กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6940)

เถรี 18-04-2020 06:20

"แต่ก็มีบางสำนักที่ถือเคร่งครัดแบบ "ลา" เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น รับใบปวารณาแต่ไม่รับเงินสด ทั้งที่ในศีลพระระบุไว้ว่า "พระภิกษุรับเองก็ดี หรือใช้ให้ผู้อื่นรับแทนก็ดี ซึ่งเงินทองหรือสิ่งของที่ใช้แทนเงินทอง ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์"

แล้วก็เอาความบริสุทธิ์ผุดผ่องของตน ไปทำลายศรัทธาของคนอื่น ด้วยการไปประณามบุคคลที่นำเงินทองถวายพระ ว่าเป็นผู้ทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้พระเกิดกิเลส ทั้งที่กิเลสของทุกคนติดตัวมาตั้งแต่ก่อนเกิดแล้ว เป็นการอ้างพระพุทธวจนะ ยกตนว่าสูงส่งบริสุทธิ์ ถ้าไม่ทำแบบตนก็คือผิดทั้งนั้น..!

บรรดา "ลา" ที่หน้ามืดตามัวเหล่านี้สามสี่ตัว มายกป้ายและตะโกนห้ามญาติโยมที่กำลังใส่บาตรอาตมาอยู่ กล่าวหาว่าการนำเงินใส่บาตรเป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำให้ท่านที่ได้รับรู้รับฟังเกิดอาการ "ของขึ้น"

ยังดีที่อาตมาพอที่จะมีสติอยู่บ้าง จึงได้ห้ามปรามญาติโยมทั้งหลายเอาไว้ ปล่อยให้บรรดา "ลา" จากไปด้วยความปลอดภัย เดินแบกสักกายทิฐิและอติมานะติดตัวไปด้วยความภาคภูมิใจ..!

เถรี 18-04-2020 06:41

"ทั้งรัฐบาล ทั้งหมอและพยาบาล ทำงานกันอย่างหนักเพื่อที่จะเอาชนะเชื้อโรคร้าย covid-๑๙ ขอให้พวกเราอดทน อดกลั้น อดออม ยอมทนลำบากไปอีกระยะหนึ่ง เมื่อควบคุมโรคอยู่ในวงแคบได้แล้ว มาตรการต่าง ๆ ย่อมผ่อนคลายลงไปเอง

ขอให้ทุกคนจงเป็นทหารกล้าที่ยอมทนลำบาก แบก "ลา" ทั้งหลายเหล่านี้ไปด้วย อย่าให้ไปเดินเกะกะเพ่นพ่านจนเหยียบกับระเบิดเข้า จงปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยขันติและเมตตา อย่าเสพรับสื่อทั้งหลายมากนัก แล้วเราจะผ่านพ้นสถานการณ์ที่ยากลำบากเหล่านี้ไปด้วยกัน"

เถรี 19-04-2020 06:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในระยะที่มีการ "ล็อกดาวน์" ตาม พรก.ฉุกเฉิน ทางวัดท่าขนุนก็ปิดวัดตามไปด้วย คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า ยกเว้นการบิณฑบาตของพระภิกษุสามเณร และญาติโยมบางท่านซึ่งมีหน้าที่นำเอาอาหารสดเข้ามาในวัด แต่ก็ต้องผ่านการคัดกรองอย่างเข้มงวดเช่นกัน

ตรงจุดนี้แปลงผักสวนครัวของวัดท่าขนุน ซึ่งทางวัดตั้งใจทำเป็นตัวอย่างให้กับชาวบ้านในชุมชน ในการนำเอาหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ดำรงชีวิต ได้แสดงศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่ บรรดา พริกชี้ฟ้า พริกขี้หนู ขิง ข่า ตะไคร้ มะกรูด มะนาว ใบโหระพา ใบแมงลัก ใบกระเพรา ใบยี่หร่า ฯลฯ แทบจะไม่ต้องพึ่งพาจากตลาดสดเลย

กล้วย ฟักทอง ข้าวโพด กระเจี๊ยบ ก็ยังพึ่งพาอาศัยได้ โดยเฉพาะมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ออกลูกเป็นคันรถ เมื่อรวมกับมะม่วงอื่น ๆ แล้ว บุคลากรในวัดไม่สามารถที่จะกินได้ทัน ต้องนำไปเข้าร่วมโครงการข้าวกล่อง ๑๐ บาท ด้วยการแจกฟรีให้กับผู้ที่มาซื้อข้าวกล่องในโครงการ เป็นของหวานหรือของแถมชั้นดีที่หาได้ยาก"

เถรี 19-04-2020 06:25

"ส่วนข้าวของอื่น ๆ นั้น มีบริการของไปรษณีย์ไทย และบริการส่งของด่วนหลายบริษัท ซึ่งส่งให้จนแทบจะถึงที่นอน เสียอย่างเดียวว่ารับข้าวของทีไรก็ต้องตั้งสติว่า เมื่อแกะกล่องแล้วต้องรีบล้างมือโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นอาจจะติดเชื้อไวรัส covid-๑๙ ที่แอบโดยสารฟรีเข้ามาในวัดก็เป็นได้

ของหลักซึ่งส่งเข้ามาในระยะนี้ ก็คือหน้ากากอนามัยสารพัดยี่ห้อ มีทั้งสีพระราชนิยมสำหรับพระ สีขาวสำหรับแม่ชี และสารพัดสีตามแฟชั่นสำหรับเด็กวัด ตามมาด้วยเจลแอลกอฮอล์ ทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก ตั้งแต่ถังละ ๒๐ ลิตร ลงมาจนถึง ๒๕๐ มิลลิลิตร แอลกอฮอล์ล้างมือ ๗๕ % ส่วนมากมาเป็นแกลลอน ๑ ลิตร แถมขวดเปล่าบรรจุสำหรับใช้ฉีดล้างมือมาให้ด้วย

สเปรย์ปรับอากาศชนิดฆ่าเชื้อ ยาเม็ดฟ้าทะลายโจร วิตามินซี ๕๐๐ มิลลิกรัม ฯลฯ สารพัดที่จะหลั่งไหลเข้ามา ด้วยความห่วงใยของญาติโยมที่มีต่อพระภิกษุสามเณร ตลอดจนแม่ชีและเด็กวัดท่าขนุน

ส่วนข้าวของอย่างอื่นนอกจากเอกสารทางราชการ ก็ยังมีของกินของใช้ที่บางอย่างก็คิดไม่ถึง เช่น มะม่วงสุก มะม่วงดิบ มะม่วงกวน ขนมต่าง ๆ กุนเชียง หมูหยอง หมูแผ่น วัตถุมงคลซึ่งญาติโยมส่งมาร่วมงานบุญต่าง ๆ แทนเงินสด"

เถรี 19-04-2020 06:34

"ส่วนที่ถูกใจอาตมาที่สุดก็คือหนังสือออกใหม่ ซึ่งไม่มีโอกาสไปเดินดูด้วยตัวเอง แต่ได้ยินว่าผู้ส่งใช้วิธี "พรีออเดอร์" สั่งจองและจ่ายเงินทางออนไลน์ จะได้รับก่อนร้านหนังสือประมาณ ๓ วัน แต่ว่ามาถึงแล้วก็ไม่พอ "ยาขี้ฟัน" เพราะว่าอาตมาอ่านหนังสือประมาณวันละ ๑ เล่ม โดยเฉพาะอ่านตอนเดินทาง ถ้าลงไปเมืองกาญจน์ ใช้เวลาเดินทางไปชั่วโมงครึ่ง เดินทางกลับชั่วโมงครึ่ง ก็แทบจบเล่มไปแล้ว..!

จึงต้องหางานอื่นทำแทน เช่น กวาดวัด ถูกุฏิ ซักผ้า ตรวจการณ์ในเว็บพลังจิตและเว็บวัดท่าขนุน ว่ามีอะไรเคลื่อนไหวผิดปกติบ้าง โดยเฉพาะการช่วยแจกใบแดงให้กับบุคคลที่ใช้ภาษาไทยผิดในเว็บวัดท่าขนุน ถ้าสามารถส่งใครเข้า "ศาลาพักใจ" ได้ จะรู้สึกปีติมากที่ได้ช่วยรักษาภาษาไทยของเราเอาไว้ ฮ่า..!"

เถรี 19-04-2020 06:36

"ไปเจอกระทู้ร่วมปล่อยชีวิตสัตว์เพื่อถวายกุศลให้กับหลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน ที่ท่านไป "แหย่รังแตน" มา ด้วยการประกอบ "พิธีมหาระงับโรคาพินาศ" จนผลที่ได้รับก็คือ ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ไม่มีตรงไหนที่ไม่เจ็บเลย..!

แม้ว่าจะใช้ขันติ อานาปานสติ และสังขารุเปกขาญาณ ระงับเอาไว้ แต่ด้วยความห่วงใย ก็ทำให้บรรดาลูกศิษย์ นำโดยคุณวีระชัย แก่นภักดี (WEBSNOW) ประธานคณะกรรมการเว็บไซต์คุณธรรมออนไลน์ palungjit.org ได้เปิดโครงการนี้ขึ้นมา ให้คณะศิษย์ทั้งหลายได้ร่วมบุญกัน"

เถรี 19-04-2020 06:38

"เห็นทุกคนตั้งใจทำบุญเพื่อหลวงพ่อเล็กกันอย่างน่าชื่นใจ แต่พอไปดูคำอธิษฐานแล้วก็เกิดอาการ "น้ำตาจิไหล" เหมือนกับภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ เพราะว่าแต่ละคนอธิษฐานโดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงเลยก็มี ฟุ้งซ่านเกินตายไปหลายชาติเลยก็มี อย่างเช่น

"ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัวได้เกิดในสมัยพระศรีอาริย์และบรรลุมรรคผลด้วยกันในยุคนั้นเถิด" ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามมาหลายประการ คือ

ในเมื่อผลบุญนี้เพียงพอที่จะบรรลุมรรคผลในสมัยพระศรีอาริย์ ก็แปลว่าเหลือเฟือเกินพอที่จะบรรลุในยุคสมัยนี้ แล้วทำไมถึงต้องลำบากไปเกิดใหม่ให้ทุกข์อีกรอบ ?

ท่านรู้หรือไม่ว่าบุคคลที่จะเกิดในสมัยพระศรีอาริย์นั้นมีคุณสมบัติอย่างไร ? ท่านสามารถรักษากรรมบถ ๑๐ ได้โดยสมบูรณ์แล้วหรือไม่ ? ทำไมท่านต้องลากครอบครัวซึ่งเป็น "คนอื่น" ไปร่วมทุกข์ยากกับท่านด้วย ?

"ขอให้ไม่เจ็บไม่จน ไม่ทุกข์ไม่ยาก ไปทุกชาติทุกภพ จนกว่าจะเข้าถึงพระนิพพาน" ฟังแล้วเหมือนกับดูดีมีอนาคต แต่จะเป็นไปได้หรือ ?

มีใครเกิดมาแล้วไม่มีความทุกข์ได้บ้าง ? แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังไม่อาจหลีกหนีความทุกข์ไปได้ เพียงแต่ความทุกข์นั้นไม่มีผลกระทบถึงจิตใจของพระองค์ท่านเท่านั้นเอง แล้วท่านเป็นใครถึงจะไม่ทุกข์ได้ ?"

เถรี 19-04-2020 06:40

"ขอให้ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระพุทธเจ้าประเภทอธิษฐานธิกะ ในอนาคตเบื้องหน้าโน้นเทอญ" อ่านเจอแล้วก็ออกอาการ "มึนตึ๊บ" มีพระพุทธเจ้าประเภทนี้ด้วยหรือวะ ? สงสัยว่าอาตมาจะศึกษามาน้อยจนเกินไป..!

ในพระบาลีกล่าวถึงพระพุทธเจ้า ๓ ประเภท คือ ปัญญาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป สัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป วิริยาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป

ขนาดบุคคลที่อธิษฐานขอบรรลุเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภท "วิริยาธิกะพิเศษ" อาตมายังเห็นว่านอกคอกจนเกินไป แต่ก็ยังพอรับได้ ส่วนที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าประเภทอธิษฐานธิกะ เกิดมายังไม่เคยพบไม่เคยเห็น หวังว่าท่านจะสามารถบรรลุได้เป็นพระองค์แรกตามที่ได้ตั้งความปรารถนาเอาไว้"

เถรี 19-04-2020 06:44

"ขอบรรลุมรรคผลในชาติปัจจุบันนี้ อย่างน้อยให้เป็นพระโสดาบันที่ประกอบด้วย สุกขวิปัสสโก วิชา ๓ อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณ ๔ สามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ทุกเวลาตามที่ต้องการ" สรุปว่าท่านเข้าใจไหมว่าคุณสมบัติทั้งหลายเหล่านี้ ที่แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ?

ผู้ที่บรรลุมรรคผลประเภทปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ย่อมมีความสามารถครอบคลุมอภิญญา ๖ วิชชา ๓ และสุกขวิปัสสโกอยู่แล้ว คำอธิษฐานของท่านออกไปในแนวภาษิตจีนที่ว่า "ถอดกางเกงผายลม" คือ เกินความจําเป็นไปมาก

ผู้ที่บรรลุมรรคผลแบบสุกขวิปัสสโก ไม่มีวิสัยที่จะได้วิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ตามวาสนาบารมีที่สั่งสมมา ถ้าท่านต้องการรู้ครบทุกอย่าง ได้ครบทุกอย่าง ก็อธิษฐานขอบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณไปเลยจะดีกว่าไหม ? เพราะว่ามีทางที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องรู้ครบทุกอย่าง เพื่อใช้ในการสั่งสอนและขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร

การเป็นพระโสดาบันนั้น ไม่สามารถบรรลุปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใดทั้งสิ้น เพราะว่าปฏิสัมภิทาญาณ ๔ นั้น เป็นคุณสมบัติสำหรับอนาคามีบุคคลขึ้นไป ไม่ใช่วิสัยของพระโสดาบัน

การจะเข้านิโรธสมาบัติก็เช่นกัน เป็นคุณสมบัติสำหรับบุคคลที่เข้าถึงปฏิสัมภิทาญาณ ๔ เท่านั้น
แปลว่า พระโสดาบันบุคคล พระสกทาคามีบุคคล สุกขวิปัสสโกบุคคล วิชชาสามบุคคล ไม่สามารถที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้"

เถรี 19-04-2020 06:45

"เห็นการทำความดีของท่านทั้งหลายแล้วก็ขออนุโมทนา แต่พอมาอ่านคำอธิษฐานของท่านทั้งหลายแล้วก็เกิดอาการปวดหัว กลายเป็นเพิ่มอาการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาโดยใช่เหตุ ทำให้เห็นชัดว่าคนเรานั้นมี ๕๐๐ จำพวกจริง ๆ..!

ยังดีว่าอาตมาได้ลาพุทธภูมิเสียแล้ว ถ้ายังปรารถนาพุทธภูมิอยู่ ถ้าเจอแบบนี้เข้าบ่อย ๆ เชื่อว่าไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องลาพุทธภูมิจนได้..!

ขออนุโมทนาในความดีของทุกท่าน แต่ไม่ขอร่วมเดินทางไปกับท่านทั้งหลายอีกแล้ว หมดจากภาระชาตินี้ ขออนุญาตใส่รองเท้ายี่ห้อหนึ่งซึ่งมีสโลแกนว่า "ทางใครทางมัน"..!"

เถรี 20-04-2020 06:08

"หลวงพ่อทำได้อย่างไรครับ ?"

"พระอาจารย์ทำได้อย่างไรครับ ?"

คำถามเหล่านี้จะมาถึงเสมอ เมื่อได้เห็นว่าแต่ละวันอาตมาทำอะไรไปบ้าง แต่สิ่งที่ทำปรากฏออกสื่อนั้นน้อย ส่วนที่ทำแล้วไม่ได้รายงานออกสื่อมีมากกว่า

ทั้งนี้ทั้งนั้นเกิดจากกำลังกายกำลังใจที่สั่งสมมาข้ามชาติข้ามภพมาอย่างหนึ่ง สิ่งที่ครูบาอาจารย์เคี่ยวเข็ญสั่งสอนเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษอีกอย่างหนึ่ง

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ หล่อหลอมจนเป็นตัวอาตมาอย่างที่เห็นทุกวันนี้ นิสัยเดิมที่ปรารถนาพระโพธิญาณมา สร้างบารมีไว้มาก กำลังใจจึงเข้มแข็ง จนออกไปในแนวดื้อด้าน จะทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ ไม่เสร็จไม่เลิก..!"

เถรี 20-04-2020 06:09

"พ่อแม่และครูบาอาจารย์สั่งสอนให้มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ จนทำอะไรต่อมิอะไรได้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก พอรู้ภาษาก็ต้องรับผิดชอบ ช่วยแม่เลี้ยงน้อง ช่วยพี่ดูแลหมูหมากาไก่ ซึ่งต้องคอยให้อาหารอยู่ทุกวัน ช่วยทำงานในสวนในไร่ หล่อหลอมกายใจมาจนกล้าแกร่ง

ไปโรงเรียนก็ต้องทำเวร ดูแลแปลงดอกไม้ ดูแลแปลงผัก เป็นหัวหน้าชั้น เป็นประธานนักเรียน โดยเฉพาะหน้าที่เด็กนักเรียนบ้านนอก ต้องผลัดกันเดินทางเป็นกิโลเมตร เพื่อไปตักน้ำดื่มมาให้เพื่อนได้ใช้ดื่มในโรงเรียน

จบชั้นมัธยมแล้วไปฝึกอาชีพ ต้องนอนตีสองตื่นตีห้า ทำงานทุกอย่างที่รับมอบหมายจากเถ้าแก่ให้ดี และต้องรู้จักช่างสังเกต ศึกษาเรียนรู้งานไปในตัว จนได้รับคำชมว่า "เป็นงาน" มากกว่าคนที่อยู่มาแล้วตั้ง ๓ ปี เมื่อได้ความรู้ออกมาทำงาน แค่ครึ่งปีก็เลื่อนจากคนงานธรรมดาขึ้นไปเป็นหัวหน้าแผนก..!"

เถรี 20-04-2020 06:11

"เมื่อไปศึกษาวิชาทหาร สิ่งหนึ่งที่ต้องทำอยู่ทุกเช้าก็คือ การปฏิญาณตนหน้าเสาธงว่า "ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ไหว ไม่มีอะไรที่ทหารทำไม่ทัน" ตอกย้ำอยู่ทุกวันเหมือนกับเป็นการสะกดจิตตัวเองว่า ทุกอย่างต้องได้ ทุกอย่างต้องไหว ทุกอย่างต้องทัน

เมื่อมาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ่านครูบาอาจารย์ผู้เป็นพระสุปฏิปันโนหลายท่าน ทุกท่านล้วนแล้วแต่ทุ่มเทกายใจให้กับงานของพระพุทธศาสนา ทำแบบเอาชีวิตเข้าแลก ทำแบบคนที่มีวันนี้วันเดียว ทำสมกับที่ได้ปฏิญาณว่า "ขอมอบกายถวายชีวิตนี้ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

แม้แต่ครูบาอาจารย์ที่อาตมาเคารพรักที่สุดอย่างหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง องค์ท่านก็ทำเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า การรักงานพระศาสนายิ่งกว่าชีวิตนั้นเป็นอย่างไร

แม้ในวันสุดท้ายที่พระทั้งวัดไปกราบท่าน เพราะทราบดีว่าถ้าไม่มากราบในวันนี้ ก็จะไม่มีโอกาสได้กราบองค์ท่านในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่อีกแล้ว แม้ว่าท่านจะมองเห็นไม่ชัดเจนว่าใครเป็นใคร ก็ยังเอ่ยปากว่า "เมื่อกราบแล้วก็ไปทำงานต่อ ใครมีหน้าที่อะไรจงรับผิดชอบให้ดี"

เถรี 20-04-2020 06:12

"องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า "อนากุลา จ กมฺมนฺตา เอตมฺมํคลมุตฺตมํ" การทำงานต้องไม่คั่งค้าง ถึงจะเป็นอุดมมงคล

เมื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้หล่อหลอมรวมกันเข้ามา จึงกลายเป็นอาตมาอย่างทุกวันนี้ ที่ทำงานแบบมีวันนี้วันเดียว ก่อนตายขอทำประโยชน์แก่โลกให้มากที่สุด สิ่งที่ทำไปแล้วไม่เคยเสียใจ มีแต่เสียดายถ้าไม่ได้ทำในสิ่งนั้น

ถ้าใครมองเห็น รู้จักเก็บเอาไปใช้ ไม่ต้องเสียเวลามาสมัครเป็นลูกศิษย์ อาตมาก็ถือว่าท่านเป็นลูกศิษย์อยู่แล้ว แต่ท่านที่ดูไม่ออก บอกไม่ถูก เก็บไม่เป็น เลือกไม่เป็น ต่อให้นอนเฝ้าอยู่หน้ากุฏิ ก็ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของอาตมา..!"

เถรี 21-04-2020 06:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๓ มีด็อกเตอร์ท่านหนึ่ง เป็นนักจัดรายการวิทยุโทรทัศน์ด้วย ได้เสนอความเห็นเกี่ยวกับบทบาทของมหาเถรสมาคมในยามวิกฤติโควิด-๑๙ ว่า

"ในฐานะองค์กรบริหารสูงสุดของคณะสงฆ์ ที่มีอำนาจตามกฎหมาย เป็นทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ ควรได้พิจารณาออกข้อบัญญัติดังต่อไปนี้"


ความเห็นส่วนตัว : ไม่น่าเชื่อว่าท่านจะจบปริญญาเอก เป็นครูบาอาจารย์ เป็นนักจัดรายการ แต่กลับไม่เคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า "สอนหนังสือพระสังฆราช" "สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ" หรือสุภาษิตจีนที่ว่า "ควงขวานต่อหน้าหลู่ปัน"

เถรี 21-04-2020 06:29

"๑. ให้แต่ละวัดสามารถนำรายได้ (เงินออมที่ประชาชนอดออมบริจาคไว้ที่วัดและพระ) ที่สะสมไว้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ใช้ดำเนินกิจการเพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยด่วน

กิจการดังกล่าวอาจจะดำเนินการเอง ร่วมกับกรรมการวัด อุบาสก อุบาสิกา และคนในชุมชน กำหนดกิจกรรมตามความต้องการและจำเป็นของท้องถิ่นต่าง ๆ ทั้งนี้จะต้องโปร่งใสตรวจสอบได้"


ความเห็นส่วนตัว : ฟังดูดีสมกับภูมิปริญญาเอก แต่เหมือน "กบในกะลาครอบ" ชัด ๆ ไม่ได้ลืมตาดูว่าโลกภายนอกกะลาเขาไปถึงไหนกันแล้ว

วัดหรือพระภิกษุสามเณรช่วยเหลือประชาชนในวิกฤตการณ์นี้ ออกสื่อจนนับไม่ถ้วน นอกจากคนหูหนวกตาบอดแล้ว คนหูดีตาดีทั่วไปน่าจะได้เห็นบ้างไม่มากก็น้อย

เรื่องของเงินวัด เงินสงฆ์ หรือว่าเงินที่ประชาชนบริจาคเป็นการกุศลนั้น มีกฎหมายในการบริหารจัดการศาสนสมบัติ ระบุวิธีการใช้เอาไว้แล้ว ว่าต้องเป็นไปตามเจตนาของผู้บริจาคเท่านั้น

ท่านอุตส่าห์เรียนจนจบด็อกเตอร์มา แต่เรื่องแค่นี้กลับไม่ได้ศึกษา หลับหูหลับตาพูดเหมือนเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่พระ ซ้ำยังให้กระทำอย่างโปร่งใส เพื่อให้ดูว่าท่านเป็นคนดีอีกด้วย"

เถรี 21-04-2020 06:31

"ทั้งทางคณะสงฆ์ โดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และทางราชการ ทั้งโดยประกาศของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ จนมาถึงจังหวัด ต่างก็มีคำสั่งให้ทั้งพระภิกษุสามเณรและชุมชน ร่วมกันดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อต่อสู้ไวรัส covid-๑๙ เช่น

ให้วัดที่มีศักยภาพเปิดโรงทานเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ โดยขอความร่วมมือจากส่วนราชการต่าง ๆ มาร่วมดำเนินการ เพื่อให้มีความปลอดภัยตามคำแนะนำของแพทย์ เรียกว่าตั้งแต่เหนือสุดจรดใต้สุด ตะวันออกจรดตะวันตก พระภิกษุสามเณรทำงานกันจนท่วมสื่อ แต่ท่านกลับมองไม่เห็น

ทางราชการก็สั่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง ตลอดจนชุมชนคุณธรรมทุกแห่ง ร่วมกันทำหน้ากากอนามัย เพื่อแจกให้บุคคลในชุมชนได้มีใช้โดยทั่วถึงกัน กิจกรรมเหล่านี้ก็มีท่วมในสื่อโซเชียลต่าง ๆ กรุณาออกจากกะลาไปดูไว้ประดับสมองของท่านบ้าง..!"

เถรี 21-04-2020 06:33

"๒. แนะนำส่งเสริมให้พระภิกษุนำบัญชีเงินออมในนามของตน ที่ได้รับบริจาคจากประชาชนมาดำเนินการร่วมกับเงินของวัดตามข้อ ๑"

ความเห็นส่วนตัว : เงินออมในนามของตนเองสำหรับพระภิกษุสามเณรแล้ว ก็มีแค่บรรดาพระสังฆาธิการคือผู้ปกครองคณะสงฆ์ ตั้งแต่เจ้าอาวาสขึ้นไป ที่จะเปิดบัญชีในนามของตนเพื่อรับนิตยภัต ที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า เงินเดือนพระ ซึ่งเคยกล่าวไปแล้วว่ามากเหลือเกิน อยู่ที่ ๑,๘๐๐ บาทต่อเดือน..! แค่ขยับตัวสักทีสองทีก็หมดแล้ว

หรือว่าท่านด็อกเตอร์จะมีกุศลจิต ถวายเงินส่วนตัวให้พระประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ รูปที่เหลือ เอาแค่รูปละ ๓๐๐ บาทต่อวันตามแรงงานขั้นต่ำ จะได้พยายามเก็บเอาไว้ช่วยเหลือประชาชนในยามเดือดร้อน แต่ก็ไม่เห็นท่านแสดงเจตนารมณ์ว่าจะทำบุญทำกุศลอะไรแบบนี้เลย

ไม่ทราบว่าท่านมีปมในใจอะไรกับพระ ที่เก็บกดจนกลายเป็นจิตใต้สำนึก ออกความเห็นทีไรก็จะเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่พระอยู่เสมอ อาตมาจะพยายามอภัยให้ เนื่องจากคนที่แบกปมเหล่านี้เอาไว้ ย่อมเดือดร้อนจากการ "ตกนรกในใจ" อยู่แล้ว..!"

เถรี 21-04-2020 06:36

"๓. ให้วัดขนาดใหญ่ที่มีเงินสะสมจำนวนมาก เช่น วัดพระธรรมกายและวัดอื่น ๆ สามารถกระจายเงิน โอนเงินให้วัดที่ต้องการใช้เงิน เพื่อช่วยเหลือประชาชนในชนบทที่ห่างไกลได้"

ความเห็นส่วนตัว : ท่านด็อกเตอร์ต้องไม่ลืมว่าการใช้เงินสงฆ์นั้น เพิ่งจะมีพระมหาเถระโดนข้อหาฟอกเงิน ใช้เงินผิดประเภท จนต้องคดีอาญาติดคุกติดตะราง ทั้งที่ไม่ได้มีความผิดตามข้อกล่าวหานั้นเลย

การที่วัดใดวัดหนึ่งโอนเงินของวัด แม้ว่าจะเป็นไปโดยเจตนาที่เป็นกุศล ก็คือช่วยเหลือประชาชนในยามเดือดร้อน ท่านด็อกเตอร์จะรับรองได้ไหมว่า พระท่านจะไม่โดนข้อหาฟอกเงิน หรือว่าใช้เงินผิดประเภทจากที่กฎหมายกำหนดเอาไว้อีก

อย่างของวัดท่าขนุนที่ให้ความช่วยเหลือทั้งพระภิกษุสามเณรและประชาชนในช่วงนี้นั้น ก็พยายามช่วยเหลือในพื้นที่ตนเองก่อน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดก็ตาม ก็จะมีวัดที่มีศักยภาพสูงอยู่ทุกแห่ง สามารถช่วยเหลือในพื้นที่ของตนเองได้ ต่างคนต่างดูแลในพื้นที่ของตนเองให้ดี ไม่เห็นจำเป็นต้องไปทำอะไรโง่ ๆ ด้วยการไปช่วยเหลือนอกพื้นที่เลย"

เถรี 21-04-2020 06:38

"๔. เสริมสร้างความรู้ให้พระภิกษุสามารถเป็นภูมิปัญญาของชุมชนและประชาชนได้ โดยจะต้องให้พระภิกษุรู้จักธรรมชาติของโควิด-๑๙ เพื่อให้ประชาชนป้องกันได้อย่างถูกวิธี ไม่กลัวเกินเหตุ พระภิกษุจะได้เป็นผู้มีปัญญาและความรู้ สามารถเตือนสติพุทธศาสนิกชนให้รู้จักธรรมชาติ ซึ่งก็คือรู้จักธรรม รู้จักการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติซึ่งถือเป็นเด็ดขาด และทุกคนต้องรับผลของการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ คนไทยจะได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ โดยไม่หลงตัว ทำลายและเอาชนะกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ โควิด-๑๙ เชื้อโรคร้ายที่อุบัติขึ้น น่าจะเป็นปริศนาธรรมของพระคุณเจ้าในการพิจารณาเข้าถึงธรรมได้เป็นอย่างดี"

ความเห็นส่วนตัว : นี่ก็เป็นการ "สอนหนังสือพระสังฆราช" หรือถ้าเป็นภาษิตจีนก็ว่า "ถอดกางเกงผายลม" ไม่น่าจะเป็นความคิดของผู้ที่จบระดับปริญญาเอก

การเข้าใจธรรมชาติของเชื้อไวรัส covid-๑๙ แม้แต่แพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัส ยังต้องศึกษากันอย่างคร่ำเคร่ง และให้คำแนะนำซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพความเข้าใจจากการศึกษาออกมาเป็นระยะ เพื่อให้ประชาชนตลอดจนพระภิกษุสามเณรได้ปฏิบัติตนอย่างถูกต้อง"

เถรี 21-04-2020 06:39

"เรื่องเหล่านี้เป็นหน้าที่ของหมอและทางราชการจะให้คำแนะนำ หน้าที่ของพระก็คือขอให้ประชาชนทำตามคำแนะนํานั้นโดยไม่ประมาท ไม่ใช่ไปทำหน้าที่แทนบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งตนเองไม่มีความเชี่ยวชาญชำนาญแบบนั้น

คำแนะนำของท่านด็อกเตอร์ในเรื่องนี้ ขออภัยที่พระภิกษุสามเณรพิจารณาแล้วว่าไม่สามารถทำตามได้ เพราะว่าไม่อยากเป็นบุคคลประเภทที่ "โง่แล้วขยัน" จนไปทำให้การทำงานของบรรดาแพทย์พยาบาลวุ่นวายหนักขึ้น ความคิดของท่านข้อนี้ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เสียภูมิปริญญาเอกจริง ๆ..!"

เถรี 21-04-2020 06:40

"๕. ส่งเสริมให้พระเป็นที่พึ่งทางใจแก่ประชาชนในยามนี้ เพราะขณะที่ประชาชนเกิดความกลัว ความเครียด จากการกักตนเองอยู่ในบ้านเป็นเวลานาน ย่อมเกิดปัญหาทางจิตใจแพร่กระจายไปทั่วประเทศในอนาคต พระจะต้องทำหน้าที่ผู้นำทางจิตใจ ให้คำปรึกษาแก่ผู้ทุกข์ร้อน โดยเป็นผู้รับฟังปัญหาที่ดี ให้ผู้มีทุกข์ได้ระบาย เสริมสร้างให้กำลังใจ ให้ความรู้ใหม่และข้อมูลใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกในการดำรงชีวิต เสมือนจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาบำบัด อนาคตอันใกล้ คนตกงาน คนว่างงาน คนสูญเสียคนรักในครอบครัว คนอดอยาก คนเคียดแค้น ชิงชังผู้บริหารประเทศ จะต้องมีมากขึ้นอย่างแน่นอน"

ความเห็นส่วนตัว : นี่ก็เป็นการ "ถอดกางเกงผายลม" อีกแล้ว พระภิกษุสามเณรทำตนเป็นที่พึ่งทางใจ ให้คำปรึกษาให้คำแนะนำแก่ญาติโยมทั้งหลาย มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบันนี้

บริบทในสังคมชาวพุทธง่าย ๆ แค่นี้ท่านก็ไม่ทราบ ซ้ำยังอุตส่าห์มาให้คำแนะนำแบบ "สอนหนังสือพระสังฆราช" "สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ" "เอามะพร้าวไปขายที่เกาะสมุย" เป็นการขยายความโง่เพื่อให้ตนเองดูดีแท้ ๆ..!"

เถรี 21-04-2020 06:41

"ในฐานะพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา อาตมาให้อภัยในความมืดบอด หลงผิด สภาพจิตเต็มไปด้วยอวิชชา มีอคติต่อพระภิกษุสามเณรของท่านมา ณ ที่นี้ หวังว่าท่านจะสามารถมีสุคติเป็นที่ไปในเบื้องหน้า..!

ส่วนความอคติ ความเคียดแค้นชิงชังของประชาชน ที่จะมีต่อรัฐบาลนั้น ถ้าไม่มีบุคคลประเภท "ผีเจาะปากให้มาพูด" "หมาเห่าใบตองแห้ง" ที่ไม่หวังดีปรารถนาดีต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง คอยออกมายุแหย่เสี้ยมสอนแล้ว มั่นใจว่าต่อให้ไม่มีพระภิกษุสามเณรคอยช่วยเหลือ รัฐบาลก็ "เอาอยู่" อย่างแน่นอน"

เถรี 21-04-2020 06:43

"๖. ในสถานการณ์ที่คนต้องกักตัวอยู่ในบ้านเช่นนี้ หากจะได้มีการฝึกสอนการทำวิปัสสนาสมาธิ ในรูปแบบอานาปานสติหรือวิธีอื่นทางไกล โดยมีการกำหนดเวลาดำเนินการที่ชัดเจนทางสถานีวิทยุโทรทัศน์เพื่อนำการปฏิบัติ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะในยามนี้คนไทยมีเวลามากขึ้น"

ความเห็นส่วนตัว : คนตาบอดทั่วไปว่าน่าสงสารแล้ว คนที่ "ใจบอด" ยิ่งน่าสงสารไปกว่านั้นอีก แสดงว่าท่านเองไม่ได้สนใจสิ่งที่พระภิกษุสามเณรได้กระทำออกสื่อเลยแม้แต่น้อย

เรื่องที่ท่านด็อกเตอร์แสดงความเห็นมานั้น ทุกวัดที่มีสื่อโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ Facebook Instagram Twitter แม้กระทั่ง Line ได้ให้คำแนะนำสั่งสอนญาติโยมผ่านสื่อทั้งหลายเหล่านี้ ทั้งทางด้านสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเป็นปกติอยู่แล้ว

ได้โปรดออกจากกะลามาดูโลกภายนอกบ้าง จะได้เลิกทำตัวเป็น "กบน้อยในรอยตีนโค" "ตาบอดสอดตาเห็น" แล้วไปถวายคำแนะนำแก่พระภิกษุสามเณรในลักษณะ "สอนหนังสือพระสังฆราช" แบบนี้อีก"

เถรี 21-04-2020 06:44

"แม้แต่ที่อาตมากำลังทำอยู่ คือแสดงความเห็นเป็นวิวาทะกับท่านด็อกเตอร์อยู่นี้ ก็ส่งมาจากทางไกลติดชายแดนพม่า ถึงแม้ว่าจะอยู่หลังเขา แต่ก็ไม่ได้ "หูหนวกตาบอด" พอที่จะได้เห็นโลกภายนอกผ่านสื่อโซเชียลต่าง ๆ จนมาสะดุดตากับความคิดเห็นของท่านอยู่ในขณะนี้

ขอให้คำแนะนำในฐานะพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีหน้าที่ชักจูงคนให้พ้นจากความมืดบอด กลับมาสู่ความเป็นสัมมาทิฏฐิว่า กรุณาศึกษาบริบทของพระพุทธศาสนา ความเป็นพระภิกษุสามเณร ตลอดจนการปกครองคณะสงฆ์ทั้ง ๖ ด้าน แล้วค่อยออกมาแสดงความเห็น จะได้ไม่เป็นที่สมเพชเวทนาทั้งของพระภิกษุสามเณรและประชาชนอยู่ในขณะนี้ ขอเจริญพร"

เถรี 22-04-2020 06:37

"พ่อจะไม่พูดอะไรสักหน่อยหรือครับ ?"

"พูดไปแล้วมีประโยชน์อะไรวะ ? คนที่เชื่อข้าแบบแก ถึงไม่พูดก็เชื่อ ส่วนคนที่ไม่เชื่อข้า พูดไปมันก็ว่าข้าแก้ตัวอยู่ดี เอาเวลาไปทำงานดีกว่าว่ะ..!"

ที่ว่ามาข้างบนนั้น "พ่อ" กับ "ลูก" คุยกัน เมื่อ ๓๐ ปีที่แล้ว คือ ปี ๒๕๓๒ เนื่องจากมีข่าวอื้อฉาวว่า "พ่อ" มีปัญหาชู้สาว ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน

เถรี 22-04-2020 06:39

ทำไมเชื่อแบบนั้น ? ประการแรก "พ่อ" อายุ ๗๓ ปีเข้าไปแล้ว ประการที่ ๒ ท่านป่วยหนักชนิดแทบจะไม่มีแรงหายใจ โดยเฉพาะเป็นมาลาเรียเช่นเดียวกับ "ลูก" ซึ่งเป็นมาแค่ ๘ ปี ก็หมดสภาพแล้วด้วยฤทธิ์ไข้ป่า

คนอายุ ๓๐ ปียังหมดสภาพ แล้วคนอายุ ๗๓ ปี มาลาเรียกำเริบ ทุกเย็นต้องอาเจียนจนตับไตไส้พุงแทบจะหลุดออกมาด้วยเกิน ๒๐ ปี ยังจะเหลืออะไรให้ไปคึกได้ ?

ประการสุดท้าย หลักการปฏิบัติที่ "พ่อ" สอนมา แค่โลกียสมาธิ ถ้าไม่เผลอขาดสติ ก็ยังกดกามราคะอยู่ อย่าว่าแต่ท่านที่เข้าถึงมรรคผลเลย

เมื่อ "พ่อ" ออกมาพักผ่อนก่อนฉันเพล อาตมาที่กังวลอยู่ด้วยข่าวอื้อฉาว จึงเข้าไปกราบเรียนถามดังว่ามาแล้วข้างต้น เมื่อได้รับคำตอบและออกจากที่พักของ "พ่อ" มา ครูนนทา อนันตวงษ์ ที่จัดสำรับถวายเพล "พ่อ" อยู่ อุตส่าห์เมตตาบอกว่า "ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องนี้หลวงพ่อโดนมานานแล้ว โดนหนักกว่านี้หลายเท่า เรื่องตอนนี้เล็กมากถ้าเทียบกับเรื่องที่ท่านผ่านมา"

เถรี 22-04-2020 06:40

ย้อนกลับมาดูตัวเอง ตั้งแต่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนา เรื่องผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิต ครั้งแรกเลยก็คือผู้ที่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ มาขอให้สึกอยู่บ่อย ๆ จนเป็นที่ขบขันของพี่น้องหลายท่านที่รู้เห็น ซ้ำยังช่วย "กัน" ให้อีกต่างหาก

ต่อมาก็เป็นลูกสาวทั้งคู่ของ "แม่เบ็ญ" ที่อาตมาเรียกแม่ด้วยความเกี่ยวเนื่องมาในอดีต แต่มีคนจำนวนหนึ่งเห็นว่า อาตมาเรียกเพราะหวังในตัวลูกสาวทั้งสองคนของแม่ จน "ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน" จากบัดนั้นมาจนบัดนี้ ลูกสาวแม่ทั้งสองมีครอบครัว มีลูกโตเป็นสาวเหมือนกับแม่ตอนโน้นแล้ว ก็ยังไม่มีอะไรอย่างที่เขาร่ำลือกัน

เถรี 22-04-2020 06:47

ลำดับต่อมาคือ ๖ ลูกสาวนักเที่ยว ได้แก่ กล้วยไม้ ฟ้ามุ่ย ฟองฝน ลูกบอมบ์ ลูกแบด ลูกกวาด ที่เพิ่งจะโตก็เป็นนักเที่ยวตัวยง เพราะว่าพ่อแม่ให้อิสระเสรีในการดำเนินชีวิต

บางคนยังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๖ บางคนเพิ่งจะขึ้นชั้นมัธยมปีที่ ๑ แต่เที่ยวผับเที่ยวบาร์ดึก ๆ ดื่น ๆ ทุกคืน

อาตมาที่สงสารเด็ก ประกอบกับต้องการทดสอบทิพจักขุญาณ จึงใช้วิทยุสื่อสารคุยกัน จนอีกฝ่ายสงสัยว่าอาตมาเป็นนักเที่ยวเหมือนกัน เพราะไม่ว่าพวกเขาจะไปเที่ยวที่ไหนก็รู้ไปหมด

ทั้งหมดจึงขอ "ว. ๑๕" แล้วก็เพิ่งรู้ว่าอาตมาเป็นพระ แต่ก็ยิ่งทำให้สงสัยหนักเข้าไปอีก ว่ารู้เรื่องของพวกเขาได้อย่างไร ?

อาตมาจึงสอนทุกคนให้ลดการเที่ยวเตร่ลง ใช้เวลาไปปฏิบัติกรรมฐาน ซักซ้อมการภาวนาไว้ทุกวัน ถ้าเห็นว่าสมควรเมื่อไร จะถ่ายทอดวิธีการใช้ทิพจักขุญาณให้

ผ่านไปเทอมเดียวเด็กทั้ง ๖ คน ผลการเรียนดีขึ้นอย่างมหาศาล เป็นที่ดีอกดีใจอย่างยิ่งของพ่อแม่ทั้งสองฝ่าย แต่อาตมาโดนคณะกรรมการสงฆ์สอบสวน ข้อหาใช้วิทยุคุยกับผู้หญิงทุกวัน..!

เถรี 22-04-2020 06:50

ออกจากวัดมาผจญภัยในโลกกว้าง มีผู้คอยตามช่วยเหลืองานอยู่หลายคน และเป็นผู้หญิงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นน้องเก๋ น้องอุ๋ย น้องเล็ก

แล้วก็ยังมีรุ่นเด็ก อย่างลูกอ้อย ลูกแพร ลูกพลับ ลูกแพรว ลูกพีซ ลูกบัว ที่ทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่าย เนื่องจากว่าในแต่ละวัน คนเหล่านี้จะวนเวียนอยู่รอบตัว

เถรี 22-04-2020 06:52

โดยเฉพาะน้องชายคือพระครูแสง ซึ่งค่อนข้างจะมีทิพจักขุญาณคล่องตัวเป็นพิเศษ มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่นอนอยู่ด้วยกันที่บ้านอนุสาวรีย์ชัยฯ พระครูแสงก็ลุกพรวดพราดจะไปเปิดประตูห้องกระจก เมื่อเดินผ่านอาตมาก็อุทานว่า "อะไรวะ !? แล้วไอ้นั่นเป็นใคร ?"

เมื่ออาตมาลุกขึ้นมาถามจึงได้ความว่า พระครูแสงระแวงเรื่องชู้สาวระหว่างอาตมากับผู้หญิงทั้งหลายที่ว่ามานี้ จึงมาพักอยู่ด้วยเพื่อคอยจับผิด..!

กลางดึกเห็นอาตมาเปิดประตูเดินขึ้นชั้นบนของบ้านอนุสาวรีย์ชัยฯ ก็มั่นใจว่าอาตมาย่องไปหาน้องเล็กที่พักอยู่ชั้นบนอย่างแน่นอน

จึงเปิดประตูตามไปเพื่อที่จะจับให้ "คาหนังคาเขา" แต่แล้วกลับเห็นอาตมายังนอนอยู่ที่เดิม แล้วใครกันแน่ที่เป็นคนเปิดประตูเดินขึ้นชั้นบนไป ?

เรื่องการปรุงแต่งโดยฝีมือมารแบบนี้ ถ้าคนไม่เจอด้วยตนเองจะไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด เรื่องนี้ต้องไปถามเอากับพระครูแสง เพราะว่าเป็นคนที่เห็นด้วยตาตัวเอง

เถรี 22-04-2020 06:54

เปลี่ยนจากบ้านอนุสาวรีย์ชัยฯ มาบ้านวิริยบารมี เรื่องแบบนี้ก็ยังอุตส่าห์ตามมาจนได้ แต่คราวนี้หนักกว่าเดิม เพราะว่าต้นเหตุข่าวลือก็คือพี่มุกดา พี่สาวของอาตมาเอง..!

เนื่องจากน้องเล็กทำงานได้คล่องตัว อาตมาจึงเรียกใช้ใกล้ชิด ทำให้งานหลายอย่างของพี่มุกดาโดนตัดไปให้น้องเล็กทำแทน

เมื่อเห็นว่าความสำคัญของตัวเองลดลง พี่มุกดาก็ "เอาไฟเผาบ้านเพื่อไล่หนู" ด้วยการปล่อยข่าวลือเสียเองทั้งที่บ้านวิริยบารมีและที่วัดท่าขนุน ว่าอาตมากับน้องเล็กมีเรื่องชู้สาวกัน..!

ทำให้เกิดความวุ่นวายทั้งที่บ้านวิริยบารมีและที่วัดท่าขนุนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่ตัวเองพูดไปนั้น สร้างความเสียหายให้กับอาตมาเท่าไร นอกจากคิดว่าถ้ามีข่าวแบบนี้แล้วน้องเล็กจะอยู่ไม่ได้

เถรี 22-04-2020 07:06

สรุปว่าที่อยู่ไม่ได้กลายเป็นอาตมาเอง เพราะว่าแม่ป๋อมที่ทนความวุ่นวายจากเรื่องพวกนี้ไม่ไหว เรียกคืนบ้านวิริยบารมีไป จนต้องมาอยู่ที่บ้านเติมบุญอย่างทุกวันนี้

อาตมาลงโทษพี่สาวตัวเองอย่างหนักเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น จนทุกวันนี้ค่อยสงบปากสงบคำลงได้บ้าง แต่หลายคนก็ยังสงสัยและติดใจเรื่องนี้อยู่

เถรี 22-04-2020 07:07

สามสิบปีให้หลัง "พ่อ" กับ "ลูก" ต้องมาคุยกันเรื่องนี้อีกครั้ง

"แกจะไม่พูดอะไรสักหน่อยหรือ ?"

"แล้วจะมีประโยชน์อะไรละครับ ? คนที่เชื่อมั่นในตัวผมเขาก็ยังคงเชื่อมั่น ส่วนคนที่ไม่เชื่อในตัวผมเขาก็หาว่าผมแก้ตัวอยู่ดี"

"ไอ้นี่..เดี๋ยวพ่อฟาดกบาลแยก..! ยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้คนเปลี่ยนไป คนรุ่นนี้กำลังศรัทธาไม่แน่นแฟ้นเหมือนกับรุ่นของแก พูดอะไรให้เขารู้เสียหน่อยว่าแกรู้จริง คนที่สงสัยอยู่จะได้คลายใจลงบ้าง ทั้งพระทั้งโยมฟุ้งซ่านใหญ่โตไปยันบนสวรรค์นิพพานแล้ว..!"


ทฤษฎีสมคบคิดบวกกับฝีมือของมาร ช่วยพิสูจน์ศรัทธาให้กับบุคคลเป็นจำนวนมาก ว่าสามารถแยกแยะตัวบุคคลออกจากพระรัตนตรัยได้หรือไม่ ? มีความศรัทธาเลื่อมใสที่แน่นแฟ้นจริงจังหรือไม่ ? เป็น "หินลองทอง" ที่แหลมคมที่สุด จะเป็นทองแท้หรือว่าเป็นทองชุบก็จะปรากฏขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว

จึงกลายมาเป็นเก็บตกจากบ้านเติมบุญเดือนเมษายน ๒๕๖๓ ด้วยประการฉะนี้

เถรี 23-04-2020 06:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้มีหลายข่าวที่ควรจะกล่าวถึง

ข่าวแรกคือรัฐบาลจะคลายการปิดเมือง (ล็อกดาวน์) ตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ซึ่งมีการกำหนดเป็นขั้นเป็นตอน ว่าจังหวัดไหนจะได้รับการปลดล็อกเป็นชุดแรก จังหวัดไหนจะได้รับการปลดล็อกเป็นชุดที่ ๒ และจังหวัดไหนจะได้รับการปลดล็อกเป็นชุดสุดท้าย

เรื่องนี้มองได้หลายแง่ด้วยกัน ประการแรกก็คือเพื่อให้เศรษฐกิจไปได้สำหรับจังหวัดที่มีการบริหารจัดการทางสาธารณสุขดีมาก หรือการจัดการอาจจะไม่ดีเท่ากับจังหวัดอื่น แต่บังเอิญพกดวงมาด้วย ไม่มีผู้ป่วยที่ตรวจพบว่าติดเชื้อเลย ในเมื่อคุณมากับดวง ก็ต้องยอมรับว่าดวงของคุณดีกว่าจริง ๆ"

เถรี 23-04-2020 06:33

"ประการที่ ๒ เป็นการให้ความหวังบุคคลที่ไม่สามารถจะไปไหนได้ เริ่มเกิดความเครียด จะได้มีความหวังและรอคอยด้วยใจที่จดจ่อ แต่ก็ยังมีแง่มุมที่เป็นลบอยู่ด้วย

คือถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนของทางรัฐบาลก็นับว่าดีมาก แต่ถ้าปลดล็อกหลายจังหวัดในชุดแรกแล้วพบผู้ติดเชื้อพุ่งทะยานขึ้นมา อาจจะต้องมีการประกาศปิดเมืองรอบใหม่ คราวนี้ความบรรลัยก็จะเกิดขึ้น..!

เพราะว่าคุณไปให้ความหวังกับมวลชนเสียแล้ว ว่าวันนั้นวันนี้จะมีโอกาสพ้นจากการติดคุกเสียที แต่แล้วอยู่ ๆ นอกจากไม่ได้รับการปลดล็อกแล้ว ยังโดนล็อกยาวต่อไปอีก ความไม่พอใจของมวลมหาประชาชนที่ประทุขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องที่จะล้อเล่นได้อย่างเด็ดขาด

ตัวอย่างของประเทศที่ปลดล็อกการปิดเมืองแล้ว ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งทะยานติดจรวด อย่างประเทศสิงคโปร์ ประเทศญี่ปุ่น ย่อมเป็นบทเรียนที่เราจะลืมไม่ได้เป็นอันขาด

เป็นความจริงที่ว่าทุกคนเดือดร้อน ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีกิน แต่ถ้ายอมทนลำบากอีกหน่อยหนึ่ง เพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น ก็ดีกว่ารีบปลดล็อกแล้วเกิดการแพร่ระบาดใหม่ คราวนี้ไม่ใช่แค่ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีกินเท่านั้น อาจจะถึงกับไม่มีชีวิตอีกด้วย..!"

เถรี 23-04-2020 06:34

"ข่าวต่อไปที่จะกล่าวถึงก็คือ การที่รัฐบาลจะขอความช่วยเหลือจากบรรดาคนรวย จนโดนบรรดาสื่อต่าง ๆ รุมกระหน่ำว่า "รัฐบาลขอทาน" จนต้องเสียเวลาออกมาแก้ตัว แทนที่จะนำเวลานั้นไปช่วยเหลือผู้คน ให้พ้นความลำบากจากผลกระทบของการแพร่ระบาดจากเชื้อโรคร้าย covid - ๑๙

ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลให้เราคิดเร็ว พูดเร็ว โดยไม่ทันมีแผนการรองรับแนวคิดของตนเองอย่างเป็นรูปธรรม คล้ายกับยุครัฐบาลของท่านนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่คิดเร็ว พูดเร็ว จนกลายเป็นข้อตำหนิออกสื่อหลายครั้ง

จนผู้คนต้องไปนึกถึงคำพูดของ "น้าชาติ" ที่ว่า "ก่อนพูดเราเป็นนายของคำพูด พูดแล้วคำพูดเป็นนายของเรา" และไปนึกถึง "ป๋าเปรม" เจ้าของฉายา "เตมีย์ใบ้" ที่นักข่าวสัมภาษณ์เท่าไรก็มักจะได้รับคำตอบแค่ว่า "กลับบ้านเถอะลูก"

คนเรายิ่งมีตำแหน่งใหญ่โตเท่าไร คำพูดและการกระทำก็มีผลกระทบต่อผู้อื่นมากเท่านั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีสติอยู่ในทุกเวลา ไม่ต้องถึงขนาด "ป๋าเปรม" ก็ได้ แค่คิดให้มากขึ้น พูดให้น้อยลง เรื่องยุ่งยากต่าง ๆ ก็จะน้อยลง ทุกอย่างก็จะดีขึ้นไปเอง"

เถรี 23-04-2020 06:36

"อีกข่าวหนึ่งค่อนข้างจะ "ดราม่า" ขนาดหนัก คือการที่เจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองนครปฐม ไปจับผู้ใจบุญซึ่งไปแจกโจ๊กให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ ซึ่งเมื่อฟังข่าวอย่างรอบด้านแล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นการ "มองต่างมุม"

ก็คือท่านผู้ใจบุญเห็นว่า ตนเองมาทำความดีแท้ ๆ ทำไมถึงมาทำกับตนเหมือนอย่างกับเป็นโจร ? ยิ่งได้รับแรงเชียร์จากสื่อโซเชียลแล้ว ก็ยิ่งใส่อารมณ์มากขึ้นไปตามลำดับ จากภาพพจน์ของนางฟ้าใจอารี ก็เลยออกไปในแนวของนางมารร้ายแทน..!

ส่วนเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองนครปฐม ก็มองไปในแง่ที่ว่า การที่ทำให้คนมาร่วมชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสหนักยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการทำผิดกฎหมายอีกด้วย จึงต้องเข้ามาจัดการอย่างเด็ดขาด

วิธีการจัดการนี้เองที่เป็นข้อผิดพลาดของทั้งสองฝ่าย ท่านผู้ใจบุญแจกอาหารมาแล้ว ๖ วัน โดยไม่ได้ขอความร่วมมือจากทางเทศบาลให้มาช่วยจัดระเบียบ พอวันที่ ๗ คนที่เพิ่งรู้ข่าวแห่กันมาเป็นจำนวนมาก เกินกำลังที่ตนจะจัดการได้ ทางเทศบาลจึงต้องเข้ามาแทรกแซง

แต่การเข้ามาแทรกแซงของทางเทศบาลเมืองนครปฐมนั้น ก็เข้ามาแบบผิดฝาผิดตัวมาก เขาแจกอาหารมาแล้ว ๖ วัน คุณไปนอนหลับอยู่ที่ไหนมา ? ถ้าไม่ต้องการให้เขาแจกต่อไป ก็ควรที่จะบอกกับประชาชนให้แยกย้ายกันกลับบ้านไปเลย ไม่ใช่ไปช่วยจัดระเบียบ ทำให้เขามีความหวังว่าจะได้รับแจกอาหาร แล้ว "เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า" ยกเลิกการแจกเอาดื้อ ๆ แบบนั้น..!"

เถรี 23-04-2020 06:37

"หนทางที่เหมาะสมที่สุดก็คือ ทางเทศบาลเข้ามาช่วยจัดระเบียบ แล้วให้ท่านผู้ใจบุญแจกต่อไปจนของหมด จากนั้นค่อยแจ้งว่าอย่าทำเช่นนี้อีก เพราะว่าผิดกฎหมาย อาจจะทำให้มีการแพร่ระบาดของเชื้อร้ายรุนแรงยิ่งขึ้น

ส่วนบรรดาท่านทั้งหลายที่เสพสื่อโซเชียล ก็ควรที่จะตั้งสติฟังทุกด้านเสียก่อน ไม่ใช่ว่าพอไม่ถูกกิเลสกู กูก็ต้องด่าให้ยับกันไปข้างหนึ่ง..! แทนที่จะปฏิบัติต่อกันด้วยเมตตา ให้คำแนะนำที่ดีในการทำงานเพื่อส่วนรวมต่อไป ทุกฝ่ายจะได้มีกำลังใจและทำหน้าที่ของตนได้ดียิ่งขึ้น

งานนี้ "ดราม่า" เกิดจากแรงเชียร์ของบรรดากองเชียร์ทั้งหลาย เมื่อได้รับแรงเชียร์ทั้งที่ตนเองทำผิด ก็กลายเป็นคิดว่าตนเองทำถูก ท่านผู้ใจบุญจึงเปลี่ยนจากนางฟ้าไปเป็นนางมารร้าย ส่วนเจ้าหน้าที่เทศบาลเมืองนครปฐมรับบทผู้ร้ายตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งถ้าเห็นว่า "ผิดเป็นครู" ต่อไปทุกคนก็คงจะทำอะไรได้ดีและเหมาะสมยิ่งขึ้น"

เถรี 23-04-2020 06:39

"ส่วนข่าวที่น่าตกใจมากก็คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมติของรัฐสภาสหรัฐฯ ให้ยกเลิกมาตรการปิดเมืองปิดประเทศ เริ่มต้นทำมาค้าขายต่อไปได้ โดยให้เหตุผลว่า ปล่อยให้คนตายดีกว่าปล่อยให้เศรษฐกิจพัง..!

นี่เป็นแนวคิดของบรรดานายทุนที่ "ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา" เห็นชีวิตประชาชนเป็นของไร้ค่า เห็นตัวเลขในบัญชีธนาคารสำคัญกว่าความเป็นมนุษย์ ที่บอกว่าน่าตกใจก็คือ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ ที่ทุกอย่างเจริญในระดับสูงสุด แต่ทำไมจิตใจผู้คนถึงตกต่ำได้จนถึงขนาดนี้ ?

ถ้าบอกว่ากลัวเศรษฐกิจพัง ช่วงนี้เศรษฐกิจของทุกประเทศก็พังหมดแล้ว แต่คุณกำลังจะทำให้พังหนักยิ่งขึ้น ด้วยการเปิดประเทศทั้งที่มียอดผู้ติดเชื้อไวรัสสูงสุด พร้อมที่จะก่อการแพร่ระบาดให้ชาวโลกเขาบรรลัยวายวอดกันหมด..!

อยากถามคำถามเดียวเท่านั้นว่า "มิสเตอร์ไพร์มินิสเตอร์ คุณคิดอะไรของคุณอยู่วะ ?"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:41


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว