กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=40)
-   -   ปกิณกธรรมช่วงสงกรานต์วัดท่าขนุน วันที่ ๑๓-๑๗ เมษายน ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8539)

เถรี 26-04-2022 09:36

ปกิณกธรรมช่วงสงกรานต์วัดท่าขนุน วันที่ ๑๓-๑๗ เมษายน ๒๕๖๕
 
ช่วงเช้าก่อนรับฟังพระธรรมเทศนาวันสงกรานต์ วันพุธที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕

คราวนี้รู้หรือยังว่าทำไมเขาอยากตะกายมาให้พระอาจารย์เล็กด่ากัน ? ส่วนใหญ่จะด่าตรงกับที่พวกเราทำกันอยู่ แต่ก็ไม่เคยจะหูตาสว่างกันสักที ด่าไปก็เท่านั้นแหละ..เหนื่อยเปล่า..!

ประมาณเก้าโมงตรง จะมีการแสดงพระธรรมเทศนา ๑ กัณฑ์ ปีนี้ดีใจมาก เนื่องจากบรรดาพระมหาเปรียญกลับมา ทำให้กระผม/อาตมภาพไม่ต้องเหมาเทศน์สงกรานต์เองตลอด ๓ วัน ให้บรรดาคุณมหาท่านเทศน์แทน ส่วนเทศน์แล้วจะได้เรื่องหรือไม่ได้เรื่อง ก็ให้ญาติโยมตัดสินกันเอาเอง แต่ถ้าจะบอกว่าลูกศิษย์เก่งกว่าอาจารย์ก็เป็นไปได้ยาก เพียงแต่ว่าให้พยายามทนฟังกันหน่อยก็แล้วกัน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลจะเข้าถึงมรรคผลได้นั้น
อันดับแรก..กำลังฟังธรรม
อันดับที่สอง..กำลังสวดสาธยายธรรม
อันดับที่สาม..กำลังพิจารณาธรรม ฯลฯ


เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าฟังเป็น จะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถึงขนาดหลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพานได้ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง การฟังด้วยดีย่อมก่อให้เกิดปัญญา เพียงแต่พวกเราจะมีปัญญาพอหรือเปล่านั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ช่วงเช้าก็เข้าสู่พิธีการทางสงฆ์ มีการทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังพระเจริญพุทธมนต์ ถวายภัตตาหาร สังฆทาน เป็นต้น เจ้าหน้าที่เตรียมโลงไว้หรือยัง ? ถ้าเตรียมแล้วก็แบกมาได้เลย เตรียมการสะเดาะเคราะห์ในวันพรุ่งนี้ อย่างน้อย ๆ การระลึกถึงมรณานุสติก็เป็นกรรมฐานใหญ่ อานิสงส์ตรงนี้ช่วยให้เราห่างเคราะห์ห่างกรรมออกไปได้ระยะหนึ่ง

ดังนั้นคำว่า "สะเดาะเคราะห์" ไม่ได้แปลว่าทำให้หลุดหายไปโดยอานุภาพอื่นใด หากแต่ว่าหลุดหายไปโดยการกระทำของเราเอง ก็คือสร้างบุญใหญ่เพื่อหนีกรรม ถ้าอยากจะตัดเคราะห์ตัดกรรม ก็เขียนชื่อ เขียนนามสกุล วันเดือนปีเกิดใส่ลงไป เบอร์โทรกับไอดีไลน์ไม่ต้อง..! หรือถ้าอยากแช่งชักหักกระดูกใคร ก็เขียนชื่อ เขียนนามสกุลเขาใส่ลงไป เผาทิ้งไปเลย สิ่งชั่ว ๆ ในใจของเรา โดนเผาไปบ้าง จะได้เหลือน้อยลง

เถรี 26-04-2022 09:54

อีก ๖ นาที พระสงฆ์จะขึ้นสู่อาสน์สงฆ์ ใครจะใส่บาตรก็ใส่ให้เรียบร้อยก่อน ที่นี่ใส่บาตรกันก่อนสวดมนต์ เพราะว่าที่อื่นเขาทำผิด พอถึงเวลาพระขึ้น "พาหุงฯ" ก็ไปใส่บาตรกัน ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นกำลังตั้งใจฟังพระสวดเป็นสมาธิอยู่ดี ๆ ก็ต้องละจากสมาธิเพื่อไปใส่บาตร เพราะไปเชื่อตามที่โบราณเข้าใจผิด ๆ ว่า พอขึ้นบท พาหุงสะหัสฯ ก็แปลว่าพระชวนหุงข้าว คือให้ใส่บาตร คนเริ่มธรรมเนียมนี้นั้นบ้า..!

พาหุงสะหัสสะฯ แปลว่า ประกอบด้วยแขนตั้งพัน ก็คือพญามารจำแลงกายมา มีแขนตั้งพันข้าง ถืออาวุธหนึ่งพันอย่าง เพื่อที่จะมาขับไล่เจ้าชายสิทธัตถะให้ละจากบัลลังก์ เนื่องจากว่าถ้าท่านนั่งอยู่ต่อไป ก็จะบรรลุมรรคผลเป็นพระพุทธเจ้าเลย

ก็เลยทำให้คนตั้งแต่โบราณมาเสียประโยชน์ไปมาก เพราะว่ากำลังตั้งสมาธิฟังพระสวดอยู่ บางคนอาจจะได้มรรคได้ผลเสียด้วยซ้ำไป ก็ต้องคลายจากสมาธิไปใส่บาตร ในเมื่อเรารู้ว่าความเชื่อทั้งหลายเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ผิด ก็ต้องแก้ไขให้ถูก ดังนั้นวัดท่าขนุนจึงให้ใส่บาตรให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยฟังเทศน์ฟังธรรม จะได้ไม่ต้องคลายสมาธิออกไป

สิ่งหนึ่งประการใด ถ้าหากว่าเป็นความถูกต้อง แล้วคนอื่นเขาทำผิดพลาด ต่อให้ส่วนใหญ่ทำผิด เราก็ต้องกล้าคัดค้าน กล้าแก้ไข ไม่เช่นนั้นแล้วก็ผิดไปยันลูกยันหลาน

อย่างเช่นว่าการตั้งโต๊ะหมู่บูชา แล้วมีโต๊ะกราบ เมื่อกระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าอาวาส ก็สั่งเอาออกหมดเลย เรียนถวายพระผู้ใหญ่ว่า การกราบแบบคนไทยเรียกว่าเบญจางคประดิษฐ์ ประกอบด้วยองค์ห้า ๑ ศีรษะ ๒ ศอก ๒ เข่า ต้องสัมผัสพื้นพร้อมกัน ถ้าตั้งโต๊ะกราบก็ไม่เป็นเบญจางคประดิษฐ์

เมื่อแนะนำไปหลาย ๆ ที่ ท้ายที่สุดส่วนใหญ่แล้วถ้าหากว่าอยู่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ซึ่งประกอบไปด้วยกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และสมุทรสาคร ก็เลียนแบบวัดท่าขนุน ด้วยการเอาโต๊ะกราบออก เพียงแต่ว่าใหม่ ๆ พระผู้ใหญ่ท่านไม่เคยชิน จึงต้องมีการนำเรียนถวายก่อน ว่าทำไมที่นี่ถึงไม่มีโต๊ะกราบ

เถรี 26-04-2022 09:56

อีกประการหนึ่งก็คืองานศพ เมื่อถึงเวลาพระหรือสามเณรหน้าไฟจูงศพขึ้นเมรุ บางคนญาติเยอะ ญาติโยมทั้งหญิงและชายเป็นร้อย ๆ ก็ไปแย่งพระเณรจูงศพ บางคนก็ดึงจนสายสิญจน์ขาดไปเลย..! การจูงศพเป็นหน้าที่ของพระเจ้าพิธี หรือว่าลูกหลานที่บวชสามเณรหน้าไฟ ไม่ใช่หน้าที่ของพวกเรา

ญาติโยมที่ไปร่วมงานนั้น เขาเรียกว่า "ไปส่งศพ" ในเมื่อไปส่งศพก็เดินตามโลงศพไป ไม่ใช่ไปนำหน้าซ้ำยังจูงขึ้นเมรุอีกด้วย..!

มีสองคนเท่านั้นที่จะเดินนำหน้าได้ ก็คือลูกหลานที่ถือกระถางธูป กับรูปคนตาย หรือถ้าหากว่าจะทำให้ถูกต้อง ทั้งสองคนนั้นก็เดินตามโลงไปด้วย เมื่อโลงขึ้นสู่ที่ตั้งเรียบร้อยแล้ว ค่อยเอากระถางธูป หรือว่าตะเกียง พร้อมกับรูปผู้ตาย จัดเข้าที่ไป

หลังจากที่บ่นมาหลายปี ทางด้านนี้ก็เริ่มหายไป ไม่มีคนไปแย่งพระจูงศพอีก เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่กล้าแก้ไขสิ่งที่ผิดให้ถูก ก็จะผิดไปเรื่อย จนกระทั่งผิดกลายเป็นถูก แล้วพอมีคนทำถูก ก็จะไปตำหนิเขาอีกว่าทำผิด..!

เถรี 27-04-2022 07:28

พระอาจารย์บอกให้โยมหันหน้าหาหลวงพ่อทองคำ เพราะต่อไปจะมีการแสดงพระธรรมเทศนา (เสียงขยับเก้าอี้ดัง)

เชื่อไหมว่าถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพขยับเก้าอี้จะไม่ได้ยินเสียงเลย ก็แค่ยกลอยพ้นพื้น แล้วหมุนไปเข้าที่ก็จบแล้ว สภาพจิตของพวกเราหยาบเกินไป ไม่เหมาะที่จะเป็นนักปฏิบัติธรรมเสียด้วยซ้ำไป

วันก่อนกระผม/อาตมภาพก็เพิ่งจะด่านาคที่เดินตามไป โยมใส่บาตรกับข้าว ๑ ถุง ขนม ๑ ถุง น้ำ ๑ ขวด นาคจัดการหยิบกับข้าวกับขนมไป แล้วทิ้งน้ำเอาไว้ ให้อาตมาถือเดินไปเรื่อย จนกระทั่งพระท่านทนดูไม่ได้ ไปสะกิดบอก อาตมาถึงได้บอกว่า "จะไปบอกมันทำไม ? ปล่อยให้มันโง่ต่อไป จะดูว่ามันโง่ได้นานเท่าไร..!"

บางคนอาจจะคิดว่าทำไมใช้คำพูดรุนแรงขนาดนั้น ? คือบางคนถ้าไม่ด่าประจานในที่สาธารณะแล้ว เรื่องเหล่านี้ก็จะไม่จำ และไม่นำไปแก้ไข ขนาดบางคนโดนด่าประจำ ยังไม่เอาไปแก้ไขเลย ถ้าไม่ได้อยู่ในหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่มีหน้าที่ต้องคอยขัดเกลา คอยสั่งสอน กระผม/อาตมภาพก็จะไม่ด่าให้เสียเวลา แต่คราวนี้อยู่ในหน้าที่อย่างนั้นก็จำเป็นที่จะต้องทำ

แต่บางคนที่เข็นไม่ไหวจริง ๆ กระผม/อาตมภาพก็ต้องปล่อยให้เป็น ปาปมุติ ผู้ที่พ้นแล้วจากบาปทั้งปวง คืออยากทำอะไรก็ทำไปเลย เพราะว่าวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า ด่าไปเท่าไร ไม่เคยมีการแก้ไข ก่อนหน้านี้เด็กวัดอย่างเจ้าไพศาล อาตมาก็ด่าอยู่บ่อย ๆ แต่ด่าไปก็ไม่เคยจำเกินสองชั่วโมง ก็เลยเลิกด่า ทุกวันนี้อยากจะทำอะไรก็เรื่องของมึง..!

เถรี 27-04-2022 07:41

ปัจจุบันนี้อีกคนที่จะเลิกด่าก็คือทิดตรง พระเดินแถวบิณฑบาตไม่เกิน ๒๐ รูป ไม่เคยดูได้ทั่วว่าพระเณรรูปไหนมีกับข้าวคาบาตรคามืออยู่ แม้กระทั่งอาตมาเองยืนอยู่ตรงนั้น ทิดตรงก็เฝ้าอยู่ตรงนั้น พอโยมวางถุงกับข้าว ทิดตรงฉวยได้ปั๊บก็ไปเลย พอวางถุงขนมมาอาตมาก็ต้องหิ้วเอง ด่ากี่ครั้งก็ไม่เคยจำ เท่าที่สังเกตดูก็คือวันรุ่งขึ้นจำหน่อยหนึ่ง วันที่สองก็ไม่จำแล้ว..!

แม้กระทั่งในตลาด บอกว่าอย่าเดินบังกล้อง เพราะว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะถ่ายรูปพระ ก็บังเสียทุกกล้อง แม้กระทั่งกล้องของเมียตัวเองก็บังหมด ถ้ากระผม/อาตมภาพเป็นเมีย กลับไปจะตบให้หน้าหัน..! จนกระทั่งเพื่อนเรียกว่า "ไอ้ตรง" ก็ยังไม่รู้ว่าทำไมชื่อนี้ถึงมาได้ ก็คือเพราะว่าเป็นคนเถรตรง ทำอะไรทำแค่เฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่ได้สนใจที่จะทำให้ดีขึ้น ไม่ได้สนใจที่จะดูรอบข้างให้ครบถ้วนสมบูรณ์

เพราะฉะนั้น...บุคคลเหล่านี้อาตมภาพถือเป็นปาปมุติ ในเมื่อเข็นไม่ไป ก็หาทางไปเองก็แล้วกัน ต้องบอกว่าเมตตาแล้ว กรุณาแล้ว มุทิตาแล้ว พาไปไม่ไหวก็ต้องอุเบกขา แล้วถ้ากระผม/อาตมภาพอุเบกขา ก็จะอุเบกขาได้หนักกว่าคนทั่วไปด้วย ถ้าตราบใดที่ยังด่าอยู่ ขอให้รู้ว่าตัวเองยังพอที่จะเคี่ยวเข็ญขัดเกลาได้ เลิกด่าเมื่อไร ก็ไปนั่งน้ำตาไหลได้แล้ว เพราะว่าที่เหลือต่อไปนี้ จงทำเองเถิด..!

เถรี 27-04-2022 07:48

โดยมากคนทั่ว ๆ ไปจะไม่กล้าด่า ไม่กล้าว่าในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะว่ารักตัวเองมากเกินไป กลัวเขาจะเกลียดขี้หน้าเรา แต่กระผม/อาตมภาพในฐานะครูบาอาจารย์ ก็ต้องปากเปียกปากแฉะไปเรื่อย เพียงแต่พิจารณาแล้วว่าบางรายนี้ ต่อให้พูดจนปากฉีกถึงหู ก็ยังเป็นเหมือนเดิม เป็นคนที่เที่ยงตรงต่อปฏิปทาตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ไม่คิดจะเปลี่ยนตามใคร ถ้าอย่างนั้นก็ทางใครทางมัน แล้วก็ดันไม่เดินไปตามทางมัน แต่ดันเดินตามมาเรื่อย ๆ วันดีคืนดีจะถีบให้สักทีหนึ่ง..!

ผู้ใดรับหน้าที่ธรรมกถึก เตรียมขึ้นธรรมาสน์ได้แล้ว ทายกไม่จุดเทียนสักทีก็ไม่ขึ้นธรรมาสน์สักทีหนึ่งเหมือนกัน โบราณเขาเรียก "เทียนส่องธรรม" เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วโบสถ์ กุฏิ วิหาร ศาลา สมัยก่อนสร้างแบบมืด ๆ ทึม ๆ แล้วก็ไม่มีไฟฟ้าเหมือนกับสมัยนี้ จึงต้องมีเทียนเอาไว้เพื่ออ่านพระคัมภีร์เทศน์ สมัยนี้มีทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ว่าการจุดเทียนส่องธรรมเป็นประเพณีไปแล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าการจุดเทียนในปัจจุบัน เป็นสัญญาณว่าให้ขึ้นธรรมาสน์ได้

เถรี 27-04-2022 07:49

(หลังจากเทศน์วันสงกรานต์และการเจริญพระพุทธมนต์จบลง ต่อไปเป็นการถวายภัตตาหารแก่หมู่สงฆ์)

การถวายสังฆทานนั้นคำว่าสังฆะหรือหมู่สงฆ์ หมายถึงพระภิกษุสงฆ์ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป คราวนี้พระวัดท่าขนุนมีอยู่ ๔๐ กว่ารูป ก็ต้องบอกว่ามากกว่าหมู่สงฆ์ทั่วไปถึง ๑๐ เท่า ก็ต้องใช้คำว่า มหาสังฆทาน อานิสงส์จะมากกว่าทานทั่วไปเป็นแสนเท่า

เถรี 28-04-2022 19:21

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันพุธที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕

เดี๋ยวเราเข้าสู่การปฏิบัติธรรมในช่วงบ่ายกัน การปฏิบัติธรรมนั้นหลักการที่สำคัญที่สุดก็คือ ทำแล้วต้องรักษาอารมณ์ใจเอาไว้ได้ พวกเราทั้งหลายมีความดีเป็นพิเศษตรงที่ว่า ทำแล้วก็ทิ้งหมด...! ประมาณว่าลูกเศรษฐี ได้มาเท่าไร ก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไม่เหลือเลยสักบาท ไปหากินเอาข้างหน้า..!

ความจริงลักษณะอย่างนี้น่าจะเข้าถึงธรรมกันมาก เพราะว่าไม่มีความห่วงใย ไม่มีความกังวล แต่คราวนี้ที่พวกเราไม่สามารถจะเข้าถึงธรรมกันได้ ก็อย่างที่กล่าวไปเมื่อเช้า คือ กำลังไม่พอ เหตุที่กำลังไม่พอ ก็เพราะว่าใช้หมด ก็เป็นเหตุเป็นผลกันอยู่แค่นี้แหละ

สำคัญอยู่ตรงที่ว่า พวกเราเข็ดหรือยัง ? เข็ดหรือยังกับการที่ปฏิบัติธรรมไปแล้ว จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก ฟุ้งซ่าน อยากเอาหัวโขกข้างฝา ทำไปเท่าไร กำลังดี ๆ อยู่ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ? เราทำตัวเราเองทั้งนั้น ไปโทษกิเลสไม่ได้นะ เพราะว่าเราไปเปิดช่องให้ ถึงเวลาก็ เต โสตตะมานุภาเวนะ มาโรกาสัง ละภันตุ มา จะไปหวังว่ามารอย่าได้ช่องเลย ฝันไปเถอะ..มาทุกช่องนั่นแหละ..!

หน้าที่ของเราก็คือ ปิดช่องทางทั้งหลายเหล่านั้น สำรวม กาย วาจา ใจ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) ทุกอย่าง เห็นคนอื่นทำสบาย ๆ ไม่ได้หมายความว่าเราทำอย่างนั้นแล้วจะได้อย่างเขา ที่เขาสบายได้ เพราะว่าเขาลำบากมาจนนับไม่ถ้วนแล้ว ของเราเองต้องลำบากก่อน แล้วค่อยไปสบายเมื่อปลายมือ

เถรี 28-04-2022 19:23

ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ต้องทุ่มเทกันชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก การที่เราเวียนว่ายตายเกิดมานับกัปป์นับกัลป์ไม่ถ้วน เกิดไม่รู้ว่ากี่ชาติกี่ภพแล้ว ถ้ากระดูกไม่เปื่อยสลาย ป่านนี้ก็ท่วมโลกไปยันดวงอาทิตย์แล้ว..! ที่พูดถึงนี่แค่คนเดียวเท่านั้นนะ เข็ดหรือยัง ? เมื่อครู่บอกแล้วว่าเข็ดหรือยัง กับการที่ปฏิบัติธรรมไปดี ๆ แล้วก็จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก จากพ่อเทวดา แม่นางฟ้า กลายเป็นหมาขี้เรื้อน..!

ถ้าเข็ดก็ต้องรู้จักระมัดระวัง สังเกตว่าคราวที่แล้วเราพลาดตรงไหน ถ้าหากว่าเราพลาดแล้วก็แก้ไข ถ้าหากว่าเข็ดแล้ว ต้องพยายามใช้ปัญญาที่พอจะมีอยู่ พิจารณาดูว่าเราพลาดตรงไหน แล้วระมัดระวังไว้ อย่าให้พลาดตรงนั้นอีก

โดยเฉพาะกำลังใจของเรา ต้องเข้มแข็งกว่านี้ ไม่ใช่พลาดทีก็ไปนั่งเสียอกเสียใจ ร้องไห้คร่ำครวญ การปฏิบัติพังไปเป็นเดือน ๆ ทันทีที่รู้ตัวว่าเราพลาด ก็ตั้งกำลังใจใหม่เลย ว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาไป

กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบไว้ว่า มีคนสองคนเดินมาด้วยกัน ล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกได้ก็เดินต่อไปเลย ส่วนอีกคนหนึ่งก็นั่งคร่ำครวญอยู่นั่นแหละ "โอ๊ย...เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน ไม่น่าล้มเลย มาได้ตั้งไกลแล้ว" สองคนนี้ใครจะได้ระยะทางมากกว่ากัน ? ก็ต้องคนที่ล้มแล้วลุกไปต่อเลย

เพราะฉะนั้น…การทำความดีเราก็ต้องหัดหน้าด้านไว้ พลาดไปแล้วก็แล้วกัน ถ้าไม่พลาดเรานี่เก่ง..! แต่ถ้าพลาดเมื่อไร เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ระมัดระวังไว้อย่าให้พลาดตรงนั้นอีก เดี๋ยวเขาก็มามุมใหม่ ยิ่งล้ม..ยิ่งได้ประสบการณ์ ทำถูกได้กำไร ทำผิดได้บทเรียน ไม่มีเสียเลย

เถรี 28-04-2022 19:28

โบราณเขาบอกว่า "ผิดเป็นครู" ของพวกเราน่าจะเกินครู ไปอยู่ในระดับศาสตราภิชาน อภิชาน..ผู้เชี่ยวชาญอย่างยิ่ง ศาสตราภิชาน..ผู้เชี่ยวชาญอย่างยิ่งในความรู้แขนงนั้น แต่ถ้าหากว่าเป็นตำแหน่งพระราชทานจะเรียกว่าศาสตราจารย์..อาจารย์ผู้มีความรู้ ไม่ใช่ศาสดาจารย์ ศาสดาจารย์..อาจารย์ของพระศาสดา..ซึ่งไม่มี พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้เอง..!

ใช้ให้ถูกด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ และศาสตราจารย์ ถ้าเป็นอาจารย์พิเศษก็จะเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์พิเศษ รองศาสตราจารย์พิเศษ ศาสตราจารย์พิเศษ บางมหาวิทยาลัยก็ใช้คำว่าศาสตราจารย์เกียรติคุณ หรือศาสตราภิชาน

เราว่าไปถึงตรงที่ว่า การทำความดีต้องหน้าด้าน แต่อย่าให้ใจด้าน ใจของเราต้องรู้ผิดชอบชั่วดี พร้อมที่จะแสวงหาความดีอยู่เสมอ แต่เราจะไม่มัวไปเสียอกเสียใจกับสิ่งที่พลาดพลั้งไปแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติต่อไป ถ้าทำอย่างนี้ได้ โอกาสก้าวหน้าจะมี ถ้าทำแบบนี้ไม่ได้ก็อีกนาน พอได้ยินว่าอีกนาน ก็ใจหายแว็บ..นานเท่าไรก็ทุกข์เท่านั้น ถึงได้ถามพวกเราว่าเข็ดกันหรือยัง ?

ตราบใดที่ยังไม่เข็ด เราก็ยังไม่เอาจริง สวดมนต์ทุกวัน นั่งกรรมฐานเช้าเย็นนี่ยังไม่เอาจริงอีกหรือ ? ยังไม่เอาจริงหรอก ถ้าคนเอาจริงนี่ ทุกวินาทีเขาจะไม่ให้ใจหลุดจากความดีเฉพาะหน้าเลย แค่สวดมนต์เช้าเย็นนั้นยังห่างไกล นั่งกรรมฐานเช้าชั่วโมง เย็นชั่วโมงแถมเข้าไปด้วย วันหนึ่งได้ ๒ ชั่วโมง แล้วอีก ๒๒ ชั่วโมงเป็นอย่างไร ? ขาดทุนไหม ? ลองนึกถึงว่าเราว่ายทวนน้ำมาวันละ ๒ ชั่วโมง แล้วปล่อยไหลตามน้ำไป ๒๒ ชั่วโมง ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิด ก็รู้ว่าขาดทุนอย่างแน่นอน..!

เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไมทำเท่าไรแล้วไม่ได้ผลสักที ก็เพราะว่าทำผิดวิธี ถ้าทำดีทำถูก ก็ไปนานแล้ว ไม่มานั่งอยู่นี่หรอก และก็น่าจะไปตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว ไปว่าอะไรคนอื่นได้ อาตมาเองสมัยพุทธกาลยังไปดูเขาทำสังคายนาพระไตรปิฎกกันอยู่เลย แต่ก็ยังมานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ แสดงว่าไม่แน่จริงพอกันนั่นแหละ..!

ด้วยความสงสัย อยากรู้ว่าเขาสังคายนาพระไตรปิฎกอย่างไร ? ลองย้อนอดีตไปดู ที่แท้ตัวเองก็ไปนั่งอยู่ด้วย ไปอาศัยกิน..! สมัยนั้นเป็นพราหมณ์ซึ่งถือว่าเป็นนักบวช ถึงเวลาเขาถวายอาหารพระสงฆ์ ก็พลอยได้กินไปด้วย ไม่ได้ไปด้วยความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างจริง ๆ จัง ๆ ตอนนั้นหยิ่งในความรู้ตัวเอง ว่าตัวเองรู้มาก ในเมื่อรู้มากแล้วทำไมต้องไปฟังคนอื่นด้วย ? ก็เลยพลาดของดีไปอย่างน่าเสียดายสุด ๆ..!

เถรี 29-04-2022 15:33

มีโยมเข้ามาร่วมปฏิบัติธรรมเพิ่มอีกจำนวนมาก

"แล้วนี่มาจากไหนกัน ? เมื่อเช้าไม่ได้เยอะอย่างนี้ไม่ใช่หรือ ? ตั้งแถวดี ๆ ดูแนวด้วยว่าห่างกันเท่าไร แล้วแถวอยู่ตรงเส้นไหนของแผ่นกระเบื้อง ถ้ามีเชาวน์ไหวพริบหน่อยเดียว ก็เป็นอันว่าจบ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรเหมือนกัน ถ้าหากว่าขนาดบอกแล้วยังทำไม่ได้นี่ สมัยก่อนเป็น "ครูพักลักจำ" ไม่ได้

ครูพักลักจำ คือ คนที่อยากได้วิชาของเขา แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาหวง เขาจะถ่ายทอดเฉพาะลูกศิษย์ที่เขามั่นใจในความประพฤติ หรือไม่ก็ให้เฉพาะคนในครอบครัว เราก็ต้องทำตัวเป็นคนเดินทาง ถึงเวลาไปขออาศัยเขานอน สมัยก่อนนี้แขกขึ้นได้ทุกบ้าน ไปบ้านไหนเขาก็ทักทายเรียกหา "เชิญกินข้าวกินปลาก่อน ถ้าจะไปทางไกลก็พักผ่อนก่อนพ่อคุณ"

คราวนี้พอเจ้าของบ้านทำอะไรให้เห็น เราก็แอบดูแล้วก็จำไว้ เก็บเอาไปทำเอง เขาถึงได้เรียกว่าครูพักลักจํา คือไปอาศัยพักอยู่กับเขา แล้วก็แอบจำความรู้เขามาใช้

เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าเชาวน์ไม่พอ ไหวพริบไม่มี ก็เป็นครูพักลักจำไม่ได้ แบบเดียวกับในเรื่องเล่าที่ว่า อาจารย์มีลูกศิษย์ ๒ คน แล้วก็มอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้ลูกศิษย์คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งก็โกรธ "ผมมั่นใจว่าผมเก่งพอกับเขา แล้วทำไมอาจารย์ไม่ให้ตำแหน่งผม ?"

พอดีเด็กน้อยวิ่งมาบอก "เจ้าคุณปู่..หมาออกลูกอยู่ใต้ถุน" ท่านก็เลยบอกลูกศิษย์สองคน "มึงลองไปดูซิ ใครจะไปก่อน ?" ไอ้คนเก่งก็ลงไปก่อน กลับมาอาจารย์ถาม "หมามีลูกกี่ตัว ?" ตอบ "ห้าตัวครับ" อาจารย์ถามต่อ "ตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัว ?" คราวนี้ตอบไม่ได้


เถรี 29-04-2022 15:38

ต่อไปให้อีกคนไปดู คนนั้นลงไป ขึ้นมาถึงบอกเลย หมามีลูก ๕ ตัว ตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัว สีอะไรบ้าง เห็นหรือยังว่าไหวพริบต่างกันแค่ไหน ? ยังไม่มั่นใจอีกใช่ไหม ? คราวนี้ให้ไปเก็บน้ำค้างยอดหญ้ามา อาจารย์จะทำน้ำมนต์รดให้ จะได้สำเร็จวิชา ส่งขันใบเบ้อเร่อให้คนละลูก ปรากฏว่าคนที่อวดเก่งได้น้ำค้างมาไม่กี่หยด อีกคนได้มาเต็มขันเลย จนคนที่อวดเก่งโมโหว่าอีกคนต้องไปแอบตักน้ำคลองมาแน่เลย

อาจารย์เลยถามว่า "แกทำอย่างไร ?" ลูกศิษย์คนนั้นก็ตอบ "ก็ไม่มีอะไรครับ ไปถึงผมก็เอาผ้าขาวม้ารูดพรืด แล้วก็บิดใส่ขัน" ในขณะที่อีกคนไปเขย่าเอาทีละหยด เห็นหรือยังว่าไหวพริบต่างกันแค่ไหน ? ดังนั้น...ตรงนี้ไม่มีตำแหน่งเจ้าสำนักให้ เอาไว้ตายแล้ว..ปล่อยให้ทะเลาะกันเอง..สนุกดี...!

กลับมาที่เรื่องการปฏิบัติของเรา ที่พวกเราปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล อันดับแรกก็คือ ทำแล้วรักษาอารมณ์ใจไว้ไม่ได้ ไม่ยอมทุ่มเทให้กับการปฏิบัติอย่างจริงจัง เพราะว่ายังไม่เข็ด ถ้ารู้จักเข็ต จะรู้จักระมัดระวัง คนล้มแล้วเจ็บ ล้มบ่อย ๆ ก็ต้องระวังไม่ให้ล้มจนเจ็บอีก

ต่อมาก็จะเริ่มชนะบ้าง แต่บอกว่าชนะก็ไม่ใช่หรอก เริ่มแพ้น้อยลง

เถรี 29-04-2022 15:42

แล้วต่อมาชนะกับแพ้ก็ก้ำกึ่งกัน คราวนี้จะสนุกมาก โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรม ลุ้นกันว่าคะแนนนี้เราจะได้ หรือว่ากิเลสจะได้ ดูหนังดูละครอะไรก็ไม่อยากดูหรอก ถึงเวลาก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมเท่านั้น ใครมาคุยเรื่องนอกทุ่งนอกท่าไม่รู้จัก ลิซ่า Black Pink เป็นใครกูไม่รู้ โกโกวาทำนองอย่างไรกูไม่บอก บอกไม่ได้เพราะว่าไม่เคยฟัง ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมอย่างเดียว

คราวนี้ก็จะชนะมากกว่าแพ้ ความรอบคอบมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ท้ายที่สุดก็จะไม่แพ้อีก อย่างที่เราต้องการ

แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงจุดนั้นได้ ก็หกล้มหกลุกกันนับครั้งไม่ถ้วน ครูบาอาจารย์กว่าจะมาเป็นครูบาอาจารย์ได้ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว พลาดมาแล้วทั้งนั้น ถ้าไปดู Robert Ruark เขาเขียน The old man and the boy เขาบอกว่า "วัยเด็กเป็นวัยที่ลองผิดลองถูกด้วยความอยากรู้ วัยชราคือเอาประสบการณ์ที่ตัวเองรู้ผิดรู้ถูกแล้วไปสอนให้เด็ก" สรุปว่ากูผิดมาแล้วทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องมาแหกตาหรอก..กูรู้ทัน..ประมาณนั้น

ดังนั้น...ตรงจุดนี้พวกเราทั้งหลายส่วนใหญ่แล้วยังขาดบารมีอยู่มาก บารมี..กำลังใจที่ช่วยในการบรรลุมรรคผล ขาดอะไร ?
ขาดวิริยบารมี..ความเพียรไม่พอ
ขันติบารมี..ความอดทนไม่พอ
ปัญญาบารมี..รู้ไม่เท่า ไล่ไม่ทัน วิธีการงัดขึ้นมาใช้ไม่ได้ผล โดนกิเลสตบคว่ำคาเวที..!


ปัญญาบารมีไม่พอ รู้ว่าบกพร่องตรงไหนก็พยายามทำตรงนั้น ในเมื่อเราแก้ไขจุดอ่อนของเราได้ เดี๋ยวเขาก็มาช่องอื่นอีก เราก็ค่อยไล่แก้ต่อไป ปะจนไม่มีที่ให้ปะแล้ว ในที่สุดก็ไม่ต้องแก้เอง

เถรี 01-05-2022 10:21

ก่อนสวดพระพุทธมนต์ถวายหลวงปู่สายช่วงเย็น วันพุธที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕

กระผม/อาตมภาพกลายเป็น "ผู้เสี่ยงสูง" อีกแล้ว เพราะว่าเมื่อตอนบ่าย ตั้งใจแค่จะไปดูเขาจัดสถานที่ถวายน้ำสรงศพหลวงพ่อพระครูเกษมกาญจนกิจ ปรากฏว่าไปถึง รถพยาบาลเอาศพมาส่งพอดี แล้วก็หาคนที่มีความชำนาญในการเปลี่ยนผ้าผ่อนให้กับพระท่านไม่ได้ กระผม/อาตมภาพก็เลยต้องทำเอง

ว่ากันว่าท่านมรณภาพเพราะเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ เปลี่ยนผ้าครองให้ท่าน โกนหนวดโกนเคราให้ท่าน เสร็จแล้วก็กลับมาหาพวกเรา เผื่อว่าถ้าได้เชื้อมา จะได้แบ่งปันกัน หลวงพ่อเป็นคนใจดี ไม่ค่อยหวงอะไร ได้อะไรมาก็เอามาฝากทุกคนทั่ว ๆ กัน..!

คราวนี้ท่านที่เคยมาวัดอาจจะรู้สึกว่าบรรยากาศแปลก ๆ เพราะว่าปกติ ๖ โมงเย็นก็ทำวัตร หลังจากนั้นประมาณ ๑๘.๕๐ น. ก็ทำวัตรอีกรอบหนึ่ง แต่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันที่ ๑๓ ของเดือน เป็นวันที่จะมีการสวดพระพุทธมนต์ถวายหลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ซึ่งท่านมรณภาพมา ๓๐ ปีแล้ว

ทางด้านวัดท่าขนุนตั้งแต่พระอธิการสมเด็จ วราสโย เจ้าอาวาสรูปต่อจากหลวงปู่สาย จนถึงพระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต เจ้าอาวาสรูปต่อมา แล้วมาถึงพระครูวิลาศกาญจนธรรม จึงถือแบบธรรมเนียมว่า หลวงพ่อมรณภาพวันที่ ๑๔ กันยายน ก็เลยทำบุญถวายท่านทุกวันที่ ๑๔ ของทุกเดือน ด้วยการสวดมนต์เย็นวันที่ ๑๓ แล้วก็มีแสดงพระธรรมเทศนา ทำบุญใส่บาตรทุกวันที่ ๑๔


เถรี 01-05-2022 10:25

ปกติแล้วระเบียบประเพณีอะไรที่เห็นว่าไม่เข้าท่าเข้าทาง เมื่อเป็นเจ้าอาวาส กระผม/อาตมภาพก็โละทิ้งหมด สมัยก่อนทางวัดท่าขนุนจะมีงานประจำปีช่วงวันมาฆบูชา ทำบุญกัน ๓ วัน ๓ คืน มาถึงรุ่นอาตมาขี้เกียจมาก เลยทำวันเดียว ใครอยากจะทำอีก ๒ วันให้ไปทำเองที่บ้าน..!

แต่ว่างานนี้เป็นงานที่
กระผม/อาตมภาพเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี ได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อครูบาอาจารย์ ก็เลยคงไว้ แล้วก็เป็นการผ่อนในส่วนของระเบียบวัด ที่ต้องให้มีทำวัตรเช้าเย็นรวมแล้ววันหนึ่งตั้ง ๓ รอบ พอวันที่ ๑๓ จึงให้เหลือแค่สวดมนต์เย็นเท่านั้น

แล้ววันที่ ๑๔ งานทำบุญ ก็จะถวายปัจจัยพระภิกษุสามเณร แล้วก็มีเงินประจำให้กับแม่ชี และฆราวาสที่อยู่ในวัด พูดง่าย ๆ ว่า "เป็นวันเงินเดือนออก" เพราะฉะนั้น..ทุกคนก็จะตั้งหน้าตั้งตารอวันที่ ๑๔ เพราะว่าเงินเดือนจะออก วัดท่าขนุนเงินเดือนออกสองรอบ คือรอบต้นเดือน กับรอบกลางเดือน เหตุที่ทำอย่างนั้น เผื่อว่าใครอยากซื้อหวย จะได้มีเงินไปซื้อ..! แต่อย่าให้เจ้าอาวาสรู้ ถ้าเจ้าอาวาสรู้ มีสิทธิ์โดนทันที..!

วันนี้ก็เลยเหลือแค่สวดมนต์เย็น คราวนี้เราต้องเข้าใจว่าการใช้ภาษานั้น เขามีระเบียบแบบแผนอยู่ว่า ถ้าเจริญพระพุทธมนต์ก็คืองานมงคลต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่ง งานขึ้นบ้านใหม่ งานทำบุญต่ออายุ งานถวายสังฆทานอะไร ก็ใช้ว่าเจริญพระพุทธมนต์

แต่ถ้างานที่เกี่ยวข้องด้วยผู้ตาย ไม่ว่าจะเป็นทำบุญ ๗ วัน ๑๕ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน ทำบุญครบรอบปี เขาจะใช้คำว่า สวดพระพุทธมนต์

เถรี 01-05-2022 10:28

ดังนั้น..ถ้าเราได้ยินคนเขาใช้กัน จะได้เข้าใจ ถ้า "เจริญ" ก็แปลว่างานมงคล "สวด" เมื่อไรก็งานอวมงคล จะหาคนรู้ได้สักกี่คนกัน ? พระเณรเรายังใช้ผิดกันออกจะบ่อยไป อะไร ๆ ก็สวดมนต์ไว้ก่อน ก็แปลว่าอะไรก็เกี่ยวข้องกับงานศพไว้ก่อน..!

คราวนี้การที่ไปล้างหน้าศพ เปลี่ยนผ้า แต่งตัว นอกจากต้องมีความชำนาญแล้ว ยังต้องมีความกล้าอีกด้วย เพราะว่าหลายท่านกลัว กลัวทำไม ? ตอนที่โยมพ่อเสียชีวิต กระผม/อาตมภาพที่เคยนอนห้องเดียวกับท่านเพื่อดูแลท่านอยู่ตลอดหกปี ถึงจะเป็นห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ แต่พอคืนนั้นที่ไม่มีพ่ออยู่ด้วย รู้สึกเหมือนกับห้องนั้นกว้างสุดขอบฟ้าเลย..นอนไม่หลับ ท้ายสุดก็เลยคลานเข้าไปในมุ้งที่เขาเก็บศพ เข้าไปนอนอยู่ข้าง ๆ ค่อยหลับได้ แหม..เย็นดีจัง ถึงเวลาพิงถูกตัวศพก็เย็นเจี๊ยบเลย..!

ตอนหลวงปู่มหาอำพันมรณภาพ
กระผม/อาตมภาพก็นอนเฝ้าศพ ปิดไฟนอน ปรากฏว่าสักพักก็จะมีผู้เมตตามาเปิดไฟให้ เพราะว่าเขากลัวผี คนที่นอนอยู่ไม่กลัว แต่ต้องสะดุ้งตื่นทุกทีเพราะแสงไฟแยงตา อยากจะถามเหมือนกันว่า "แล้วจะเปิดหาต้นตระกูลบิดามารดาเอ็งหรืออย่างไร..!?" แต่เห็นว่าเขาหวังดี ก็เลยต้องเก็บคำผรุสวาทเอาไว้ แปลกใจว่ากระผม/อาตมภาพไม่กลัว แต่เขากลับกลัวแทน..!

เถรี 01-05-2022 10:30

กระผม/อาตมภาพมีเพื่อนผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง เป็นพยาบาลทหารอากาศ ยศสุดท้ายก่อนที่จะลาออก น่าจะเป็นนาวาอากาศโท ถ้าเป็นตำรวจก็ประมาณพันตำรวจโท ถ้าเป็นทหารบกก็พันโทหญิง เป็นคนกลัวผีมาก เป็นพยาบาลประสาอะไรวะ..กลัวผี ? เข้าห้องน้ำนี่ปิดประตูไม่ได้ ต้องเปิดไว้เตรียมวิ่งถ้าผีมา

ปรากฏว่าเวลาอยู่กับศพ แม่เจ้าพระคุณก็ประเภทสวมเสื้อผ้า แต่งเนื้อแต่งตัวให้ศพหน้าตาเฉย
กระผม/อาตมภาพถามว่า "แล้วไม่กลัวผีหรือ ?" เขาบอกว่า "ศพไม่ใช่ผี" เออ..แยกออกด้วย สรุปก็คือศพทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าศพไม่ใช่ผี..!

ก็น่าจะคิดแบบเดียวกับกระผม/อาตมภาพ ในเมื่อศพไม่ใช่ผี ก็เลยมีหน้าที่แต่งตัวศพ ล้างหน้า เช็ดตัว โกนหนวดให้ ถ้าหากว่าเพื่อนพระสังฆาธิการมรณภาพเมื่อไร แล้วพระอาจารย์เล็กอยู่ คนอื่นก็สบายใจ ไม่อย่างนั้นต้องปล่อยให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัยมาแต่งตัวให้พระที่มรณภาพแทน

หลวงพ่อนวยท่านก็ประเภทไหน ๆ ก็เปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อน โกนหนวดโกนเคราให้ท่านจนหน้าตาผ่องใสดี ตอนเดินทางกลับท่านก็เลยตามมาด้วย ต้องบอก "โน่นเลยหลวงพ่อ..ศาลาวัดลิ่นถิ่นโน่น เขากำลังจัดงานศพอยู่ ไม่ต้องตามมาทางนี้..!" ท่านอายุ ๖๔ ปี มากกว่า
กระผม/อาตมภาพ ๑ ปี มรณภาพไปแล้ว..!

วันนี้นั่งคุยกัน หลวงพ่อชนะ (พระครูกาญจนชินธรรม) เจ้าอาวาสวัดเสาหงส์ อายุ ๕๙ ปี หลวงพ่อชัยนาม (พระครูสีลกาญจนคุณ) เจ้าอาวาสวัดหินดาด อายุ ๕๘ ปี หลวงพ่อสมจิตร (พระครูสุจิณบุญกาญจน์) เจ้าอาวาสวัดท่ามะเดื่อ อายุ ๖๕ ปี หลวงพ่อสมชาย (พระครูโกศลกาญจนวัฒน์) เจ้าอาวาสวัดเชิงเขา อายุ ๖๗ ปี แล้วนั่งมองหน้ากัน วัดท่าขนุนก็ ๖๓ ปีแล้ว ใครจะเป็นคิวต่อไป ?

เถรี 01-05-2022 10:35

เรื่องของความตาย ถ้าหากว่าเราเห็นเป็นปกติ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แต่ว่าคนที่จะทำใจอย่างนี้ได้มี ๒ อย่างด้วยกัน

อย่างแรกก็คือ เห็นธรรมดา ในเมื่อเห็นธรรมดา ปัญญาถึง ก็ไม่กลัวความตาย

อย่างที่สองก็คือ ข่มเอาไว้ได้ พวกข่มเอาไว้ได้นี่สมาธิต้องดี ประมาณกระผม/อาตมภาพยุคแรก ๆ ที่โดนผีหลอก รู้สึกว่าสันหลังเย็นเจี๊ยบ ขนลุกเกรียว ๆ อยู่ตลอดเวลา ดูใจตัวเองแล้ว "นี่เอ็งกลัวผีนี่หว่า..!?" "เออ..กลัว" เพียงแต่กลัวแต่ไม่หนี ถ้าเขามาก็พร้อมที่จะเจรจาด้วย แต่ก็กลัว ระยะหลังนี่เลิกกลัวไปตอนไหนก็ไม่รู้ ?

เพราะฉะนั้น..ช่วงนี้อย่าเข้าใกล้
กระผม/อาตมภาพ เพราะว่าเป็นผู้เสี่ยงสูง ไปเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อน เช็ดล้างศพที่มรณภาพ ซึ่งเขาเชื่อกันว่ามรณภาพเพราะเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ความจริงคนตายเชื้อโรคก็ตายหมดแล้ว อยู่ไม่ได้หรอก แบบเดียวกับคุณยายประคิณ สายชมจันทร์ สมัยที่คุณยายยังมีชีวิตอยู่ ก็ป่วยออด ๆ แอด ๆ ทั้งวัน คุณยายมีลูก ๕ คน ลูกทั้ง ๕ คนมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้นทั้งนั้น

ที่เห็นต่อหน้าต่อตาก็คือ คุณพาโชค กระผม/อาตมภาพนอนอยู่ ห้าทุ่มกว่าเกือบเที่ยงคืน พี่สาวเขามาเรียก บอกว่า "โชคตากลับแล้ว ดูท่าจะไม่รอด นิมนต์หลวงพ่อไปดูหน่อยค่ะ" ก็เลยเข้าไป ปรากฏว่า "เขา" มารอรับแล้ว ถามผู้ที่มารับว่าเวลาเท่าไร เขาบอกว่าตีสาม ได้..พอทน..ก็เลยนั่งภาวนาเป็นเพื่อนอยู่จนตีสาม พวกที่มารับเขาทำงานตามเวลา ถ้าถึงเวลาแล้วไม่ได้ตัว เขาก็ต้องกลับ อาตมาไม่มีอะไรจะทำ ก็นั่งสัปหงกเป็นเพื่อนคนป่วย จนเลยตีสาม จากที่ป่วยเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ก็หายวันหายคืน ตอนนี้อ้วนปั้กเลย

แต่อย่าทำแบบนี้นะ ถ้าไม่ใช่ประเภทที่มีกรรมเนื่องกันมาจริง ๆ กระผม/อาตมภาพก็ไม่ไปยุ่งด้วยหรอก

เถรี 02-05-2022 21:35

ในชีวิตเคยยุ่งไปแค่ไม่กี่คน คนแรกเป็นเด็กผู้หญิงเรียนชั้นมัธยม ตอนนั้นลงไปแถวบ้านเขาที่สุไหงโกลก พ่อแม่ก็อยากให้รู้ที่รู้ทาง ลูกสาวก็เลยเป็นไกด์พาหลวงพ่อเดินท่อม ๆ ดูโน่น ดูนี่ไปเรื่อย ไปจนถึงน้ำตก เดินอยู่ดี ๆ ลื่นพรวดไปกับน้ำตกเฉยเลย เล่นเอาพระต้องเผ่นพรวดลงไปคว้าขึ้นมา ปรากฏว่ามีไอ้ตัวดีผลักลงน้ำไป..!

ถามว่า "ทำไมวะ ?"
ผีเขาบอกว่า "ยายนี่หมดอายุแล้ว ต้องมาเอาไป"
ถามว่า "อายุเท่าไร ?"
เขาบอกว่า "สิบแปด"
ก็เลยบอกว่า "นี่คือเลขอะไร ?" ก็เขียนเลข ๑ กับ ๐
เขาบอกว่า "สิบ"
แล้วอาตมาก็เขียนเลข ๘ แล้วถามต่อว่า "แล้วนี่คือเลขอะไร ?"
เขาบอก "แปด"
เพราะฉะนั้น.."๑๐ คือสิบ แล้วนี่ (๘) คือแปด (๑๐๘) ยังไม่ถึงอายุเขา อย่าเสือกทะลึ่งมารับ !"

ปรากฏว่าผีโง่ไปหน่อย..ดันเชื่อ จากไปเลย ยายนั่นก็อ้วนท้วนสมบูรณ์ดี อยู่มาจนถึงทุกวันนี้ อยู่ต่อไปเถอะ..หลวงพ่อไม่อยู่ด้วยหรอก..! แต่พวกเราอย่าไปหลอกผีแบบนี้นะ ถ้าจะหลอกผีแบบนี้ต้องมีต้นทุนพอ อันดับแรกก็คือ เราต้องไม่กลัวผี

เถรี 02-05-2022 21:36

เรื่องพวกนี้ถ้าหากจะว่าไปแล้ว เป็นของแถมในการปฏิบัติธรรม ก็คือพอจิตสงบก็เหมือนกับน้ำนิ่ง สามารถสะท้อนเงาทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างลงไปอย่างชัดเจน แต่ถ้าจัดการไม่ดีนี่ซวยมาก เพราะว่าจะติดอยู่แค่นั้นแหละ ไปไหนไม่รอด ยิ่งรู้เห็นชัดเจนเท่าไร ยิ่งโดนหลอกได้ง่ายเท่านั้น

เหมือนที่กระผม/อาตมภาพเคยยกตัวอย่างว่า เห็นเขาไล่ยิง ไล่ฟันกันมา เราก็ลากมีด ลากปืนไปช่วย จะโดนเขากระทืบตาย เพราะว่าเขาถ่ายหนังกันอยู่ เราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมาจริงไหม ?..ก็จริง แล้วเรื่องที่เห็นจริงไหม ?..ไม่จริง

ดังนั้น..ถ้าใครมีประสบการณ์ภาวนาแล้วเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ให้ใช้สติสัมปชัญญะอย่างมาก ๆ เลย สมัยก่อนที่อยู่วัดท่าซุงด้วยกัน พระพี่พระน้องเป็นสิบ ๆ ราย มีเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัยเป็นหัวโจก ถึงเวลาหลังปฏิบัติธรรมรอบหนึ่งทุ่มแล้ว ก็มานั่งฉันน้ำปานะ มาเล่าถวาย วิเคราะห์วิจัยกัน อารมณ์ใจวันนี้เป็นอย่างไร ? เอ็งเห็นอะไรมา ? เอ็งเจออะไรบ้าง? ท้ายที่สุดทุกคนเหลือคาถาเหมือนกันบทเดียวว่า "กูไม่เชื่อ" จำไว้ให้แม่น ๆ เลยนะ "กูไม่เชื่อ" เชื่อเมื่อไร..โดนต้มเมื่อนั้น..!

เถรี 02-05-2022 21:38

สำคัญที่สุดตรงที่เราต้องจัดการให้ถูก การรู้เห็นเป็นของแถมในการปฏิบัติ แต่นิสัยพวกเราก็เหมือนกันนั่นแหละ ซื้อของเพราะอยากได้ของแถม..! ใช่ไหม ? ไม่อย่างนั้นก็เดินผ่านไป..ไม่สนใจหรอก แต่พอบอกว่ามีแถม ขอชะโงกดูหน่อย ของแถมถูกใจ..ซื้อเลย ของชิ้นนั้นไม่ได้ใช้หรอก แต่อยากได้ของแถม..!

การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน การรู้เห็นเป็นของแถมในการปฏิบัติ พวกเราก็มักจะสนใจของแถม จนลืมไปว่าสินค้าหลักคือการตัดกิเลส โดยเฉพาะถ้าการรู้เห็นปรากฏขึ้น ญาณปรากฏขึ้น จัดการไม่ดีนี่ เตลิดเปิดเปิง ฟุ้งซ่าน ออกทะเลมาเยอะแล้ว เพราะว่าทุกเรื่องทุกอย่างที่เรารู้ จะสมเหตุสมผล อธิบายได้ ไม่ว่าจะตามตรรกะ ตามคณิตศาสตร์ หรือตามวิทยาศาสตร์ อธิบายได้หมด

ถ้าหากว่าเราสติน้อย ปัญญาน้อย ก็จะโดนหลอกให้ติดอยู่แค่นั้น เหตุเพราะว่าทำเมื่อไร ก็อยากรู้เห็น

แต่ถ้าหากว่าเป็นคนสติแหลมคม ปัญญาว่องไว ก็อาศัยเรื่องเหล่านี้ช่วยในการปฏิบัติ อย่างเช่นว่าหาครูบาอาจารย์ที่ไม่มีตัวตน หรือไม่ก็หาพรหม หาเทวดาที่มีบุญสัมพันธ์กันมา ท่านจะได้ส่งเคราะห์ หรือไม่ก็โน่นเลย..กราบเรียนถามพระพุทธเจ้าโดยตรง

เถรี 02-05-2022 21:39

แต่ส่วนใหญ่แล้วจัดการไม่ถูก เขารู้เพื่อให้ละ พวกเราส่วนหนึ่งที่เคยฝึกมโนมยิทธิที่วัดท่าซุงมา..รู้แล้วไปยึด คนโน้นเป็นไอ้โน่นกับเรา คนนี้เป็นไอ้นี่กับเรา สนุกสนานกันใหญ่ ชาติเดียวยังไม่เข็ด ยังย้อนหลังไปอีก ชาติโน้นเป็นไอ้นั่น ชาตินี้เป็นไอ้นี่ เขาให้รู้เพื่อให้เข็ด ไม่ใช่รู้แล้วไปฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่ ที่รู้แล้วฟื้นความสัมพันธ์กันใหม่นั่นโง่ชัด ๆ..! ตัวเองยังว่ายอยู่กลางทะเลเลย ดันไปหาคนมาเกาะกันเป็นพรวน มีหวังจมน้ำตายก่อนถึงฝั่ง...!

ตรงจุดนี้เราต้องไม่ลืมเป้าหมายในการปฏิบัติ ว่าเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ เมื่อญาณหรือเครื่องรู้ปรากฏขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างสมเหตุสมผล อธิบายได้หมด แต่ให้สังเกตว่าให้เรารู้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องของการตัดกิเลส ดังนั้น..รู้ตัวเมื่อไร ให้รีบถอยทันที

กระผม/อาตมภาพโดนหลอกมาแล้ว เหมือนกับแผ่นดินค่อย ๆ ลดลงทีละมิลลิเมตร ไม่รู้ตัวหรอกว่าพื้นต่ำลงไปเรื่อย สามปีผ่านไปอยู่ก้นเหวพอดีเลย ยังโชคดีที่เป็นคนรู้ตัวไว ขนาดนั้นยังเจอไปสามปี ปฏิญาณตนเลยว่า "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กูจะไม่เป็นขี้ข้าให้ใครอีกแล้ว มึงไม่ต้องมาถามเลย !"

เถรี 02-05-2022 21:41

เพราะว่าเรื่องของการรู้เห็นนั้นอันตรายมาก สิ่งสำคัญที่ต้องจัดการให้ถูกต้อง ก็คือรู้แล้วพูดได้เท่าไร รู้แล้วบอกได้เท่าไร ถ้าจะบอกว่าสงกรานต์นี้จะมีการสาดกระสุนใส่กัน สาดขีปนาวุธใส่กัน ต้องรู้ด้วยว่าบอกได้แค่นี้ อะไรแบบนั้น ส่วนใครจะสาดใส่ใครปล่อยเขา บางทีรู้เป็นร้อย แต่เขาให้พูดได้แค่หนึ่งหรือสอง อกจะแตกตาย พูดไม่ได้แล้วบอกทำไมวะ ?

เพราะฉะนั้น..อย่าได้รู้เลย รู้แล้วเครียด จัดการไม่ถูก เสียการปฏิบัติอีกต่างหาก ไม่รู้ไม่เห็นปลอดภัยที่สุด คอลเซ็นเตอร์หลอกคนโง่ไม่ได้ หลอกได้แต่คนฉลาด ทุกวันนี้สงสารคอลเซ็นเตอร์มาก มีแต่คนแกล้งแล้วเอาคลิปมาลง หากินก็ลำบากแล้วยังโดนแกล้งอีก บางคนเอาคลิปมาลง ฟังแล้วก็ตลก ตกลงว่าใครกำลังหลอกใครกันแน่..!

ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ขอให้เข้าใจว่าเป็นของแถมการปฏิบัติ เป็นของแถมที่ล่อใจมาก มีได้..แต่ต้องมีสติปัญญาให้เพียงพอ ไม่อย่างนั้นจัดการไม่ถูก ความลำบากในชีวิตก็จะเกิดขึ้น

เถรี 03-05-2022 07:09

สำหรับวันนี้ วันที่ ๑๕ เมษายน ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไปเขาเรียก วันมหาสงกรานต์ พรุ่งนี้ก็เป็นวันสังขารล่อง สังขารคำนี้เป็นภาษาเหนือ ก็คือสงกรานต์นั่นแหละ

คำว่า สังขารล่อง ก็คือเขาเชื่อว่านางสังขาร หรือนางสงกรานต์จะกลับ เพราะฉะนั้น…ก็ต้องมีพิธีส่งกัน พวกเราประกวดนางสงกรานต์ใช่ไหม ? พอข้ามไปฝั่งเวียงจันทน์ เขามีประกวดนางสังขาร ได้ยินแล้วปลงอนิจจัง

บางคนเรียกวันสังขารล่องว่า วันพญาวัน เป็นวันที่ใหญ่กว่าวันทั้งหมด หลายตำราโดยเฉพาะภาคเหนือ ใช้เป็นวันปลุกเสกวัตถุมงคล เขามั่นใจว่าเป็นวันที่ครอบคลุมกำลังวันอื่นได้ทั้งหมด ทำแล้วต้องขลังกว่าใคร

แต่คราวนี้อะไรก็ตาม ถ้าหากว่ายังประกอบด้วยฤกษ์ ด้วยยาม มีข้อห้าม มีข้อยึดถืออยู่ ก็จะทำให้ไม่มั่นคง เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า ถ้าพลาดขึ้นมา เราก็จะเสียกำลังใจ พอใจเสียแล้ว ต่อให้อย่างอื่นดีแค่ไหน ก็เอาไม่อยู่ พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ตรัสว่า

มโนปุพพังคมา ธัมมา..ธรรมทั้งหลายมีใจนำหน้า
มโนเสฏฐา..สูงสุดก็ที่ใจ
มโนมยา..สำเร็จก็ที่ใจ

เถรี 03-05-2022 07:13

ก่อนทำวัตรเย็น วันพฤหัสบดีที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕

บางคนตัวอยู่วัดท่าขนุน แต่ฟุ้งซ่านคิดถึงบ้าน คิดถึงลูกที่อยู่ประเทศอังกฤษ เรื่องพวกนี้เหมือนกับผงเข้าตา คำว่า ผงเข้าตา โบราณความหมายชัดเจนที่สุดก็คือ ตัวเองเขี่ยไม่ถึง เขี่ยไม่ได้ ต้องให้คนอื่นช่วยเขี่ยออกให้

ดังนั้น..บางคนก็ปล่อยผงเข้าตาอยู่ตลอด เมื่อไรจะเลิกเข้าสักที ? เพราะเรารักษาใจไม่เป็น ในเมื่อรักษาใจไม่เป็น ปล่อยให้ผงเข้าตา ถึงเวลาก็เตลิดเปิดเปิงตามเขาไป

สมัยอาตมาเด็ก ๆ ผู้หญิงกับผู้ชายจะมีโอกาสเจอกันก็ตอนงานวัด งานเทศกาลนักขัตฤกษ์ อย่างช่วงสงกรานต์ ก่อนสงกรานต์ประมาณ ๔ - ๕ วัน จะมีการกวนข้าวเหนียวแดง จะมีการกวนกาละแม บ้านใครมีลูกสาววัยออกเรือนก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก เพราะว่าจะมีคนแห่ไปช่วยกันบานตะเกียงเลย

โดยเฉพาะถ้าลูกสาวหน้าตาไปวัดไปวาตอนสาย ๆ ได้ ก็คือแดดจัดขนาดไหนก็ยังดูสวย ไม่ใช่สวยร้อยเมตร..! ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็จะมีหนุ่มไปเป็นแรงงานให้ฟรี ไม่ว่าจะขูดมะพร้าว ตำน้ำพริก โขลกขนมจีน คนช่วยทำกันเพียบเลย

เถรี 03-05-2022 07:20

แต่มาคราวนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไป จากสมัยโน้นที่พ่อแม่ ปู่ย่า ตาทวดช่วยกันดู คนแก่มีประสบการณ์ เรื่องคู่นี่มักจะดูไม่ผิด ยกเว้นบางคู่ที่พ่อแม่ไม่ได้ดู บังคับเอาเลย ที่เขาเรียกว่า คลุมถุงชน ก็คือไม่ได้เห็นหน้าเห็นตากันหรอก ก็จับเอาหัวโขกกันแล้ว เรียกว่าคลุมถุงชน

สมัยนี้พ่อแม่ไม่ต้องยุ่งเพราะถือว่าเป็นเรื่องของตัวเอง ก็เลยทำให้ส่วนใหญ่แล้วเลือกผิด เหตุที่เลือกผิดเพราะวัยรุ่นมักจะใจร้อน ใจเร็ว คุยไลน์กัน ๓ วัน ตกลงโอเคแล้ว สมัยโน้น ๓ ปียังไม่เห็นหน้า เห็นแต่หลังคาบ้าน เข้าบ้านไปเมื่อไร พ่อตาส่องด้วยปืนลูกซอง..!

คนสมัยโน้นก็เลยต้องมีคาถาดีมาก มีวัตถุมงคลขลังมาก เอาไว้จัดการกับพ่อตาแม่ยายเขี้ยวลากดิน ส่วนใหญ่วิชาพวกนี้ก็มักจะเป็นพวกมหาละลวย เมตตามหานิยม

เรื่องนี้ต้องไปถามนายกษม นายกษม (ออกเสียง กะ-สม) หรือ กะ-ษะ-มะ ก็คือเกษมนั่นแหละ แต่คราวนี้เกิดวันจันทร์ เขาบอกว่าถ้ามีสระแล้วเป็นกาลกิณี ก็เลยชื่อกษม นายกษมก็ได้คาถาจากหลวงปู่ไป ไปนั่งท่องอยู่หน้าบ้านสาว "โอม ศรีกูงามคือฟ้า หน้ากูงามคือพระแมน แขนกูงามคือพระอินทร์" พ่อตาเหนี่ยวไกปืน "โป้ง" ทีเดียวคาถาหายหมด วิ่งอ้าว..บอกว่าคาถายาวเกินไป...!

คาถาต้องภาวนาไปจากบ้าน ไม่ใช่ไปถึงหน้าบ้านว่าที่พ่อตาแล้วค่อยไปภาวนา แบบนั้นก็ได้เจอลูกปืนกันพอดี

เถรี 04-05-2022 21:32

แต่ก็ไม่ใช่อย่างอดีตหลวงพี่สมาน (พระสมาน สมานจิตฺโต) วัดท่าซุง ตอนนี้ท่านตายไปแล้ว ที่ใช้คำว่าตาย ไม่ใช้คำว่ามรณภาพ เพราะว่าท่านสึกเสียก่อน สึกแล้วก็ไปแต่งงานมีครอบครัว แต่ปรากฏว่าผู้หญิงหวงมาก กว่าจะได้มานี่ต้องไปเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นกว่าที่พระจะยอมสึก ก็เลยหวงมาก โทรเช็คทุก ๒ - ๓ นาที จนพี่สมานเครียดมาก มะเร็งกินตายไปเลย..! โทรเช็คไม่เช็คเปล่า.."เปิดกล้องเดี๋ยวนี้...! หมุนกล้องรอบ ๆ ซิ อยู่กับใครบ้าง ?" เอาเถอะ..ท้ายสุดคุณก็อยู่คนเดียวนั่นแหละ เพราะว่าผู้ชายเครียดจนมะเร็งรับประทานตายไปแล้ว เรื่องนี้เราจะไม่พูด..แต่เล่าไปเสียครึ่งเรื่องแล้ว..!

พี่สมานสมัยฆราวาสเป็นคนบ้านนอกภาคเหนือของเรา ทำมาหากินตามปกติ บ้านนอกก็จะมีฤดูการตีผึ้ง น้ำผึ้งขายได้ราคา ถ้าหากได้สัก ๕ ขวด ๑๐ ขวด ก็ได้เงินเห็นหน้าเห็นหลังเลย เพราะว่าขวดละ ๒๐๐ - ๓๐๐ บาท ถ้าเป็นผึ้งหลวงรังใหญ่ ๆ ตีทีหนึ่งก็ได้เป็นปีบ ไม่ใช่แค่เป็นขวด ปรากฏว่าคนตีผึ้งโดนผึ้งต่อยบ้าง ตกต้นไม้แขนขาหักบ้าง ท้ายที่สุดก็ไปเจอ "หมอผึ้ง" ก็คือคนที่ตีผึ้งเป็นประจำ แล้วไม่เคยพลาดเลย

ครูหมอบอกว่า "มีคาถาดี" พี่สมานที่เป็นฆราวาสก็ไปประจบ เอาใจ รับใช้อะไรสารพัด จนท่านครูหมอใจอ่อนให้คาถามา เขาเรียกว่า คาถาหัวใจหมี คือเราก็รู้ว่าหมีชอบกินผึ้ง เวลาหมีกินผึ้ง หมีจะระวังแค่ตาอย่างเดียว ถึงเวลาหมีก็หลับตา ส่วนอื่นของหมีนั้นขนหนาและหนังหนา ผึ้งต่อยก็ไม่รู้สึกหรอก จนกระทั่งเขาสอนต่อ ๆ กันมาว่า "ถ้าเห็นหมีกำลังกินผึ้ง ให้ไปสะกิดหลัง หมีคิดว่าเป็นพวกเดียวกันก็จะส่งรังผึ้งมาให้" คนเขาเล่าได้หน้าตายมากเลยนะ คือเล่าแบบน่าเชื่อถือ

แต่กระผม/อาตมภาพตรองดูแล้วว่าผึ้งหลวงรังใหญ่ ๆ เวลาหมีไปล้วงรัง ผึ้งก็แตกฮือออกมา ไม่ต้องสะกิดหมีหรอก โดนผึ้งรุมต่อยตั้งแต่เข้าไปใกล้แล้ว..! พี่สมานพอได้คาถามาก็ชวนเพื่อนไปตีผึ้ง ปรากฏว่าเพื่อนโดนผึ้งต่อยบวมไปทั้งตัวเลย..!

เถรี 04-05-2022 21:53

โบราณเขาต้องเอาไปย่างไฟ ก็คือก่อไฟจนได้ถ่านแดง ๆ มา แล้วก็เกลี่ยเป็นรางยาว ๆ เอาคนเจ็บเพราะผึ้งต่อยขึ้นไปผิงไฟ เพราะว่าความร้อนจะทำลายฤทธิ์พิษผึ้งได้เร็ว อาจจะเป็นเพราะว่าให้กินน้ำร้อนแล้วเหงื่อออกมากด้วย ก็เลยขับพิษออกมาทางผิวหนังได้

ครูบาอาจารย์ก็สงสัยมาก "ก็มึงได้คาถาไปแล้วนี่ แล้วไม่ได้ท่องหรือ ?" พี่สมานยืนยันว่า "ท่องครับ ผมท่องตลอดเลย" ครูก็สงสัย "อ้าว ..แล้วทำไมเพื่อนมึงโดนผึ้งต่อย ?" พี่สมานตอบว่า "ก็มันเป็นคนปีนขึ้นไปครับ ผมท่องคาถาอยู่ที่โคนต้น..!" โคตรฉลาดเลย..! มีเพื่อนแบบนี้ระวังตายฟรี ท่องคาถาหัวใจหมีอยู่ที่โคนต้น ให้เพื่อนปีนขึ้นไปตีผึ้ง...!

แต่ความจริงแล้วถ้าหากว่าเพื่อนเขามั่นใจจริง ๆ ก็กันได้นะ เพราะว่าเรื่องพวกนี้สำคัญอยู่ที่ใจเท่านั้น

นึกไปถึงตอนที่กระผม/อาตมภาพอยู่ที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ ก็มีพระอาจารย์สมพงษ์ เขมจิตฺโต อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนรูปก่อนอาตมานี่แหละ แล้วก็ทิดจิตร (จิตติพัฒน์ เอี่ยมโอด) ดร.พระครูปลัดปรีชา จิรนาโค ตอนนั้นยังเป็นพระใหม่ แล้วใครอีกจำไม่ได้รวมเป็น ๓ - ๔ คน เข้าไปขอฝึกวิชา

กระผม/อาตมภาพก็ "ได้สิ..อยากฝึกวิชา กำลังใจต้องมั่นคง ต้องเป็นคนกล้าหาญ ไม่กลัวอะไร" โน่น..ไปปีนน้ำตกผาสวรรค์ น้ำตกแต่ละชั้นสูง ๗๐ - ๘๐ เมตร แล้วน้ำเทสวนลงมาอย่างกับฟ้าถล่ม ถ้าใจไม่ถึงจริงไม่กล้าปีนหรอก ตกลงมาตายเสียเปล่า ๆ

เถรี 04-05-2022 22:12

เพราะการที่อาตมาพาพระไปฝึกแบบนั้น ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่หลายสิบรอบ จนกระทั่งชาวบ้านเขารู้กัน ท้ายสุดมีคนตกลงไปตายจริง ๆ เพราะว่าเขาไปล่าสัตว์ ล่าเสร็จแล้ว ถ้าหากว่าเดินอ้อมออกมาทางเหมืองสองท่อ เป็นระยะทาง ๓๐ กว่ากิโลเมตร แต่ถ้าปีนน้ำตกลงมา แค่ ๑๓ กิโลเมตรก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว

พรรคพวกเขาก็ชวนกัน "เฮ้ย...ลงตรงหน้าน้ำตกนี่แหละ หลวงพ่อที่ต้นน้ำท่านขึ้นลงออกจะบ่อยไป" เขาลืมไปว่านั่นน่ะใคร ปรากฏว่าพลาด..ตกลงไปตายอยู่ตรงตีนน้ำตกนั่นแหละ คางหลุดหายไปเลย ไม่รู้ว่าไปโดนอะไร หลังยังสะพายตะกวดอยู่ ๒ ตัว ที่ตัวเองยิงได้นั่นแหละ

คราวนี้การที่เราไปปีนแค่นั้น ก็ยังทดสอบไม่ได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า ด้วยความมั่นใจในตัวผู้นำ ก็ทำให้เขากล้าไปตามไป เอาใหม่..คนงานมาส่งข่าวว่ามีต่อหลุมอยู่ตรงนั้น เอ้า..ไปฝึกกัน พวกเราก็ถามที่ถามทาง จนมั่นใจว่าอยู่ตรงไหน

๓ - ๔ คนนี้ก็ไปนั่งหัวโด่อยู่ตรงปากหลุม ภาวนาสักพักเดียว ต่อยามมาเห็นเข้า เท่านั้นแหละ..มุดหายเข้ารูไปบอกพวก อีกเดี๋ยวออกมา ๗ - ๘ ตัว บินว่อนเลย ใครมีคาถาอะไรดีก็ภาวนาไปเถิด ตอนนั้นปรากฏว่าต่อฉลาดมาก เพราะว่าอยู่ ๆ ไอ้ตอไม้ ๓ - ๔ ตอ มาโผล่อยู่หน้าปากประตูบ้านนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าทุกวันไม่เคยมี

ต่อก็ใช้วิธีบินเข้ามาดูใกล้ ๆ ถึงจะบินเข้ามาดูใกล้ ๆ แต่พวกเราเข้าสมาธิอย่างดีไม่กลัวหรอก ต่อก็ใช้วิธีใหม่ บินเฉี่ยวหัว วืด...วืด แรก ๆ ก็พอไหว พอเฉี่ยวเข้าสัก ๓ - ๔ ครั้ง พระอาจารย์สมพงษ์ก็พลาด เอียงหัวหลบ..เท่านั้นแหละ ๗ - ๘ ตัวกรูใส่เลย ทิดจิตรที่อยู่ใกล้ ๆ "กูไปก่อนละโว้ย..!"...วิ่งอ้าวเลย

เถรี 04-05-2022 22:15

คราวนี้ทำอย่างไรล่ะ ? เหลืออาตมาคนเดียว ต่อก็ใช้วิธีเดิม บินเฉี่ยวหัว วันนี้ที่เห็นหัวเหม่งอย่างนี้ ถ้าหากว่าไปโดนต่อยเข้าก็เต็ม ๆ เลย แต่ด้วยความที่ฝึกเอาไว้เยอะ ทำให้ก็ไม่กลัว...นิ่งพอ เจ้าต่อก็ยังไม่ยุ่งด้วย ได้แต่บินเฉียดไปเฉี่ยวมา กระผม/อาตมภาพก็รอ รอจนกระทั่งมีลมพัดต้นไม้โยก ก็โยกตามต้นไม้ออกมาหน่อยหนึ่ง ลมพัดต้นไม้โยก ก็โยกตามต้นไม้ออกมาอีกหน่อยหนึ่ง ใช้วิธีแบบนี้เป็นชั่วโมง กว่าที่จะห่างจากปากหลุมต่อออกมาสัก ๓ - ๔ เมตร แล้วก็ลุกเดินหล่อ ๆ กลับมา ปรากฏว่าทางด้านนี้อาจารย์สมพงษ์หัวบวมฉึ่ง..! บอกว่ากินยาแก้ปวดไป ๒ เม็ดแล้ว ยังเอาไม่อยู่เลย นอนครางโอย ๆ ทั้งคืน..!

หลังจากนั้นก็ยังมีรุ่นน้องไปจากวัดท่าซุงอีก เพราะว่าหลวงพ่อเจ้าคุณอนันต์ ตอนนั้นยังเป็นพระครูปลัดอยู่ ประกาศบอกรุ่นน้องว่า "ใครอยากธุดงค์ในป่า แบบมีเสือมีช้าง ให้ไปหาท่านเล็กนะ" เจริญแล้วพ่อ...! มากันบานเลย เอ้า..ธุดงค์ก็ธุดงค์วะ ก็เลยถามรุ่นน้องว่า "เข้าป่าจะกินหรือไม่กิน ?" รุ่นน้องท่านบอกว่า "ตามใจหลวงพี่ครับ" "ถ้าตามใจผมก็ไม่ต้องกิน เอาไปแต่กระติกน้ำอย่างเดียว" ก็ไปกัน

วันที่ ๑ ก็ได้ยินเสียงท้องรุ่นน้องร้องจ๊อก..! วันที่ ๒ ก็หลายจ๊อก พอวันที่ ๓ รุ่นน้องบอกว่า "ไม่ไหวแล้วครับหลวงพี่..กลับกันเถอะ" อาตมาก็ "อ้าว...ก็ไหนมึงบอกว่าจะไปทีอย่างน้อยต้องครึ่งเดือน นี่เพิ่งจะวันที่สามเอง" รุ่นน้องบอกว่า "หิวไส้จะขาดอยู่แล้วครับ..!" ท้ายสุดก็เลยต้องพาเดินย้อนออกจากป่ามา

เถรี 04-05-2022 22:20

ปรากฏว่าท่านแรกก็คือท่านเป็ด ท่านเป็ดเดินออกมาเหลืออีก ๑๒ กิโลเมตรจะถึงถนนใหญ่ ท่านเป็ดบอกว่า "ผมไม่ไปแล้วครับ ผมอยู่ตรงนี้แหละ ผมยอมตายแล้ว" คือเดินไม่ไหว อาตมาก็เลยช่วยเอาบริขารธุดงค์ของท่านแบกออกมา เหลืออีกประมาณ ๓ กิโลเมตรจะถึงถนน ท่านสหชาติบอกว่า "ผมหมดสภาพแล้วครับ" เป็นลม..! อาตมาก็เลยต้องแบกบริขารธุดงค์ของท่านอีกชุด สรุปแล้วตัวเองเอาไปแต่กระติกน้ำใบเดียว แต่ขาออกมามีบริขารธุดงค์ชุดใหญ่มาด้วยอีก ๒ ชุด..!

เดินออกมาจนถึงถนนใหญ่ เจอญาติโยมที่รู้จักขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมาพอดี ก็เลยบอกให้ช่วยขึ้นไป "เก็บ" พระมาหน่อย รายหนึ่งอยู่ใกล้แค่ประมาณ ๓ กิโลเมตรตรงหัวเนินนั่น ส่วนอีกราย...โน่น เข้าไปราว ๆ ๑๒ กิโลเมตร อยู่ตรงใกล้ ๆ คอกวัวเก่า ที่ชาวบ้านเอาวัวไปปล่อยเลี้ยงไว้ในป่า พออธิบายที่ทางให้เขาเสร็จก็เดินกลับเกาะพระฤๅษีไปก่อน ปรากฏว่ามอเตอร์ไซค์วิ่งขึ้นไปรับ ๒ เที่ยว พอเอามาส่งอาตมภาพก็ให้ค่ารถไป ๒๐๐ บาท สมัยนั้นน้ำมันลิตรละ ๖ บาทเอง ให้ไปตั้ง ๒๐๐ บาท..!

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกคนก็ลือกันหมดเลยว่า "อาจารย์เล็กเอารุ่นน้องไปฝึกธรรมปีติ ให้อยู่โดยไม่ต้องกินอะไรเลย" ก็มึงบอกกูเองว่าตามใจ ตามใจก็อดสิวะ...! อยากฝึกบ้างไหม ? อย่าบอกว่าตามใจหลวงพ่อนะ..โดนแน่...! เรื่องอดข้าว ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน นี่เป็นเรื่องปกติของอาตมา คนอื่นเขาไม่เคยอด เขาจะตายกันหมด..!

เถรี 05-05-2022 19:24

ความจริงก็คือว่า ถ้าหากว่าเราฝึกหัดกำลังใจ สามารถทรงไว้ได้ในระดับปีติ ไม่ต้องถึงฌานนะ แค่ระดับปีติเท่านั้น เพียงแต่ว่าล็อคเอาไว้ให้มั่น ไม่ให้ขึ้น ไม่ให้ลง ก็จะเกิดผลก็คือ ไม่หิว ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่เหนื่อย ไม่อะไรกับใครทั้งนั้น แต่ต้องระวัง...พระพุทธเจ้าท่านให้ไม่เกิน ๑๕ วัน เพราะว่าเวลาร่างกายขาดสารอาหารมาก ๆ บางคนร่างกายไม่ดีอยู่แล้ว ก็อาจจะน็อคไปเลย

แล้วก็อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นปีติโลดโผน อย่างเช่นว่า อุเพ็งคาปีติ ประเภทว่าลอยขึ้นไปทั้งตัว ถ้าล็อคกำลังใจไว้ตรงนั้นได้ ก็จะสำเร็จวิชาตัวเบาแบบเส้าหลิน เพราะว่าปีติตัวนี้จะลอย เราก็พยายามเข้าสมาธิให้ถึงระดับแค่นั้นให้ได้ทุกครั้ง ซ้อมบ่อย ๆ จนคล่องตัว ถึงเวลากระโดดขึ้นหลังคาให้คนอื่นเขาดู เพราะว่าอย่างไรปกติของปีติตัวนี้ก็ลอยขึ้นไปอยู่แล้ว

แต่ให้ระวังหน่อยนะ อย่างสมัยที่กระผม/อาตมภาพฝึกอยู่ที่วัดท่าซุง ตอนนั้นไม่รู้ว่าตัวเองลอยได้ ภาวนาไป ภาวนาไป อะไรวับ ๆ ๆ ๆ อยู่ข้างเอว ลืมตาขึ้นมา..เหวอ พัดลมเพดาน..! พัดลมที่มีก้านยาวลงมาจากเพดานสักหนึ่งเมตร
กระผม/อาตมภาพลอยขึ้นไปจนเกือบตรงกับพัดลม ถ้าตรงกับพัดลม คงโดนฟันหัวขาดไปแล้ว คราวนี้ด้วยความที่ตกใจว่าพัดลมอยู่ข้างเอว สมาธิหลุด..ก็เลยตกลงมาตูม..ตะครุบกบเสียตึกสะเทือน..!

เถรี 05-05-2022 19:32

หลังจากนั้นพอภาวนา ก็ปิดไฟ ปิดพัดลม ปิดทุกอย่าง เอาคัทเอาท์ลงให้รู้เรื่องกันไปเลย เสร็จแล้วก็ลองใหม่ เออ..ลอยจริง ๆ เพียงแต่ว่าพวกนี้ยังไม่ถึงฌานด้วยนะ เป็นแค่ปีติเท่านั้น ไม่มีอะไรแปลกหรอก

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "เฮ้ย..เอาตังค์ใส่กระเป๋าไว้บ้างนะ" ถามว่า "ทำไมครับ ?" ท่านก็บอกว่า "ถ้าลอยออกหน้าต่างไปไกล ๆ แล้วเดินกลับไม่ไหว จะได้จ้างรถเขามา" หลวงพ่อช่างเมตตาเหลือเกิน อุตส่าห์แนะนำให้ ถ้าไม่แนะนำ ดีไม่ดี
กระผม/อาตมภาพก็คงได้เดินกลับเอง

พวกปีติเหล่านี้ ปกติสาวกทั่ว ๆ ไป บางทีไม่เจอเลย ภาวนาปุบปับก็ทรงฌาณไปเลย บางท่านก็เจอตัวเดียว ขนลุกเกรียว ๆ หน่อยหนึ่งก็เลิกแล้ว บางท่านก็น้ำตาไหล อย่างพระครูแสงน้องชายอาตมา ไปน้ำตาไหลตอนอยู่บนรถเมล์ในกรุงเทพฯ ผู้คนพากันมองหน้า "ไอ้นี่มันอกหักรักคุดอะไรวะ ? อยู่ ๆ มายืนน้ำตาไหลบนรถเมล์" อายเขาสิ..!

เถรี 05-05-2022 19:38

ส่วนอาตมาเจอที่บ้านสายลม ไปฝึกมโนมยิทธิ ครูเปี๊ยก สมพร บุณยเกียรติ ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นคณิตพร บอกให้ย้อนไปดูสมัยท่านแม่เรือล่ม ก็เห็นว่าตอนนั้นคลื่นแรงมาก ทำเรือพระประเทียบล่ม สมเด็จพระนางเจ้าฯ ท่านว่ายน้ำแข็ง หนีออกจากเรือมาได้แล้ว พอเหลียวมองไปรอบตัว ไม่เห็นใคร ได้ยินร้องคำเดียวว่า "ลูก..!" ก็คือตกใจว่าลูกไม่ได้ออกมาด้วย พระองค์ท่านก็เลยว่ายน้ำย้อนกลับไปที่เรือใหม่ พอดีคลื่นพัดแรงมา เรือพลิกคว่ำ ครอบพระองค์ท่านหายไปเลย กลายเป็นว่าปกติแล้วก็ไม่เป็นไร แต่ย้อนกลับไปช่วยลูก ก็เลยจมน้ำสรรคตไปเลย

ด้วยความที่เห็นความรักของแม่ ขนาดเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อลูกได้ ก็เลยน้ำตาไหล แล้วก็ไหลพรากไม่หยุด จนกระทั่งเลิกฝึกมโนมยิทธิ ออกมารับใช้หลวงพ่ออยู่ใกล้ ๆ ก็ยังก็ไหลไปเรื่อย เพื่อนพ้องพี่น้องคนโน้นก็ทิชชู่ คนนี้ก็ทิชชู่ เช็ดหน้าจนแสบไปหมดก็ไม่เลิก จะกลั้นให้หยุด ก็หยุดได้นะ แต่พอขยับจะกลั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า "อย่า...ปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ถ้าเอ็งไปกลั้นเอาไว้ เดี๋ยวพอถึงตรงนี้ก็จะเป็นอีก"

เพราะฉะนั้น ถ้าใครเกิดปีติแล้วไปกลัว หรือว่าอาย มักจะผ่านไม่ได้ อารมณ์จะติดอยู่แค่ตรงนั้น แล้วก็ทรงฌาณไม่ได้ พอถึงเวลาภาวนาถึงตรงนั้นเมื่อไรก็เป็นอีก เดี๋ยวก็ขนลุกอยู่นั่นแหละ คนที่น้ำตาไหลก็น้ำตาไหลอยู่นั่นแหละ คนที่ดิ้นตึงตังเป็นผีเจ้าเข้าสิงก็ดิ้นไปเถอะ แต่ถ้าเราไม่กลัว ไม่อาย แล้วปล่อยให้เต็มที่ ครั้งเดียวก็จะเลิกไปเลย ตอนนั้นของกระผม/อาตมภาพก็เกือบจะหกโมงเย็น กว่าจะเลิกก็เช็ดน้ำตาจนหน้าถลอก..!

เถรี 05-05-2022 19:40

ตรงจุดนี้ที่เล่าให้ฟังก็เพราะว่า ปีติเป็นอาการโลดโผน ถ้าหากว่าเป็นสายพุทธภูมิเก่ามา มักจะเจอบ่อย แล้วต่อให้ทรงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ได้แล้ว ถ้าเขาจำเป็นต้องให้เรารู้ว่า ปีติตัวต่อไปนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไร อยู่ ๆ สมาธิก็หายหมด ไปเริ่มต้นตรงนั้นใหม่ น้อยคนที่จะพบปีติทั้ง ๕ ตัว แต่กระผม/อาตมภาพเคยอยากเป็นครูเขามาก่อน ก็เลยเจอครบทุกตัว

ที่เล่าให้ฟังเพราะว่าพวกเราบางคนพอเริ่มโยก กูก็อายเขา ก็ไปห้ามตัวเองไว้ ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่า จริง ๆ แล้วเป็นแต่อาการทางร่างกาย แต่ใจของเรานิ่งมาก เราก็อยู่กับความนิ่ง จะดิ้นตึงตัง โครมคราม หกคะเมนตีลังกา ก็เรื่องของร่างกาย บางคนน้ำตาไหลก็อาย ไปกลั้นเอาไว้ ชาตินี้ก็ไม่ต้องทรงฌานหรอกนะ เพราะว่าถ้าข้ามปีติไม่ได้ ก็เป็นฌานไม่ได้ เมื่อรู้วิธีรับมือแล้ว ก็คือแค่ทำใจสบาย ๆ อยากจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยให้เป็นไปเลย

ตัวโอกกันติกาปีติ โลดโผนหกคะเมนตีลังกานั้น กระผมโดนไปเกือบ ๓ เดือน ดิ้นตึงตังอยู่ทุกวัน จนกระทั่งพี่ ๆ น้อง ๆ เขาแปลกใจ เปิดประตูเข้ามาดู เห็นนั่งกรรมฐานเขย่าโครม ๆ อยู่ก็คิดว่าไอ้นี่ท่าจะบ้า..
แล้วก็ไป ส่วนอาตมาเองก็เรื่องของมึง ก็ปล่อยไปเรื่อย นานขนาดนั้น ขนาดรู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไรก็ยังเกือบ ๓ เดือนกว่าที่จะหาย

เพราะฉะนั้น อย่าอยากเป็น ถ้าอยากเป็น ภาวนาอย่างไรก็ไม่เป็น ให้ทำไม่รู้ไม่ชี้ เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นหรือไม่เป็น จะได้หรือไม่ได้ ก็ช่างมัน ถ้าทำกำลังใจแบบนี้ได้ เราจะทรงสมาธิได้เร็วมาก

เถรี 05-05-2022 19:58

หลังทำวัตรเช้า วันศุกร์ที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕

ในช่วงเช้านี้หลวงพ่อไม่ได้อยู่ด้วย มีภารกิจคณะสงฆ์ ต้องวิ่งลงไปในเมือง ๑๔๐ กิโลเมตร เสร็จแล้วก็ต้องวิ่งกลับมาให้พวกเราสรงน้ำตอนบ่าย แล้วก็วิ่งกลับไปใหม่ เพื่อเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรม ถวายพระเดชพระคุณพระราชรัตนวิมล อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัด

วันนี้ก็จะสะสมไมล์ประมาณเกือบพันกิโลเมตร จำไว้ว่า เกิดมาก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เมื่อทำหน้าที่ของเราเต็มที่แล้ว แหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน จะตายเมื่อไรก็ช่างมัน..!

เถรี 06-05-2022 20:10

ก่อนทำวัตรเย็น วันเสาร์ที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕


เมื่อเช้าปฏิบัติธรรมด้วยความลำบากใจไหม ? (หลวงพ่อติดงาน ไม่ได้นำกรรมฐานตอนเช้ามืดของวันนี้) หลวงพ่อมาไม่ทันจริง ๆ

ก็อย่างที่ได้วิเคราะห์ วิจัย มาให้ฟังแล้ว ก็คือเราต้องปรับแนวคิดและวิธีการปฏิบัติ แต่ก็ลำบากอีก เหตุที่ลำบากเพราะว่าวิสัยของสาวกภูมิ ถ้ามีคนเดินนำจะมีความสุขมาก ตามอย่างเดียวเลย ให้เดินเองนี่ไม่เอาหรอก หาความมั่นใจไม่ได้

มาเห็นตรงนี้ก็ "น้ำตาจิไหล" ก็ในเมื่อไม่ยอมเดินเอง ก็ต้องนำกันต่อไป คราวนี้ถ้าหากว่าเราไปหวังการนำในลักษณะนี้ ต่อให้รอจนครูบาอาจารย์มรณภาพ หรือตายไปจนหมด เราก็ไม่ต้องไปถึงไหนหรอก เพราะว่าเดินเองไม่เป็น

ต้องเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง ลองไปสังเกตดูสิ เด็กฝรั่งพอถึงเวลาพ่อแม่เอาใส่รถเข็นไปด้วย ไม่มีหรอกประเภทที่ว่าจะทะนุถนอม ยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม พอเริ่มเดินเองได้ ก็ให้เดินตามมา ถ้าเดินตามไม่ไหว หรือไม่ยอมเดินตาม ก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ พ่อแม่เดินทิ้งไปเลย แหกปากร้องก็เรื่องของเอ็ง ส่วนบ้านเรานี่โอ๋จนเสียเด็กหมด

ลูกฝรั่งเขาพอเริ่มจับช้อนเล่นได้ เขาส่งจานอาหารให้เลย บางคนนี่ละเลงเต็มหัวเต็มตัวไปหมด..ไม่เป็นไร..เล่นไป หมดมื้ออาหารปุ๊บ จับอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จสรรพเรียบร้อย ไม่ถึงมื้อใหม่ไม่มีให้กิน..! โดนเข้าไปครั้งสองครั้ง เด็กก็เข็ด ถ้าไม่ตักใส่ปากก็จะหิวเอง ส่วนบ้านเรา บางทีสิบกว่าขวบแล้วยังวิ่งไล่ป้อนกันรอบบ้านอยู่เลย

ดังนั้น..เวลาฝรั่งมาปฏิบัติธรรม เราจะเห็นว่าเขาเอาจริงเอาจังมาก กระผม/อาตมภาพไปมาหลายประเทศแล้ว โดยเฉพาะประเทศพระพุทธศาสนา
ทางทิเบต เนปาล ฝรั่งเขาไปฝังตัวปฏิบัติธรรมอยู่เป็นปี ๆ ถามเขาว่า "แล้วเอาเงินเอาทองที่ไหนมาใช้จ่าย ?" เขาเปิดบล็อก (Blog) ของเขาให้ดู บอกว่า "ก็แค่รีวิวการปฏิบัติธรรมนี่แหละ บวกกับโน่นนี่นั่นอีกนิดหน่อย ถึงเวลามีคนเข้าไปดูเยอะ ๆ ก็ได้เงินจาก YouTube แล้ว" หากินง่ายดีนะ..! แต่ที่ที่งก็คือ เขาไปปฏิบัติจริง ๆ ส่วนบ้านเราทำแบบแก้บน ไม่ถึงเวลาก็ไม่มา

เถรี 06-05-2022 20:16

ดังนั้น..เราจะเห็นว่าถ้าเอาไปเปรียบเทียบกัน พวกเราเหมือนกับหนูที่ตกถังข้าวสาร เยอะเสียจนไม่รู้จะกินเมื่อไรดี ? ก็เลยเล่นไปเรื่อยเปื่อย เกาเห็บ เกาเหา ลูบหนวด วิ่งเล่น กินเมื่อไรก็ได้ โดนแมวตะปบปั๊บ..เรียบร้อย ยังไม่ทันจะกินเลย ตายซะแล้ว..!

แต่ต่างประเทศ ไม่ต้องไกลหรอก เอาแค่ต่างจังหวัดเรานี่แหละ ห่าง ๆ หลวงพ่อเล็กหน่อย สองปีไม่ค่อยไปเจอด้วย จะคลั่งตาย เจอหน้าวิ่งเข้าใส่ แทบจะกินลงไปทั้งตัว นั่นก็คือเขาอยู่ในลักษณะของการหิวโหยเลย เมื่อถึงเวลาก็ต้องการมาก ตั้งหน้าตั้งตารับไปปฏิบัติ

ดังนั้น..พวกเราอย่าทำตัวเป็นหนูตกถังข้าวสาร มัวแต่เพลิดเพลินเจริญใจอยู่ เดี๋ยวคนอื่นเอาไปกินหมด หรือไม่ก็ตัวเราโดนแมวลากไปกินเสียก่อน ต้องเตือนตัวเองไว้เสมอ ๆ ว่า ชีวิตนี้เป็นของน้อย จะตายลงไปเมื่อไรก็ไม่แน่

ได้เกิดเป็นมนุษย์แปลว่ามีต้นทุนเพียงพอแล้ว ยิ่งได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ได้ปฏิบัติธรรม แปลว่าต้นทุนเพียงพอที่จะบรรลุมรรคผลแล้ว ในเมื่อต้นทุนพอแล้ว ถ้าหากว่าไม่ทำเพื่อตัวเองก็ถือว่าขาดทุนมาก..!

เถรี 06-05-2022 20:22

ไม่ต้องเอาใครหรอกแค่ยุคสมัยกระผม/อาตมภาพเด็ก ๆ นี่แหละ ไม่รู้จักว่าพระนิพพานหน้าตาเป็นอย่างไร ทำบุญเมื่อไร ผู้ใหญ่ก็ชวนไปกรวดน้ำ "อธิษฐานนะลูก ขอให้เกิดใหม่สวย ๆ ขอให้เกิดมารวย ๆ ขอให้ได้พบพระศรีอาริย์" ก็ไปพระศรีอาริย์กับเขาเกือบ ๒๐ ปี...!

จนกระทั่งอายุ ๑๖ ปี โยมพ่อตาย พี่ชายเอาหนังสือคู่มือปฏิบัติกรรมฐานกับประวัติหลวงพ่อปานมาให้ ๒ เล่ม เพิ่งจะออกใหม่ ๆ สด ๆ ร้อน ๆ เลย ใครมีบ้าง ? ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เล่มหน้าปกสีฟ้า ๆ พัดยศหลวงพ่อปานแดงแปร๊ดเลย ไม่เคยได้เห็นใช่ไหม ? พี่ชายบอกว่า "อ่านซะ..ถ้าทำได้ก็ทำ จะได้ไม่ต้องเสียใจ" ก็คือเห็นว่าอยู่กับพ่อมาหลายปี แล้วอยู่ ๆ พ่อมาตายจากไป

ด้วยความที่สนใจการปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าครูบาอาจารย์แต่ละรูปแต่ละท่านสอนช่างยากเย็นเข็ญใจเหลือเกิน ยิ่งด้วยความที่สนิทสนมกับพระสายวัดป่า ปฏิบัติตามแบบสายวัดป่ามาก่อน ถึงเวลาครูบาอาจารย์ก็บอกว่า "เอ้า...ไปทำเอา ไปภาวนาเอา ติดขัดตรงไหนค่อยมาถาม"

แล้วทำอย่างไร ภาวนาอย่างไร ? บอกบ้างไหม ? ไปงมเอาเองก็แล้วกันนะ วันไหนมีโอกาสได้เข้าใกล้ ก็ไปเรียนถวาย ท่านก็บอก "เฮ้ย...ไม่ได้ ต้องมาทางนี้ ไอ้ด้านโน้นผิดไปแล้ว" กว่าจะบอกได้ เดินหลงเตลิดเปิดเปิงไปกี่กิโลเมตรแล้วก็ไม่รู้..?!

เถรี 06-05-2022 20:26

พอมาอ่านคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐานของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง โอ้โห..ท่านเขียนง่ายมาก ก็เหมือนกับคนหิวสิ ก่อนหน้านี้ โน่น..ผักหญ้าอยู่ที่ไหน เนื้อปลาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ? บอกให้ไปหาเอาเอง อยู่ในป่านั่นแหละ ก็ต้องไปตามเก็บ ตามหา ตามล่ากันเอาเอง แล้วจะได้กินหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่นี่ของหลวงพ่อท่านมีทุกอย่างวางอยู่บนเขียง เครื่องปรุงพร้อม วิธีทำอย่างไรก็บอกเอาไว้หมด ถ้าไม่รู้จักทำกิน ก็ปล่อยให้อดตายห่..ไปเลย..!

ในเมื่อคนอด คนอยาก คนหิวมาเจอเข้าก็ตะกายเต็มที่ อายุ ๑๖ ปี เริ่มปฏิบัติแบบที่ใคร ๆ เขาว่าบ้า ก็คือทำกันแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น กลางคืนกลางวันอะไรไม่มี พร้อมเมื่อไร ปฏิบัติเมื่อนั้น แล้วไปเจอครูดีเข้าอีก เป็นครูคณิตศาสตร์สอนชั้นมัธยม

สมัยอาตมาเรียนมัธยม ๑, ๒, ๓ นี่คณิตศาสตร์ยากมาก มีใครเจอมาบ้าง ? แก้สมการกันที ๑๖ ชั้น เขียนไปเถอะ ๑๐ กว่าหน้า ผิดทีผิดหมดทุกหน้าเลย เขาเรียกไซคลิกออเดอร์ (cyclic order) a + b + c = x ยกกำลังเข้าไป ถ้ากลัวไม่ยุ่งยากพอ ก็ใส่รูทเข้าไปอีก ถอดสมการ ๑๐ กว่าชั้น หน้ามืดตาลายดี ครูก็ถามว่า "นักเรียน..ใครอยากรู้โดยไม่ต้องเรียนบ้าง ?" ยกมือทุกคนแหละ แล้วครูก็เปลี่ยนจากคณิตศาสตร์มาสอนกรรมฐานเฉยเลย..! เดี๋ยวมีเวลาจะเล่าต่อ ถ้าไม่มีเวลาก็ถือว่าจบกันแค่นี้ ตอนนี้ทำวัตรเย็นกันก่อน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:28


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว