เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ |
วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ ระยะนี้ทางคณะสงฆ์ของเรา ก็เร่งในเรื่องของการฉีดวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ของวัดท่าขนุนเราก็น่าจะอีกหลายวัน กว่าที่จะฉีดวัคซีนกันได้ครบถ้วน
เรื่องของการฉีดวัคซีนนั้น ต้องบอกว่าสำคัญอย่างยิ่ง ใครจะกลัวตาย หรือกลัวด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ถ้าหากว่าคนอื่นฉีดวัคซีนไปแล้วสัก ๖๐ - ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านจะกลายเป็นบุคคลที่โลกรังเกียจ เพราะว่าขึ้นรถเมล์ก็ไม่ได้ เข้าห้างร้านต่าง ๆ ก็ไม่ได้ จะไปดูหนังฟังเพลงอะไรก็ไม่ได้ เพราะว่าต้องแสดงหลักฐานว่าได้รับวัคซีนมาแล้วหรือยัง ? ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครยังไม่ฉีดวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ต่อไปจะดำเนินชีวิตด้วยความยากลำบากมาก พูดง่าย ๆ ว่า ถึงออกจากบ้านก็กลายเป็นบุคคลที่คนอื่นเขารังเกียจโดยปริยาย อันนี้พูดเรื่องเกินตายไปหน่อย ก็คือยังไม่ใช่เรื่องของวันนี้พรุ่งนี้ แต่ชี้ให้ดูว่าอนาคตข้างหน้าไม่นาน..จะเป็นแบบนี้ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดก็คือว่า ช่วงนี้มีญาติโยมหลายท่านย้ายมาอยู่ทองผาภูมิ ซึ่งถ้าหากว่าย้ายมาเพราะว่าเห็นช่องทางทำมาหากินก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าย้ายมาด้วยเหตุผลว่า "จะได้อยู่ใกล้หลวงพ่อ จะได้อยู่ใกล้พระอาจารย์" ถ้าเป็นแบบนั้น ท่านเอาตัวไม่รอดแน่นอน..! เพราะว่าบุญของท่านคงจะไม่เหมือนกับหลวงพ่อวักกลิ หลวงพ่อวักกลิมีวิสัยจะได้มรรคได้ผล องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงยอมให้อยู่เปล่า ๆ ในสำนัก ๓ ปี พูดง่าย ๆ ก็คือ มานั่งมองพระพุทธเจ้าเปล่า ๆ อยู่ ๓ ปี โดยไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไรเลย เพราะว่ายึดติดในองค์ท่าน ไม่ได้ยึดในเรื่องของธรรมะ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าเห็นว่าจริตนิสัยแก่กล้าเพียงพอที่จะบรรลุมรรคผลแล้ว จึงได้ขับไล่ว่า "อัปเปหิ..วักกลิ" พูดง่าย ๆ ก็คือ "เธอจงไปเสียจากที่นี่" พระวักกลิยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่ระลึกเพียงหนึ่งเดียว ยึดแบบหลงงมงาย เกิดความเสียใจน้อยใจขึ้นมา จึงไปกระโดดเหวตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแผ่ฉันพรรณรังสีไปปรากฏเฉพาะหน้า ตรัสว่า "โย ธัมมัง ปัสสะติ โส มัง ปัสสะติ ดูก่อน..วักกลิ บุคคลใดเห็นธรรม บุคคลนั้นจักเห็นเรา" พระวักกลิกระโดดลงเหวไปแล้ว เห็นและได้ยินเช่นนั้น เกิดปีติจนลอยทั้งตัว สามารถก้าวผ่านอากาศลงสู่พื้นดินได้ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์โปรด ก็บรรลุอรหัตผล แต่คราวนี้ท่านทั้งหลายที่ย้ายมาอยู่ทองผาภูมิ ถ้าด้วยเหตุผลว่าจะได้อยู่ใกล้พระอาจารย์ กระผม/อาตมภาพเชื่อมั่นว่า บารมีไม่ถึงแบบหลวงพ่อวักกลิอย่างแน่นอน..! |
เรื่องแบบนี้เคยเกิดมาแล้วครั้งหนึ่ง สมัยที่อาตมายังอยู่ที่วัดท่าซุง ตอนช่วงนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงกำลังมีชื่อเสียงสูงสุด จัดงานวัดแต่ละครั้งญาติโยมไปอย่างน้อยสองแสนคน..! ที่ญาติโยมทางทองผาภูมิบอกว่าพระอาจารย์เล็กจัดงานแล้วญาติโยมมาเยอะ ญาติโยมมาเยอะแบบไม่ได้ติดฝุ่นของวัดท่าซุงหรอก เพราะว่าวัดของเราอยู่ในระดับแค่ ๓,๐๐๐ - ๔,๐๐๐ คน มีตอนหล่อพระทองคำที่ขึ้นเป็นหมื่นคน แต่ก็ไม่ใช่หลักแสน
ท่านที่ไม่ได้จองห้องพักที่วัดท่าซุงในนามของตัวเองเอาไว้ ก็คือไม่ได้เป็นเจ้าของห้อง ก็พยายามหาที่หาทางเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้วัด ได้อยู่ใกล้หลวงพ่อวัดท่าซุง พอดีมีบุคคลเปิดบ้านจัดสรรขึ้นมาหมู่บ้านหนึ่ง ยอดจองหมดในพริบตา..! เพราะว่าส่วนใหญ่ญาติโยมจากในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดที่อยากอยู่ใกล้หลวงพ่อวัดท่าซุง รีบเข้าไปจองเป็นเจ้าของ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนหลวงพ่อมรณภาพ..! ญาติโยมที่จองบ้านไว้ทิ้งจองกันหมด เจ้าของโครงการที่เห็นกำไรเต็ม ๆ น่าจะยังเป็นหนี้ธนาคารมาจนทุกวันนี้ ๓๐ ปีเข้าไปแล้ว..! ดังนั้น...ท่านที่มา ถ้าหากว่าด้วยเหตุผลว่าจะได้อยู่ใกล้พระอาจารย์ จะได้มาวัดปฏิบัติธรรมทุกวัน ถ้าเหตุผลนี้พอรับได้ แต่แสดงว่ากำลังใจยังอ่อนเกินไป เพราะว่าต้องอาศัยอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ จึงสามารถที่จะปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ได้ บุคคลที่กำลังใจเข้มแข็ง พอได้หลักปฏิบัติ ก็จะนำไปทำเองที่บ้าน ถ้าดูตัวอย่างสมัยพุทธกาล เมื่อพระภิกษุฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็เข้าสู่ป่า ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ ตัดละกิเลสไปตามวิสัยของตน บางท่านก็บรรลุภายในไม่กี่วัน บางท่านระดับมหาสาวกอย่างพระอนุรุทธเถระ ยังเสียเวลาไป ๗ ปี แต่ด้วยกำลังใจที่เข้มแข็ง แม้ว่าไม่ได้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มีหลักธรรมเป็นเครื่องยึดถือที่มั่นคงแล้ว ก็สามารถฝ่าฟันจนกระทั่งหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ ที่กล่าวมานี้เพื่อที่จะเตือนว่า ท่านทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นข้าราชการที่ขอโยกย้ายมาก็ดี หรือว่าท่านที่ทำธุรกิจส่วนตัวย้ายมาเช่าบ้าน เพื่อเปิดร้านทำมาหากินของตนเอง หรือว่าซื้อที่ดินเพื่อทำไร่ทำสวนก็ตาม ถ้าหากว่าเพื่อให้ได้อยู่ใกล้พระอาจารย์ ให้ได้อยู่ใกล้หลวงพ่ออย่างเดียว ชาตินี้น่าจะไปได้ไม่ไกล..! แต่ถ้าได้อยู่ใกล้แล้วพยายามกอบโกยให้เต็มที่ ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติธรรมให้เต็มที่ ถ้าอย่างนั้นก็พอมีหวัง ส่วนท่านที่ตั้งท่าจะย้ายมา หรือว่าจะมาหาซื้อที่ทางแถวนี้ก็โปรดทราบ ทองผาภูมิใหญ่แต่บ้านเมือง สถานที่เป็นป่าและเขาเสียส่วนมาก ตำแหน่งหน้าที่ราชการก็มีน้อย โอกาสที่จะหาที่ลงได้เหมาะสมก็เป็นไปได้ยาก เพราะว่าที่ทางก็แพง ตำแหน่งหน้าที่ก็น้อย เรื่องของการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ต้องปฏิบัติได้ ถ้าหากว่ายังต้องอาศัยครูบาอาจารย์อยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าสิ้นท่านไป เราจะเอาตัวไม่รอด |
ดังนั้น..ในเรื่องที่กล่าวในวันนี้ ก็ขอให้ทุกท่านนำไปตรองดูว่า สิ่งที่ท่านทำไปแล้ว หรือว่าคิดจะทำ เกิดขึ้นด้วยเหตุผลใด ? ดังที่ได้กล่าวมาเบื้องต้น ถ้าหากว่าเป็นเหตุผลเพื่อที่เราจะเร่งรัดการปฏิบัติของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น แล้วไม่ได้ทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนมาก ก็ทำตามใจของตนเองไป แต่ถ้าเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ เพื่อที่จะได้เกาะครูบาอาจารย์อย่างเดียว โดยไม่คิดที่จะทำมาหากินอย่างอื่น ขอให้คิดเสียใหม่ เพราะว่าพวกเราไม่ใช่หลวงพ่อวักกลิ โอกาสที่จะได้ดีแบบท่านนั้นเป็นไปได้ยาก
การที่เราโยกย้ายมาก็ดี มาซื้อหาที่ทาง หรือว่ามาทำมาหากินก็ตาม การเป็นคนใหม่ ต้องทำความคุ้นเคยใหม่ ๆ กว่าที่จะเข้ากับที่ทำงาน หรือว่ากว่าที่จะหางานที่เหมาะสมกับตัวเองได้ ก็อาจจะต้องลำบากเลือดตากระเด็นอยู่พักหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้จะเกิดกับทุกคน แล้วการมาอยู่ใกล้อาตมาไม่ใช่ว่าจะดี เพราะว่าอาตมาเป็นครูบาอาจารย์ที่ค่อนข้างจะเข้มงวด ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อเอาตัวเองให้รอด ก็เลยไม่สนใจลูกศิษย์ มาผิดท่าผิดทางก็โดนด่าอีกต่างหาก..! จึงขอแจ้งให้กับพระภิกษุสามเณรได้ทราบเอาไว้ แล้วก็แจ้งให้กับญาติโยมทั้งหลาย ทั้งที่ทำไปแล้วและกำลังจะทำว่า เรื่องแบบนี้ต้องตัดสินใจให้ดี เพราะว่าโยงกับอนาคตของเราในภายภาคหน้าไปอีกยาวนาน ก็ขอเจริญพรไว้แต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:32 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.