กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2023)

เถรี 02-08-2010 15:15

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓
 
ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วจะมีอาการประหลาด ๆ อย่างตอนเลื่อนฌานขึ้นไป จะคล้าย ๆ กับว่าเราเผลอ แล้วก็จะมีภาพแปลก ๆ บางทีก็เป็นภาพสะพาน บางทีก็เป็นภาพคนกำลังสู้กับสัตว์ประหลาด แต่ถ้าเราไม่สนใจมองภาพแล้วก็ภาวนาไป ก็จะล่วงข้ามไปฌานต่อไปได้ค่ะ แต่ถ้าเราไปรู้สึกว่ากำลังฟุ้งซ่านแล้ว มีการตกใจ แล้วดึงกลับมาที่ลมหายใจ ก็จะคาอยู่ที่เดิม จะไม่ไปต่อค่ะ
ตอบ : นั่นเท่ากับถอยหลังเสียด้วยซ้ำ

ถาม : แล้วภาพนั้นคืออะไรหรือคะ จะว่าฟุ้งซ่านก็ไม่ใช่ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก นั่นเป็นนิมิต ถ้าเราไปให้ความสนใจมารเขาก็ขวางเราได้สำเร็จ ถ้าเราไม่ให้ความสนใจ มารเขาขวางไม่ได้ เราก็ไปต่อ ถือเป็นเรื่องปกติ

ถาม : หนูก็นึกว่าเป็นการฟุ้งซ่าน ยังสงสัยว่าทำไมข้ามไปได้ ก็เลยไม่เข้าใจค่ะ
ตอบ : ซ้อมการทรงฌานให้คล่องกว่านี้ ประเภทว่าจะข้ามชั้นจะลดชั้นเมื่อไร ต้องให้ได้อย่างใจเรานึกเลย แล้วช่องว่างระหว่างนั้นไม่มี ภาพจะปรากฏไม่ทัน แต่ถ้าหากว่าเรายังเข้าฌานออกฌานช้าอยู่ ยังต้องรอระยะเวลาอยู่ ภาพพวกนี้ก็จะแทรกได้

ถาม : ทำอย่างไรถึงพวกนี้จะไม่เกิดขึ้น ?
ตอบ : ซ้อมใหม่ เข้าฌานออกฌาน ขึ้น ๆ ลง ๆ...ลง ๆ ขึ้น ๆ เอาให้คล่องชนิดนึกเมื่อไรต้องได้เมื่อนั้น

เถรี 02-08-2010 15:25

ถาม : ปกติถ้าออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ต้องเป็นฌาน ๔ เท่านั้นหรือเปล่าคะ เป็นฌาน ๓ ปลาย ๆ ได้หรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นฌาน ๔ อย่างเดียว แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนเราจะเข้าใจผิด การฝึกมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลัง ถ้าไปได้ก็เป็นฌาน ๔ ส่วนครึ่งกำลังที่ว่าเป็นแค่ตอนที่เป็นอุปจารสมาธิ แล้วทิพจักขุญาณเกิดขึ้นเท่านั้น

ถ้าหากว่าเราเห็นภาพก็เป็นอุปจารสมาธิ แต่ถ้าเรากำหนดจิตไปถึงตรงนั้นได้ นั่นเป็นกำลังของฌาน ๔ แล้ว แต่ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ได้บอก เพราะกลัวว่าลูกศิษย์จะไปฟุ้งซ่านอยู่ตรงนั้น

เพราะฉะนั้นเราจะสังเกตได้ว่า คนที่ฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังแล้ว ถ้าไปฝึกเต็มกำลัง มักจะไม่ค่อยได้อะไรกับใคร คำว่าไม่ค่อยได้อะไรกับใครก็คือว่า แยกแยะความแตกต่างไม่ออก

ความแตกต่างจะอยู่ตรงที่ว่า พอไปฝึกเต็มกำลังความคล่องตัวมีมากขึ้นนิดหน่อย ความชัดเจนมีมากขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น เพราะว่าการไปครึ่งกำลังก็คือฌาน ๔ เหมือนกันจนชินแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องต่อรองให้เป็นฌาน ๓ หรอกจ้ะ เพราะที่จริงก็เป็นฌาน ๔ นั่นแหละ


ถาม : แต่ว่าพอตัวเองถึงจุดนั้น ก็จะเด้งออกไปทุกทีเลยค่ะ
ตอบ : ก็ไปสิ ใครเขาห้ามเล่า ?

ถาม : เห็นบอกว่าจะมีการทรงสมาธิสูงสุด แล้วเลื่อนออกมาพิจารณา
ตอบ : อันนั้นเสียเวลา ไม่ทันกิน ไม่ทันพิจารณาเขาก็ออกไปกันแล้ว

ถาม : หนูก็ถอยออกมาพิจารณาไม่ได้นะสิคะ เพราะเด้งออกไปแล้ว
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้อง เราก็พิจารณาตอนเด้งออกไปแล้วว่า ร่างกายไม่ใช่ของเราจริง ๆ เป็นคนละตัวกันเลย

เถรี 02-08-2010 15:33

ถาม : เวลาที่ออกไปส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าสติจะน้อยลง มักจะทรงอยู่ได้ไม่นาน แสดงว่าสมาธิน้อยไปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช้วิธีที่อาตมาเคยทำ ไปสวดมนต์ถวายพระท่านเยอะ ๆ ให้ใจเราผูกอยู่บนพระนิพพานตรงนั้นว่า ถ้าสวดยังไม่จบเราจะไม่เลิก พอมีงานก็จะอยู่ตรงนั้นไปได้เรื่อย ๆ

ความจริงกำลังจิตของเรายังหยาบอยู่ ไม่ใช่กำลังของพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง จึงยังไม่ชินกับพระนิพพานหรือระดับภพภูมิสูง ๆ เพราะฉะนั้นเวลาเราไปก็เหมือนกับไม่เคยชิน เหมือนจะโดนยันกลับอยู่ตลอดเวลา ต้องใช้กำลังไปต้านอยู่

คราวนี้ถ้าจิตมีงาน..ก็จะอยู่ได้ ถ้าไม่มีงาน..ไม่ทันรู้ตัวเราก็ลงมาแล้ว ใครที่ไปแล้วกลัวกลับไม่ได้ ขอประกันว่ากลับทุกรายแหละ เลิกกลัวได้แล้ว ประเภทกลัวว่าไปแล้วกลับไม่ได้ เพราะไม่ทันคิดจะกลับเราก็ลงมาเองแล้ว..!


ถาม : เวลาไปปกติหนูจะจับภาพพระ แล้วก็ไป แต่ทีนี้หนูจะไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนกันแน่
ตอบ : ให้รู้ว่าตรงหน้าเรามีพระก็ใช้ได้ ไม่ต้องไปสนใจว่าตรงไหน ตีขลุมไปเลยว่าพระท่านอยู่นิพพาน

ถาม : คนที่เขาอยู่โคตรภูญาณนี่เขาถอยได้ไหมคะ ?
ตอบ : โคตรภูญาณจะไม่มีการถอยแล้วจ้ะ ถ้าไม่คาอยู่กับที่ก็บุกขึ้นหน้าอย่างเดียว

กำลังใจที่รักในนิพพานจะไม่ถอยแล้ว รู้จักของดีที่สุดแล้วเรื่องอะไรจะถอยไปเอากรวดเอาทราย เขาก็มุ่งไปหาโคตรเพชรกันทั้งนั้น

ถาม : แล้วถ้าบังเอิญตายก่อนก็ไม่มีสิทธิ์ลงนรกแล้วหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่มีสิทธิ์ เผลอคิดก็ไปเหมือนกัน เรื่องของนรกนี่ประมาทไม่ได้ เราชำนาญมาเยอะ ทางนรกนี่ถางเตียนโล่งสำหรับเราเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าประมาทจะลงเอาง่าย ๆ

เถรี 02-08-2010 15:36

ถาม : เปลี่ยนรถใหม่ค่ะ เพราะคันเก่าซ่อมไม่ไหว ขายแล้วซื้อคันใหม่
ตอบ : ขายเป็นเศษเหล็กไปเถอะ เพราะถ้าอยู่กับเราก็ต้องเสียค่าต่อทะเบียน

อย่าไปยึดติดผูกพันอะไรมากมาย ถ้าขนาดของใช้ยังยึดติดผูกพันอยู่ อย่างอื่นก็จะไปไม่รอด ถือว่าเอาของใหม่มา ของเก่าก็หมุนเวียน เข้าสู่กลไกของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะถ้าหมดสภาพแล้วก็อนัตตาแน่ ๆ

เถรี 02-08-2010 16:11

ถาม : ถ้าจะให้มาอยู่กับสติเฉพาะหน้า หนูรู้สึกว่ายากมาก เพราะว่าบางครั้งจะต้องใช้กำลังสมาธิสูงสำหรับข่มไว้ เรารู้ว่าท้ายที่สุดแล้วไม่ว่ากรรมฐานกองไหน หรือวิปัสสนาญาณอย่างไร ก็ต้องมาลงตรงนี้ คืออารมณ์เฉพาะหน้าจริง ๆ

พอรู้ว่าอะไรจะเข้ามา ก็จะเป็นการตัดไปเลย ตัด..ตัด..ตัด ยิ่งนานเข้า สังเกตว่ายิ่งตัดบ่อย ๆ ก็จะตัดเร็วขึ้น ท้ายสุดแล้วก็จะไปหยุดกิเลสตรงนั้น จะไปดับกิเลสตรงนั้น หยุดการปรุงแต่งของกิเลส
ตอบ : ถูกต้องตรงเป๊ะเลย ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ

ถาม : แต่ก็ยากเพราะจิตมีการดิ้นรน มีการส่าย
ตอบ : พอเผลอก็หลุดจากตรงนั้นไปด้วย

ถาม : ใช่ค่ะ เรารู้ว่าท้ายสุดแล้วการปฏิบัติจะต้องไปลงตรงนี้ พอเรารู้จิตก็ยิ่งดิ้นไปใหญ่
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าตอนไหนที่กำลังของเราดีกว่าก็ไปจ่ออยู่ตรงนั้น ทำแต้มของเราไปเรื่อย ถ้าตอนไหนความฟุ้งซ่านมีกำลังกว่า ดิ้นไปทางอื่นได้ ก็ปล่อยไป

อย่างน้อยเราชนะสัก ๕ : ๔ ก็ยังดี เพราะอย่างไรเราก็ชนะ ดูอย่างสเปนชนะ ๑ :๐ มาเกือบทุกนัด เขาก็ยังได้แชมป์ จะเห็นว่าสเปนไม่ได้เอาแต้มเยอะเลย


ถาม : เรารู้กระทั่งว่า ถ้าเราจะคิดต่อหรือฟุ้งซ่านต่อไป ผลจะไปเกิดเป็นอะไร และรู้ว่าการคิดนั้นเกิดจากอะไร จะรู้เหตุรู้ผลไปเลย แล้วก็จะตัดไปเลย
ตอบ : นั่นแหละคือสิ่งที่ต้องการ เพราะว่าทันทีที่เราคิด เราจะรู้ว่าคิดด้านนี้ดีอย่างไร แล้วคิดด้านนี้เป็นโทษอย่างไร เห็นโทษแล้วเราก็จะสละส่วนที่เป็นโทษ แล้วเก็บแต่ในส่วนที่เป็นประโยชน์เท่านั้น อาตมาว่าพูดเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้วนี่หว่า นี่เราเพิ่งจะคลำเจอ..!

ถาม : หนูเห็นว่าบางครั้งเวลามองโลก ก็จะพลิกมุมไปเลย บางคนมองเห็นว่าสิ่งนี้เป็นโทษไร้สาระ แต่เราสามารถหยิบสิ่งนั้นเอามาเป็นสิ่งที่เป็นสาระ หรือเป็นประโยชน์ได้ หรือสิ่งที่คนอื่นเห็นเป็นสาระ....
ตอบ : เราก็เห็นโทษของสิ่งนั้นได้

ถาม : ใช่ค่ะ เหมือนกับคนที่หยิบสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเรียกว่าเป็นสิ่งสมมติมาพลิกให้เป็นอะไรก็ได้ แล้วแต่ที่เราต้องการ
ตอบ : เอ้า..สาธุ..!

ถาม : แต่ก็คิดได้พักเดียว
ตอบ : เอาน่า..อย่างน้อยก็มองเห็นแล้ว อย่างน้อยอาตมาก็จะได้รู้ว่าที่ทำมาไม่เสียเปล่า มีคนเห็นบ้างแล้ว

ถาม : บางครั้งหนูก็เห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเรา แม้กระทั่งจิตของตัวเอง หนูก็ยังเห็นละเอียดว่าไม่ใช่เรา แต่หนูก็เห็นอย่างนั้นแค่อาทิตย์เดียว
ตอบ : ได้ตั้งเยอะ ใหม่ ๆ อาตมาเห็นได้แค่แวบเดียว

ถาม : แล้วพอกำลังสมาธิเราลดลง ปัญญาเราก็ลดลงตาม
ตอบ : อย่างที่อาตมาบอกว่า คำตอบเกือบทุกอย่างอยู่ที่สมาธิ ปัญญาเป็นแค่ส่วนต่อท้ายเท่านั้น ถ้าคุณไม่แข็งแรงพอ คุณไม่สามารถจะหยิบอาวุธขึ้นมาได้หรอก แล้วก็ใช้การอะไรไม่ได้ รีบไปบรรเลงต่อ อย่างนี้ค่อยชื่นใจหน่อย

ย้อนกลับไปดูหนังสือกระโถนฯ เล่มเก่า ๆ ที่อาตมาพูดน่าจะเจอนะ บางเรื่องพูดมานานแล้ว เพียงแต่ว่าพูดไป ๆ เหมือนกับตักน้ำรดหัวตอ ถึงได้บอกว่า ไม่ได้ต้องการอะไรหรอก หัวตอไม่งอก ให้แค่เปียก ๆ ก็ยังดี นี่เห็นใบงอกขึ้นมาใบหนึ่งแล้ว ค่อยชื่นใจหน่อย

เถรี 02-08-2010 17:38

ถาม : อ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ค่อยเข้าใจค่ะ หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า พระสกิทาคามีท่านพิจารณาก็เข้าถึงฌานสี่ เคยได้ยินแต่ว่าต้องทรงอนาคามี ถึงจะ..
ตอบ : สกิทาคามีตอนปลายกำลังสมาธิเท่ากับอนาคามีตอนต้นแล้ว อนาคามีต้องได้ฌานสี่เท่านั้น จะเป็นฌานสี่ที่เกิดจากการพิจารณาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นฌานสี่ที่เกิดจากนั่งสมาธิอย่างเดียว

ถาม : แล้วกำลังเท่ากันหรือเปล่า ?
ตอบ : กำลังจะสูงกว่าโสดาบัน เพราะว่าในเรื่องของราคะกับโทสะ ถ้ากำลังไม่ถึงฌานสี่เราเอาไม่อยู่ ประเภทที่เราจะต้องรั้งม้าริมหน้าผาให้หยุดก่อน แล้วหลังจากนั้นเราก็ค่อย ๆ จับ ปรับเปลี่ยนทิศทางให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น..กำลังต้องได้ระดับฌานสี่ ไม่อย่างนั้นเอาไม่อยู่ เพราะกิเลสสองตัวนี้แสบสุด ๆ

ถาม : แล้วสกิทาคามีที่ท่านบอกว่า จำเป็นต้องใช้ฌานสี่ในการใช้ปัญญาพิจารณา แล้วมีเป็นหยาบ มีละเอียดด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเป็นระดับเดียวกัน พูดง่าย ๆ ว่า ก็คือพระโสดาบันนั่นแหละ พระโสดาบันที่ทรงฌานสี่ได้ก็จะเป็นเอกพีชี เป็นสกิทาคามี หรือเป็นอนาคามีตอนต้น

ถาม : แต่ยังไม่เข้าโคตรภูหรือคะ ? เพราะว่าถ้าเป็นอนาคามีตอนต้น แต่ก็ยังละไม่ได้
ตอบ : นั่นเป็นส่วนของสกิทาคามีผล แต่ว่าจะอยู่ในส่วนของอนาคามีมรรคก็ได้ อนาคามีมรรคก็อยู่ระหว่างโคตรภูกับในส่วนของอนาคามีผล พูดง่าย ๆ ว่า พยายามทำฌานสี่ให้ได้ แล้วอะไร ๆ จะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย

อาตมาตอนแรกก็ตั้งใจเอาแค่ปฐมฌาน หลังจากที่รบกับกิเลสมาหลายปี จนกระทั่งรู้สึกว่า ชีวิตนี้ได้แค่พระโสดาบันก็โคตรเท่แล้ว..คุ้มจริง ๆ นะ ลำบากแค่ไหนก็ตาม ถ้าเราปิดอบายภูมิได้ ก็สบายแล้ว แรก ๆ เราก็หวังแค่นี้ แต่คนได้คืบก็มักจะเอาศอก พอได้แล้วก็รุกคืบหน้าต่อไป


ถาม : ถ้าทรงฌานสี่โดยการใช้ปัญญาพิจารณามาก่อน แล้วค่อยไปเสริมในกรรมฐาน ?
ตอบ : ไม่ต้องเสริม ถ้าเป็นฌานสี่ก็พอแล้ว แต่ส่วนใหญ่พวกเราจะไม่ชำนาญในการพิจารณา ในเมื่อไม่ชำนาญแล้วโอกาสที่จะพิจารณาจนจิตเป็นฌาน เป็นวิปัสสนาลาภีบุคคลจึงหายาก ก็ต้องเป็นฌานลาภีบุคคล โดยการเอาสมาธิเข้ามาช่วย จนกระทั่งกำลังสูงพอแล้วคลายมาพิจารณา

หลวงพ่อฤๅษีท่านอธิบายไม่ผิดหรอกจ้ะ เพียงแต่ถ้าเราคลำไม่ถึงก็จะงง ๆ หน่อย

เถรี 02-08-2010 17:51

ถาม : อภิญญาลาภีบุคคล นี่เป็นอย่างไร ?
ตอบ : คือบุคคลที่ทรงอภิญญา ได้แค่อภิญญาห้าก็เป็นอภิญญาลาภีบุคคลแล้ว

อภิญญาห้าข้อแรกอย่างไรก็พอหาได้ แต่อภิญญาข้อที่หกนั้นหายากมาก



หมายเหตุ : อภิญญาข้อที่หก คือ อาสวักขยญาณ : การทำลายอาสวะ (กิเลส) ให้หมดสิ้นไป

เถรี 02-08-2010 20:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "พรรษานี้พระผู้ใหญ่ในสายมหานิกายถือว่าอยู่ในระดับวิกฤต อย่างหลวงพ่อวัดสระเกศก็อยู่โรงพยาบาล หลวงพ่อวัดชนะสงครามผ่าตัดเนื้องอกในตับ กลับมาแล้ว แต่ละวันก็พักผ่อนมากกว่ารับคน เพราะร่างกายยังไม่ไหว กลายเป็นว่า ผู้ที่อาวุโสสูงสุด ก็คือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ต้องรับงานหนักในตอนนี้

สมัยก่อนในวงการพระท่านเรียกแบบกันเองว่า "ปู่พุฒ ตาช่วง ลุงยม พ่อเกี่ยว" เขาเรียกกันอย่างนี้ไม่ใช่ไม่เคารพนะ แต่เรียกแบบรักสนิทเลย

ตอนนี้ปู่พุฒ (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณาราม) ท่านไปแล้ว ตอนไปอายุ ๑๐๓ ปี

ตาช่วง (สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ) อายุ ๘๗ ปี ตอนนี้รับบทหนักที่สุด

ลุงยม (สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม) อายุ ๘๕ ปี เพิ่งผ่าตัดเนื้องอกที่ตับมา กำลังพักฟื้น

พ่อเกี่ยว (สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ) อายุ ๘๓ ปี ยังอยู่โรงพยาบาล รอให้แข็งแรงกว่านี้ค่อยกลับวัด"

เถรี 03-08-2010 00:51

พระอาจารย์บอกว่า "ความจริงมีของอยู่ชุดหนึ่ง เป็นไข่มุกสีทอง ขนาดน่าจะอยู่ราว ๆ ๑๔ ม.ม. มีอยู่ ๗ เม็ดด้วยกัน ปกติไข่มุกสีทอง จะเป็นทองเหลือบ ๆ แต่ชุดนี้เป็นสีทองค่อนข้างเข้ม มีใบประกาศนียบัตรรับรองความแท้มาพร้อมเลย

ตอนแรกว่าจะเอาไปปลดหนี้ แต่เงินสำหรับปลดหนี้วัดหนองหญ้าปล้อง น่าจะได้เกินที่ต้องการแล้ว รอเอาไปปลดหนี้วัดอื่นดีกว่า จะคิดให้แพงหูดับไปเลย..!"

เถรี 03-08-2010 01:00

พระอาจารย์บอกว่า "คำว่าของแปลก เป็นเพราะว่าเรายังไม่เคยเห็น ของอะไรถ้าเคยเห็นแล้วก็จะไม่แปลก ทุกอย่างปกติธรรมชาติเขามีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ก็เลยเห็นเป็นของแปลก

อย่างหนังสือพิมพ์เอาไปลงข่าว ต้นตาลประหลาดออกดอกทั้งต้น เขารู้จักต้นตาลแต่ไม่รู้จักต้นลาน พอเห็นต้นลานไม่มีใบ มีแต่ดอก ก็ถ่ายรูปมาลงหนังสือพิมพ์ ตื่นเต้นกันใหญ่ว่าเป็นต้นตาลประหลาด

หรืออย่างกล้วยผา ตรงโคนต้นจะโตเหมือนกับโอ่ง เขาก็เอามาลงว่าเป็นกล้วยประหลาด คนที่ไม่รู้จักกล้วยผาก็แห่กันไปขอหวยกันใหญ่ แต่อาตมาเห็นมาจนเบื่อแล้ว

แปลว่า ของที่เขาไม่เคยเห็นก็เป็นของประหลาด ถ้าเขาเห็นแล้วก็จะหมดความประหลาดไปเอง เพราะปกติของธรรมชาติเขามีอยู่แล้วอย่างนั้น"

เถรี 03-08-2010 01:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันตรัสรู้ก็คือวันจบปริญญา แต่ว่าปริญญาของพระพุทธเจ้าเป็นปริญญาจริง ๆ

เพราะว่า ปริ แปลว่า รอบ , อัญญา แปลว่า รู้ , ปริญญา คือ รู้รอบ รู้ทั่ว

อย่างพวกเรานี่จบปริญญาเอกก็รู้ไม่หมดหรอก รู้แค่ตรงที่เรียนมา"

เถรี 03-08-2010 01:17

ถาม : ที่บ้านปลวกขึ้น เราจะมีวิธีไล่อย่างไร ?
ตอบ : เป็นแค่ทางเดินหรือเป็นรังใหญ่ ?

ถาม : มันกินเข้ามาถึงในบ้านแล้ว
ตอบ : ถ้ากินถึงข้างในแล้ว โอกาสที่จะไล่โดยที่ปลวกไม่ตายนี่ก็ยากแล้ว แต่ถ้าหากว่าเป็นรังใหญ่หรือทางเดินยังพอได้อยู่

ถาม : ถ้าเขายังไม่ได้กินเข้ามา ยังทำเป็นแค่รังใหญ่หรือทางเดิน เราจะไล่อย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นทางเดิน เลือกเอาวันที่อากาศร้อน ๆ ไปเขี่ยทางเดินออก เอาน้ำมันโซล่าราดไว้ตรงจุดที่ขึ้นจากพื้นดิน ปลวกก็จะไม่ขึ้นมาอีก เพราะเวลาอากาศร้อนปลวกจะหนีลงไปใต้ดินที่เย็นกว่า ถ้าเป็นรังใหญ่ก็ราดบนรังไปเลย เวลากลิ่นน้ำมันลงไปถึง ปลวกจะย้ายหนีไปเอง แต่เราต้องทนเหม็นน้ำมันหลายวันหน่อย...

เถรี 03-08-2010 01:23

ถาม : พระปิดตาของท่านเป็นพระปิดตาเงินล้านจริงหรือเปล่า ? รู้สึกว่าออกแนวบู๊ ๆ อย่างไรก็ไม่รู้ คล้องคอแล้วรู้สึกอยากลุย..!
ตอบ : เขาเรียกว่าเผื่อให้ ต้องดูสิว่าคนทำนิสัยเป็นอย่างไร..!

ถาม : ผมว่าแล้ว คล้องแล้วรู้สึกอยากบู๊
ตอบ : จะทิ้งนิสัยเดิมก็ไม่ใช่ที่ แบบเดียวกับคนแขวนพระปิดตามหาลาภหลวงปู่โต๊ะ โดน ๑๑ ม.ม.ยิงจนหมดแม็กแล้วยังไม่รู้สึกอะไรเลย นั่นมหาลาภนะ..!

เถรี 03-08-2010 13:30

ถาม : การกำหนดจับภาพกสิณต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : แรก ๆ หลับตานึกถึง เราจะจำภาพได้ชั่วคราว พอภาพหายไปก็ลืมตาดูใหม่ กำหนดจำ นึกถึงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลับตาหรือลืมตาเห็นได้เท่ากัน แล้วก็ตั้งใจประคองภาพนั้นเอาไว้

คุณมองดูนี่ (ท่านหยิบหนังสือขึ้นมา) หลับตาลงแล้วเราจะนึกถึง จะเห็นได้ครู่หนึ่ง พอภาพเลือนไป ก็ลืมตามองดูแล้วหลับตานึกถึงใหม่ จนกระทั่งระยะเวลาที่จำภาพได้จะยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นอุคคหนิมิต คือ ติดตาติดใจ สามารถที่จะเห็นได้ทุกเวลา


ถาม : แล้วเรื่องการกำหนดลมหายใจ ?
ตอบ : จำเป็นต้องใช้ ถ้าไม่กำหนดลมหายใจ นิมิตกสิณจะไม่มีวันทรงตัวได้เลย นิมิตทรงตัวได้เพราะสมาธิแน่นขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ ถ้าไม่กำหนดลมหายใจสมาธิก็ไม่สามารถที่จะทรงตัวแน่นขึ้นไปได้

ถาม : ต้องทำทั้งสองอย่างควบ ?
ตอบ : ทั้งสองอย่างรวมกัน ความรู้สึกส่วนหนึ่งกำหนดอยู่ที่รูป ความรู้สึกส่วนหนึ่งกำหนดอยู่ที่ลมหายใจพร้อมคำภาวนา

ถาม : กว่าจะทำได้รู้สึกช้า
ตอบ : ช้าก็ต้องยอม เพราะกติกาเขาเป็นอย่างนั้น ค่อย ๆ ทำไป อะไรที่รีบร้อน สุกเอาเผากินมักไม่ได้เรื่อง

เถรี 03-08-2010 17:48

ถาม : ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดได้แล้ว แต่เนื่องจากอยู่ไกล ก็เลยไม่ได้กลับไปฝึกอีก แล้ว..?
ตอบ : กลับไปซ้อมเองบ่อย ๆ การที่ฝึกกับครูเป็นแค่แนวทางเท่านั้น พอได้แนวแล้วต้องซ้อมเองบ่อย ๆ จึงจะมีความคล่องตัว ถ้าไม่หมั่นซ้อมบ่อย ๆ ก็เสื่อม

เถรี 03-08-2010 18:01

ดร.เก้า (ดร.ชาญวิทย์ ทัศน์แก้ว) ได้พาเพื่อนชาวเยอรมันมากราบพระอาจารย์ เพื่อนชาวต่างชาติคนนี้สงสัยว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตนเอง ผลกรรมจึงส่งผลให้แตกต่างกันไป แต่ทำไมคราวที่เกิดสึนามิ หลายคนจึงตายเพราะคลื่นสึนามิพร้อม ๆ กัน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย

พระอาจารย์จึงอธิบายว่า "เขาเคยสร้างกรรมร่วมกันมา อย่างเช่นเคยอยู่ในกองทัพที่ไปตีบ้านตีเมืองเขาพร้อม ๆ กัน พอถึงวาระ กรรมนั้นก็จะย้อนกลับมาให้คนหมู่มากกลุ่มนี้ได้รับกรรมนั้นพร้อมกัน

จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านอธิบายเรื่องกรรมไว้ชัดเจนมาก มีทั้งเป็นไปตามเวลา ยักเยื้องไปตามความหนักเบา พระองค์ท่านเปรียบเหมือนกับการที่เราปลูกต้นไม้ ส่วนที่เป็นครุกรรมก็เหมือนกับเพาะถั่วงอก ๔ ชั่วโมงก็ได้กินแล้ว ส่วนที่เป็นอปราปรเวทนียกรรม เหมือนกับการปลูกไม้ผล ต้อง ๔ - ๕ ปี เป็นอย่างน้อย จึงจะมีผลให้กิน"

เถรี 03-08-2010 18:06

พระอาจารย์สอน ร.ท.สรวง น้ำฟ้า ว่า "จำไว้เลยว่า เรื่องของการปฏิบัติกรรมฐานนั้น รู้แล้วต้องละ ถ้าประเภทรู้แล้วว่าใครเป็นเนื้อคู่ของเรา แล้วตะเกียกตะกายไปหา...นั่นบ้า..!

นั่นเป็นอดีตผ่านมาแล้ว ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องไปจมปลักอยู่กับคนเก่า ๆ หาเอาใหม่สิวะ..!"

เถรี 03-08-2010 18:17

ถาม : เราทำบุญอะไรมาจึงมีอาจารย์ที่เก่งและฉลาด ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเรื่องของการสร้างบุญแบบนี้ไม่ได้มีความจำเพาะเจาะจง แต่การที่เราอยู่ในช่วงสร้างบุญบารมี เราได้สร้างร่วมกับท่านมา

ในเมื่อเราได้สร้างร่วมกับท่านมา โอกาสที่ท่านและเราจะมาอยู่ในลักษณะต้องให้การสงเคราะห์ ส่งเสริมซึ่งกันและกันก็จะบังเกิดผล ก็ต้องถือว่าเราโชคดีที่ได้ทำร่วมกับท่านมาตั้งแต่แรก


ถาม : การที่เราได้ทำทั้งบุญด้วยและทำบาปด้วย ถ้าเราเป๋ไปเป๋มาออกนอกลู่นอกทาง เหมือนเด็กตาบอดคลำทาง ท่านจะช่วยให้เราได้อานิสงส์ในส่วนของความดีไหมคะ ?
ตอบ : พระดูในส่วนที่ดี แต่ไม่ได้ดูในส่วนที่ไม่ดี เราจะเคยชั่วอย่างไรมาท่านไม่ได้มองตรงนั้น แต่ท่านจะมองว่าในจุดที่ว่า เรามีความดีอะไรที่ท่านจะหนุนให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วท่านก็จะช่วยในจุดนั้น

การทำชั่วเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่ถึงเวลาให้รู้จักทำดีให้มากกว่าชั่วก็แล้วกัน

เถรี 03-08-2010 18:44

ถาม : เราจะบังคับให้ละวิตก วิจาร ในเวลาภาวนาได้อย่างไร ?
ตอบ : ตัวสมาธิที่สูงขึ้นจะทำให้ละไปเอง เป็นไปเอง ไม่ใช่บังคับ เรามีหน้าที่กำหนดตามดู ตามรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาของเราไปเรื่อย ๆ ถ้าจิตฟุ้งซ่านไปอารมณ์อื่น ก็ดึงกลับมา พอถึงเวลารวมตัวแน่นเข้าเป็นสมาธิที่สูงขึ้น คำภาวนาหรือลมหายใจจะค่อย ๆ หมดไปเอง

ไม่ใช่เราไปบังคับ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปเสียเวลาหาเหตุ ทำให้ถึงแล้วก็จะเป็นเอง

เถรี 03-08-2010 18:53

พระอาจารย์บอกว่า "งานลอยกระทงเดือนพฤศจิกายนที่วัดท่าขนุน อนุญาตให้เล่นพลุได้ตามใจชอบ ใครจะเอาพลุมาเล่นที่วัดก็ได้ ไม่ว่ากัน ห้ามเล่นประทัดยักษ์อย่างเดียว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว