่มแทงให้เจ็บด้วยความขบขัน เพื่อให้เณรระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ดังนี้
สัญชาตญาณของมนุษย์เรามันรักษากัน ป้องกันกัน หรือป้องกันตัวอะไรนี้ มันมีของมัน นี่หมายถึงธรรมดา นอกจากจะแกล้งหรือทำตลกเป็นอีกแง่หนึ่ง


ท่านน้อย (ที่ไปอยู่สหรัฐทุกวันนี้) ท่านน้อย หลานท่านสิงห์ทอง ท่านน้อย ท่านอุ่น ตอนนั้นไปอยู่ห้วยทรายด้วย มันเป็นเณร อะไรผ่านนิดหน่อยไม่ได้ แต่ธรรมดานิสัยไม่ชอบพูดนะ เงียบ ๆ แต่อะไรผ่านถ้าเจ็บ.. ว้ากขึ้นเลย เณรร้องนี้เร็ว ‘ว้าก’ ขึ้นเลย

พาเณรนี้เข้าไปเอาไม้กวาด อยู่ในบริเวณวัด เอาไม้กวาดไม้อะไรมา ไปนั้น..พวกปลวก ปลวกไม่ใช่ปลวกเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ ปลวกใหญ่

เราก็รู้นิสัยเณรนี้มันร้องเก่ง นี่เป็นนิสัยของมัน พอตื่นนิดหน่อยร้อง ‘แอ้’ ขึ้นเลย พอไปถึงปลวก ปลวกก็ตัวใหญ่ ๆ ไม่ใช่ปลวกตัวเล็ก ๆ มันไม่มีทางก็เดินตามป่าไป มองลงไป เห็นแต่ปลวกเต็ม

บทเวลาจะดัด มีสัญชาตญาณหรือไม่สัญชาตญาณ มันจะดัดกันเป็นยังไง เราไปเห็นปลวกมันเต็มที่ เราก็ทำท่าเซ่อ ทำท่ามองนู้นมองนี้ มันอะไรอยู่แถวนี้ คืออยากให้เณรเซ่อไม่มอง เราก็ดันไว้.. ดันทางที่จะปลอดภัยไว้ เปิดทางที่ปลวกจะฟาดเณรไว้

มันก็เดินไป คอยฟังเสียง ‘ว้าก’ มันมากนะ ปลวกใหญ่ ฟังเสียงมันร้อง ‘ว้าก ๆ’ ร้อง ‘ว้าก ๆ’ เสร็จ เราก็บอกว่า ‘ได้การ ๆ’ คือดัดสันดานเณร เรียกว่าได้การ ไม่ลืมห้วยทราย มันชอบร้อง เณรนี้.. เอะอะร้อง พอดีปลวกฟัดมันเสียเต็มเหนี่ยว เสียงร้องก้าก ๆ เราเลยบอกว่า เออ.. ได้การ ๆ ขบขันดี...

สมเกียรติ สุโขทัย 25-06-2020 17:12

อักษรสีเขียวแบบสว่างบนพื้นขาว มองแล้วแสบตาครับ สีน้ำเงิน กับแดงเข้ม ให้ภาพที่ชัดสบายตาครับ

ลัก...ยิ้ม 27-06-2020 11:37

ดัดคนให้ทันกัน

“... ปลัดอำเภอคำชะอีเขาสนิทสนมกันกับผู้ใหญ่จูม เวลาเขาพูดกับผู้ใหญ่จูม เขาจะบี้จมูกไว้ก่อน ‘ผู้ใหญ่จูมเวลาแต่งตัวนี่ ข้าหลวงสู้ไม่ได้ แต่เวลาเขียนหนังสือเหมือนไก่เขี่ย

พอดีแกส่งจดหมายมาหาเรา เราอ่านไม่ออก อ่านออกแต่ขำตัวเดียว คือแกชื่อจูม นามสกุล ผิวขำ คำว่า “ผิว” อ่านไม่ออก อ่านได้แต่ “ขำ” ตัวเดียว

สองสามวันแกก็ตามมา แกคงสงสัยอ่านได้มั้ย ‘ท่านอาจารย์ได้รับจดหมายผมแล้วยัง’

‘ได้รับแล้ว’

‘แล้วเป็นอย่างไร อ่านออกไหม’

'ทำไมอ่านไม่ออก ผู้เขียนเขียนได้ ผู้อ่านอ่านไม่ได้มีอย่างเหรอ’

‘ลองอ่านดูซิ’ เราอ่านไม่ออกจริง ๆ นะ เราก็เลยว่า ‘อืออา ๆ ๆ ... ขำ’ เราว่าอย่างนั้น

‘อ้าว ทำไมอ่านอย่างนั้น’

‘ก็เขียนอย่างนั้นนี่’ เราก็ว่า คืออ่านไม่ออกเลย ผิวขำ ผิวก็อ่านไม่ออก ได้แต่ขำตัวเดียว ให้เราอ่าน.. เราก็อ่านอืออา ๆ ๆ ขำ เราว่าอย่างนั้น ทำไมอ่านอย่างนั้นล่ะ อ้าว.. ก็เขียนอย่างนี้นี่ ดัดคนให้มันทันกัน...”

ลัก...ยิ้ม 27-06-2020 13:06

เลิกปรารถนาพุทธภูมิ

“... เราก็ไม่เคยพูดนะ อย่างนี้นะ เพราะมันเป็นเรื่องผ่านมาแล้ว ไม่ทราบพูดหาอะไร ทีนี้เวลามันสัมผัสเราก็พูดบ้าง มันนานแล้ว แล้วแก (แม่ชีแก้ว) ก็ถาม
‘เท่าที่พิจารณาดูนะ ที่มันรู้มา ญาท่านนี้เคยปรารภพุทธภูมิมานะ แล้วทำไมถึงเลิกเสียล่ะ ใช่ไหม’


แกว่างั้นนะ เราก็ไม่ตอบเลยกระทั่งบัดนี้ ยังไม่ตอบเลยนะ แกถามแบบสงสัยนะ เราก็เฉยเลย แกก็จับคำอะไรเราไม่ได้นะ เราก็ไม่เคยพูดที่ไหนว่าเราเคยปรารถนาพุทธภูมิมา เราก็ไม่เคยพูดที่ไหน แต่แกทำไมนำมาพูดทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยพูดที่ไหนเลยนะ ว่าเราเคยปรารถนาพุทธภูมิหรือไม่ เคยปรารถนาเราก็ไม่เคยพูด แกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แกก็ไม่กล้าถามอีกนะ เราก็เฉยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แกตายไปแล้วเราก็เฉย..”

ลัก...ยิ้ม 27-06-2020 13:16

ดุเณรร้องไห้

“... ท่านอาจารย์คำดีท่านสอนพระ คือท่านฝึกนิสัยใหม่หมด ท่านเล่าให้เราฟัง นิสัยท่านสุภาพเรียบร้อยมากทีเดียว เรานึกว่าเป็นนิสัยเดิมท่าน เราก็ได้ชมนิสัยท่านเรียบราบมากทีเดียว เวลาสนิทกันนาน ๆ เข้ามาแล้ว ท่านเลยเล่าให้ฟัง ท่านบอกว่า ‘กิริยาอาการที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้ ผมฝึกหัดใหม่นะท่านมหา ไม่ใช่นิสัยเก่าผม’

นี่เราได้ชมว่าท่านฝึกได้เรียบจริง ๆ เป็นใหม่ขึ้นมาหมด ฝึกหัดนิสัยได้ใหม่หมดเลย
‘แต่ก่อนผมนิสัยวู่วาม ให้ทันใจ ใจร้อน อะไรพอขว้าง.. ขว้าง อะไรพอปา.. ปา ต้นเหตุที่จะมาให้ผมดัดนิสัยผมอย่างเด็ดขาด.. เกิดขึ้นจากเณรที่วัดศรัทธาราม โคราช


ท่านพักอยู่วัดศรัทธาราม เขาถวายผ้ามาแล้ว ‘เณรเย็บเป็นผ้าสบง ทีนี้เณรเย็บผิด เอามาดูก็ผิดจริง ๆ พอเห็นเย็บผ้าผิด ท่านก็เลยฉีกต่อหน้าเณร ผ้าใหม่ ๆ นะ ท่านฉีกผ้าต่อหน้าเณรเลย ท่านไม่สนใจ ตามนิสัยดั้งเดิมของท่านเป็นอย่างนั้น ผ้าใหม่ ๆ เย็บผิดเท่านั้น .. ฉีกเลย

เณรไปนั่งแอบอยู่ต้นเสา ไปร้องไห้อยู่ต้นเสานู้น ท่านไปเห็นไปเจอเข้า เณรที่เย็บผ้าผิด.. ถูก เราทำประชดฉีกผ้านี้ ไปนั่งอยู่ข้างเสาร้องไห้อยู่นั้น เลยไปสะดุดใจอย่างแรง ว่าเณรนี้ได้ร้องไห้เสียใจ หรืออะไรก็ไม่รู้แหละ เกิดจากเหตุที่เราฉีกผ้าที่เณรเย็บผิดนั่นต่อหน้าต่อตาเณร เณรเลยไปนั่งแอบต้นเสาร้องไห้

นั่นละ ท่านนำมาดัดท่าน ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเล่าให้เราฟังเอง
‘เรื่องเหล่านี้มันก็มีผิดมีพลาดได้ เย็บสบงจีวร ไม่ว่าอะไรผิดพลาดได้ทั้งนั้น แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหาย ผิดพลาดก็ธรรมดา ๆ ความเสียหายมาอยู่ที่เราทำเวลานี้ เอาผ้าที่เย็บผิดนั่นน่ะมาฉีกต่อหน้าต่อตาเณร ผ้าไม่เสีย มันเสียเรา นี่ถ้าเราไม่ฝึกหัดนิสัยใหม่ นิสัยนี้จะไปใหญ่ จะทำให้เสียพระทั้งองค์ คือเรานี้เอง


ตั้งแต่นี้ต่อไป นิสัยอย่างนี้เราจะไม่เอามาใช้เป็นอันขาด เราจะฝึกหัดนิสัยใหม่หมดเลย นิสัยเก่าตัดขาดสะบั้นไปเลย เอานิสัยเรียบร้อยดีงามมาใช้ เพราะฉะนั้น ผมถึงมีนิสัยอย่างนี้ท่านมหา นิสัยเดิมผมไม่ได้เป็นอย่างนี้’

ท่านก็เล่าให้ฟัง เพราะนิสัยท่านเรียบร้อยมาก...”

ลัก...ยิ้ม 28-06-2020 13:10

พลังจิต.. ท่านพ่อลี

ท่านเล่าถึงพลังจิตของท่านพระอาจารย์ลี ธัมมธโร แห่งวัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ดังนี้
“... พูดถึงเรื่องจิต... อย่างสมัยปัจจุบันนี้นะ... คือทำไมถึงทราบกันได้ ก็ทราบในวงปฏิบัติด้วยกันนะสิ ! พระกรรมฐานประสานกันอยู่ตลอดเวลา พวกเราฆราวาสไม่ค่อยทราบกัน.. ภาคปฏิบัติทางด้านจิตภาวนา องค์ไหนเป็นอย่างไร ๆ ท่านจะทราบกันอยู่อย่างลึกลับ อยู่ภายในของท่านนะ ในระหว่างพระกรรมฐานด้วยกัน แต่คนภายนอกนั้นไม่ทราบ เพราะท่านไม่พูด ...


เวลาไปไหน พระกรรมฐานเป็นผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริง ๆ เราจะไม่ทราบเลย เหมือนกับว่าผ้าขี้ริ้วห่อทอง ท่านไม่ได้มุ่งพูดอะไรต่ออะไร.. นั่นละ ถ้าความเป็นธรรมจริง ๆ แล้ว จะไม่มีโลกามิสเข้าไปเคลือบไปแฝงเลย... แต่ในวงปฏิบัติด้วยกันแล้ว อย่างไรก็ปิดไม่อยู่ อะไรก็ต้องเปิดสู่กันฟัง เพื่อจะได้แก้ไขกัน มีอะไร ๆ ขัดข้องตรงไหน พอองค์นั้นเล่าให้ฟังแล้ว ขัดข้องตรงไหนองค์นี้จะแก้ให้ทันที แก้ให้แล้วเปิดทางโล่ง.. นั่น..เรื่องของจิตเป็นอย่างนั้น

หลวงปู่มั่น นาน ๆ ท่านจะยกองค์นั้นมา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้นละ ทีนี้ยกมาคราวใดจะต้องมีจุดสำคัญ ๆ ที่ท่านจะนำออกมา อย่างท่านอาจารย์ลีท่านก็ว่า
‘ท่านลีนี้นะ กำลังใจดีมาก’


ฟังสิ กำลังใจ พลังของใจ นี่จะยกตัวอย่างให้ประกอบกับคำว่าพลังของธรรม ท่านเฟื่องเป็นคนเล่าให้ฟัง เราไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยละ ท่านอาจารย์ลีนั่งอยู่ ท่านเฟื่ององค์หนึ่งและเด็กชื่อมนูญคนหนึ่งอยู่นี่ แล้วท่านก็นั่ง ตอนนั้นก็คุยธรรมะกันเล็ก ๆ น้อย ๆ นะ

‘เอ้อ.. เราจะพานั่งสมาธิ’
ท่านอาจารย์ลีว่าอย่างนั้น ‘เอ้า เข้าที่’ (นั่งขัดสมาธิ) ท่านว่าอย่างนี้นะ ท่านอาจารย์เฟื่องเล่าให้ฟัง พอว่าอย่างนั้นองค์ท่านอาจารย์ลี .. ท่านไม่ได้นั่งหลับตานี่ ท่านไม่ได้นั่งเข้าที่ ท่านนั่งธรรมดา ‘เอ้ามนูญ ! เข้าที่’


พอนั่งปุ๊บปั๊บ เด็กเข้าที่นั่งสมาธิ ท่านคงเคยสอนมา ท่านอาจารย์เฟื่องนั่งอยู่ทางนี้ ‘เอ้า เราจะให้ตัวลอยนะ’

ท่านอาจารย์ลีกล่าว นี่ละ ที่ว่าพลังของจิต ‘เราจะให้ตัวลอยนะ’ พอว่าอย่างนั้น ‘เอ้า ขึ้น .. ขึ้น...’ แล้วดูมือท่านนะ อาจารย์เฟื่องดู ท่านว่า ท่านทำมือด้วย ‘เอ้า ๆ ขึ้น.. ขึ้น.. ขึ้น..’

ท่านอาจารย์ทำมืออย่างนี้ ขึ้นจริง ๆ เด็กคนนั้นนะ ตัวลอยขึ้น ๆ ... แต่สูงขนาดนี้ .. นี่ละพลังของจิตที่ท่านอาจารย์มั่นว่า ‘พลังของจิตท่านลีนี่ดีมาก’ ... ฟังสิ ! พลังของจิตดีมาก นี่ละ พลังเป็นอย่างนี้ แล้วพอเด็กนี้ลงแล้ว ทางท่านอาจารย์เฟื่องก็คิดมั่นใจว่า ‘ยังไงท่านก็จะให้เราขึ้นคราวนี้ เราจะไม่ยอมขึ้น วันนี้ฝืนกัน’

แล้วก็จริง ๆ สักเดี๋ยวท่านอาจารย์ลีก็ว่า ‘เอ้า เฟื่อง’ ท่านเฟื่องปรารภในใจ ‘ว่าแล้ว’ ทางท่านอาจารย์ลีนั่นว่า ‘เอ้า ๆ ขึ้น ๆ’

ท่านอาจารย์เฟื่องว่า ‘มันจะขึ้นจริง ๆ หว่า ! สู้ท่านไม่ได้ เราไม่ให้ขึ้นนะสิ แต่มัน.. อันนี้มันโยกแล้ว มันแปลก ๆ แล้ว’ ท่านว่า ‘เราก็สู้ ๆ แต่สู้อย่างไรก็...’

อย่าให้พูดเถอะ (ขบขัน) ไอ้เรื่องแพ้อย่ามาพูดเลย คือเรื่องแพ้ท่านอาจารย์ลี ท่านเฟื่องว่า
‘อีกนิดหนึ่งนะ.. ลงเลยนั่น หัวคะมำ ถ้าสมมุติว่าก้นเราไม่ขึ้น หัวเราต้องคะมำ’


ท่านว่าอย่างนั้น นั่นนะ เห็นไหม นั่นไม่ใช่เล่นนะ พอเสร็จแล้ว แล้วท่านก็ยืนอยู่นะ พอเห็นทางนั้นขยุกขยิก ๆ มันจะขึ้นแต่ไม่ขึ้นนี่นะ พอเสร็จแล้วท่านก็หยุด พอหยุดแล้วก็นั่งละ

‘โอ้ย ดื้อ’ (องค์หลวงตาพูดอย่างขบขัน) ท่านอาจารย์ลีพูดอย่างนี้ ท่านไม่พูดมาก ‘เฮ้ย ดื้อ’ (ขบขัน) ผมยังไม่ลืมอยู่นะ ท่านเฟื่องว่า ท่านอาจารย์ลีมียิ้มอยู่บ้างนิดหนึ่ง

นี่ละเรื่องพลังจิต อันนี้ก็จะเป็นได้บางราย... เพราะเป็นเรื่องภายนอก ใช้ภายนอกต่างหาก ตามแต่จริตนิสัยของใครที่จะใช้ในทางไหน ไม่ใช่หลักของศีล สมาธิ ปัญญา มรรคผลนิพพานจริง ๆ อันนั้นเป็นหลักเพื่อจะละ จะถอนกิเลส...

กำลังจิตอันนี้มันเป็นเครื่องใช้.. แล้วแต่ใครจะมีนิสัยวาสนาหนักไปทางไหน เช่น เหาะเหินเดินฟ้า ดำดินบินบน ที่ท่านแสดงไว้ในอภิญญา ๖ หรือวิชชา ๓ ...”


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:36


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว