กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=118)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8491)

ตัวเล็ก 04-04-2022 18:09

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๖๕



เถรี 04-04-2022 23:30

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ความเย็นที่คงตัวมาประมาณ ๓ วันก็น่าจะเกิดอาการ "หมดโปร" เพราะว่าช่วงเย็นวันนี้ อากาศก็เริ่มกลับมาร้อนเหมือนเดิมแล้ว

เมื่อเช้านี้ช่วงที่เจริญพระกรรมฐาน อากาศยังเย็นอยู่ ท่านท้าวเวสสุวรรณเมตตาบอกว่า ความเย็นครั้งนี้ไม่ใช่ลมกรดขั้วโลก หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Polar Vortex หากแต่เป็นความกดอากาศสูงที่แผ่มาจากทางประเทศจีน ซึ่งระยะนี้ความเปลี่ยนแปลงของอากาศมีสูงมาก ถ้าหากว่าพวกเราไม่ระมัดระวังให้ดี เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ผู้คนก็จะเจ็บไข้ได้ป่วยง่าย

ในขณะเดียวกัน โรคภัยไข้เจ็บที่ยังมีมากอยู่ คือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ก็จะทำการซ้ำเติมให้ผู้ป่วยมีจำนวนที่มากขึ้น ดังนั้น...ถ้าภายในไม่กี่วันนี้ ยอดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เพิ่มมากขึ้น ก็ขอให้รู้ว่าความกดอากาศสูงจากประเทศจีนที่แผ่ลงมานั้นมีส่วนในครั้งนี้ด้วย

อีกส่วนหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึงก็คือคำว่า "ลมกรด" คำว่า "กรด" ในภาษาโบราณนั้นมีความหมายว่า คมกริบ รุนแรง ดังนั้...ลมกรดคือลมที่มีความคมสูงมาก ความคมสูงในที่นี้ไม่ใช่ความแรงแบบพายุทั่วไป แต่เป็นความคมที่สามารถบดทำลายกายทิพย์ได้..!

เรื่องนี้บอกกล่าวไปก็น่าจะมีคนเข้าใจได้น้อย แต่ขอให้รู้ว่า การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะสามารถส่งกายทิพย์ออกไปจากร่างกายนี้ ออกไปสู่ดวงดาวอื่น ๆ นั้น ถ้าหากว่ากำลังของสมาธิไม่เพียงพอที่จะป้องกันตัวเอง ก็จะโดนลมกรด ซึ่งก็คือสภาพบรรยากาศที่เราไม่คุ้นเคยนั้น บดขยี้กายทิพย์จนแตกทำลายไปได้ ท่านทั้งหลายก็จะกลายเป็น "อรูป" โดยไม่เจตนา แม้ว่าจิตจะคงอยู่ แต่ไม่มีรูปให้อาศัย

ส่วนอีกหลายท่าน ถ้าหากว่าได้อภิญญา ๕ เป็นบุคคลที่ประกอบไปด้วยอิทธิวิธิ ทรงกสิณ ๑๐ ได้เป็นปกติ จะยกกายหยาบออกจากโลกนี้ไป ถ้าหากว่ากำลังของท่านไม่เพียงพอ ก็จะโดนลมกรดชั้นสูง ๆ ขึ้นไป บดขยี้จนกระทั่งกายหยาบนี้แหลกเป็นจุณไปเช่นกัน

ถ้าหากว่าเราศึกษาในเรื่องของภูมิอากาศ ก็จะรู้ว่าทางวิทยาศาสตร์ได้แบ่งชั้นบรรยากาศออกเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป ตั้งแต่โทรโพสเฟียร์ สตราโทสเฟียร์ เมโซสเฟียร์ ไอโอโนสเฟียร์ เป็นต้น แล้วหลังจากชั้นเอ็กโซสเฟียร์ก็จะหลุดไปสู่ห้วงอวกาศ ซึ่งปราศจากแรงโน้มถ่วง ทำให้วัตถุธาตุต่าง ๆ ต้องลอยละล่องไปตามยถากรรม

เถรี 04-04-2022 23:33

ตรงจุดนี้มีอยู่ส่วนหนึ่งที่เป็นการกำเนิดดวงจิตขึ้นมาได้ เรื่องทั้งหลายบอกกล่าวไป ท่านทั้งหลายก็คงจะฟังแล้วเครียด เนื่องเพราะว่าการที่จะกำเนิดมนุษย์ขึ้นมาได้นั้น จะต้องประกอบไปด้วยมหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ หกอย่างนี้มาประชุมสุมรวมกันแล้ว ก็ยังไม่สามารถนับเป็นมนุษย์ได้ เพราะว่ามีสภาพเหมือนกับพืชผัก แต่ว่าเป็นพืชผักในระดับที่สามารถเคลื่อนไหวได้ จับอาหารกินได้ ในลักษณะของพืชกินสัตว์ต่าง ๆ จึงต้องประกอบไปด้วยดวงจิตที่เข้ามาอาศัยอยู่ เหมือนกับคนขับรถที่เข้ามาบังคับรถคันนั้น ให้ไปตามหนทางต่าง ๆ ที่ตนเองต้องการ

การที่จะมามีดวงจิตปรากฏขึ้น เพื่ออาศัยกายนี้ในระยะแรกนั้น ก็ต้องอาศัยการเกิดขึ้นของดวงจิตในจักรวาลต่าง ๆ ซึ่งมีการหมุนวนของแร่ธาตุอื่น ๆ ปะปนวนเวียนกันไป จนกระทั่งท้ายสุด แร่ธาตุทั้งหลายประกอบกันลงตัวเป็นดวงจิตขึ้นมา ดวงจิตนี้เมื่อเปะปะไปเจอที่ซึ่งอาศัยได้ คือกายหยาบนี้ ก็เข้าไปอาศัย จึงก่อเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมาได้

ดังนั้น...การกำเนิดมนุษย์นั้น ส่วนที่ง่ายที่สุดก็คือเกิดจากพ่อแม่มนุษย์ด้วยกัน ส่วนที่ยากรองลงไปก็คือมาจากอาภัสรพรหมตอนต้นกัป ที่ลงมากินง้วนดินจนกระทั่งกายหยาบ ไม่สามารถจะกลับคืนไปยังพรหมโลกได้ ก็จะต้องอยู่ในโลกนี้ ค่อย ๆ วิวัฒนาการไปเป็นแสนเป็นล้านปี จนกระทั่งปรากฏเพศขึ้นมา จึงจะเป็นต้นกำเนิดของมนุษย์ทั้งหลาย

ส่วนการเกิดของมนุษย์ที่ยากที่สุดนั้น ก็คือการที่ต้องรอให้ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม ผสมรวมกับอากาศธาตุและวิญญาณธาตุ แล้วมีดวงจิตเข้ามาอาศัยอยู่ ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ต้องอาศัยเวลาเป็นกัปเป็นกัลป์จึงสามารถที่จะเกิดขึ้นได้สักคนหนึ่ง แต่ว่าก็ยังสามารถที่จะเกิดขึ้นได้

ส่วนนี้ถ้าหากว่าเราทั้งหลายกำหนดจิตพิจารณาในวิปัสสนาญาณ สามารถแยกธาตุทั้ง ๔ ออกมา เห็นว่าส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน จับได้ต้องได้ ซึ่งประกอบไปด้วย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เยื่อในกระดูก เส้นเอ็น อวัยวะภายในใหญ่น้อย เช่น ปอด ตับ ม้าม หัวใจ ลำไส้น้อย ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น และอวัยวะภายนอกที่เป็นหัว หู หน้า ตา แขน ขา ต่าง ๆ ส่วนทั้งหลายที่แค่นแข็ง จับได้ต้องได้นี้คือธาตุดิน เราลองแยกออกมากองเอาไว้

เถรี 04-04-2022 23:35

ส่วนต่อมา คือส่วนที่เอิบอาบชุ่มชื้น ไหลไปมาได้ในร่างกายของเรา ประกอบไปด้วย เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ไขมันเหลว ปัสสาวะ เป็นต้น ส่วนนี้เป็นธาตุน้ำ เราแยกเอาไว้อีกกองหนึ่ง

ส่วนที่อยู่ในช่องว่างของร่างกาย ส่วนที่พัดไปมาในร่างกาย เช่นพัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย ส่วนที่ค้างอยู่ในท้องในไส้ เหล่านี้เป็นธาตุลม ได้แก่ ลมที่อยู่ในช่องหู ช่องจมูก ลมที่ค้างในท้องในไส้ที่เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปมาทั่วร่างกาย ที่เรียกว่าความดันโลหิต เราแยกเอาไว้อีกกองหนึ่ง

ส่วนที่เป็นความอบอุ่น ช่วยกระตุ้นร่างกายนี้ให้เจริญเติบโต เผาผลาญร่างกายนี้ให้ทรุดโทรมลง ช่วยในการสันดาปเผาย่อยอาหาร ยังร่างกายนี้ให้กระวนกระวายในยามป่วยไข้ เรียกว่าธาตุไฟ เราลองแยกเอาไว้อีกกองหนึ่ง

ส่วนนี้คือธาตุดิน ส่วนนี้คือธาตุน้ำ ส่วนนี้คือธาตุลม ส่วนนี้คือธาตุไฟ เมื่อแยกออกมาแล้ว ตัวเราของเรานั้นไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย แม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่มี

ตรงจุดนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายพยายามทำบ่อย ๆ จนกระทั่งเคยชิน ก็จะเห็นว่าชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา สักแต่ว่าเป็นสิ่งที่เรามาอาศัยอยู่ เหมือนกับเสื้อผ้าชุดหนึ่ง เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเก่าแล้ว หมดสภาพ เราก็ต้องทิ้งเสื้อผ้าชุดนี้ ทิ้งรถยนต์คันนี้ ไปแสวงหาเสื้อผ้าชุดใหม่ หรือว่ารถยนต์คันใหม่ตามบุญตามบาปที่เราได้สร้างมา

ถ้าหากว่าสร้างบุญเอาไว้ดี ก็ได้เสื้อผ้ายี่ห้อดี ๆ ราคาแพง ๆ ได้รถยนต์ยี่ห้อหรู ๆ ราคาแพง ๆ แต่ถ้าหากว่าสร้างบุญมาไม่ดี ก็อาจจะได้เสื้อผ้าเก่า ๆ ฉีกขาดที่คนเขาเหลือใช้แล้ว หรือว่าได้รถยนต์เก่า ๆ วิ่งไปซ่อมไป ไม่รู้ว่าจะพังลงไปเมื่อไร ถ้าหากว่าสร้างบุญไว้น้อยจริง ๆ ก็อาจจะเป็นจักรยานโปเกที่ปั่นไปซ่อมไปก็เป็นได้

ถ้าท่านทั้งหลายใช้วิธีพิจารณาในกายคตานุสติ ประกอบกับธาตุ ๔ ที่เรียกว่า จตุธาตุววัฏฐาน นี้บ่อย ๆ ซึ่งทางสายอีสานหรือวัดป่าเรียกว่า "วิชาม้างกาย" ก็คือประกอบธาตุนี้ขึ้นมาเป็นร่างกาย มีหัว มีหู มีหน้า มีตา แล้วก็ค่อย ๆ แยกชิ้นส่วนให้พังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา เน่าเปื่อยผุพังไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย

เถรี 04-04-2022 23:37

ตั้งกายขึ้นมา แล้วแยกชิ้นส่วนจนไม่เหลืออะไรเลย แล้วประกอบกลับเข้าไป จากนั้นจับแยกออกมาใหม่ เมื่อทำบ่อย ๆ จนเห็นความจริง ความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้ของท่านก็จะมีน้อยลง น้อยลง สภาพจิตของท่านก็จะได้รับการขัดเกลาที่ผ่องใสมากขึ้น มากขึ้น

เมื่อท่านไม่ยึดในร่างกายนี้ ก็ย่อมไม่ยึดในร่างกายคนอื่น ก็ย่อมไม่ยึดในร่างกายสัตว์อื่น ก็ย่อมไม่ยึดในวัตถุธาตุใด ๆ ในโลกนี้ ก็สักว่าเป็นแต่เพียงผู้อยู่ เป็นแต่ผู้อาศัย กระทำคุณงามความดี เพราะคนเขาว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความดีเราก็ทำ ละเว้นจากการกระทำความชั่ว เพราะสาธุชนทั้งหลายเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความชั่ว

เมื่อดีก็กระทำ ชั่วก็ละ แต่ไม่ติดทั้งดีทั้งชั่ว ท่านทั้งหลายก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากร่างกายนี้ หลุดพ้นจากโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้ ไม่เกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ ไม่เกิดในกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ หรือ อรูปาวจรภูมิ หากแต่ว่าท่านทั้งหลายจะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายต้องประกอบไปด้วยความพากเพียร คือวิริยบารมีอย่างสูง ประกอบไปด้วย ขันติ คือความอดทนอดกลั้นเป็นอย่างสูง และพยายามสร้างเสริมสมาธิให้มีกำลังมาก แล้วใช้ปัญญาพิจารณาตัดรอน ขัดเกลาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไปเรื่อย ๆ ท่านทั้งหลายก็จะสามารถเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ดังที่ตั้งความปรารถนาเอาไว้

วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเราและบอกกล่าวแก่ญาติโยมทุกท่านแต่เพียงเท่านี้



พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:36


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว