กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6940)

เถรี 05-04-2020 13:11

พระอาจารย์กล่าวว่า "การบิณฑบาตเป็นกิจวัตร (สิ่งที่ทำเป็นงานประจำ) สำหรับพระภิกษุสามเณร ถ้าเป็นประเทศพม่าแม่ชีก็ออกบิณฑบาตด้วย แต่พม่าบิณฑบาตได้ทั้งวัน ออกบิณฑบาตตอนตี ๔ เพื่อฉันเช้า ออกบิณฑบาตหลัง ๘ โมงเพื่อฉันเพล และออกบิณฑบาตช่วงบ่ายเพื่อข้าวสารอาหารแห้งและเงินบริจาค

การบิณฑบาตแต่ละวันก็มีเหตุการณ์ต่าง ๆ กันไป ช่วงเช้าเมื่อเดินไปเกือบสุดสะพานใหญ่แล้ว มีรถจอดกลางเลนเพื่อรอใส่บาตร เนื่องจากว่าพระเดินอยู่ข้างทาง โยมเกรงว่าถ้าจอดข้างทางแล้วจะเป็นการขวางหน้าพระ ยังดีว่าช่วงนี้ไวรัส covid-๑๙ อาละวาด โยมจึงใส่บาตรได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่ถูก ๑๘ ล้อขย้ำไปเสียก่อน..!"

เถรี 05-04-2020 13:14

"เมื่อเดินสวนกับพระวัดทองผาภูมิ ซึ่งมักจะนำโดยหลวงตาสุ่ย หรือว่าเดินสวนกับท่านเอ (พระมอญ) ท่านก็จะยกมือไหว้ ทำเอาอาตมารับไหว้แทบไม่ทัน ทั้งที่มีระบุชัดเจนในอภิสมาจาร (ศีลพระที่มานอกปาฏิโมกข์) ว่าเวลาใดไม่ควรที่จะไหว้กัน แต่ด้วยความเกรงใจที่ท่านพรรษาน้อยกว่า และอาตมาก็เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของอำเภอ ท่านจึงไหว้ทุกครั้ง และอาตมาก็ต้องรับทุกครั้งเหมือนกัน

เวลาพ่อออกซาน ซึ่งอายุเก้าสิบปีเศษใส่บาตร หรือว่ามีญาติโยมที่นำเด็กตัวเล็ก ๆ มาใส่บาตร อาตมาจะน้อมตัวลงต่ำเพื่อความสะดวกของคนแก่หรือเด็ก แต่สังเกตว่าพระบางรูปท่านไม่ยอมน้อมตัวลง ถ้าเป็นภาษาเฉพาะตัวของอาตมาก็เรียกว่า "ยืนแข็งเป็นสากกะเบือ" เนื่องจากท่านยังไม่มีประสบการณ์

คนแก่มีเรี่ยวแรงน้อย ยิ่งอำนวยความสะดวกให้มากเท่าไร เราก็จะไปได้เร็วขึ้นเท่านั้น บางท่านถ้ายกทัพพีห่างตัวก็มือไม้สั่น เพราะว่ากำลังไม่พอ บางทีถึงกับข้าวหกตกพื้นไปเลย

ส่วนเด็กนั้นเมื่อใส่บาตรไม่ถึงก็ต้องเขย่ง เด็กก็มีกำลังน้อยเช่นกัน เมื่อเขย่งหลาย ๆ รอบเข้าก็หมดแรง เคยมีอยู่ที่เด็กดึงทัพพีกลับไม่ทัน เมื่อหมดแรงเขย่งทิ้งส้นเท้าลง มือยังจับทัพพีคาบาตรอยู่ ก็งัดบาตรกระเด็นหลุดจากมือพระไปเลย..!"

เถรี 05-04-2020 13:16

"บางบ้านเวลาแม่ใส่บาตร ลูกสาวก็เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จมาแต่งตัวอยู่หน้ากระจก ปกติพระรับบาตรก็สำรวมสายตามองเฉพาะในบาตร แต่วันนั้นพอได้ยินเสียง "ว้าย..!" ทุกรูปเหลือบตาขึ้นไป แล้วก็เบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน เพราะว่าแม่เจ้าประคุณนุ่งกระโจมอกอยู่หน้ากระจก ปากคาบยางรัดผม สองมือก็รวบผมเพื่อที่จะมัด กระโจมอกหลุดพอดี..! คาดว่าคืนนั้นพระหลายรูปคงเห็นภาพหลอนติดตาไปนาน..!

แทบทุกครั้งของการบิณฑบาต จะต้องมีหมาเดินตามแถวพระ โดยไม่ทราบแน่ว่าวัตถุประสงค์ของหมาคืออะไร ? โดยเฉพาะเจ้าโก้ เป็นหมาพันธุ์อลาสกันมาลามิวท์ น้ำหนักตัวน่าจะถึง ๕๐ กิโลกรัม เรียกว่าหมายักษ์ดี ๆ นี่เอง คอยเดินตามแถวพระตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เหมือนกับไปเดินออกกำลังลดความอ้วน พอพระเลี้ยวลงสะพานแขวนหลวงปู่สาย เจ้าโก้ก็เลี้ยวกลับบ้านเหมือนกัน"

เถรี 05-04-2020 13:17

"หมาวัดหลายตัวก็มักจะฉวยโอกาสตามพระออกบิณฑบาต เหมือนกับออกไปเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อคลายเครียด คราวนี้โดยกฎเกณฑ์กติกามารยาทของหมา ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้าถิ่นจะยอมให้ผ่านทางหรือไม่ ? จึงมีการกัดกระจายกันทุกครั้ง

หมาหลายตัวเมื่อโดนกัดก็เข็ด ไม่ตามพระออกบิณฑบาตอีก แต่ "เจ้าไข่เค็ม" โดนเท่าไรก็ไม่เคยเข็ด อาตมาก็ยังสงสัยว่ามันจะลงทุนขนาดนี้ไปทำอะไร ? จนกระทั่งวันหนึ่งถึงได้รู้ว่า ทำไมเจ้าไข่เค็มจึงออกไปได้ทุกวัน เพราะโยมที่ใส่บาตรบอกกับหมาว่า "รอเดี๋ยวนะไข่เค็ม แม่เตรียมไก่ย่างไว้ให้แล้ว" สรุปว่าแม่ค้าทุกคนรู้จักเจ้าไข่เค็ม และคอยเลี้ยงอยู่เสมอเมื่อมันไปตลาด เจ้าไข่เค็มถึงได้ยอมลงทุนเจ็บตัวทุกวัน เพื่อไปรอกินไก่ย่างนี่เอง"

เถรี 05-04-2020 13:19

"ภาษิตจีนบอกว่า "คนตายเพราะสมบัติ สัตว์ตายเพราะอาหาร" บอกให้รู้ชัดว่า ถ้าเราทำตามตัณหา (ความอยาก) อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะมีจุดอ่อนถึงตายถ้าศัตรูล่วงรู้ แล้วท่านทั้งหลายได้พิจารณาดูหรือไม่ว่า จุดอ่อนของตนเองอยู่ตรงไหน ? ถึงได้โดนกิเลสโจมตีอยู่ทุกวัน

"คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว" ถ้าท่านพิจารณาเห็นจุดอ่อนของตนเองแล้ว ก็ใช้ปัญญาแก้ไขตามแนว ทาน ศีล ภาวนา ก็จะช่วยกำจัดจุดอ่อนของตนเองให้น้อยลงไปได้เรื่อย ๆ จนท้ายที่สุดก็ไม่มีจุดอ่อนให้กิเลสโจมตีได้อีก เราก็สามารถที่จะล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้ลำบากอยู่ในวัฏสงสารไปอีกนานแสนนาน"

เถรี 05-04-2020 13:23

1 Attachment(s)


"ภาพที่เห็นข้างบนเป็นภาพยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารกำลังแบกลาเดินผ่านทุ่งที่เต็มไปด้วยกับระเบิด ทหารที่แบกลาอยู่ไม่ได้รักลาตัวนั้นเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะว่ากลัวลาจะวิ่งเพ่นพ่านไปทำให้กับระเบิดทำงาน แล้วทุกคนจะเดือดร้อนถึงตาย

เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า ในยามวิกฤตเราต้องระมัดระวังคนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ แล้วยังทำอวดฉลาด ทำอะไรตามอำเภอใจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยใหญ่หลวงตามมาในคนหมู่มาก


แต่น่าเสียดาย ความเป็นจริงก็คือเรามีจำนวนลามากกว่าจำนวนทหาร การแก้ปัญหาเรื่อง covid-๑๙ จึงอาจต้องใช้เวลาที่ยาวนานกว่าที่ควรจะเป็น

เราทุกคนต้องพยายามเปลี่ยนลาเหล่านั้นให้เป็นทหาร และไม่ทำตัวเองเป็นลา ต้องพยายามให้การศึกษาแก่คนที่ไม่รู้ เปลี่ยนทัศนคติพวกเขา วิกฤตจะผ่านไปได้ ถ้าเราทุกคนร่วมมือกันแก้ปัญหา"

เถรี 05-04-2020 20:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "สิ้นเดือนมีนาคมก็ต้องจัดการทำสารพัดบัญชีให้เรียบร้อย แล้วก็เริ่มลงบัญชีของเดือนเมษายน ๒๕๖๓ พอเห็นตัวเลขเงินสังฆทาน ๑,๖๐๐ บาท ก็หัวเราะอยู่ในใจ..! จากระดับหลายแสนลงมาเหลือแค่ระดับเงินพัน ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะรู้สึกอย่างไรหนอ ?

แต่สำหรับอาตมานั้นเงินน้อยย่อมดีกว่าเงินมาก เพราะว่าเงินน้อยก็ไม่ต้องลงมือทำอะไร ถ้าเห็นเงินมาก ๆ เมื่อไรรู้ชะตากรรมเลยว่างานกำลังจะมา จะว่าไปแล้วอาตมาค่อนข้างจะเป็นคนกลัวเงินเสียด้วยซ้ำไป เรื่องนี้ก็มีสาเหตุและที่มาที่ไปเช่นกัน"

เถรี 05-04-2020 20:06

"ประการแรก...ตั้งแต่สมัยดูแลศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ที่วัดท่าซุง ช่วงนั้นมีลูกมืออยู่ ๒ ท่าน คือ พระสมปอง สุธมฺมสนฺตจิตโต และ พระชาติชาย สุธมฺมธนปาโล เมื่อเลิกงานทั้ง ๓ รูปก็ช่วยกันโกยเงินเหรียญออกจากตู้ทำบุญ แล้วแยกออกเป็นถัง ๆ ว่าแต่ละตู้ทำบุญรายการอะไรบ้าง จากนั้นก็เริ่มลงมือนับกัน เพื่อที่จะได้นำส่งให้คุณครูนนทา อนันตวงษ์ โดยเร็วที่สุด

ท่านสมปองและท่านชาติชาย นับได้ ๒ ถุง ถุงละร้อยเหรียญก็วางมือ บอกว่ามีธุระ แล้วขอตัวหายไปเลย ส่วนอาตมามีนิสัยดังในพระบาลีที่ว่า อนากุลา จ กมฺมนฺตา การทำงานต้องไม่คั่งค้างถึงจะเป็นมงคล จึงต้องนั่งนับเหรียญไปคนเดียว

สรุปว่าวันนั้นนับเหรียญไปจนถึงตีสองกว่าถึงจะเสร็จเรียบร้อย บรรจุลงกระสอบใส่เงินของธนาคาร กระสอบละ ๔,๐๐๐ เหรียญ เป็นจำนวนถึง ๓๗๐ กว่ากระสอบ รู้สึกปวดเหมือนหลังแทบจะขาด..!

ตั้งแต่นั้นมาก็เข็ดกับเงิน ใจหมดอยากในตัวเงินโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะมากจะน้อยเท่าไรก็ไม่เอาอีกแล้ว เห็นทุกข์เห็นโทษของการมีเงินจริง ๆ ต้องบอกว่าบรรลุนิพพิทาญาณพร้อมด้วยสังขารุเปกขาญาณระดับสูงสุด จากการนับเงินครั้งนั้นนั่นเอง
..! "

เถรี 05-04-2020 20:22

"ประการที่ ๒ หลังจากออกจากวัดท่าซุงมาแล้ว เริ่มมาก่อสร้างสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี แล้วตามมาด้วยวัดอื่นอีกมากมายหลายวัด เมื่อสังเกตดูจะรู้ว่า ถ้าช่วงไหนเงินมามาก แปลว่างานใหญ่กำลังรออยู่ เตรียมตัวเหนื่อยได้เลย

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้กลายเป็นคนไม่สนใจเงิน เพราะว่ารับมาก็ไม่ใช่ของตัวเอง ซ้ำยังต้องเหนื่อยยากในการก่อสร้างอีกด้วย เมื่อมาเห็นบัญชีเงินหลักพัน ก็ได้แต่ยิ้มอยู่ในใจว่า หลังจากเหนื่อยมา ๒๘ ปีเต็ม เพิ่งจะได้ "หยุดเทอม" กับเขาบ้าง ได้แต่หวังว่าอย่า "เปิดเทอม" เร็วนักก็แล้วกัน..!"

เถรี 06-04-2020 06:05

บันทึกไว้เป็นประสบการณ์ : ตำราการใช้แมลงภู่คำกล่าวไว้ว่า เมื่อท่านพกแมลงภู่คำติดตัว จะพบกับแมลงภู่ตัวเป็น ๆ มาบินวนอยู่ใกล้ ๆ บ่อย ๆ หรือพบซากแมลงภู่ตายอยู่ในบริเวณที่อยู่ของท่าน ซึ่งจากที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ

แต่ที่ขอบันทึกเอาไว้ตรงนี้ก็เพราะว่ามีความต่างอย่างมากเกิดขึ้น คือ วันแรกที่นำแมลงภู่คำลงแช่น้ำมัน
ผสมน้ำมันชาตรี ฝูงผึ้งจำนวนมหาศาลไม่ทราบว่าแห่มาจากที่ไหน มาบินตอมไฟจนหมดแรงตกลงเกลื่อนพื้น เรื่องนี้อาจจะถือว่าบังเอิญก็ได้

แต่ว่าที่กุฏิเรือนไทยซึ่งเป็นสำนักงานเจ้าอาวาส มีแมลงวันตัวลายขนาดใหญ่ บินเข้ามาหลายตัว โดยไม่ทราบว่าเข้ามาช่องทางไหน เพราะว่ามีมุ้งลวดครบถ้วนและสมบูรณ์ดี

ทันทีที่จับไปปล่อยด้านนอกกุฏิ ไม่ถึง ๑๐ วินาทีก็มาปรากฏตัวใหม่อยู่ข้างใน เหมือนกับว่าสามารถบินทะลุกระจกหรือว่าบินทะลุมุ้งลวดเข้ามาในทันทีทันใด ทำเอาวันแรกหมดไปด้วยการไล่จับแมลงวัน และสำรวจดูว่ามีช่องทางใดที่แมลงวันเข้ามาได้บ้าง

เถรี 06-04-2020 06:07

วันที่ ๒ ยังคงไล่จับแมลงวันกันเป็นปกติ ทันทีที่เอาไปปล่อยออกข้างนอก ก็จะเข้ามาปรากฏตัวใหม่อยู่ในกุฏิเสมอ และเป็นแมลงวันตัวลายขนาดใหญ่เท่านั้น

จนกระทั่งอาตมาปรารภว่า "สงสัยว่าพญาแมลงภู่คำจะต้องมีบริวารคอยรับใช้ ก็เลยทำให้แมลงวันพวกนี้โดนดึงเข้ามาในกุฏิ" โดยเฉพาะว่ามาตอมหัวตอมหูอาตมาอยู่คนเดียว น้องเล็กที่นั่งทำงานอยู่ไม่ไกลไม่โดนตอมเลย

เรื่องมาชัดเจนตอนที่น้องเล็กไล่จับแมลงวันจนฉิว แล้วเอ่ยเสียงดุขึ้นมาว่า "พี่ภู่..ไล่จับแมลงวันไม่สนุกเลย ถ้ายังขืนเป็นแบบนี้อีกจะไม่ให้อนุโมทนาบุญแล้วนะ..!" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าจะจับเอาไปปล่อยกี่ตัวก็หายวับไปกับตา ไม่มีมาปรากฏด้านในกุฏิอีกเลย..!

เถรี 06-04-2020 06:08

ที่แน่ ๆ คือเจ้า ๒ ตัว ท่านทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่บอกไม่กล่าวอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งถามว่าทำไมแมลงวันถึงตอมอาตมาอยู่คนเดียว ? ตูก็อาบน้ำแล้วนี่หว่า..! ถึงมีเสียงตอบกลับมาว่า "ก็ท่านพกอะไรติดตัวอยู่ล่ะ ?"

อาตมาจึงนึกได้ว่าในกระเป๋าอังสะ มี "เจ้าเผือกน้อย" ติดอยู่ด้วยเสมอ แม้แต่ไปต่างประเทศก็ติดไปด้วย เพราะว่าสามารถผ่านเครื่องเอ๊กซเรย์ได้ทุกแห่ง จึงขอบันทึกเหตุการณ์นี้เอาไว้เป็นประสบการณ์ เผื่อว่าใครพบเหตุการณ์อย่างเดียวกันแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียเวลามาสงสัย สามารถฟันธงได้เลยว่า เป็นฝีมือของพญาแมลงภู่คำอย่างแน่นอนที่สุด

ปกติแล้วจากข้อแนะนำก็คือ นาน ๆ ครั้งให้เอาพญาแมลงภู่คำลงแช่ในน้ำผึ้ง หรือหาดอกไม้สดใส่ขันใส่ถาด แล้วเอาพญาแมลงภู่คำวางลงไป เป็นการให้รางวัลที่ช่วยดูแลรักษาบ้านเรือนและผู้คนมานาน ส่วนที่ต้องระวังก็คือ ถ้า "เลี้ยง" อิ่มจนเกินไปแบบที่อาตมาทำ ก็อาจจะออกอาการ Hyper Active แบบที่อาตมาและน้องเล็กเจอมาด้วยตนเองใน ๒ วันที่ผ่านมา

เถรี 06-04-2020 07:40

2 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1586133516

แมลงวันลายหน้าตาแบบนี้


http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1586133516

พญาแมลงภู่คํากับ "เจ้าเผือกน้อย"

เถรี 06-04-2020 18:21

พระอาจารย์เล่าว่า "ทางจุดตรวจเพื่อเฝ้าระวังป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส covid-๑๙ บ้านทุ่งเสือโทน หมู่ที่ ๔ ตำบลชะแล ขอสนับสนุนหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ล้างมือ และอาหารแห้งสำหรับชุดเฝ้าระวัง โดยบอกว่าจะออกมารับด้วยตนเอง แต่ผ่านไป ๒ วันแล้วไม่มีใครออกมารับที่วัดท่าขนุน

มีความเป็นไปได้ว่า "ท้อทางไกล" ถ้าใครไม่เคยไปบ้านทุ่งเสือโทน หรือที่ตามภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า บ้านคลีตี้ จะไม่รู้หรอกว่าไกลแค่ไหน คนที่จะเข้าไปต้องทำใจบุกป่าฝ่าดงไป เป็นระยะทางประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ถ้าเป็นหน้าฝนต่อให้เป็นรถขับเคลื่อน ๔ ล้อก็ต้องทั้งขุดทั้งเข็น..!

จนมีเรื่องตลกเล่ากันว่า นักผจญภัยชาวเมืองนำรถขับเคลื่อน ๔ ล้อบุกเข้าไป เจอพี่น้องกะเหรี่ยงกำลังเดินกลับบ้าน ก็ชวนให้ขึ้นรถไปด้วยกัน พี่น้องกะเหรี่ยงตอบกลับมาว่า "ไม่ละ..เรากำลังรีบ" แปลว่าถ้าไปกับคุณต้องทั้งขุดทั้งเข็นรถ เดินเอาเองไปได้เร็วกว่า..!"

เถรี 06-04-2020 18:22

"ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อาตมาเกรงว่า ถ้าช้าแล้วชุดเฝ้าระวังจะต้องเดือดร้อน จึงได้นำเอาสิ่งของทั้งหลายขึ้น "น้องแก้ว" แล้วให้น้องเล็กขับกระเด็นกระดอนไปตามถนน เขย่าจนตับไตไส้พุงเคลื่อนไปคนละทิศคนละทาง ประมาณว่าถ้าติดไวรัส covid-๑๙ ก็คงเขย่าจนไวรัสกระเด็นตกรถไปหมดแล้ว..!

ระยะทางแค่ ๘๐ กิโลเมตร ใช้เวลาเขย่าไปเกือบ ๒ ชั่วโมงจนถึงจุดหมาย ตอนแรกคิดว่าชุดเฝ้าระวังจะตั้งอยู่ตรงสามแยกเขาพระอินทร์ ปรากฏว่าไปตั้งอยู่ตรงหน่วยพิทักษ์ป่าลำคลองงู (๒) ซึ่งอยู่ที่หน้าหมู่บ้านทุ่งเสือโทนเลย

เมื่อให้เขาตรวจวัดอุณหภูมิและกระทำตามวิธีการเฝ้าระวังแล้ว อาตมาก็นำสิ่งของที่เขาร้องขอมามอบให้แก่ชุดเฝ้าระวัง ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน จากนั้นก็นั่งให้รถเขย่าจนตับไตไส้พุงคลอนกลับออกมาอีกครั้งหนึ่ง"

เถรี 06-04-2020 18:24

"การที่จะเดินทางเข้าไปยังบ้านทุ่งเสือโทนนั้น เมื่อวิ่งจากทองผาภูมิตรงขึ้นไปตามเส้นทางหมายเลข ๓๒๓ ซึ่งมุ่งไปสู่อำเภอสังขละบุรี ไปได้ประมาณ ๓๔ กิโลเมตร ก็เลี้ยวขวาเข้าตรงที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "สามแยกพุทโธ" วิ่งผ่านวัดพุทโธภาวนาตรงเข้าไป จนถึงบ้านกะเหรี่ยงทิพุเย (หมู่ที่ ๓) ก็เลี้ยวขวามุ่งตรงไปยังบ้านทุ่งนางครวญ (หมู่ที่ ๖) ซึ่งเป็นหมู่บ้านชาวไทยอีสาน ต่อมามีชาวม้งมาอาศัยอยู่ท้ายหมู่บ้าน จนปัจจุบันมีพี่น้องม้งถึง ๒๙ ครอบครัวแล้ว

จากนั้นก็วิ่งยาวไปจนถึงหมู่บ้านห้วยเสือ (หมู่ที่ ๑) เลี้ยวขวาวิ่งไปจนถึงท้ายหมู่บ้าน ก็เลี้ยวซ้ายมุ่งตรงเข้าป่าเข้าดงไป จนถึงสามแยกเขาพระอินทร์ ถ้าเลี้ยวขวาก็จะเป็นหมู่บ้านภูเตย (หมู่ที่ ๕) แต่ให้เราเลี้ยวซ้าย บุกป่าฝ่าเหวตรงไปยังบ้านทุ่งเสือโทน (หมู่ที่ ๔) ซึ่งกว่าจะไปถึงถ้าเป็นคนท้องแก่ก็อาจจะคลอดพอดี..!

หนทางทั้งไกลและหฤโหด ถ้ามัวแต่รอเขาออกมารับของเองก็อาจจะอีกนาน อาตมาจึงตัดสินใจนำของเข้าไปส่งเอง สมัยธุดงค์แถวนี้อาตมาเดินจนพรุนไปหมดแล้ว เมื่อมาด้วยรถยนต์ก็แค่เหนื่อยกว่าเพราะว่าโดนรถเขย่าเอาเท่านั้น"

เถรี 06-04-2020 18:25

"ตำบลชะแลนั้นมีขนาดใหญ่มาก ต้องนับจากทองผาภูมิก่อน ว่าอำเภอทองผาภูมินั้นมีพื้นที่ใหญ่เท่ากับสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสมุทรปราการ ๓ จังหวัดรวมกัน แล้วตำบลชะแลนั้นใหญ่ประมาณครึ่งอำเภอ..!

สมัยที่อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ วิ่งเข้าไปเพื่อตรวจการคณะสงฆ์ เจอหลวงปู่ไกโพ่เป็นเจ้าอาวาสวัดทุ่งเสือโทน หรือชื่อเรียกเป็นทางการว่า วัดคลีตี้ผลธรรมาราม หลวงปู่บอกว่าเป็นเจ้าอาวาสมา ๒๗ ปีแล้ว เพิ่งจะได้เห็นหน้าเจ้าคณะตำบลก็วันนี้เอง..!

พื้นที่ตำบลชะแล เขต ๒ เกือบทั้งหมด เป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรตะวันตก อุทยานแห่งชาติเขื่อนศรีนครินทร์ และอุทยานแห่งชาติลำคลองงู บรรดาหมู่บ้านต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดนล้อมเป็นไข่แดงอยู่ท่ามกลางอุทยานและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เพราะว่าชาวบ้านอยู่กันมาก่อน แล้วทางราชการค่อยมาประกาศเขตทีหลัง"

เถรี 06-04-2020 18:28

"ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่สามารถที่จะนำไฟฟ้าเข้า ไม่สามารถที่จะมีเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ การติดต่อกับทางคณะสงฆ์ต้องส่งเอกสารอย่างเดียว เมื่ออาตมาวิ่งส่งเอกสารตั้งแต่วัดแรกจนถึงวัดสุดท้าย เคยวัดระยะทางได้ ๑๔๒ กิโลเมตร..! ซึ่งอาตมาวิ่งเข้าไปทุกอาทิตย์ แปลว่าภายใน ๗ วันเจ้าอาวาสต้องได้เห็นหน้าเจ้าคณะตำบลครั้งหนึ่ง เมื่อย้ายมาเป็นเจ้าคณะตำบลท่าขนุน เขต ๒ เหตุการณ์ก็กลับไปเหมือนเดิมก็คือ นานทีปีหนถึงจะได้เจอหน้าเจ้าคณะตำบลสักครั้งหนึ่ง

ญาติโยมทั้งหลาย การทำงานทุกอย่างนั้นถ้าประกอบด้วยอิทธิบาท ๔ ผลงานก็จะออกมาดีและประสบความสำเร็จ เพราะว่าเราเต็มอกเต็มใจที่จะทำงานนั้น มีความพากเพียรพยายามทุ่มเทอย่างเต็มที่ กำลังใจจดจ่ออยู่กับงานโดยไม่ท้อถอย และทบทวนอยู่เสมอว่างานออกมาดีหรือไม่ดีอย่างที่ใจเราคิดไว้ แล้วพยายามแก้ไขให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป"

เถรี 06-04-2020 18:29

"สมัยอาตมาเริ่มเป็นหนุ่ม มีเพลงเขาร้องว่า "ภูเขาจะกั้นขวางหน้า แดดกล้าจะร้อนเพียงใด พี่จะไปหาเธอจนได้ เป็นตายก็จะไปหานาง" แสดงว่าพ่อหนุ่มในเนื้อเพลงนั้น ประกอบด้วยอิทธิบาท ๔ อย่างเปี่ยมล้น ทุ่มเททุกอย่างเพื่อจะได้ไปหาสาวอันเป็นที่รัก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็เชื่อได้ว่าต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

ถ้าท่านทั้งหลายต้องการกระทำงานสิ่งหนึ่งประการใดให้ประสบความสำเร็จ ต้องทุ่มเทด้วยตนเอง อย่าหวังพึ่งพิงคนอื่น เพราะว่าคนอื่นไม่มีสำนึกในความเป็นเจ้าของ สักแต่ว่าทำงานให้ได้วัน ไม่ได้คิดจะทำงานให้ได้งาน ถ้าเราไว้วางใจคนอื่น กิจการงานของเราอาจจะถึงกับล้มละลายได้ การทำงานทุกอย่างจึงต้องเป็นไปตามหลักอิทธิบาท ๔ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะประสบความสำเร็จได้ดั่งใจหวังทุกประการ"

เถรี 07-04-2020 04:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกเลยก็คือนึกถึงพระและลมหายใจเข้าออก เมื่อภาพพระและสมาธิทรงตัวแล้ว ก็เริ่มภาวนาคาถาต่าง ๆ ตามความเคยชินที่ฝึกฝนมา เช่น อิติปิโสฯ ๓ ห้อง พระคาถาชินบัญชร เป็นต้น

สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น ศึกษาตัวบทพระคาถาต่าง ๆ จากครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เอาไว้มาก สิ่งที่หลวงพ่อท่านสอนและจดจำขึ้นใจก็คือ เมื่อจะเปลี่ยนคาถาใหม่ ต้องทบทวนคาถาเก่าให้คล่องตัวเสียก่อน คำว่า คล่องตัว ในที่นี้ก็คือ เมื่อกำหนดใจภาวนาแล้ว ต้องเกิดผลตามคาถานั้น ๆ

จึงต้องมีการภาวนาทบทวนพระคาถาแต่ละบท เมื่อมีมาก ๆ เข้า ก็ต้องจัดเป็นชุดการภาวนาเฉพาะของตนเอง เช่น การเริ่มต้นด้วย อิติปิโสฯ ๓ ห้อง ๓ จบ พระคาถาชินบัญชร ๗ จบ พระคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ๑๐ จบ เป็นต้น

ทำให้กำหนดเวลาได้คร่าว ๆ ว่า ในช่วงนี้ของวันเราภาวนาไปถึงพระคาถาไหนแล้ว ถ้าหากว่าหลงลืมก็สามารถนึกได้ว่า ในระยะเวลานี้เราจะภาวนาถึงพระคาถาบทนี้ ถ้าภาวนาไปแล้วกี่จบ เกิดหลงลืมจำไม่ได้ ก็จะขึ้นต้นใหม่ที่จบแรกเสมอ เมื่อโดนบ่อย ๆ เข้าก็เข็ด ต้องเอาสติเข้าไปกำหนดจดจำ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าต้องเริ่มต้นใหม่อยู่เรื่อย ก็จะเหนื่อยมาก"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:01


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว