กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6199)

เถรี 20-06-2018 21:15

ถาม : ที่พระอาจารย์บอกว่า ท่องคาถาเงินล้านวัน ๑,๒๐๐ จบ เมื่อก่อนผมก็ไม่อยากจะท่องเพราะว่ายาว ตอนนี้ผมลองทำดูรู้สึกว่าหายยาวแล้ว แต่ก็ได้ไม่กี่จบ ?
ตอบ : ลองดูครับ พอทำไป ๆ สภาพจิตของเรายึดอยู่กับคาถา ไม่ฟุ้งซ่านไปใน รัก โลภ โกรธ หลง ตอนช่วงนั้นจิตของเราจะสะอาด มีความสุขนะครับ ถึงเวลาเราก็ต้องภาวนาแล้ว ไม่อยากให้สภาพจิตของเราวุ่นวายหงุดหงิด

ถาม : ภาวนาคาถาเงินล้านออกเสียงแล้วรู้สึกว่าช้า ภาวนาในใจได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้ครับ จะเสียงดังเสียงเบาอย่างไรก็ได้ ที่สำคัญคือให้ควบกับลมหายใจเข้าออก ทำเป็นกรรมฐานนั่นแหละครับ เพียงแต่คำภาวนายาวหน่อย

ถาม : ถ้านึกถึงลมหายใจเข้าออกด้วยจะดีกว่า ?
ตอบ : สมาธิสูงเท่าไร ผลของคาถาก็เกิดมากเท่านั้น

เถรี 20-06-2018 21:26

ถาม : ตกต้นมะม่วง ผ่าดีไหมคะ ?
ตอบ : ตกแค่นั้นแข้งขาไม่ได้หัก อย่างเก่งก็ซ้น ให้เอาไพลส่วนหนึ่งแล้วก็ต้นขาไก่ รู้จักหรือเปล่า ? ต้นขาไก่ที่ก้านดำ ๆ ปกติปลูกเป็นไม้ประดับ เอาสองอย่างนี้มาอย่างละเท่า ๆ กัน โขลกรวมกัน คั่วให้ร้อน ใส่เหล้านิดหน่อย ใส่ถุงทำลูกประคบ

อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ใช้ใบพลับพลึงลนไฟให้ร้อนแล้วพันเอาไว้ พักเดี๋ยวก็เดินได้แล้ว

ไพลกับขาไก่กะน้ำหนักให้ใกล้เคียงกัน โขลกรวมกันแล้วเอาไปคั่วให้ร้อน ใส่เหล้าพอเป็นกระสาย แล้วห่อผ้าทำเป็นลูกประคบ อีกอย่างหนึ่งใบพลับพลึงอังไฟให้ร้อน ก็จะเหี่ยว ๆ หน่อย เอาแค่ร้อนทนได้ พันไว้ พอเย็นลงก็อังใหม่ อาตมาตกมาจากยอดมะพร้าวไม่เห็นเป็นอะไร ใช้วิธีนี้นี่แหละ


ถาม : ไม่ต้องผ่าหรือคะ ?
ตอบ : สมัยนี้ไม่ค่อยรู้กัน เอะอะก็จะผ่า ทุกวันนี้อาตมาก็เดินได้เป็นปกติ โบราณเขามียารักษา สมัยใหม่จะผ่าอย่างเดียว

ถ้ากลัวว่าฤทธิ์ยาจะไม่แรงพอ ตอนคั่วให้ร้อนก็ใส่เหล้าขาวไปหน่อยหนึ่ง เราไม่ได้กินอยู่แล้ว แค่ใช้นวดประคบเท่านั้น

เถรี 20-06-2018 21:30

ถาม : ผมอ่านหนังสือ หลวงปู่นาค วัดระฆัง ท่านไปพระนิพพานได้ มโนมยิทธิแจ่มใส อยากจะถามว่าท่านเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ ท่านเป็นระดับครูบาอาจารย์เลย อายุมากกว่าเยอะมาก

ถาม : แต่ท่านได้มโนมยิทธิ ?
ตอบ : ตอนที่พุทธาภิเษกกันที่วัดอนงคาราม หลวงพ่อท่านแอบดู พอแอบดูหลวงปู่นาคท่านบอก "ไอ้ขโมย" พูดง่าย ๆ คือท่านไวมาก แอบดูปั๊บ ท่านว่าเลย

ถาม : แปลว่ามโนมยิทธิมีผู้ทำได้อยู่แล้ว ?
ตอบ : ได้อยู่แล้ว ต่อให้ฝึกสายไหนมา ถ้ากำลังใจถึงระดับของเก่าก็จะคืนมาเอง

เถรี 26-06-2018 09:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการผูกปมเชือกสงคราม (เชือกแดง) สมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจะออกมาก่อนฉันเพลสัก ๑๕ นาที ท่านจะมานั่งผูกปมเชือก คราวนี้การผูกปมเชือกมีเคล็ดลับที่ต้องกลั้นหายใจแล้วว่าคาถา พอท่านต้องกลั้นหายใจนาน ๆ หลวงพ่อท่านก็บ่นว่า “เหนื่อยโว้ย”

เชือกของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่ท่านทำออกมา มีทั้งสีเขียวและสีแดง สีเขียวจะมีน้อย สมัยนั้นพวกเราเรียกว่าเชือกสงคราม เพราะว่าท่านทำให้ทหารตำรวจที่ออกไปรบแนวหน้า ซึ่งการทำเชือกขอดจะให้ผลทางด้านแคล้วคลาด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำมาตั้งแต่สมัยที่ท่านยังเป็นทหารอยู่ ทำแล้วก็ให้เพื่อนทหารลองด้วยปืน ปรากฏว่าขนาดจ่อยิงก็ยังไม่ถูก ซึ่งเรื่องของการใช้อาวุธปืนลองวัตถุมงคลนี้ อาตมามีประสบการณ์มาก"

เถรี 26-06-2018 09:47

"มีตะกรุดของหลวงปู่สี วัดถ้ำบุญนาค ซึ่งไม่ใช่ของหลวงปู่สีโดยตรง แต่เป็นของหลวงพ่อสมบูรณ์ที่เป็นลูกศิษย์ท่านทำ ท่านจะทำเฉพาะวันพระในพรรษาเท่านั้น ก็แปลว่าพรรษาหนึ่งจะทำได้ประมาณ ๑๒ ดอก

คราวนี้รุ่นน้องคือทิดอุดร โตกระโทก ไปได้มา ก็เอามาให้อาตมาลอง อาตมาก็อธิษฐานขอลองไม่เกิน ๓ นัด เอาผูกติดกับขวดน้ำไว้ ยิง ๒ นัดแรกขึ้นฟ้าลงดินไปไหนไม่รู้ ? พอจะยิงนัดที่ ๓ ปืนก็ขัดลำ ไม่ทำงาน ทิดอุดรก็ดีใจเอาไปอวดเพื่อนรุ่นพี่อีกรูปหนึ่ง เพื่อนเขาบอกว่าไปลองใหม่ ทิดอุดรบอกว่า "พี่เล็กอธิษฐานไว้ว่าลองไม่เกิน ๓ นัด" เพื่อนรุ่นพี่เขายุ บอกว่าถ้าของดีต้องดีทุกเวลา ลองได้ทุกครั้ง ก็เอาของมาให้ลองใหม่

อาตมาบอกว่า "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าเอ็งไม่เชื่อก็ไปหาเศษไม้อันเท่าตะกรุดมามัดกับขวดน้ำ ข้าจะยิงให้ดู" ทิดอุดรบอกด้วยความมั่นใจเพราะว่ารุ่นพี่ยุมา บอกว่าไม่ต้อง..เอาตะกรุดนี่แหละ ว่าแล้วเอาเทปกาวพันติดกับขวดน้ำ แล้วไปวาง อาตมาเองก็ “เฮ้อ...ขอไว้แค่นั้น ดันทะลึ่งมาลองซ้ำ หาเรื่องเสียของแล้ว” แล้วก็ยิงตามหลักวิชา หลับตาซ้าย เล็งด้วยตาขวา ผ่อนลมหายใจออกไปครึ่งหนึ่ง ค่อย ๆ ลากไกช้า ๆ เสียงดังเปรี้ยง ตะกรุดพับครึ่งเป็นตัววีเลย

คราวนี้เจ้าของตะกรุดทำท่าจะร้องไห้ บอกแล้วว่าของอะไรอย่าลองให้ถึง ๓ ครั้ง ของดีเขามีเอาไว้ป้องกันตัว ไม่ใช่เอาไว้ลอง"

เถรี 26-06-2018 09:49

"ส่วนอีกรายหนึ่งเพื่อนกันเอาตะกรุดชุด ๓ ดอกมาให้ลอง อาตมายิงด้วย ๑๑ มม. ๗ นัดหมดแม็กฯ เลย ไม่ถูกสักนัดเดียว กระสุนอยู่ห่างจากตะกรุดคืบหนึ่ง เป็นรูปครึ่งวงกลมเท่า ๆ กัน เหมือนกับมีอะไรบางอย่างกลม ๆ ครอบเอาไว้ พอยิงเข้าไปก็จะออกไปอยู่แค่ตรงขอบเท่านั้น ถามว่า "ตะกรุดที่ไหนวะ ?" เขาบอกว่าของหลวงพ่อคง วัดถนนหักใหญ่ บอกว่า "กูไม่เคยได้ยินชื่อ" เพื่อนบอกว่า "อาจารย์ของหลวงพ่อคูณครับ" เลยยกมือสาธุท่วมหัว ยกให้ท่านไปเถอะ

อาตมาเองที่ยิงปืนแม่นเพราะว่าซ้อมแต่เป้าเล็ก ๆ มาตลอด ยิงจนไม่มีอะไรจะให้ยิงก็เอาปลอกกระสุนไปตั้งแล้วก็ยิง ไม่มีอะไรจะยิงเอายาเม็ดพาราฯ ไปวางแล้วก็ยิง เป้าเล็กขนาดนั้นยังยิงถูก เป้าใหญ่ ๆ ไม่ต้องพูดถึง"

เถรี 26-06-2018 14:21

พระอาจารย์เล่าว่า "เรื่องของวันเกิด สมัยก่อนเขาทำบุญกันครั้งเดียวตอนอายุครบ ๖๐ ปี พอคนเราอายุถึง ๖๐ ปี นอกจากลูกหลานเพื่อนพ้องอะไรแล้ว ต้องบอกว่าด้วยความที่อยู่มานาน ก็เริ่มปรากฏคุณความดีให้คนอื่นเห็น ถึงเวลาทำบุญวันเกิดจึงมีคนมาร่วมงานมากมาย

แต่คราวนี้ที่คนโบราณทำบุญ ๖๐ ปี แบ่งออกเป็น ๒ สายด้วยกัน สายหนึ่งจะทำครบรอบ ๑๐ ปี อย่างเช่นว่า ๗๐ ปี ๘๐ ปี ๙๐ ปี เป็นต้น ส่วนอีกสายหนึ่งก็ทำครบรอบ ๑๒ ปีคือ ๗๒ ปี ๘๔ ปี ๙๖ ปี สมัยก่อนที่ไม่นิยมทำบุญวันเกิดกันทุกปี เพราะว่าทำแต่ละครั้งต้องรบกวนคนมาก โดยเฉพาะผู้ที่มาร่วมงานเดินทางก็ลำบาก ถามว่าลำบากแค่ไหน ? อาตมาเองบ้านอยู่ห่างจากตัวจังหวัด ๓๖ กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางครึ่งวันกว่าจะถึง สมัยนี้ถ้าหากว่า ๓๖ กิโลเมตร ถ้าเกรงใจตำรวจก็ ๒๐ นาทีถึง ถ้าไม่เกรงใจตำรวจก็อาจจะ ๑๐ นาทีถึง..!

เมื่อลำบากด้วยการจัดงาน เพราะว่างานใหญ่ใช้กำลังคนมาก แล้วก็ลำบากด้วยการเดินทาง คนที่จะต้องไปร่วมงานเดินทางไม่คล่องตัวเหมือนกับสมัยนี้ จึงจัดกัน ๑๐ ปีครั้งหรือ ๑๒ ปีครั้ง สมัยนี้การเดินทางสะดวกคล่องตัว เห็นจัดงานวันเกิดกันตั้งแต่รู้ภาษา บางคนยังไม่ทันจะรู้ภาษาเลย ๒ ขวบก็เป่าเทียน ๒ ต้นแล้ว

มีอยู่ปีหนึ่ง เด็ก ๆ เขาจัดงานวันเกิดให้อาตมา จัดกันเล่น ๆ ไม่มีอะไรหรอก ซื้อขนมเค้กมา เอาเทียนวันเกิดปักแล้วก็จุด เทียนนี้เป็นเทียนที่เป่าไม่ดับ คือเป่าแล้วติดใหม่ พอจุดเสร็จก็เอามาให้หลวงพ่อเป่า อาตมาเป่าพรวดเดียวดับเกลี้ยง เล่นเอาเด็ก ๆ เขานั่งงง บอกว่า "หลวงพ่อเล่นไสยศาสตร์" เทียนประเภทนี้เป่าดับก็ติดใหม่ ปะทุขึ้นมาใหม่ได้ เลยสงสัยว่าอาตมาจะเป่าแรงไปหน่อย"

เถรี 26-06-2018 14:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า เคยเล่าประวัติให้ฟังว่า ท่านเดินธุดงค์กว่าจะถึงหมู่บ้านในป่าที่จะบิณฑบาตได้ก็เลยเที่ยง จึงไม่ได้ฉัน พอวันที่ ๒ เดินทางมาเจอหมู่บ้านก่อนเที่ยงก็ดีใจ เข้าไปขอบิณฑบาต ชาวบ้านใส่อาหารมา ท่านเองก็รับอาหารแล้วเดินเลยหมู่บ้านไป ปูผ้านั่งลงจะฉันเพล ยังไม่ทันจะเปิบข้าวเข้าปาก ปรากฏว่าช้างชาวบ้านที่ตกมัน สลัดโซ่ขาดวิ่งมาทางด้านนั้น ชาวบ้านก็เอะอะเอ็ดตะโรวิ่งไล่กันมา ท่านเองหันไปเห็นช้างใกล้เข้ามา ก็ต้องลุกหลบ ช้างวิ่งผ่านไป พอดีเลยเที่ยง อดฉันอีก

วันที่ ๓ ท่านก็บิณฑบาตได้ตอนใกล้เพลเหมือนกัน วันนี้ได้ฉันแน่ ก็ปรากฏว่าปูผ้านั่งลงจะฉัน ท่านเป็นลม ฟื้นขึ้นมาเลยเที่ยงอีก อดอยู่ ๓ วันติด ๆ กัน ไปได้ฉันเอาเช้าวันที่ ๔ เพราะว่าเดินไปเจอหมู่บ้านในช่วงเช้าพอดี ท่านบอกว่าในอดีตเคยแกล้งเขาเอาไว้ ทำให้เขาไม่ได้กิน ตัวเองเลยไม่ได้กินไปด้วย

อาจารย์ท่านหนึ่งคือหลวงปู่ครูบาธรรมชัย ท่านไปภาวนาอยู่ในป่าช้า ปรากฏว่าช้างของชาวบ้านตกมันเหมือนกัน หลุดออกมาเดินวนอยู่ใกล้ ๆ ท่าน ถ้านั่งอยู่ไม่เป็นอะไร ถ้าขยับลุกจะวิ่งใส่ เลยต้องทนนั่งอยู่อย่างนั้น พวกชาวบ้านเข้าไปพยายามจะช่วยอย่างไรช้างไม่สนใจทั้งนั้น ขับไล่อย่างไรก็ไม่ไป จุดประทัดยิงปืนอย่างไรก็ไม่ไป เดินวนอยู่ใกล้ ๆ นั่นแหละ

หลวงปู่ก็เลยต้องทนอยู่อย่างนั้น ๗ วันเต็ม ๆ พอถึงวันที่ ๘ ช้างก็เดินจากไปเฉย ๆ ชาวบ้านเอาข้าวปลาอาหารเข้ามาถวาย หลวงปู่แทบจะเป็นลมอยู่แล้ว ท่านบอกว่าในอดีตนั้นท่านเคยขังเขาเอาไว้ให้อดข้าวอยู่ ๗ วัน ตัวเองเลยโดนไปด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกที่ว่าไล่เท่าไร
ช้างก็ไม่หนี

ปกติช้างตกมันใครยั่วยุหน่อยก็จะวิ่งไล่เลย แต่นี่ไม่ยอมไป วนอยู่แต่ใกล้ ๆ ถ้าหลวงปู่ขยับก็ท่าจะวิ่งใส่จะเหยียบ จึงต้องนั่งเฉย ๆ ชาวบ้านไล่เท่าไรก็ไม่ไป แต่พอพ้น ๗ วันกลับเดินไปเองเหมือนไม่ได้ตกมันมาก่อน ฉะนั้น..ในเรื่องของกรรมจะทำเอาไว้ชาติไหนก็ตาม เผลอเมื่อไรก็ต้องใช้หนี้เขา"

เถรี 26-06-2018 14:46

ถาม : อย่างหนูต้องทำอาชีพอะไรดีคะ ?
ตอบ : อาชีพอะไรก็ได้ แต่ให้ภาวนาคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานสักวันละชั่วโมง

เถรี 26-06-2018 17:11

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปพุทธาภิเษกที่วัดไร่แตงทอง ต้องบอกว่าเจ้าของงานจริง ๆ ก็คือพระครูเทพ เพราะว่าท่านกำลังเร่งจะทำวัดให้เสร็จ ก็คือวัดสี่แยกเจริญพรที่มีโบสถ์สเตนเลส ท่านก็นิมนต์ไปพุทธาภิเษก

ในงานก็มีครูบาอาจารย์ระดับสุดยอดอยู่หลายรูปด้วยกัน อาตมาเองก็ไปนั่งพุทธาภิเษกให้เขาด้วย ปรากฏว่าเพื่อนกันก็คือพระครูสังเวียน วัดหนองพงนก มาถึงก็ “หลวงพ่อนะหลวงพ่อ สงเคราะห์แต่ไอ้เทพคนเดียวนั่นแหละ” ก็บอกกับท่านไปว่า “แล้วเอ็งจะเอาอย่างไรวะ ? เอ็งนิมนต์ข้าวันวิสาขะฯ อย่างนี้ วันที่ ๑๒ สิงหาฯ อย่างนี้ ไปได้ก็ประหลาดแล้ว” ส่วนท่านเทพท่านให้อาตมาเลือกว่าว่างวันไหน ท่านก็จัดงานวันนั้น ถ้าอย่างนี้ก็ได้แน่ ส่วนของพระครูสังเวียนนี่ประเภทถึงเวลาก็จัดงานตามเทศกาลของวัดท่าขนุนเลย แล้วจะไปอีท่าไหนได้ ?

งานนี้เนื่องจากว่าครูบาอาจารย์ไปกันมาก แต่อาตมาเองตั้งแต่นั่งลงก็เงียบไปเลย ไม่ได้ดูว่าใครไปบ้าง รู้แต่ว่ามีเจ้าคุณสุรศักดิ์ วัดประดู่ นั่งอยู่ตรงกันข้าม ที่ใกล้ ๆ กันก็มีพระครูวิโรจน์ วัดสระพัง กับพระครูสายชล เจ้าอาวาสวัดไร่แตงทอง ลูกพี่ของพระครูเทพเขาเลย ไปกันหลาย ๆ คนก็ดีหน่อยตรงที่ว่าเบาแรง ส่วนใหญ่ก็คอเดียวกัน มาสไตล์พระโพธิสัตว์เหมือนกัน ถึงใครจะลาบ้างไม่ลาบ้างก็ช่างเถอะ"

เถรี 26-06-2018 17:31

"ปรากฏว่าเห็นวัตถุมงคลเปล่งแสงสว่างสวยมาก ยังบอกว่า เออ...ท่านเทพเขาบุญดี จัดงานทีไรนี่ต้องบอกว่าครูบาอาจารย์หรือพระท่านสงเคราะห์เต็มที่ทุกครั้ง ท่านบอกว่า “ผมก็ผูกขากับหลวงพ่อเล็กนั่นแหละ” คำว่าผูกขาก็คือถ้าหากว่าอาตมาไม่ว่างท่านก็ไม่จัดงาน

ของที่พุทธาภิเษกเป็นเหรียญหลวงปู่หลิว ทำได้สวยมาก น้องเล็กได้มาเหรียญหนึ่ง เขาบอกว่าไว้แจกคนขับรถ อาตมาก็ว่า เออ...สมัยโบราณได้ยินแต่ว่าแจกแม่ครัว สมัยนี้พระครูเทพเล่นมีรุ่นแจกคนขับรถด้วย

ส่วนหลวงพี่แป๊ะ วัดสว่างอารมณ์หรือวัดแคแถว แกก็นั่งเคี้ยวหมากรอสบายใจเฉิบเลย อาจารย์เล็กลืมตาปุ๊บหลวงพี่แป๊ะก็โปรยข้าวตอกดอกไม้เลย บอกว่า "กูไม่ทำอะไรแล้วงานนี้ กูนั่งรอเหมือนกัน" เจอพี่ ๆ อู้เข้านี่อาตมาหมดสภาพเลยนะ หลวงพี่แป๊ะนี่สนิทกันตั้งแต่สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุง บวชใหม่ ๆ ท่านก็เป็นรุ่นพี่ ไปวัดอาตมามีหน้าที่รับพระอาคันตุกะเข้าพัก เลยสนิทสนมกันดี สมัยนั้นท่านห่มผ้าสีออกเขียว ๆ แบบธรรมยุต ไม่รู้ทำไมพอไปเป็นเจ้าอาวาสที่วัดแคแถวแล้วเปลี่ยนเป็นห่มออกสีแดง แต่ดูท่าว่าจะขลังกว่านะ

เวลาอยู่กับท่านแล้วอาตมาสบายใจ เพราะว่าคนรู้จักท่านมากกว่า พอมาถึงก็ชี้ไปทางโน้น แต่ท่านเองก็ไม่ค่อยยอมหรอก เดี๋ยวก็ตะโกนบอก “โน่น...หลวงพ่อเล็กลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีฯ แวะไปทางโน้นบ้าง” อาตมาก็แทบจะหนีไม่ทัน"

เถรี 26-06-2018 21:36

ถาม : หนูเป็นคนที่ขี้โกรธมาก วิตกมาก ซึมเศร้าด้วยค่ะ จะแก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : เป็นไปได้อย่างไรวะ ?

ถาม : พี่เต้ยบอกว่าหนูขี้โกรธค่ะ
ตอบ : ขี้โกรธนี่ไม่มีทางซึมเศร้าหรอก บ้าชัด ๆ มีคนขี้โกรธที่ไหนซึมเศร้าบ้าง ? พวกนี้ไฟแรง ซึมกับใครไม่เป็นหรอก มีแต่อาละวาดตลอด

พยายามฝึกกรรมฐานเกี่ยวกับเรื่องของกสิณสี หรือไม่ก็เมตตาพรมวิหารให้มากไว้ ไม่ได้ห้ามความโกรธในตัวของเรา แต่ว่าเป็นการบรรเทาลงได้ทีละน้อย ตามกำลังของเราที่มากขึ้น

เรื่องพวกนี้เป็นสมบัติประจำตัว ในเมื่อเราสร้างมาอย่างนี้ ทำมาอย่างนี้ จริตนิสัยออกมาแบบนี้ เราก็ต้องยอมรับว่าสภาพของเราเป็นอย่างนี้ แต่ค่อย ๆ ปรับปรุงพัฒนาแก้ไขไป ตอนแรก ๆ ก็พยายามลดอาการทางกายลง ลดอาการทางวาจาลง
ค่อย ๆ ลดไปทีละอย่าง เดี๋ยวก็ลดทางใจลงไปได้

เถรี 26-06-2018 21:37

ถาม : หนูอยากทราบว่า กรรมฐานกองไหนเราทำแล้วจะได้ดีที่สุด ?
ตอบ : อ่านกองไหนแล้วชอบก็กองนั้นแหละ

เถรี 26-06-2018 21:38

ถาม : หนูไปเที่ยวมาเก๊ามา ได้ยินว่าที่นั่นเวลาสร้างอะไรทำตามฮวงจุ้ยหมด แล้วประเทศเขาดี ถ้าเมืองไทยทำอย่างนั้นบ้างจะดีขึ้นไหมคะ ?
ตอบ : เราต้องยอมรับว่าคนที่เขาได้ฮวงจุ้ยที่ดี ก็คือบุญเก่าเขาสร้างมาดีด้วย คนประเภทนี้ต่อให้ไม่ทำอะไรเลยเขาก็ได้อยู่ในที่ดี เรียกว่าปฏิรูปเทสคือถิ่นที่เหมาะสม ส่วนคนที่สร้างบุญมาไม่ดี ต่อให้พยายามแก้ไขฮวงจุ้ยอย่างไร ท้ายสุดก็เจ๊ง เพราะฉะนั้น...เราก็ทำแค่ที่ทำได้ ไม่ใช่รื้อบ้านทั้งหลังเพื่อแก้ฮวงจุ้ยอย่างที่อาตมาเคยเจอมาแล้ว

เถรี 27-06-2018 21:09

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ที่วัดท่าขนุนมีการอบรมค่ายพุทธบุตร ซึ่งจะเป็นอย่างนี้ทุกปี คือทางโรงเรียนทองผาภูมิวิทยาจะเอาเด็ก ม. ๑ ซึ่งเข้าใหม่ กับเด็ก ม. ๔ ที่มีคนใหม่มากมาเข้าค่ายที่วัด

อาตมาเองได้พูดถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง ซึ่งคาดว่าปัจจุบันนี้เป็นกันทั่วประเทศไทยแล้ว ก็คือเด็กรุ่นหลังนี้ส่วนใหญ่ร้อยละเกิน ๘๐ เรียนเพื่อให้จบเท่านั้น ไม่ได้คิดจะเรียนเอาความรู้ อาตมาสมมติว่าถ้าครูบาอาจารย์ให้ความรู้มา ๑๐๐ เราเรียนเพื่อให้จบเราก็จะได้สักแค่ ๕๐ แล้วถ้าเราจำเป็นต้องไปสอนคนรุ่นต่อไป ถ้าเขามีนิสัยเดียวกันก็คือเรียนเพื่อให้จบ จะเหลือ ๒๕ พอรุ่นที่ ๓ จะเหลือ ๑๒.๕ รุ่นต่อไปก็จะไม่เหลืออะไรแล้ว

เพราะฉะนั้น...การศึกษาบ้านเมืองเราปัจจุบันนี้ แม้กระทั่งในอาเซียนของเรา ๑๐ ประเทศนี่เรารั้งท้ายเลย ตามสถิติที่ทางยูเนสโก (องค์กรการศึกษาโลก) ให้ไว้บอกว่า ของเราอยู่อันดับที่ ๙ พม่าอยู่อันดับที่ ๑๐ แต่อาตมายืนยันว่าพม่าอยู่เหนือเรา เพราะว่าอาตมาไปพม่าเป็น ๑๐ ปี แต่เนื่องจากของพม่านั้นเขาปิดประเทศ ทำให้ตรวจสอบข้อมูลได้ยาก ก็เลยเหมือนกับว่าเขารั้งท้ายเรา แต่ถ้าเขาเรียนระดับ ม. ๑ เมื่อไร ทางพม่านี่บรรยายเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย บ้านเราไม่สามารถทำได้ ต่อให้ของเราเป็น ม. ๓ ม. ๕ ม. ๖ ก็ทำไม่ได้"

เถรี 27-06-2018 21:29

"อาตมายืนยันว่า การศึกษาปัจจุบันของเรานี่รั้งท้ายอาเซียนเลย จึงอยากให้เด็กทุกคนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและแนวคิดเสียใหม่ ว่าเรียนแล้วต้องรู้ รู้แล้วต้องสอนผู้อื่นได้ ไม่ใช่เรียนแค่ให้จบ ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถ้าจะแก้ไข เราต้องแก้ไขตั้งแต่การผลิตครูเลย

ในต่างประเทศ คนที่เรียนเก่งที่สุดเขาจะให้ไปเรียนครู แต่บ้านเราคนที่สอบเข้าที่ไหนไม่ได้จะเข้าวิทยาลัยครู กลายเป็นว่าเราเอาคนที่ไร้คุณภาพมาผลิตบุคลากร แล้วจะให้บุคลากรมีคุณภาพก็ยาก ยกเว้นว่าวัตถุดิบก็คือเด็กมีความใฝ่รู้ใฝ่เรียนจริง ๆ เรียนพิเศษบ้าง ค้นคว้าหาความรู้นอกเวลาเรียนเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาบ้าง ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่จะเอาดีได้ก็มี แต่โอกาสที่ได้ดีเพราะการจ้ำจี้จ้ำไชแล้วสอนจริง ๆ จัง ๆ ของครูนั้นน้อยมาก

โดยเฉพาะปัจจุบันนี้งานเอกสารมีมาก ต้องมี มคอ. (กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ) เป็นมาตรฐานระดับอุดมศึกษา ต้องมี SAR (Self Assessment Report) ก็คือบันทึกการเรียนการสอน สารพัดเอกสารที่จะเอา ทำให้ครูบาอาจารย์แทบไม่มีเวลาในการเตรียมการสอนที่ดี ถ้าจะปฏิรูปการศึกษาบ้านเราก็ต้องปฏิวัติใหม่ ตั้งเงินเดือนครูให้สูงกว่าหมอ สูงกว่าวิศวกรไว้ แต่เป็นการตั้งใจผลิตครูตั้งแต่รุ่นนี้ โดยที่รับตั้งแต่เกรด ๓.๕ ขึ้นไป เป็นต้น ถ้าหากครูรุ่นนี้ออกมาจะได้เงินเดือนระดับนี้ รุ่นเก่าช่างท่านไปก่อน เดี๋ยวก็ตายหมดไปเอง ถ้าหากว่าเราทำอย่างนี้ได้ ก็จะหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถมาได้ แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๕ ปีขึ้นไป"

เถรี 27-06-2018 21:36

"ประการต่อไปคือ พ่อแม่ต้องเข้มงวดเด็ก ๆ ของเราตั้งแต่อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นแล้วจะเพาะให้เกิดนิสัยประเภทอย่างไรก็ได้ ถึงอย่างไรก็มีพ่อแม่เลี้ยง จึงไม่คิดที่จะเรียนให้ดี เพื่อที่จะยืนหยัดด้วยตนเองให้ได้

อาตมาถามเด็กว่า ลองทบทวนดูสิว่า ถ้าพ่อแม่ของเราตายลงไปเดี๋ยวนี้ เราอยู่ได้ไหม ? ถ้าไม่ได้ ก็แปลว่าความรู้ความสามารถของเราไม่พอที่จะทำมาหากิน ในเมื่อความรู้ความสามารถของเราไม่พอทำมาหากิน ถ้าเกิดว่าเรารีบร้อนไปมีลูกแล้วเราจะสอนลูกอย่างไร ?

เพราะฉะนั้น...ให้ทบทวนดูว่า ตั้งแต่เราเกิดมาจนอยู่ ม. ๑ จนกระทั่งอยู่ ม. ๔ เราทำอะไรที่เป็นความภาคภูมิใจส่วนตัวบ้าง ? เราทำอะไรที่เป็นความภาคภูมิใจของพ่อแม่และครอบครัวบ้าง ? เราทำอะไรที่สร้างชื่อเสียงให้กับทางโรงเรียนบ้าง ? ถ้าหากว่าถามแล้วไม่มีเลย ก็ต้องพยายามทำให้มี เด็ก ๆ ไม่ค่อยอยากมาวัดท่าขนุนกันหรอก มาทีไรโดนหลวงพ่อบ่นหูชาทุกที"

เถรี 27-06-2018 21:41

ถาม : แต่เขาก็ฟัง ?
ตอบ : ฟัง...ไม่ฟังไม่ได้ เพราะว่าหลวงพ่อด่ากระทั่งครูบาอาจารย์ นักเรียนประมาณ ๓๐๐ คน ครูพี่เลี้ยงเกือบ ๒๐ คน ไปจัดแถวให้นักเรียนอยู่คนเดียว อาตมาดูอยู่พักหนึ่งก็จับไมค์ฯ ด่าเลย เพราะครูที่เหลือนั่งคุยกัน กับนั่งจิ้ม LINE อยู่ บอกว่าขนาดครูบาอาจารย์ยังเป็นตัวอย่างให้กับนักเรียนไม่ได้ แล้วจะให้นักเรียนดีได้อย่างไร ? พอโดนด่าแล้วหูตาสว่าง หลังจากนั้นก็นั่งฟังยันเที่ยง ไม่ขยับไปไหนเลย เพราะว่ากลัวโดนด่าซ้ำ..!

บางขณะชื่อเสียงเกียรติคุณที่ว่า "เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนดุยิ่งกว่าหมา" แม้จะไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจ แต่ก็ยังอาศัยได้ เพราะว่าถ้าเราไม่ทำไม่ด่า สังคมก็จะเสื่อมทรามไปเรื่อย ๆ ก็เลยจำเป็นต้องทำ ในเมื่อจำเป็นต้องทำ ก็ต้องทนแบกรับ "ชื่อเสีย" เอาไว้คนเดียว แต่ถึงเวลาถ้าใครมา ให้เขารู้ว่าระเบียบวัดเป็นอย่างนี้ การประพฤติปฏิบัติต้องเป็นอย่างนี้

เถรี 27-06-2018 21:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้ที่แย่มาก ๆ นอกจากติดหวัดจากท่านนายอำเภอทองผาภูมิแล้ว ยังตากฝนกลางคืนมาอีก ก่อนจะรับสังฆทานหรือสอนกรรมฐานทุกครั้ง ก็จะต้องมีอะไรมาตัดกำลังให้ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ แต่ว่าในส่วนตรงนี้อาตมาไม่ได้กังวล เพราะว่าเป็นเรื่องธรรมดา

การที่เราจะทำงานให้พระพุทธศาสนา ต้องบอกว่าอุปสรรคย่อมมี ย่อมเกิด เราจะไปโทษว่าเป็นเรื่องของมารอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าถ้าเราไม่สร้างอกุศลกรรมเอาไว้ มารก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน โดยเฉพาะในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเศษกรรมมาจากปาณาติบาต ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัย เพราะว่าอาตมาทำไว้เยอะมาก ได้รับการรับรองโดยหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านสั่งให้ปล่อยสัตว์ที่เขาจะฆ่าทุกเดือน ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๒๘ เริ่มปล่อยครั้งแรกวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๒๙ รวมแล้ว ๓๐ กว่าปีผ่านมา ปล่อยทั้งสัตว์สี่เท้า สองเท้า ไม่มีเท้า ไปนับชีวิตไม่ถ้วน ก็ยังช่วยได้แค่นี้ แสดงว่าที่ทำไว้มีมากกว่า"

เถรี 29-06-2018 19:26

ถาม : ผมขอกำลังใจในการทำงาน เราต้องสู้กับคนทำงานที่เป็นคนใหญ่คนโต ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรหรอก ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก็พอแล้ว แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะกระทบง่าย กำลังใจตกง่าย แล้วก็คืนดีเหมือนเดิมยาก ถ้าหากว่าตั้งใจทำสมาธิให้ทรงตัวมากกว่านี้ จะมีภูมิต้านทานมากขึ้น ถ้ากำลังใจเรามั่นคงขึ้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะกระทบเราได้น้อย และความมุ่งมั่นในงานของเราจะไม่ลดลง เพราะฉะนั้น...จริง ๆ แล้วก็คือ ให้เป็นในเรื่องการฝึกสมาธิเพิ่มขึ้น อย่างอื่นไม่ต้องคิดมากเลย

ถาม : ผมคิดว่าควรจะเปลี่ยนงานหรือเปล่า ?
ตอบ : ที่ไหนก็มีเหมือนกัน ที่เราอยู่ทางหนีทีไล่เราพอรู้แล้ว จะง่ายกว่าที่อื่นที่เราไปเริ่มต้นใหม่ เพราะฉะนั้น...มีทางเดียวก็คือปรับกำลังใจของเราให้เข้มข้นขึ้น ด้วยการทำสมาธิให้มากขึ้น


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:42


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว