กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=110)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8130)

ตัวเล็ก 08-11-2021 21:03

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๔



เถรี 09-11-2021 00:09

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ ก็ต้องบอกว่ามีงานทั้งข้างนอกทั้งข้างในประดังมาทั้งวัน โดยเฉพาะงานครบรอบ ๑๑๘ ปี ชาตกาลสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถระ) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช องค์ทุติยนายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ปรากฏว่ามีผู้ลงทะเบียนเข้างาน ๔,๐๐๐ กว่าคน ห้องซูมมีอยู่ ๕ ห้อง ห้องภาษาไทย ๔ ห้องเต็มเอี๊ยด ห้องที่ ๕ มีอยู่ ๓๗ คน ผมอยู่โคตรสบายเลย ห้องที่ ๕ เป็นภาษาอังกฤษไม่มีใครอยู่ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้ารู้มากกว่า ๑ ภาษาเราจะได้เปรียบชาวบ้านเขา

ห้องซูมห้องหนึ่งของเขารับได้ ๑,๐๐๐ คน ๔ ห้องแรกเบียดกันเกือบตาย ใครเผลอหลุดออกมาก็ไม่ต้องเข้าใหม่อีกเลย แต่ห้องที่ผมอยู่ ผมพยายามดูแล้วดูอีกว่า "กูตาลายหรือเปล่าวะ ?" มี ๓๗ คนครับ ก็ต้องบอกว่าสบายดี แล้ววุฒิบัตรภาษาอังกฤษก็ดูเท่มากด้วย

คราวนี้การที่งานประดังมามาก ๆ มีสำคัญอยู่ ๒ เรื่อง เรื่องแรกคือ สมาธิต้องพอ ถ้าสมาธิไม่พอ คุณไม่สามารถจะยืนระยะได้จนตลอดงาน บางคนทุ่มเทกับงานมาก ๆ หลังงานนอนสลบไสล บางคนก็นอนข้ามวันข้ามคืนไปเลย

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ สติและปัญญา ต้องแยกแยะความสำคัญ ก่อนหลังเร็วช้าของเรื่องได้ เรื่องไหนมาก่อนทำก่อน แล้วท่านทั้งหลายจะมีเรื่องตรงหน้าแค่เรื่องเดียว และไม่เกินกำลังตัวเอง

อย่างเมื่อคืนนี้ ตั้งแต่ ๖ โมงเย็นยัน ๓ ทุ่มครึ่ง ผมต้องเข้าอบรมถึง ๔ รายการด้วยกัน แล้วกติกาของเขาก็คือต้องอยู่ในระบบอย่างน้อย ๓๐ นาทีต่อเนื่อง แล้วบางรายการ อย่างของอาจารย์ปุ๊กกี้ (อัชฌา หลิ่วเจริญ) เรียกตลอด เจอพิธีกรหรือวิทยากรที่ประเภทเรียกหาอยู่ตลอดนี่ บางทีก็เหนื่อยใจเหมือนกัน

แต่คราวนี้อาศัยว่าจังหวะดี เพื่อนฝูงเขาคิดว่าผมน่าจะมีคอมพิวเตอร์อย่างน้อย ๔ เครื่อง เขาไม่รู้หรอกว่าผมมีแค่โน้ตบุ๊กเครื่องเดียว เพียงแต่ว่าต้องดูจังหวะเข้าออกให้ดี จังหวะไหนควรเข้า จังหวะไหนควรออก โดยเฉพาะเข้าไปเพื่อทำแบบประเมิน ถ้าเราลำดับเหตุการณ์ก่อนหลังเร็วช้าได้ กะถูก เดาถูก ว่าเขาจะปล่อยแบบประเมินตอนไหน ถ้าแบบนี้ถึงจะยุ่งกว่านั้นก็ทำได้ เรื่องพวกนี้ต้องฝึกหัดกันนาน ๆ ซักซ้อมจนกว่าเราจะชำนาญ

เถรี 09-11-2021 00:14

กระผม/อาตมภาพเองต้องบอกว่าเป็นคนรู้ตัวเร็ว สมัยที่เป็นฆราวาสถวายการรับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ ช่วงเช้าอัดสมาธิไปเต็มที่..สบายมาก แต่พอตอนบ่าย ตอนแรก ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตก แต่คราวนี้ด้วยความที่รู้ตัวเร็ว ก็เลยสังเกตว่าเสียงของตัวเองเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าลักษณะอย่างนี้แปลว่าเครียดแล้ว..!

ญาติโยมที่ไปงานหลวงพ่อวัดท่าซุง ในช่วงท้าย ๆ ก่อนที่ผมจะบวช แต่ละงานไม่ต่ำกว่าแสนคน..! บางงานก็ถึงสองแสนกว่าสามแสนคน แล้วต้องรบกับคนประเภทที่พูดไม่รู้ภาษาตั้งแต่เช้ายันเย็น
กระผม/อาตมภาพมีหน้าที่จัดระเบียบคนที่เข้าทำบุญกับหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ละคนนี่จะต้องผ่านตรงนั้นไปให้เร็วที่สุด เพราะว่าคนข้างหลังอีกเป็นพันรออยู่ แต่ก็เจอไอ้ประเภทที่ไม่รู้ภาษาบ่อยมาก มาถึงตรงนั้นแล้วค่อยควักเงินออกมานับว่าจะทำบุญเท่าไรดี ?

พอเจอประเภทนี้มาก ๆ หลาย ๆ คนเข้าก็เครียดไม่รู้ตัว
กระผม/อาตมภาพก็จะเสียงดังใส่เขา พอรู้ตัวทำอย่างไรครับ ? รีบดึงเพื่อนมาทำหน้าที่แทน ขอไปส้วม ไม่ได้ไปเข้าส้วมอุจจาระปัสสาวะแบบชาวบ้านชาวเมืองเขาหรอก ไปนั่งภาวนาบนโถส้วม..! หลวงพ่อวัดท่าซุงสอนว่าเวลาปฏิบัติภาวนาอย่าไปอวดคนอื่นเขา ถ้าลักษณะอย่างนั้นเป็นอุปกิเลส ก็เลยหลบไปภาวนาในส้วม จนกำลังใจทรงตัวแล้วค่อยออกมาทำงานใหม่ ถ้าเพื่อนสงสัยว่าทำไมไปห้องน้ำนานแท้ ? ก็บอกว่า "อ๋อ...ท้องผูก..!"

พอทำอย่างนั้นแล้ว ก็ยังยืนระยะได้ไม่ครบวัน โดยเฉพาะบางงาน ต้อง ๒ วัน ๑ คืนต่อเนื่อง เพราะฉะนั้น..งานวัดท่าขนุนที่คุณเห็นนี่แค่จิ๊บ ๆ คนของเราเต็มที่ก็ประมาณสี่ห้าพัน
กระผม/อาตมภาพเจอสองสามแสนคนมาแล้ว จึงไม่ให้ราคาเลยกับคนแค่นี้ แต่พวกท่านอาจจะเหนื่อยกัน เพราะว่าคนก็คือคน พูดภาษาคนไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก ทั้ง ๆ ที่เป็นคนนั่นแหละ..!

เถรี 09-11-2021 00:21

ในเมื่อเป็นในลักษณะอย่างนี้ จึงต้องพยายามสร้างกำลังใจของเราให้เข้มแข็งพอ กระผม/อาตมภาพมาพิจารณาว่าเหตุที่เสียงดังใส่ ก็ไม่ได้ดังใส่ทุกคน แสดงว่ากำลังใจยังเห็นคนไม่เท่ากัน มีรวย มีจน มีสาว มีแก่ มีสวย มีไม่สวย แล้วกระผม/อาตมภาพควรจะทำอย่างไรดี ? ท้ายสุดก็ตัดสินใจตอนที่บวชมาแล้วว่า ต้องออกธุดงค์เท่านั้น เพราะว่ากระผม/อาตมภาพขาดในพรหมวิหาร ๔ ไม่สามารถที่จะสงเคราะห์คนเป็นอัปปมัญญา คือไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ในเมื่อต้องการที่จะได้พรหมวิหาร ๔ มีทางเดียวคือต้องเข้าป่า

แต่ปรากฏว่าผมกว่าจะได้เข้าป่าก็ โน่น...พรรษาที่ ๔ ไปแล้ว ประมาณใกล้ ๆ จะขึ้นพรรษาที่ ๕ เพราะว่าสมัยนั้นสอบนักธรรมแล้วเขาจะไปประกาศประมาณเดือนกุมภาพันธ์ รุ่นผมนี่ไม่อยากจะคุยนะครับ ประกาศนียบัตรนักธรรมเขียนด้วยมือทุกฉบับ ส่วนสมัยนี้ก็คือฟอนต์ของคอมพิวเตอร์ สมัยโน้นเขียนด้วยมือ ถึงได้ช้าขนาดนั้น

พอจบนักธรรมชั้นเอก หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านคงมองแล้วว่า
กระผม/อาตมภาพอยากเข้าป่าเต็มทีแล้ว ท่านจึงบอกว่า "เออ...จบนักธรรมชั้นเอกแล้ว กำลังสมาธิก็พอคุ้มตัวได้ ถ้าจะออกธุดงค์ก็ไปได้นะ" ผมได้ยินนี่..แทบจะเหาะไปเดี๋ยวนั้นเลย..!

คราวนี้ก็มาเสาะหาว่าจะไปที่ไหนดี ก็ปรากฏว่าพระรุ่นน้อง ก็คือหลวงลุงสุนทร
กระผม/อาตมภาพเรียกหลวงลุง พวกคุณก็เรียกหลวงปู่ เพราะว่าตอนนี้อายุท่าน ๘๐ กว่าแล้ว แนะนำว่ามีที่หนึ่งที่น่าไป ก็คือแม่สาน สมัยนั้นหนทางที่จะไปถึงมีทางเดียว ก็คือเดินเข้าป่าไปอย่างน้อย ๖ ชั่วโมง ขึ้นเขาลงห้วยไป กระผม/อาตมภาพก็สอบถามทางว่าไปอย่างไร มาอย่างไร

ตอนที่ได้ยินว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงอนุญาตให้ออกธุดงค์ พระพี่พระน้อง ๗ รูป ๘ รูปขอพ่วงไปด้วยครับ จะให้ไปเองก็กลัว แต่พอรู้ว่า
กระผม/อาตมภาพจะไปป่าแม่สาน ไม่มีใครไปด้วยเลยครับ เพราะคนที่รู้เขาบอกว่า "มันไปหาที่ตาย..!"

แรก ๆ
กระผม/อาตมภาพก็ยังไม่รู้นะครับว่าไปหาที่ตาย จนกระทั่งผมก้าวพ้นบ้านห้วยหยวก แค่หลังบ้านสุดท้าย เห็นรอยตีนสัตว์เป็นเทือกเลย..! ตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นรอยตีนวัวควายที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ ปรากฏว่าไม่ใช่ เป็นรอยตีนสัตว์ป่า..! หากินติดบ้านเลย..!

เถรี 09-11-2021 00:28

พอเดินเข้าป่าไปก็ชื่นใจมาก ป่าไม่รกเลย เพราะว่าต้นไม้แต่ละต้นสูงสามสี่สิบเมตร..! ข้างล่างมีแต่ต้นเหมือนกับเสา มองไปได้สุดลูกหูลูกตาเลย ยอดอยู่บนโน้น ข้างล่างก็ใบไม้ตกมาทับถมกัน หนาจนกระทั่งหญ้าขึ้นไม่ได้ นอกจากใบไม้หนายังไม่พอ แดดไม่มีอีกต่างหาก เดินไปก็มีแต่เสียงสัตว์ร้อง สัตว์ใหญ่สัตว์เล็กเต็มไปหมด

ปรากฏว่าพรหมวิหาร ๔ ที่ตั้งใจจะไปหา ไม่เหลือเลยครับ เหลือแต่ "ตายแน่..! ตายแน่..!" อยู่คำเดียว จะถอยก็ไม่ได้ มี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คืออายเขา ส่วนอย่างที่สอง สันดานของ
กระผม/อาตมภาพเอง ถ้าขึ้นหน้าตาย ถอยหลังตาย กระผม/อาตมภาพขึ้นหน้าอย่างเดียวเลย ผมถือหลักว่า "ไปตายข้างหน้าอย่างคนกล้า ดีกว่าถอยมาแล้วตายแบบคนขี้ขลาด"

สรุปว่า
กระผม/อาตมภาพไม่ได้พรหมวิหาร ๔ จากในป่า แต่ได้สังขารุเปกขาญาณมาแทน เกินต้องการไปลิบโลกเลย เพราะว่าต้องปลงชีวิตจริง ๆ ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า..!!?

โดยเฉพาะในป่าใหญ่ดงลึกแบบนั้น เดิน ๆ ไปนี่ประสาทมักจะหลอนตัวเองนะ เดินไป ๆ เลาะไปตามลำห้วย ไอ้ช่วงที่กว้างหน่อย เจ้าประคุณเถอะ...มีงูโผล่หัวขึ้นมา ตัวใหญ่เป็นโอบ..! พอดูดี ๆ แล้ว ไม่ใช่งู เป็นตอไม้ ลักษณะเหมือนหัวงูเปี๊ยบเลย ถ้าหากว่าสติไม่มั่นคง สมาธิไม่เพียงพอ ได้วิ่งกันป่าราบ แล้วทั้งผีทั้งอะไรก็หลอกอยู่ตลอดเวลา

แต่ดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ตลอด ๑๕ วันที่ลาไป สมาธิทรงตัวแน่นเปรี๊ยะไม่มีหลุดเลย จะกลางวัน จะกลางคืน จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง สมาธิทรงตัวตลอด ไม่ต้องภาวนาเลย เพราะกลัวตาย ในเมื่อจิตของเรากลัวตาย ก็ต้องวิ่งหาที่พึ่ง ที่พึ่งไม่มีอะไรหรอก นอกจากสมาธิภาวนา

แต่ตอนออกมาแล้วนี่สิ เดินมา...เดินมา จำทางได้ว่าจากตรงนี้ไป อีกไม่เกินชั่วโมงจะถึงบ้านห้วยหยวก สมาธิที่ทรงตัวไม่รู้ว่าหลุดไปตอนไหน ก็คือประมาทว่าใกล้ถึงบ้านคนแล้ว "กูรอดแน่" ไอ้จากที่ประเภทตั้งหน้าตั้งตาภาวนา สติหลุดไปตอนไหนไม่รู้ เพราะว่าผมเดินออกมาช่วงเช้า พอสาย ๆ แดดเริ่มจัด ส่องลอดป่าลงมาเป็นเส้น ๆ แล้วความชื้นในป่าสูงมาก เป็นไอหมอกลอยขึ้นไป

ผมไปนึกถึงเพลงตอนเด็ก ๆ "ดวงตะวัน ลับทิวแมกไม้ ใจพี่ก็หาย หายลับไปกับตะวัน" หลุดจากภาวนาไปเป็นเพลงเฉยเลย แล้วก็เลยไม่รู้ใครเมตตา ถีบเข้าเต็ม ๆ หลัง..! ปลิวลงไปในลำห้วย เปียกหัวถึงตีน..! ผ้าผ่อนท่อนสไบที่เตรียมไปเปลี่ยนอยู่ในย่ามธุดงค์ เปียกหมดทุกชิ้น เพราะว่าย่ามธุดงค์ก้นบาตรจะโผล่ออกมา จึงกันน้ำไม่ได้ แล้วผมก็ไม่ได้ใส่ของไว้ในบาตรเสียด้วย ใส่ไว้ในย่ามนั่นแหละ คราวนี้เป็นเดือนพฤศจิกายน หนาวสั่นแหง็ก ๆ ๆ เดินไปก็สมน้ำหน้าตัวเองไป "เสือกหลุดจากภาวนาดีนัก..!"

เถรี 09-11-2021 00:32

ดังนั้น...ตรงจุดนี้ที่เล่าให้ฟังก็คือว่า เวลาที่เราเจองานหนัก ๆ จะวัดได้ชัดเลยว่า กำลังสมาธิของเราพอใช้งานไหม ? สติ สมาธิ ปัญญาของเรา เพียงพอที่จะแยกแยะความก่อนหลังเร็วช้าของงานได้ไหม ? ถ้าหากว่าสามารถทำได้ ตรงหน้าเราจะมีแค่งานเดียว แล้วไม่เครียด ไม่เกินกำลัง

แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราในปัจจุบันนี้ก็คือ สติ สมาธิ ปัญญาไม่เพียงพอ มีกี่ปัญหาก็เอามาหมกรวมกันหมด ไหนจะเรื่องบ้าน ไหนจะเรื่องรถ ไหนจะเรื่องลูก เรื่องผัว เรื่องเมีย ไอ้โน่นก็ต้องผ่อน ไอ้นี่ก็ต้องซื้อ เจ้านายก็ด่า เร่งงานมา หัวจะหงอกตาย..!

ปัจจุบันนี้
กระผม/อาตมภาพอายุ ๖๓ ปีนะครับ ก็คือ ๖๒ ปี ๕ เดือน ไปนั่งรวมกันเพื่อนนี่ กลายเป็นลูกชายเพื่อนเลย เพื่อนเป็นฆราวาส ชีวิตเครียดมาก เพราะว่าไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรก่อน อะไรหลัง โดยเฉพาะเรื่องของงาน ยิ่งไม่ได้ปฏิบัติธรรมไปด้วยก็ยิ่งแย่กันไปใหญ่

การปฏิบัติธรรมของเรา ที่สำคัญที่สุดก็คือต้องนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ กิเลสมาต้องหลบให้ทัน ต้องรับมือให้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้วไอ้ที่เราปฏิบัติมาทั้งหมด ก็เท่ากับไม่ได้ทำอะไร เพราะว่าสู้กิเลสไม่ได้เหมือนเดิม กว่าที่จะมาถึงขั้นนี้ได้ แต่ละคนก็ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด แต่กระผม/อาตมภาพยืนยันครับว่าสู้อย่างเดียว ถ้าหากว่าเราสู้ โอกาสชนะจะมี แต่ถ้าเราถอย โอกาสชนะไม่มีเลย..!

สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุงบ่นพระให้ผมฟังครับ ท่านบอกว่า "อยากจะฟาดกบาลมัน มันมาขอบวช ยังไม่ทันจะบวชเลย มันถามหาฤกษ์สึกแล้ว" ในเมื่อตั้งเวลาสึกเอาไว้แล้ว กำลังใจแบบนั้นหรือจะสู้กิเลสได้ เพราะจะคิดอยู่เสมอว่า "สู้ไม่ได้" เวลานั้นกูก็จะไปแล้ว อย่าลืมนะครับ ที่หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าท่านบอกว่า "ธรรมะอยู่ฟากตาย" ก็คืออยู่ฝั่งเดียวกับความตาย ถ้าไม่สู้ชนิดเอาชีวิตเข้าแลก รอดยากครับ

ที่ฝากพวกเราเอาไว้ก็เพราะว่า บางท่านสองจิตสองใจ จะอยู่หรือจะไปดี พี่คนนั้น ๔ พรรษาก็ไปแล้ว พี่คนโน้น ๒ พรรษาก็ไปแล้ว
กระผม/อาตมภาพไม่ชวนใครอยู่นะครับ ตัดสินใจเอาเองได้เลย ตามสบายครับ มีอะไรเกิดขึ้น ก็รับผิดชอบการตัดสินใจของตัวเอง รบกวนเวลาพวกเรามากแล้ว พอแค่นี้แหละครับ ขอบคุณมาก


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:49


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว