กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6931)

เถรี 26-03-2020 10:02

ถาม : น้องชายเป็นโปลิโอตั้งแต่เด็ก จะให้ทำบุญอย่างไรให้เขาได้คะ ?
ตอบ : มีอะไรทำได้ทั้งนั้นแหละ เพราะว่าเรื่องนี้เป็นกรรมเก่าจากชาติก่อน ๆ แก้ไขชาตินี้ไม่ทันหรอก มีอย่างเดียวก็คือ ชาตินี้ให้เขาทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของยานพาหนะ จะเป็นรถราช้างม้าวัวควายอะไรก็ได้ ชาติหน้าเขาจะได้หายจากอาการอย่างนี้

ของเก่าทำมาชาตินี้รับ ของใหม่ทำชาตินี้ชาติต่อไปรับ

เถรี 26-03-2020 10:04

พระอาจารย์กล่าวว่า “มีสิ่งหนึ่งที่น่าดีใจคือ ตลาดค้าสัตว์ป่าที่อู่ฮั่น รัฐบาลจีนพยายามอย่างไรก็ปิดไม่ได้ พอโรคนี้ระบาดขึ้นมาก็ปิดได้เต็มที่เลย ประมาณว่าต่อไปเอ็งไม่ต้องเปิดอีกแล้ว

ครั้งแรกที่ได้ยินว่าไวรัสกำเริบมาจากตลาดสัตว์ป่า อาตมาก็ไปดู พวกที่ล้มหายตายจากที่นั่นเขาแห่กันมาเป็นล้านเลย..! บอกว่าแล้วจะมาฟ้องข้าทำไม ? มีประโยชน์อะไร ? ข้าทำอะไรไม่ได้ อยากฟ้องก็ไปฟ้องพระยายมสิวะ ...(หัวเราะ)...

ต้องบอกว่าทั้งมีเท้า ทั้งไม่มีเท้า ทั้งมีปีก ทั้งไม่มีปีก ทั้งในน้ำ ทั้งบนบก มากันหมด แสดงว่าคนเรานี่กินสารพัดจริง ๆ งูเงี้ยวเขี้ยวขอบางตัวใหญ่เป็นเสาเรือนยังอุตส่าห์เอามากินอีก..! สัตว์ป่าเวลาเขาอยู่กับธรรมชาติเป็นเวลาที่เขามีความสุขที่สุด แล้วโดนมนุษย์เอามากักขังก็หมดสภาพ ถ้ายิ่งโดนเอามาขังเพื่อกินก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”

เถรี 26-03-2020 10:05

“ไปดูสัตว์ในสวนสัตว์ พวกเก้ง พวกกวาง สีสันดูซีด ๆ มอ ๆ อย่างไรไม่รู้ แต่เวลาที่ไปธุดงค์นี่ เก้งบางตัวเดินมา สีส้มแปร๊ดเลย แสดงว่าเวลาอยู่ในธรรมชาติ เขามีความสุข สภาพร่างกายก็เลยแสดงออกเต็มที่ เวลาอยู่ในกรงก็สีทึม ๆ เทา ๆ ดูไม่ได้เลย

พวกนี้ส่วนใหญ่ขี้สงสัย เห็นพระมาก็เดินเมียงมองตามดูไปเรื่อย บางทีเดิน ๆ ไปก็เจอวัวป่าทั้งฝูง เจ้าพวกนี้ถ้าเราไม่สังเกตจะคิดว่าเป็นวัวบ้าน ต่างกันอยู่ตรงรูปร่างจะกำยำล่ำสันทะมัดทะแมงกว่า แล้วขาจะมีถุงเท้าขาว ๆ ก้นก็มีวงขาว ๆ พอเห็นพระก็หยุดกันหมด อาตมาก็ยื่นมือให้ เจ้าตัวจ่าฝูงก็เดินมาดม เสร็จแล้วก็หันไปร้องบอกพวก พวกเขาก็เดินมาดมทีละตัว ๆ พอดมครบทั้งฝูงก็ไป ดูแล้วน่ารักดี ...(หัวเราะ)...”

เถรี 26-03-2020 10:06

พระอาจารย์กล่าวว่า “ธนาคารชาติบอกว่า เมื่อรับเงินเก่าคืนมาก็จะกักไว้ ๑๔ วัน แล้วค่อยปล่อยออกไปหมุนเวียนในตลาดใหม่ ไม่ใช่แต่คนนะ แม้แต่ธนบัตรก็ยังโดนกักบริเวณเลย..! เขาบอกว่าเชื้อโรคติดบนธนบัตรเก่าได้

มีข้อแนะนำว่าผู้หญิงมีความทนต่อเชื้อโรคมากกว่าผู้ชาย เพราะฉะนั้น..ได้เงินมาก็ให้รีบฝากเมียเอาไว้..!”


เถรี 26-03-2020 10:06

พระอาจารย์กล่าวว่า “มาที่นี่ราคาเดียวกันหมด คุณหญิงคุณนาย นายพลนายพัน เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนท่านเห็นเหมือนกันหมด ญาติโยมเขาก็เริ่มทำใจได้กันเยอะแล้ว ก่อนเข้าวัดก็ถอดยศถอดตำแหน่งกองเอาไว้ที่หน้าวัดก่อน มาตัวเปล่าดีที่สุด”

เถรี 26-03-2020 10:07

พระอาจารย์กล่าวว่า “สมมตินะ..สมมติว่าเราไม่มีหู จะใส่หน้ากากอย่างไร ? ...(หัวเราะ)... ก็คือถ้าอาตมาเป็นบริษัทผลิตหน้ากาก ต้องคิดเผื่อว่าคนไม่มีหูเขาต้องใส่ได้ แทนที่จะทำเป็นที่คล้องหู ก็ควรจะทำเป็นสายรัดข้ามหัวไปเลยไหม แบบหน้ากากออกซิเจนบนเครื่องบิน ถ้าหากว่าคิดข้ามช็อตแบบนั้นจะแก้ไขได้ทุกปัญหา ไม่มีหูก็ใส่ได้ แต่ถ้าไม่มีจมูกก็ไม่ต้องใส่..!”

เถรี 26-03-2020 10:08

พระอาจารย์รับของที่กำลังตกขณะให้พร “โปรดอย่าขี้ตกใจ จะทำให้แก้ไขสถานการณ์ไม่ได้ ให้พรไปมือก็จับได้ ...(หัวเราะ)... คือมีอะไรแบบนี้บ่อย ๆ ทำอะไรได้เดี๋ยวญาติโยมรู้หมด..!

สำคัญที่สุดคือสภาพจิตที่มั่นคงไม่หวั่นไหว ถ้าหากว่าสภาพจิตมั่นคงไม่หวั่นไหว รัก โลภ โกรธ หลง ก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ หมานี่รู้มากกว่าคน ที่นี่ตวาดแว้ดคนหัวหด ส่วนที่วัดตวาดแว้ดหมาเลียแผล็บ ไม่สนใจเลย ...(หัวเราะ)...”

เถรี 26-03-2020 19:32

พระอาจารย์กล่าวว่า “การไปธุดงค์สิ่งหนึ่งที่ได้ก็คือ การเอาตัวรอดในป่า ไม่ได้พูดถึงหลักธรรมที่จะได้นะ

คำว่า การเอาตัวรอดในป่า คือ บางทีเดินไปสิบกว่าวันไม่มีบ้านคน แล้วจะทำอย่างไร ? หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยฉันใบเปราะป่า พวกเราไม่รู้จักต้นเปราะ...อดตายอีก ...(หัวเราะ)... ใบสักเท่าฝ่ามือนี่แหละ มีลอน ๆ ของเส้นใบอยู่หน่อยหนึ่ง ส่วนใหญ่ใบจะมีลาย ๆ ไปดึงใบกลางที่ยังม้วน ๆ ขึ้นมาแล้วก็ฉัน

ที่ตลกกว่านั้นก็คือ เวลาไปกับกะเหรี่ยงเขาสอนให้กิน ใบไม้อย่างนี้กินได้ แบบนี้กินไม่ได้ ก็ไปเจออย่างหนึ่งกินได้ ใบโตประมาณฝ่ามือเหมือนกัน ต้นก็ขึ้นติดกับดินนี่แหละ ก็เก็บ ๆ ๆ ได้มาถังเบ้อเริ่มเลย เป็นถังเลยนะ ขนาดถังพลาสติกสังฆทาน ปรากฏว่าพอลวกน้ำร้อนแล้วเหลือหยิบมือเดียว หดหายหมดเลย ...(หัวเราะ)... คิดว่าเก็บไปทำไมเป็นถัง ? ที่ไหนได้เหลือไม่ถึงครึ่งชาม..!”

เถรี 26-03-2020 19:33

“ยังดีว่าเวลาธุดงค์แล้วมีฆราวาสผู้ชายไป เพราะว่าศีลพระบางทีก็ห้ามโน่นห้ามนี่ ห้ามพรากของเขียวก็เด็ดใบไม้ใบหญ้าไม่ได้ บางทีก็ชวนกันกินของยากอย่างยอดหวาย โอ้โฮ..กว่าจะดึงลงมาได้สักยอดหนึ่ง บางทีก็ดวงเฮงมากเลย มีเจ้าของคอยหวง กำลังดึง ๆ อยู่ ต่อบ้าง แตนบ้าง ไล่ต่อยหัวหูปูดหมด คราวนี้บางทีไม่มีต่อ ไม่มีแตน พอฟันยอดเข้า มดที่ทำรังอยู่ก็แห่กันออกมา

ยอดหวายนี่เขาเรียกว่าอาหารชั้นสูง อยู่สูงลิบเลย..! ก็ลักษณะเดียวกันแหละ ปอกไปปอกมา อุตส่าห์ฟันเสียจนป่าจะถล่มทลายคิดว่าได้เยอะ พอถึงเวลาส่วนที่กินได้เหลืออยู่ประมาณหัวแม่มือ ช่างมีมานะกันจริง ๆ..! เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าอยู่บ้านแล้วใครบ่นว่าจะกินแกงยอดหวายนี่อาตมาจะ "โบก" ให้..! รู้หรือเปล่าว่าทำยากแค่ไหน ...(หัวเราะ)...”

เถรี 26-03-2020 19:35

“ของที่กินง่ายที่สุดก็คือพวกเต่ารั้ง เต่ารั้งเป็นต้นปาล์มชนิดหนึ่ง ถึงเวลาก็ฟันยอดมาแล้วลอกเอาข้างใน พอหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วเหมือนอย่างกับหน่อไม้ กรอบสดทีเดียว จัดการต้มน้ำ เทลงหม้อ พอรอให้สุกก็แกะเครื่องปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเทลงไป ถ้าได้รสน้ำพริกเผาหรือต้มยำก็ยิ่งดี เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม เพราะว่าไม่มีให้แลก ทนกินไปเถอะ..!

บางทีพระท่านออกมาพูดกันข้างนอก ได้ยินแล้วอยากจะถีบให้สักที ท่านบอกว่า “อาจารย์พาไปธุดงค์เที่ยวนี้ พาไปกินแกงเต่าเสียหลายวัน” คนก็มองตาเขียวปั๊ด พระไปเอาเต่ามาแกงหรืออย่างไร..!? กว่าจะเฉลยว่าเป็นต้นเต่ารั้ง ...(หัวเราะ)...

แล้วเวลาเดินป่านั้น ส่วนที่ง่ายที่สุดก็คือไปตามลำห้วยลำธาร นอกจากไม่รกมากแล้ว ยังหากินอะไรง่าย แต่คราวนี้ก็อย่างว่าแหละ พระจะไปล่าสัตว์อะไรได้ ต่อให้เห็นอยู่ตรงหน้าก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ บางทีไปเจอกระทิงตัวใหญ่พอ ๆ กับช้างเลย ได้แต่นั่งภาวนาให้กระทิงเป็นลมตาย พวกเราจะได้มีเนื้อกระทิงกินบ้าง..!”

เถรี 26-03-2020 19:37

“บางช่วงพอเดินป่าติด ๆ กันเป็นอาทิตย์ ๆ บางทีก็เป็นเดือน ร่างกายขาดสารอาหารมากก็หิวไส้แขวนเลย มองลงไปในลำธาร โอ้โฮ...อะไรจะอุดมสมบูรณ์ปานนั้น พวกปลาเวียนตัวยาวประมาณแขนเรา แล้วแหม...แต่ละตัวรูปร่างอย่างกับตอร์ปิโด ทุกตัวจะหันทวนน้ำหมด มีอะไรหล่นใส่น้ำนี่พุ่งใส่กันเป็นร้อยเลย แย่งอาหารชิ้นเดียวกัน แล้วทำอย่างไร..ก็ได้แต่มอง เพราะว่ารอว่าเมื่อไรปลาจะเป็นลมตาย จะได้เอามากิน..!

ในเมื่อล่าสัตว์ไม่ได้ เหลืออย่างเดียวก็คือพวกผักพวกหญ้า หลายอย่างอาตมาไม่รู้มาก่อนเลยว่ากินได้ พืชผักบางอย่างต้องเผาไฟก่อน ประมาณสะเดาฟาดไฟอะไรอย่างนั้น เผาไฟแล้วจะอร่อย บางอย่างก็ต้องลวกต้องต้มก่อน บางอย่างก็กินสดได้เลย

กว่าจะรู้ว่าอะไรกินได้ อะไรกินไม่ได้ก็หกล้มหกลุกมาเสียหลายป่า เพราะฉะนั้น..ปัจจุบันนี้เวลาเดินป่าแล้วชี้ว่าโน่นกินได้ นี่กินได้ ก็ไม่ต้องแปลกใจนะ เพราะว่าสมัยก่อนกินมาแล้วทั้งนั้น..!”

เถรี 26-03-2020 19:41

“อย่างลูกส้านนี่น่ากินมาก กลิ่นหอม บางทีชาวบ้านเรียกว่าขนุนป่า ตอนแรกก็สงสัย ขนุนบ้านเอ็งสิหน้าตาอย่างนี้..! แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรเลยนอกจากกลีบ เป็นกลีบหนา ๆ แล้วก็ห่อรวมกันเข้าไป จนดูเหมือนผลไม้ลูกหนึ่ง ...(หัวเราะ)...

แต่ส่วนที่น่าเสียดายที่สุดคือเถาวัลย์น้ำ เพราะว่าถ้าเราฟันส่วนยอดจะตายเลย คือไม่น่าเชื่อว่าเถาวัลย์จะเก็บน้ำได้เยอะขนาดนั้น ถึงเวลาฟันด้านโคนขาด ไปฟันด้านปลาย น้ำไหลจ๊อกลงมาเลย ถ้าฟันมาสักช่วงแขนหนึ่งนี่ได้น้ำเป็นแก้วใหญ่ ๆ เลย

ต้นไม้สมุนไพรบางอย่างต้มน้ำกินเข้าไปแล้วตาค้าง นอนไม่หลับ ดีดยิ่งกว่ากาแฟอีก พวกโลดทะนง โคคลาน กำลังกระทิง อะไรพวกนั้น โลดทะนงนี่หัวอยู่ใต้ดิน ต้องเรียกว่ารากนะ พวกกำลังกระทิงหรือโคคลานนี่ฟันเอาเฉพาะเปลือกก็ได้

บางที่น้ำไม่สะอาด เขาก็เอาเปลือกไม้บางอย่าง ชื่อภาษาไทยอาตมาไม่รู้จัก รู้จักแต่ชื่อกะเหรี่ยง เพราะว่าคนนำทางเป็นกะเหรี่ยง ถึงเวลาใส่ลงไปต้มด้วย น้ำจะเป็นสีเหลือง ๆ หน่อย เขาบอกว่าฆ่าเชื้อโรคได้”

เถรี 26-03-2020 19:42

“เพราะฉะนั้น..บางทีเข้าป่าไปธุดงค์ ไม่ต้องไปหวังเรื่องบรรลุธรรมอะไร เอาแค่การเอาตัวรอดในป่าก็เป็นเรื่องที่ศึกษากันแทบจะไม่รู้จบอยู่แล้ว

บางทีเห็นคนนำทางเขาเก็บรองเท้าแตะเก่า ๆ ไปครึ่งข้าง เอ็งจะเอาไปทำอะไรวะ ? ถึงเวลาหน้าฝนแล้วฝนตก เขาเอามีดปาดรองเท้าเก่า ๆ มาเป็นแผ่นบาง ๆ ไว้จุดไฟ โอ้โฮ..ติดดีอย่าบอกใครเลย ก่อไฟได้ด้วยพื้นรองเท้าแผ่นนิดเดียว สรุปก็คือรองเท้าที่เราโยนทิ้งแล้ว พวกที่หมาแทะนั่นแหละ ใช้ยังชีพในป่าได้..!”

เถรี 26-03-2020 19:43

ถาม : สมเด็จองค์ปฐมนั่งอยู่บนราหู ...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : คือวันก่อนไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดศีรษะทอง อัญเชิญสมเด็จองค์ปฐมท่านมา แล้วท่านก็พูดแบบล้อเล่นนั่นแหละ “ไม่มีที่นั่ง เอาตรงนี้ละวะ” แล้วท่านก็ประทับบนเศียรพระราหูไปเลย

เถรี 26-03-2020 19:43

ถาม : ผมต้องดูแลแม่ แล้วถ้าเกิดแม่ติดเชื้อโคโรนาจากผม ผมจะโดนโทษไหมครับ ?
ตอบ : ต้องแสดงความรักด้วยการกอดแม่ทุกวัน..!

ถาม : ถ้าแม่เกิดติดเชื้อขึ้นมา เราจะมีกรรมไหมครับ ?
ตอบ : กรรมอะไร ?

ถาม : กลัวครับ เหมือนเราติดเชื้อ แม่เป็นอัมพาตอยู่แล้ว ?
ตอบ : จะมีกรรมก็ต่อเมื่อเราเจตนาจะแพร่เชื้อให้แม่ ในเมื่อเราไม่ได้เจตนาแพร่เชื้อให้แม่ ถึงเวลาเชื้อดันตะกายตามเราเข้าบ้านไปเองจะไปโทษใครได้ ? ก็ต้องโทษกรรมเก่าของแม่

อย่าทำตัวเป็นลูกผู้ชายขนานแท้รับผิดชอบไปทุกเรื่อง แบบนี้เขาเรียกว่ารับผิดชอบแบบโง่ ๆ..!

เถรี 26-03-2020 19:45

ถาม : พอดีที่คลองไผ่ เขาจะมาประเมินภาษีใหม่ ทางอบต.เขาบอกว่าจากการที่เราให้เขาเช่าไว้นั้น ไม่ตรงประเด็นที่จะเป็นการครอบครองที่ จะคุยกับเขาอย่างไรหรือว่าต้องขอเจ้าที่ด้วยคะ ?
ตอบ : ต้องถามเขาสิว่าต้องทำอย่างไร ? จะได้แก้ไขทันเวลาหรือเปล่า ? ถ้าแก้ไขทันเวลาก็แก้ไป หมดท่าจริง ๆ แล้วค่อยไปใช้ไสยศาสตร์...(หัวเราะ)... อะไรที่ใช้ความสามารถของคนทั่ว ๆ ไปได้ ให้รีบทำไว้ก่อน

เถรี 26-03-2020 19:48

ถาม : มีตอนหนึ่งที่เหมือนร่างกายไม่ปกติมาก ๆ แล้วรู้สึกว่าตายแน่ ๆ ก็จับพระนิพพานคิดว่าไม่เอาแล้ว ไปดีกว่า แต่องค์ภาวนาก็ยังอยู่ แล้วรู้เลยว่าตอนนั้นเหมือนกับคาถาเงินล้านไม่เอาเลย ที่ขึ้นมากลายเป็นพุทโธกับโสตัตตะภิญญา ก็รู้ว่าไม่เอาแล้วจะเกาะพระ แต่ก็งงว่ายิ่งบีบคั้นก็ยิ่งกลายเป็นเหลือแต่โสตัตตะภิญญา พุทโธก็ไม่เอาเหมือนกัน พอรอดมาได้ก็มางง ๆ ว่า จะตายอยู่แล้วทำไมไม่เกาะพุทโธ แต่ภาพพระก็อยู่ พระนิพพานก็อยู่ หรือว่าองค์ภาวนาไม่ใช่สาระ ?

ตอบ : องค์ภาวนานอกจากไม่ใช่สาระแล้ว ยังทำให้ยึดติดอีกต่างหาก แต่เรื่องนี้พูดไปก็เกินความสามารถ อย่าเพิ่งไปพูดถึง สำคัญที่สุดคือว่า ก่อนตายกำลังใจเราเกาะความดีส่วนไหนได้บ้าง จะเป็นแบบใดแบบหนึ่งได้ทั้งนั้น เพราะถ้าหากว่าเกาะในส่วนของความดีได้ กุศลทั้งหมดจะเข้ามารวมตัว กำลังเรามีเท่าไรจะส่งผลให้ไปยังจุดที่เราต้องการ

แต่ถ้าเรามัวแต่เดี๋ยวจะเกาะอันโน้น เดี๋ยวจะเกาะอันนี้ ถ้าไม่ได้อย่างที่ฉันต้องการ ฉันไม่เอา ก็บรรลัยเท่านั้น เพราะเท่ากับว่าเราไปปฏิเสธในสิ่งที่จิตเราชินและแสดงออกเอง อะไรก็ได้ที่เป็นด้านความดีให้เอาไว้ก่อน แล้วหลังจากนั้นพอถึงเวลา ความดีทั้งหมดจะรวมตัวเอง แต่อย่าลืมว่านี่ยังเป็นการติดดีอยู่ ถ้าจะเอามากกว่านั้นต้องทำให้มากกว่านี้ แล้วถึงเวลาจะปล่อยดีเอง

เถรี 26-03-2020 19:50

ถาม : ปีนี้ลูกอยู่ ป.๕ สอบ แต่เขาสอบเข้าเรียนต่อได้แล้ว ย้ายไป ป.๖ โรงเรียนใหม่และต่อ ม.๑ ได้เลย เพราะโรงเรียนให้สอบก่อนได้ก่อน แต่ว่าหนูยังไม่ให้เขาเข้า จะให้เขาไปสอบปีหน้า แต่หนูก็ไม่รู้ว่าเขาจะสอบติดหรือเปล่า ?
ตอบ : แล้วทำไมต้องให้ลูกลำบากอีกปีหนึ่ง ?

ถาม : เพราะว่าหนูอยากพิสูจน์ความตั้งใจของเขาก่อน เพราะว่าค่าเทอมแพงค่ะ แล้วหนูกลัวว่าเดี๋ยวไปเรียนแล้วเขาจะไม่ตั้งใจ ?
ตอบ : ถ้าตั้งธงไว้แล้วก็ทำตามธงของเรา แต่ว่าถามใจลูกหรือเปล่าว่าลูกเขาต้องการหรือไม่ต้องการ
สิ่งที่เราตั้งไว้ ?

ถาม : เขาอยากเข้าปีนี้ แต่หนูอยากให้พิสูจน์ความตั้งใจเขาก่อนแล้วค่อยเข้าปีหน้า แต่หนูก็กลัวว่าเขาจะสอบไม่ติด ?
ตอบ : จำไว้ว่าตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้ สิ่งที่เราตั้งใจให้ลูกนั้นไม่เคยได้สักที แล้วยังจะไปยัดเยียดให้ลูกเขาอีก

เถรี 26-03-2020 19:51

นิสัยของจูนมีความบกพร่องอย่างร้ายแรงอยู่ที่หนึ่ง ก็คือต้องการที่จะบงการทุกอย่าง ตรงนี้จะทำให้ครอบครัวพังได้ง่าย ๆ ทำไมไม่ลองปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปโดยธรรมชาติบ้าง ? แล้วเราปรับใจให้ยอมรับแทน ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องยอมรับเรา ไม่ใช่เรื่องของหลวงพ่อที่จะพูดหรอก แต่เดี๋ยวเราก็ไปทำให้ทุกอย่างพังจนได้

สังเกตไหมว่าเวลาคนอื่นเขาทำอะไรที่ไม่ตรงกับความต้องการ เราจะรู้สึกขัดใจมาก แล้วก็โมโหข้ามวันข้ามคืน ? เป็นนิสัยที่เสียที่สุดเลย มีเด็กหลายต่อหลายครอบครัวที่อนาถมาก เพราะว่าสิ่งที่ตัวเองทำกับสิ่งที่พ่อแม่ต้องการนั้นไปกันไม่ได้ แล้วเด็กทั้งหลายเหล่านั้นก็โดนพ่อแม่ปั้นไปในทางที่ไม่ใช่ของตัวเอง

ปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามธรรมชาติ อย่าไปตั้งความหวังกับคนอื่น ลูกทำได้ดีแค่ไหน เราพอใจแค่นั้น ชีวิตจะมีความสุขขึ้นอีกมาก พอ ๆ กับพ่อแม่บางคนนั่นแหละ ลูกบวชอยู่ อยากให้ลูกอยู่ใจจะขาด ลูกก็จะสึกวันสึกพรุ่ง สิ่งที่พ่อแม่อยากกับสิ่งที่ลูกอยากเป็นคนละเรื่องกัน

คนรอบข้างไม่มีใครกล้าบอกเราหรอก เพราะเขารักตัวเขาเองมากกว่า เขากลัวเราโกรธ คราวนี้พอเราไม่รู้จุดบกพร่องตัวเอง เราก็แก้ไขตัวเองไม่ได้สักที

เถรี 28-03-2020 21:33

ถาม : ตัวรู้กับสติ คือตัวเดียวกันไหมครับ ?
ตอบ : สติคือการนึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว แต่ตัวรู้คือจิต ส่วนสติกับสัมปชัญญะเป็นการรับรู้ของจิต

ถาม : ถ้าเราทำสมาธิจนจิตเรามีสติสัมปชัญญะไปด้วย จะ... (ไม่ชัด) ?
ตอบ : เป็นไปได้อย่างไรที่ทำสมาธิแล้วจะไม่มีสติสัมปชัญญะ ? ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะก็ทรงสมาธิไม่ได้อยู่แล้ว ที่ไม่มีสติเดินตาลอยแก้ผ้าอยู่นั่นทำสมาธิได้ไหมเล่า ?

ถาม : การที่เราทำสมาธิดำดิ่งลงไป การที่เราดำดิ่งก็คือเรามีสติ ?
ตอบ : เรามีหน้าที่ตามดูตามรู้อยู่ ก็แปลว่าสติสัมปชัญญะต้องครบถ้วน ไม่อย่างนั้นเอ็งก็อาจจะหลุดจากสมาธิไปเพราะว่าสติตามไม่ทัน..!

เถรี 28-03-2020 21:37

ถาม : จริง ๆ แล้วลูกแก้วจักรพรรดิ นี่คือถือว่าเป็นบารมีของพระพุทธเจ้าหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งที่พระองค์ท่านให้เอาไว้ คนรู้จักใช้ประโยชน์ก็ได้ประโยชน์ไป รู้จักใช้มากได้มาก รู้จักใช้น้อยได้น้อย

ถาม : พอตอนที่ภาวนาด้วยองค์ภาวนาเป็นลูกแก้ว ไปนาน ๆ เข้า บางทีจะไม่ใช่ลูกแก้ว แต่จะเป็นลักษณะเหมือนกับเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า เป็นลักษณะของทรงกลมหรือเป็นกลุ่มเมฆหมอก ไม่รู้ว่าจะยังเป็นองค์ภาวนาไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าภาวนาตั้งใจจับลูกแก้วแปลว่าตั้งใจทำกสิณ ดังนั้น..แสดงว่าเราไปสนใจเรื่องอื่น ความเป็นกสิณก็ไม่มี

ถาม : ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อว่าอันนั้นเป็นบารมีพระพุทธเจ้าก็คือไม่ถูก ?
ตอบ : ดูว่าเราทำเพื่ออะไร ถ้าตั้งใจจับลูกแก้วเป็นกสิณ ไปสนใจอย่างอื่นก็ถือว่าเป็นกสิณโทษ เพราะว่าทำผิด

ถาม : ระดับสมาธิคือระดับความสว่างของลูกแก้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นกสิณ ระดับสมาธิสูงขึ้น ความเปลี่ยนแปลงก็จะมีตามไปด้วย เพราะฉะนั้น..จะสว่างมากสว่างน้อยขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิที่เราเข้าถึง

ถาม : ถ้าเกิดว่าระดับสมาธิตามภาพคือ ลูกแก้วเป็นลักษณะเหมือนไม่ใช่เป็นลูกแก้ว แต่รู้สึกว่าเป็นทรงกลม ๆ ใส ๆ บ้าง ยังถือว่าเป็นองค์กสิณของลูกแก้วไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเริ่มติดตาก็เป็นอุคหนิมิต ระดับสมาธิถือเป็นอุปจารสมาธิ

เถรี 28-03-2020 21:51

ถาม : ถ้าเราเชื่อว่าลูกแก้ว ...(ไม่ชัด)... ได้ไหมครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นความเชื่อ เรื่องของวัตถุมงคลเรายิ่งเชื่อมั่นเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้รับผลสูงกว่าคนที่เชื่อมั่นน้อย คราวนี้ของเราตกลงว่าจะทำอะไร ? ถ้าหากว่าจะจับภาพลูกแก้วเป็นกสิณ ก็ไม่ให้สนใจอย่างอื่น ไม่อย่างนั้นก็โดนลากเตลิดเปิดเปิงไป กสิณก็ไม่ได้สักที

ถาม : คือเชื่อมั่นอยู่แล้วครับ แต่รู้สึกว่าเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าจะเชื่อมั่นได้มากกว่า ?
ตอบ : ก็เชื่อไป ใครเขาห้ามคุณ ?

เถรี 28-03-2020 21:52

ถาม : ถ้าทำสมาธิแล้วตัน ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้วิปัสสนา ถือว่าเปล่าประโยชน์ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เปล่าประโยชน์ทุกครั้งที่เราทำนั่นแหละ แต่ถ้าพลาดเมื่อไรก็จะเลี้ยงโจรไว้ปล้นตัวเอง เพราะว่ากำลังสมาธิถ้าไม่ได้ใช้งาน กิเลสคว้าไปใช้เมื่อไรเราก็สาหัส

เถรี 28-03-2020 21:56

ถาม : ถ้าเกิดว่าปฏิบัติถูกทางคือ ๗ ปีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ตั้งแต่ ๑ วัน แต่ไม่เกิน ๗ ปี ส่วนที่คุณฟุ้งซ่านมานั่นเกิน ๗ ปีแล้ว..!

ถาม : คนที่ปรารถนาพระโพธิญาณจะมีอะไรที่วัดว่าเดินมาถูกทาง อย่างไปพระนิพพานถ้าเดินมาถูกทางก็ ๗ ปี ?
ตอบ : คนปรารถนาพระโพธิญาณต่ำสุด ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป ไม่ใช่ ๗ ปี..!

ถาม : หมายถึงว่า ๗ ปี เราก็ดูได้เลยว่าเราได้หรือเปล่า แต่ว่าถ้าคนที่ปรารถนาพระโพธิญาณคือยาวนานมากจนเราไม่รู้จะไปถูกทางหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่มีใครสามารถรับรองคุณได้หรอก ต้องลองผิดลองถูก ขึ้นสูงลงต่ำไปเรื่อย แม้กระทั่งชาติท้าย ๆ ยังลงนรกอย่างโตเทยยพราหมณ์

เถรี 28-03-2020 21:58

ถาม : การที่เราเห็นสภาพจิตใจเขาว่าเป็นอย่างไร ถือว่าเป็นทิพจักขุญาณไหมครับ ?
ตอบ : ต่อให้เป็นก็เป็นในด้านที่ไม่ดี เพราะว่าต้องดูของตัวเองแล้วแก้ไขที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปสนใจเรื่องของคนอื่น

เถรี 28-03-2020 22:00

ถาม : เวลาที่ทำงานมาสมองเครียด ๆ พูดถึงเครื่องดื่มที่ดื่มแล้วจะช่วยได้ ก็มีนมอยู่เยอะ มีอะไรที่ไม่ต้องเป็นนมก็สามารถช่วยได้ ?
ตอบ : กัญชา..!

ถาม : เครื่องดื่มล่ะครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับใครชอบอะไรแบบไหน ถ้าเขาชอบอย่างนั้นก็ผ่อนคลายของเขา เห็นพวกญี่ปุ่นเขาไม่เห็นต้องกินเลย เขาแค่ชงชาก็ผ่อนคลายแล้ว

เถรี 28-03-2020 22:00

ถาม : การที่เราเห็น ไม่ว่าจะเป็นตัวเราหรือวัตถุใด ๆ ก็ตาม แตกตัวเป็นลักษณะกระจายตัวเป็นอะไรก็ไม่รู้ แบบนั้นคืออะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นส่วนหนึ่งของวิปัสสนาญาณก็คือในส่วนของการเห็นความดับ เขาเรียกว่า ภังคานุปัสสนาญาณ แต่คราวนี้ของเราเหมือนกับจับแพะชนแกะไปเรื่อย พอถึงเวลาทำอย่างนี้โดนดึงความสนใจก็ไปอย่างโน้น พอความสนใจใหม่มาก็ไปอย่างโน้น ทำอะไรไม่จริงสักอย่างหนึ่งก็ได้แบบเป็ด..!

เถรี 28-03-2020 22:02

ถาม : สมมติว่าเกิดเหตุคับขันมา แล้วเราใส่หมดเลยที่เรามีอยู่ ถือว่าเป็นโทสะไหมครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้นของเราเองตั้งใจอะไรไว้ ? ถ้าหากว่าเป็นสติ สมาธิ ปัญญา ทั้งหมดที่มีอยู่ อาจจะหาช่องทางที่ดีกว่านั้นได้ แต่คราวนี้ความคับขันของเราก็ต้องแยกออกด้วยว่าเป็นความคับขันลักษณะไหน ? พอที่จะหลบจะหลีกหรือเปล่า ? หรือว่าต่อให้กูเห็นช่องทางหลบหลีกได้ กูก็ชนอย่างเดียว ? ถ้าลักษณะนั้นจะเป็นไปทางโทสะจริตมากกว่า

เถรี 28-03-2020 22:10

พระอาจารย์ท่องบทกลอนให้ฟัง

"ครานั้นแสนตรีเพชรกล้า..............โกรธาตาแดงดั่งแสงครั่ง
เหม่อ้ายนี่หนักหนาว่าไม่ฟัง............มาโอหังอวดรู้สู้สงคราม
เท้ากระทืบกระทบโกลนโผนผก.......มุ่นหมกขับคว้างมากลางสนาม
ท่วงทีขี่ม้าสง่างาม......................รำง้าวก้าวตามกระบวนทวน"

เด็กรุ่นหลังนี่ฟังแล้วบ้าเลย รำง้าวแต่เป็นกระบวนทวน ? เขาหมายถึงสวนเข้าหา ก็คือท่าบุกนั่นแหละ เขาเรียกว่า กระบวนทวน คนดันไปตีว่าเป็นทวนคืออาวุธ ทวนก็คือสวนเข้าหาคู่ต่อสู้

ขุนช้างขุนแผนเขาสอนวิชาการโบราณเอาไว้เยอะ ไม่ว่าจะเป็นเวทมนต์คาถา ผูกหุ่น เรียกผี ล่องหนหายตัว ฯลฯ

ตำราดาบฟ้าฟื้นนั่นคือตำราสร้างมีดหมอ ส่วนตำรากุมารทองทำตามนั้นได้เลย ไม่หวงวิชาเลย ท่านใส่ไว้ให้หมดเลย ขุนแผนพาพวกเดนคุกไป ๓๕ คน ตั้งกองทัพลงไป เสกข้าวสารกลายเป็นกองทัพมาแทน ค่ายคูประตูหอรบก็ไม่เห็นมีอะไร ตัดกิ่งอ้อมาปัก ๆ แค่ไม่กี่อัน คือให้มีวัตถุเป็นเครื่องโยงหน่อย ‘พอแม่ทัพจับซัดข้าวสารปร๋อ แขมอ้อกลายไปเป็นไม้แก่น’ แน่นเสียยิ่งกว่าค่ายจริง ๆ"

เถรี 28-03-2020 22:16

ถาม : ไม่จำเป็นต้องถึงกับเอาธาตุมาทำหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : แค่อาศัยหน่อยเดียว ไม่ต้องมาก ก็แบบเดียวกับ ‘พลายงามตัวเอกเสกก้อนดิน นกหายกลายปลิ้นไปเป็นช้าง’ อย่างน้อยก็อาศัยปฐวีธาตุหน่อย

ถาม : ที่เหลือนั่นคู่ต่อสู้เห็นไปเองหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไอ้นั่นของจริงเลยนะ มาเป็นตัว ๆ เลย ‘ขุนแผนหายกลายกลับเป็นเสือโคร่ง เขี้ยวโง้งโดดหลอกกลอกกลับ ล่อควายบ่ายมาหน้าที่ประทับ ตบขวับขวิดผึงทะลึ่งลอย’ ไม่ใช่แค่คู่ต่อสู้เห็น แต่คนทั้งสนามเป็นหมื่นเป็นพันเห็นเหมือนกัน แบบเดียวกับหลวงพ่อดอกไม้ วัดดอนเจดีย์ ลูกศิษย์หลวงปู่ยิ้ม เสกควายธนูนี่ประเภทวิ่งให้เห็นเป็นตัว ๆ เลย

เถรี 28-03-2020 22:18

ถาม : แล้วจะให้คืนเหมือนเดิม ?
ตอบ : เขามีคาถาถอน คาถาย้อน

ถาม : แล้วถ้าคนเดียวสามารถเอาชนะทั้งกองทัพได้ไหมคะ ?
ตอบ : หลวงปู่ศุขบอกเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ ว่า “ถ้าศึกเสือเหนือใต้มาแล้วบพิตรคิดว่ารับไม่ไหว ขอให้แจ้งมา อาตมาจะสึกสักพักหนึ่ง” แล้วท่านก็แสดงให้ดู ใช้ปืนคาบศิลายิงไปนัดเดียวโดนใบบัวทั้งสระ นั่นคือกระสุนคด นัดเดี๋ยวก็กวาดหมดกองทัพแล้ว ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก

เถรี 28-03-2020 22:37

ถาม : ตอนนี้หลายวัดงดเว้นจัดกิจกรรมปฏิบัติธรรม เพราะสถานการณ์โควิด จะทำอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : ก็ทำที่บ้านได้นี่หว่า..ถ้ามัวแต่รอพึ่งพิงคนอื่นก็เอาตัวไม่รอด ต้องยืนหยัดให้ได้ด้วยตัวเอง

เถรี 28-03-2020 22:44

ถาม : สมัยที่มีโรคระบาดที่เมืองเวสาลี แล้วพระพุทธเจ้าให้พระอานนท์สวดมนต์บทหนึ่งเพื่อทำน้ำมนต์ แล้วก็เทไปในแม่น้ำ ?
ตอบ : อย่าเพี้ยน...เอาไปพรม ไม่ได้เอาไปเท

ถ้าได้พระขนาดพระอานนท์มาทำน้ำมนต์จะขลังมาก เพราะว่ารตนสูตรนั้นอ้างคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยตลอด บุคคลที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ความเคารพในคุณพระรัตนตรัยจะแน่นแฟ้นไม่คลอนคลาย เห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ในเมื่อเอ่ยอ้างขึ้นมา เชื่อถือได้ มั่นใจได้จริง ๆ อานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ก็เลยเกิดขึ้น

ถ้าอย่างพวกเรานะหรือ ? ท่องเพราะหวังจะรอด เพราะฉะนั้น..ในเมื่อศรัทธาไม่เท่ากันก็ลำบากหน่อย

เถรี 28-03-2020 22:44

:cebollita_onion-17::cebollita_onion-17: เก็บตกเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ หมดแล้วค่ะ :cebollita_onion-17::cebollita_onion-17:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี เผือกน้อย นายกระรอก และทะเล


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:37


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว