กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนธันวาคม ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=111)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8232)

ตัวเล็ก 15-12-2021 20:12

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๔
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๔



เถรี 15-12-2021 22:43

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ โดยปกติแล้วก็คือต้องเดินทางไปเตรียมเป็นคณะกรรมการในการตัดสินบุคคลที่จะได้รับรางวัลเสาเสมาธรรมจักร ประจำปี ๒๕๖๕ แต่คราวนี้เนื่องจากว่าไม่อยู่หลายวัน เพิ่งจะกลับมา แล้วถ้าไปอีก ญาติโยมที่รอเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนอยู่ ก็คงจะไม่ยินดีเท่าไร จึงต้องใช้วิธีอยู่บันทึกเสียงเสียก่อนแล้วค่อยเดินทาง

สำหรับวันนี้กระผม/อาตมภาพได้ไปรับวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เข็มที่ ๓ มา ก็คือจาก แอสตราเซเนกาเข็มที่ ๑ และเข็มที่ ๒ ก็มาต่อด้วยไฟเซอร์ ต้องบอกว่าการรับวัคซีนในระยะหลังนี้ ญาติโยมส่วนหนึ่งต้องการความกล้าหาญเป็นอย่างมาก เนื่องเพราะว่าวัคซีนเชื้อเป็น (
mRNA) ไม่มีผลการทดลองในการบูสต์เข็มที่ ๓ แล้วก็ยังมีข่าวคราวที่ไม่ดี ผู้ที่รับวัคซีนไปแล้วเสียชีวิต ซึ่งมีจำนวนไม่ใช่น้อย แม้แต่ล่าสุดที่ทองผาภูมินี้ก็มีเสียชีวิตไป ทั้งที่อายุเพิ่งจะ ๔๐ ปี..!

ตรงส่วนนี้ถามว่า แล้วทำไมกระผม/อาตมภาพถึงไปรับวัคซีนเข็มที่ ๓ ? ก็ต้องบอกว่า อันดับแรกก็คือเลิกกลัวตายมานานแล้ว คำว่า เลิกกลัวตายในที่นี้ ไม่ใช่การแสวงหาความตาย มีนักปฏิบัติธรรมอยู่ส่วนหนึ่งที่ปฏิบัติไปถึงในระยะหนึ่ง แล้วก็แสวงหาความตาย อยู่ในลักษณะที่ว่าเบื่อหน่ายร่างกายนี้ เบื่อหน่ายโลกนี้ ตายเสียดีกว่า ถ้าลักษณะอย่างนั้นเป็นกำลังใจที่ผิดพลาด ตายตอนช่วงนั้น จิตใจเศร้าหมอง อาจจะลงอบายภูมิได้

นักปฏิบัติที่แท้จริงนั้นไม่ได้แสวงหาความตาย คือไม่ได้อยากตาย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่กลัวความตาย เพราะเห็นเป็นปกติว่าความตายนั้นเป็นธรรมดาของมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนาม ไม่ว่าจะเป็นขันธ์หยาบ ก็คือสภาพร่างกายอย่างพวกเรา หรือว่าขันธ์ทิพย์อย่างของเทวดา นางฟ้า พรหม ถึงเวลาก็ตายเช่นกัน เพียงแต่เทวดา นางฟ้า พรหม เขาใช้คำว่า จุติ คือ เคลื่อนไปจากอัตภาพนั้น ถ้าพูดกันในภาษาชาวบ้านก็คือตายเช่นกัน

การที่เราจะปฏิบัติมาให้ถึงตรงนี้นั้น นอกจากจะเห็นธรรมดาว่ามนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนามจะต้องตายเป็นแน่แท้แล้ว เรายังต้องมีปัญญามองเห็นด้วยว่า อัตภาพร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์ยากเป็นปกติ เราไม่ได้มีความปรารถนาในร่างกายนี้อีก

ถ้าสามารถทำตรงนี้ได้ ความปรารถนาในร่างกายคนอื่น ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของตนและของคนอื่น ตลอดจนกระทั่งความปรารถนาที่จะเกิดในโลกนี้ ก็จะพลอยหมดไปด้วย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายเองก็จะเป็นผู้ที่ไม่กลัวตายเช่นกัน

เถรี 15-12-2021 22:48

แต่คราวนี้คำว่าไม่กลัวตาย ไม่ใช่ว่าไปแสวงหาความตายโดยปราศจากปัญญา เมื่อประมาณ ๑๐ วันที่ผ่านมา กระผม/อาตมภาพจะไปรับวัคซีนยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งเป็นยี่ห้อที่ทุกคนปรารถนากันอย่างยิ่ง ถึงขนาดจ่ายเงินล่วงหน้าเป็นระยะเวลานาน ๆ เพื่อซื้อวัคซีนยี่ห้อนี้ แต่ความรู้สึกบอกอย่างชัดเจนว่า ถ้ารับวัคซีนยี่ห้อนี้เข้าไป จะเป็นจังหวะที่ช่วงกรรมเก่าเข้ามาสนองพอดี ก็จะเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันถึงขนาดต้องตัดแขนตัดขาไปเลย..!

ก็ในเมื่อรู้ในลักษณะอย่างนี้ แม้ว่าจะไม่กลัว แต่ว่าถ้าหากว่าสูญเสียแขนขาไป การทำงานเพื่อคณะสงฆ์หรือเพื่อส่วนรวมก็จะเป็นไปโดยยาก จึงปฏิเสธไปว่าไม่ขอรับวัคซีนตรงนี้

จนกระทั่งมาอาทิตย์นี้ หมอนุ้ย (แพทย์หญิงนวลจันทร์ เวชสุวรรณมณี ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทองผาภูมิ) บอกว่า "มีวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์เหลืออยู่ ถ้าหลวงพ่อฉีดแอสตราเซเนกามาแล้วครบ ๓ เดือน ก็สามารถที่จะไปบูสต์เข็มที่ ๓ ได้ เพราะว่ามีผลการทดลองยืนยันแล้ว"

ดังนั้น...ประการแรกคือไม่กลัวตาย ถึงได้ไปฉีดเข็มที่ ๓ ประการที่สอง วัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์สำหรับอาตมภาพแล้ว ต้องบอกว่าเป็น "วัคซีนสำหรับเด็ก" เพราะว่าเป็นวัคซีนที่ฉีดให้กับเด็กนักเรียน ในเมื่อเด็กฉีดได้ แก่จนกระทั่งหงำเหงือกอย่างอาตมภาพก็ต้องฉีดได้ สองอย่างรวมกันเข้าไป นอกจากไม่กลัวตายแล้ว ยังเจอวัคซีนเด็กอีก เหมือนอย่างกับ "ตีตั๋วเด็ก" ก็เลยไปฉีดด้วยความยินดี

พอฉีดเสร็จ นั่งคุยกับหมอนุ้ยซึ่งถามว่า "มีอาการอะไรไหมคะ ? เพราะว่าหนูเองฉีดเสร็จทีไร ก็รู้สึกหนักแขน แล้วก็แขนบวมทุกที" ก็บอกกับท่านผู้อำนวยการไปว่า "ไม่มีอะไรเลย ตั้งแต่ฉีดมาทั้ง ๓ เข็ม ไม่เคยเป็นอะไรตอนนั้นให้รู้สึกเลย" มีแต่หลังจากที่ฉีดกลับมาแล้ววันรุ่งขึ้นค่อยเป็นไข้ ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นไข้เพราะเกิดจากอากาศเปลี่ยนแปลง แล้วตามธรรมดาของบุคคลที่มีเชื้อมาลาเรียอยู่ มีการไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศ หรือว่าเป็นไข้เพราะวัคซีน จึงไม่สามารถที่จะบอกได้ แค่ฉันยาลดอาการไข้ตามปกติก็หายแล้ว

ดังนั้น...ตรงนี้ถึงได้ย้ำกับทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร แม่ชี หรือว่าฆราวาสก็ตาม การปฏิบัติธรรมทุกอย่างเราต้องไม่ลืมว่า พระพุทธเจ้าเริ่มให้เราด้วยปัญญา หนทางแห่งความหลุดพ้น คือมรรคมีองค์ ๘ ประกอบไปด้วย สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ นี่คือตัวปัญญาอย่างแท้จริง

สัมมาทิฐิ มีความเห็นถูกต้องว่าหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นความจริง เป็นความธรรมดาประจำโลก เรายินดีที่จะปฏิบัติตาม สัมมาสังกัปปะ มีดำริอยากจะพ้นทุกข์ มีดำริต้องการออกจากกาม

เถรี 15-12-2021 22:50

ลำดับต่อไป ถึงเป็นสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ นั่นเป็นส่วนของศีล สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นส่วนของสมาธิ

เราจะเห็นว่าหลักธรรมจำนวนมาก หลาย ๆ หมวด พระพุทธเจ้าจะให้โดยมีปัญญาประกอบอยู่เสมอ เพราะว่าการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เป็นเรื่องของผู้ที่มีปัญญาเท่านั้น และต้องเป็น "สัมมาปัญญา" คือ ปัญญาที่ถูกต้องด้วย

แบบเดียวกับที่หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ ท่านบอกเอาไว้ว่า นักปฏิบัติธรรมต้องเป็น "นักหลบ" เสียบ้าง ก็คือเมื่อรู้ว่าสู้กิเลสไม่ได้ ก็หลบก็หลีกไป เผชิญกับสถานการณ์ตรงนั้นแล้ว ราคะ โทสะ โมหะ จะเกิด ก็รู้จักหลีกหนีจากสถานการณ์นั้น ไม่ใช่ว่ารู้ว่าสู้ไม่ได้แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเป็น "นักรบ" ท่านบอกว่า ถ้ารบทั้งที่รู้ว่าสู้ไม่ได้แล้วตาย เขาถือว่าโง่..!

นั่นคือหลักการที่หลวงปู่ท่านพูดถึงการใช้ปัญญาของนักปฏิบัติธรรม เพียงแต่ว่าหลาย ๆ คนก็อาจจะฟังดูว่า เออ...เป็นหลักการที่ดี แต่ไม่ได้ดูว่าเป็นหลักการในระดับไหน ในระดับศีล หรือในระดับสมาธิ หรือในระดับปัญญา

ในเมื่อหลักการต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าสอนมาให้เราบำเพ็ญเพื่อความหลุดพ้นขึ้นด้วยปัญญา ทุกคนย่อมจะขาดปัญญาไปไม่ได้ และสัมมาปัญญา การพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงตรงจุดนี้นั้น จะเอากิเลสเข้าไปปะปนไม่ได้ ถ้าหากว่าพิจารณาโดยมี รัก โลภ โกรธ หลง ประกอบอยู่ จะไม่ใช่สัมมาทิฐิ สัมมาปัญญาอย่างแท้จริง

ดังนั้น...การที่เราหลีกเลี่ยงในส่วนที่ควรหลีกเลี่ยง เผชิญหน้าในส่วนที่ควรเผชิญหน้า ความจริงเป็นหลักการที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนเอาไว้แล้ว เพียงแต่ไม่ได้บอกกล่าววิธีการไว้อย่างชัดเจนเท่านั้น แต่บุคคลรุ่นใหม่ ๆ นำมาเป็นศาสตร์ คือความรู้ นำมาเป็นศิลป์ คือวิธีการจัดการ แล้วก็เอาไปเขียนเป็นตำราขายกันสนุกสนาน

แม้กระทั่ง "หลักการทบทวนและประเมินผล" ในการบริหารองค์กรต่าง ๆ ความจริงก็มาจาก "หลักวิมังสา" ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือเราจะทำอะไร ? ตอนนี้เราทำไปถึงไหน ? ได้ผลมากน้อยเท่าไร ? ยังตรงต่อเป้าประสงค์หรือไม่ ? ขาดอีกมากน้อยเท่าไรที่เราต้องมุ่งไปถึงจะถึงเป้าหมายนั้น ?

เถรี 15-12-2021 22:56

ดังนั้น...แม้กระทั่งตัวกระผม/อาตมภาพเอง ก่อนที่จะเรียนจบปริญญาเอก ต้องศึกษาหลักการและทฤษฎีตะวันตกมาแล้วนับไม่ถ้วน เรียนไปแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองโง่มากที่ไปคอยเรียนทฤษฎีของฝรั่ง ซึ่งลอกแบบไปจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ไม่มีอะไรพ้นไปจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านรู้เลย ไม่ว่าจะยกทฤษฎีไหนขึ้นมาก็ตาม สามารถเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเข้าไปอธิบายได้ทั้งหมด

ตรงจุดนี้ก็เลยไม่ทราบว่า เพื่อนพระภิกษุที่เรียนอยู่ด้วยกันนั้นรู้สึกอย่างไร แต่ตัวกระผม/อาตมภาพเอง ยิ่งเรียนก็ยิ่งเห็นอัจฉริยภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า บุคคลเมื่อ ๒,๖๐๐ กว่าปีที่แล้ว สามารถที่จะรู้ลึกรู้จริงได้ขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เครื่องไม้เครื่องมือสมัยนั้นไม่ได้มีแบบของปัจจุบันเลย

ในเมื่อยิ่งเห็นว่าพระองค์ท่านรู้แจ้งเห็นจริง ตรัสรู้ในหลักธรรมที่แท้จริง เป็นอกาลิโก คือเหมาะสมแก่ทุกยุคทุกสมัย เอหิปัสสิโก สามารถท้าทายให้บุคคลเข้ามาทดสอบปฏิบัติดูได้ ก็ยิ่งเกิดศรัทธาเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากยิ่ง ๆ ขึ้นไป สามารถที่จะมอบกายถวายชีวิตให้ได้ในทุกงานที่พระองค์ท่านต้องการให้เรากระทำ

ดังนั้น...ในการที่ทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณรของวัดท่าขนุนก็ดี หรือว่าเป็นท่านที่ติดตามฟังทางยูทูบก็ตาม ถ้าหากว่าท่านได้เรียนหรือว่าได้ศึกษา ไม่ว่าจะเป็นนักธรรม เป็นบาลี หรือว่าเป็นปริยัติสามัญ ระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ก็ตาม ขอให้รู้ว่าสิ่งที่ท่านทั้งหลายเรียนนั้น ไม่เกินไปจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และเป็นเพียง "ใบไม้กำเดียว" ที่พระองค์ท่านตรัสรู้อีกด้วย..!

ถ้าเราสามารถเข้าใจตรงนี้ได้ ก็จะยิ่งเคารพศรัทธาในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากขึ้นไปทุกที ตรงจุดนี้จะทำให้ท่านทั้งหลายยึดพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่งที่ระลึกอย่างแท้จริง

เมื่อเอ่ยว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ก็ยึดด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ

ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง ก็ยึดด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ

สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ก็ยึดด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจจริง ๆ

เวลากราบพระ ก็กราบด้วยความเคารพจากหัวใจจริง ๆ ถ้าทำมาถึงตรงจุดนี้ได้แล้ว ความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อมเลย เพราะว่าความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเราแน่นแฟ้นสมบูรณ์แล้ว ก็เหลืออยู่แต่การชำระศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ และใช้ปัญญาระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราต้องตาย ถ้าหากว่าตายลงไปเมื่อไร ขึ้นชื่อว่าเกิดมามีร่างกายเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีก เกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีก สถานที่เดียวที่เราจะไปก็คือพระนิพพาน

ถ้าสามารถรักษาอารมณ์เช่นนี้เอาไว้ทุกวัน ขอให้ท่านมั่นใจได้เลยว่า ถ้าหากว่าหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือว่าเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ตาม ท่านทั้งหลายจะมีพระนิพพานเป็นที่ไปอย่างแน่นอน

จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมให้ทราบแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:51


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว