กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   ญาณสัมปันนธัมมานุสรณ์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3286)

ลัก...ยิ้ม 24-05-2012 07:15

ฟังเทศน์พระกรรมฐาน..“ปากเปราะ”

ในระยะเป็นหนุ่มจวนเจียนใกล้จะบวชแล้ว มีพระกรรมฐานท่านมาเที่ยวพักอยู่ที่ราวป่าบ้านตาด ท่านชื่อ “พระอาจารย์ดี” หนุ่มบัวจึงมีโอกาสเข้าไปฟังเทศน์ ในวันนั้นท่านเทศน์ให้ฟังเรื่อง “อียายปากเป็น อียายปากเปราะ” ดังนี้

“... ตอนนั้นเรายังไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะกำลังหนุ่มอยู่ จวนใกล้จะบวชแล้วแหละ พระกรรมฐาน เราไปฟังท่านเทศน์ มันจึงจำได้ละสิ ท่านเทศน์ท่านยกนิทานชาดกขึ้นว่า... อียายปากเปราะนี่ ชาติก่อนแกเกิดเป็นเต่างุ่มง่าม ๆ คืบคลานอยู่ตามบึง อาหารการกินไม่บริบูรณ์ หงส์สองผัวเมียบินมาเที่ยวหากินในบึงนั้น มาพบเต่าเข้าก็เกิดความสงสาร จึงอุทานออกไปว่า

‘โอ้! นี่อาหารก็ไม่มีจะทำ‘ยังไง’ น้ำก็ไม่มี น้ำก็หมด สถานที่สมบูรณ์บริบูรณ์มีอยู่ ฉันจะพาแกไป แกจะไปกับฉัน'มั้ย' ?’

‘ฉันจะไปกับพวกแกได้‘ยังไง’ ฉันไม่มีปีกบินเหมือนพวกแกนี่นา’

‘เพียงแกรักษาปากแกให้ดี แกก็ไปกับพวกเราได้’

‘รักษา‘ยังไง’ รักษาปาก’ เต่าถาม

หงส์ทองผัวเมียจึงว่า ‘คือว่าเราทั้งสองจะไปนำไม้มา แล้วตัวหนึ่งจะคาบปลายไม้ไว้ด้านหนึ่ง อีกตัวหนึ่งจะคาบที่สุดไม้อีกข้างหนึ่ง ให้แกคาบตรงกลางไม้นี่ไว้ แล้วเราทั้งสองนี่จะคาบไม้พาแกบินไป ให้แกเอาปากคาบไม้ไว้ให้ดี แล้วเราจะบินไปส่ง แกจะสามารถรักษาปากของแกได้'มั้ย' ?’ หงส์ทั้งสองถามขึ้น

‘รักษาได้ ของง่าย ๆ’ เต่ารับปากอย่างนั้น

‘เอ้า! ถ้าอย่างนั้น เราจะไปด้วยกัน’

หงส์ทองผัวเมียก็ไปเอาไม้มาให้เต่าคาบ เต่าคาบแล้ว หงส์สองผัวเมียก็โผบินผ่านไปกรุงพาราณสี คนในพระราชวังมองเห็นก็ร้อง
‘โฮ้ย! มาดูสิ หงส์หามเต่า หงส์หามเต่า หงส์หามเต่า’

ใคร ๆ ก็รู้แล้วว่าหงส์มันมีปีก เข้าใจหรือเปล่า มันก็บินได้ มันก็หามเต่าได้ละสิ ไอ้เต่า..ไอ้ปากเปราะนี่สิมันสำคัญ ไม่มีปีกแต่อยากอวดดี บินผ่านไปทางไหน คนก็ร้องว่า ‘หงส์หามเต่า หงส์หามเต่า หงส์หามเต่า’

ฝ่ายเจ้าเต่าก็เกิดโมโห จึงอ้าปากจะพูดว่า ‘โคตรพ่อโคตรแม่มึง ไม่รู้หรือว่า เต่าหามหงส์’ พออ้าปากออกโม้เท่านั้นแหละ โม้ยังไม่จบประโยค ก็ตกตูมลงกรุงพาราณสี ร่างแตกกระจุยกระจาย กระดองไปทางหนึ่ง ตัวไปทางหนึ่ง หัวไปทางหนึ่ง ขาไปทางหนึ่ง ตายทันที... แล้วตายจากชาตินั้น จึงมาเกิดเป็นอียายปากเป็นคนนี้

อียายปากเป็นนี้ ไปไหนแกชอบพูดยุยงส่งเสริมให้คนนั้นคนนี้แตกร้าวจากกัน ให้คนนั้นหย่าร้างกัน ถ้าเป็นสามีภรรยาก็ยุยงส่งเสริมให้สามีภรรยาทะเลาะกัน แล้วหาเรื่องว่าสามีไปมีเมียน้อย ภรรยาไปมีผัวน้อย เอาเรื่องทั้งสองมาตีกันยุ่งไปหมด นิทานเรื่องนี้จึงสอนให้รู้ว่า ‘ให้พากันรักษาปากนี้ให้ดี’…”

นิทานชาดกที่พระกรรมฐานเทศน์ให้ฟังในวันนั้น เป็นคติเตือนใจและยังจดจำตราตรึงอยู่ในใจของท่านตลอดมา

ลัก...ยิ้ม 25-05-2012 10:53

ลูกที่ไว้ใจ วางใจได้

ในระยะก่อนที่จะออกบวชปรากฏว่า ท่านเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจในการงานทั้งปวง จนบิดามารดาหวังฝากผีฝากไข้ ฝากเป็นฝากตายไว้กับท่าน ความไว้วางใจของพ่อแม่ที่มีต่อท่านและพี่ชาย เห็นได้อย่างชัดเจนจากคำกล่าวของท่านที่ว่า
“... แต่ก่อนพ่อแม่ของเรามีเป็นหลาย ๆ ชั่ง* นะ คือเงินชั่งแต่ก่อนไม่ใช่เล็กน้อย เป็นเงินหมื่น ๆ ทุกวันนี้ละนะ เงินมีหลายชั่งในครัวเรือนของเรา...

พอเดือนเมษาฯ สรงน้ำพระปีใหม่ พ่อแม่ถึงจะเอาออกมาทีหนึ่ง... ใส่ขันใหญ่นี้ออกมาเต็มเลย เวลาสรงน้ำไม่ให้ใครรู้นะ รู้เฉพาะเรากับพี่ชายคนหนึ่ง นอกนั้นไม่ยอมให้เห็นเลย ทำอยู่ข้างบนบ้าน เอาน้ำอบน้ำหอมมาล้าง จนถึงน้ำดำเลย เต็มขัน ๆ เสร็จแล้วเก็บเงียบ แต่ก่อนไม่มีฝากธนาคารนะ เก็บแบบลี้ลับของคนโบราณ

เกี่ยวกับเรื่องการเก็บรักษาเงินทองภายในครอบครัวของท่านนั้น แม่เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าพ่อ เพราะเป็นผู้มีความจดจำดีกว่าพ่อมาก ประการแรกคงเป็นเพราะแม่ได้ความเฉลียวฉลาดจากคุณตามาไม่น้อย ดังท่านเคยกล่าวว่า
“...โยมแม่นี้ยกให้เลย ความจำนี่เก่งมาก อันนี้เด่นจริง ๆ ลูกไม่ได้สักคนเดียว ทางนี้เขามีกลอนลำเหมือนเพลง พอเขาขึ้นลำนี่ โยมแม่ฟังอยู่นั่นแล้ว ฟังลำจบ จำได้หมดเลย เก่งขนาดนั้น อะไร ๆ นี่จำได้หมด

ลูกคนไหนเกิดวันไหน เดือนไหน ข้างขึ้นข้างแรม ไม่ได้มีอะไรจดนะ แต่ก่อนไม่มีละหนังสือจะจด โยมแม่จดด้วยความจำทั้งนั้น ลูกทุกคนจำได้หมด ไม่มีพลาด นี่แหละ เก่งจริง ๆ ความจำความฉลาดก็ยกให้อยู่นะ แม่รู้สึกว่าจะได้สืบมาจากพ่อคือตา...”

น้อง ๆ ของท่านกล่าวเช่นกันว่า “...ที่แม่มีความสามารถทางการจดจำดีกว่าพ่อ ก็น่าจะเป็นเพราะพ่ออาจจะต้องรับผิดชอบการงานหลายอย่าง ทำให้มักจะลืมสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่บ่อยครั้ง

ถ้าพ่อถือเงินไปไหนต่อไหน ความที่จำไม่ได้ทำให้เหมือนกับว่าอยู่ดี ๆ เงินก็ถูกขโมยหายไป บางครั้งก็กลับมีเงินเพิ่มขึ้นทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครเอามาใส่ให้ แต่สำหรับเงินที่เก็บอยู่กับแม่นั้นไม่เคยมีปัญหาใด ๆ เหมือนของพ่อเลย

เวลาที่เขาหาบฟ่อนข้าวมากองที่ลานในนา ทางพ่อว่าข้าวมีเท่านั้น ส่วนแม่ว่ามีเท่านี้ จะนับได้ไม่เท่ากัน ท่าน (หมายถึงองค์หลวงตา) จะเชื่อถือในจำนวนที่แม่บอก เพราะท่านว่าแม่พูดมีเหตุผลมากกว่า ส่วนพ่อมักลืมเก่ง และสิ่งนี้เองทำให้ท่านตัดสินใจพูดกับพ่อแม่ว่า
‘เอ้า..ตั้งแต่นี้ต่อไป ให้แม่เป็นคนเก็บเงินทั้งหมด เอาไว้ให้พ่อใช้นิดหน่อย ถ้าไม่มีจึงค่อยเอาจากแม่ไปใช้ เป็นการตัดปัญหา จะได้ไม่มีใครมาลักมาปล้นอีก’…”

การที่พ่อแม่ยอมให้ท่านได้เห็นเงินจำนวนมาก อีกทั้งยอมเชื่อคำแนะนำของท่านในเรื่องการจัดเก็บเงินดังกล่าว ย่อมชี้ชัดถึงความเป็นที่เชื่อใจวางใจได้ของพ่อแม่ที่มีต่อท่าน เพราะหากเป็นลูกที่ไม่ดี ก็ย่อมอาจจะคิดลักขโมยเงินทองของพ่อแม่ได้ หรืออาจแนะนำพ่อแม่เพื่อหวังประโยชน์เข้าสู่ตนเอง โดยอาศัยจุดอ่อนในเรื่องความจำของพ่อเป็นช่องทางได้

ความซื่อสัตย์ต่อพ่อแม่ดังกล่าว นับเป็นคุณธรรมของบุตรที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน

==================================================================
* เงิน ๑ ชั่ง เท่ากับ ๘๐ บาท

ลัก...ยิ้ม 28-05-2012 08:23

หนุ่มบัวกับทางสามแพร่ง

ตามที่คุณตาได้เคยทำนายฝันท่านไว้ขณะอยู่ในครรภ์ว่า มีนิสัยทำอะไรทำจริง และเมื่อตกคลอดออกมาก็มีรกพันคอออกมาด้วย ว่าสายรกนี้เป็นไปได้ ๓ อย่าง คือ สายโซ่ สายกำยำและสายบาตร เพื่อแก้เคล็ดสะเดาะเคราะห์ให้เกิดสิริมงคลแก่หลาน คุณตาจึงรีบร้องพูดออกมาในทางดีขึ้นในทันทีว่า
“โอ้! รกพันคอ นี่เป็นสายบาตร สายบาตร สายทางธรรม นี่สายบาตร ๆ สูดูนี่! สายบาตร สายบาตร ๆ เด็กน้อยคนนี้มันจะได้บวชเป็นพระ แล้วก็จะได้เป็นนักปราชญ์ นี่คือ ทางสายบาตร

แม้คุณตาจะกล่าวเป็นมงคลต่อหลานไว้ กระนั้นก็ตาม ชีวิตของท่านในวัยหนุ่มก็มิได้ราบเรียบตามคำพูดของคุณตาเสียทีเดียวนัก ต้องอดทนต่อสู้และเลือกในเส้นทางที่มีทั้งฝ่ายถูกและฝ่ายผิดที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอยู่เป็นระยะ ๆ ดังนี้

“เราโตเป็นหนุ่มก็เดินตามรอยพ่อ.. เป็นพรานเหมือนพ่อ ปืนก็อยู่กับบ้าน ไปไหนฉวยจับไปเลย เริ่มออกยิงสัตว์แล้วแต่ยังทำไม่มาก เป็นแต่เพียงเริ่มฆ่าเท่านั้น นี่คือทางสายกำยำ หรือ ทางปืน”

นี่เป็นทางเลือกหนึ่งที่ท่านถอยออกไป เพราะรู้สึกแป้วใจ ไม่สบายใจที่ชีวิตสัตว์ต้องถูกพลัดพราก และทำลายไปโดยน้ำมือของท่าน และอีกเส้นทางหนึ่งที่ท่านเกือบจะมุ่งหน้าเดินต่อไป ทั้งที่เป็นหนทางแห่งอันตรายยิ่ง แต่เดชะบุญมีเหตุทำให้ต้องได้เลิกราไป ท่านได้เล่าไว้อย่างน่าใจหายว่า

สมัยเป็นหนุ่มน้อย เราเคยไปคบเพื่อนไม่ดี กำลังจะไปค้าฝิ่นกับเขา เขาชวนไปขายฝิ่น แต่ยังไม่ได้ขายนะ ซื้อฝิ่นมาแล้ว เตรียมตัวจะนำไปส่งขายครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ก็ยังทำไม่สำเร็จ มีเหตุดลบันดาลให้ไม่ได้ทำ พอดีกับตอนนั้น พ่อน้ำตาร่วงขอให้ออกบวช เรื่องค้าฝิ่นจึงปัดทิ้งทันทีไม่ได้สนใจ และไม่เคยถามถึงจนกระทั่งป่านนี้ ฝิ่นนั้นไม่ได้อยู่กับบ้าน อยู่กับจุดศูนย์กลางกับเพื่อน นี่คือทางสายโซ่ ถ้าหากไปขายฝิ่นต้องติดคุกติดตะราง”

หากคำทำนายของคุณตาเป็นจริง ก็เหลือหนทางสุดท้ายเท่านั้นคือ ทางสายบาตร ซึ่งขณะนั้นยังไม่อยู่ในความคิดความตั้งใจของท่านแต่อย่างใด เนื่องจากใจของท่านเวลานั้น แม้จะมีความรักในศาสนาแต่ก็ยังไม่พร้อม ใจไม่คิดอยากบวช อยากมีครอบครัวมากกว่าแต่เหตุการณ์ก็ไม่ค่อยเป็นใจ ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะมีอุปสรรคขัดข้องเสมอดังนี้

“...ถ้าพูดถึงเรื่องรักผู้หญิง .. ‘รักจนกระทั่งนอนไม่หลับ รักจนจะตาย คนที่รักก็เป็นเครือญาติวงศ์เดียวกัน

‘พวกญาติอีกผ่ายหนึ่งก็เห็นดีเห็นงามว่า ‘เอ้า! ดีแล้ว เป็นญาติเป็นวงศ์เป็นสกุลเดียวกัน ได้กันก็ยิ่งเป็นกันเองก็ยิ่งง่าย’

พวกญาติอีกฝ่ายหนึ่งก็ทักท้วงว่า ‘พวกแกจะมาทำลายวงศ์สกุลกันหรือนี่ คนนี้ชื่อว่าอย่างนั้น คนนั้นชื่อว่าอย่างนี้ เรียกกันว่าอย่างนั้น ที่นี้จะมาให้เรียกคนนี้เป็นปู่ คนนี้เป็นย่า คนนี้เป็นอย่างนั้น มันเรียกกันได้ลงคอเหรอ จะมาถือเอาสิริมงคลอะไรจากการทำลายญาติ'

พิจารณาดูทางเหตุผลแล้ว เราก็ยอม ‘เอ้า! ถ้าอย่างนั้นก็ตัดใจ มันจะตายก็ยอมตาย เอามาแล้วมันไม่เกิดประโยชน์ ลงได้ขวางผู้ใหญ่ ขวางญาติ ขวางสกุลแล้ว เอาประโยชน์อะไรจากสิ่งเหล่านี้ เอามาแล้วมันก็กีดก็ขวางอยู่อย่างนั้นแหละ หาความเจริญไม่ได้ เพราะเราเพียงเท่านี้ทำความเสียหายแก่วงศ์สกุลมากมาย ไม่มีใครเห็นดีด้วยแล้วเอาไปทำไม’

มันจะตาย เพราะหัวใจมันรัก แต่ก็ต้องตัดรักลงอย่างขาดสะบั้นหัวใจ ต่อมาก็ได้มาหัวเราะเรื่องของตัวเองเหมือนกัน แต่ก่อนมันเหมือนไม่มีญาติมีวงศ์ ไม่มีพ่อมีแม่ มันก็มีแต่มันคนเดียว เก่งกว่าพ่อกว่าแม่ กว่าญาติกว่าวงศ์ กว่าใครทั้งหมดจะให้ได้ดั่งใจ ที่นี้เวลาเรื่องทั้งหลายมันจบแล้ว เหตุผลเพราะเราไม่ต้องการจะเป็นคนเลวขนาดนั้น จะทำได้ลงคอหรือ มันก็ต้องยอม ยอมทั้ง ๆ ที่ตัวกิเลสมันไม่ยอม แต่เพราะเห็นแก่วงศ์สกุล จึงฟาดมันขาดสะบั้น...”

ลัก...ยิ้ม 29-05-2012 07:54

สะเทือนใจน้ำตาพ่อแม่

เมื่อท่านมีอายุครบสมควรที่จะบวชได้แล้ว ตามหลักประเพณีของไทยเราแต่โบราณมา เมื่อบุตรชายอายุครบบวชมักจะให้บวชเสียก่อน ก่อนที่จะมีครอบครัวเหย้าเรือนต่อไป ดังนั้นบิดามารดาจึงคิดจะนำเรื่องนี้มาปรึกษาปรารภกับท่าน

ครอบครัวของท่านมีพ่อแม่และลูกชายหญิงหลายคน โดยปกติจะร่วมรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เย็นวันหนึ่งขณะกำลังรับประทานอยู่อย่างเงียบ ๆ พ่อก็พูดขึ้นมาชนิดไม่มีอะไรเป็นต้นเหตุเลยว่า
“...เรามีลูกหลายคนทั้งหญิงทั้งชาย แต่ก็ไม่พ้นความวิตกกังวลในเวลาเราจะตาย เพราะจะไม่มีลูกคนใดใจเป็นผู้ชายคิดบวช พอให้เราได้เห็นผ้าเหลืองก่อนตาย ได้คลายความกังวลใจในเวลานั้น แล้วตายไปอย่างเป็นสุขหายห่วง...

ลูกผู้ชายเหล่านั้น กูก็ไม่ว่ามันแหละ ส่วนลูกผู้หญิง กูก็ไม่เกี่ยวข้องมัน ลูกผู้ชาย.. กูก็มีหลายคน แต่นอกนั้นกูก็ไม่สนใจอะไรพอจะอาศัยมันได้ แต่ไอ้บัว (หมายถึงองค์หลวงตา).. นี่ซิ ที่กูอาศัยมันได้นะ..”

ทั้ง ๆ ที่โดยปกติพ่อไม่เคยชมท่าน แม้เรื่องอะไรต่าง ๆ พ่อก็ไม่ชม มีแต่กดลงเรื่อย ๆ ท่านว่านิสัยของพ่อและแม่ของท่านเป็นอย่างนั้น จากนั้นพ่อก็พูดต่อไปว่า
“ไอ้นี่ลงมันได้ทำการทำงานอะไรแล้ว กูไว้ใจมันได้ทุกอย่าง กูทำยังสู้มันไม่ได้ ลูกคนนี้กูไว้ใจที่สุด ถ้าลงมันได้ทำอะไรแล้ว ต้องเรียบไปหมด ไม่มีที่น่าตำหนิติเตียน กูยังสู้มันไม่ได้ ถ้าพูดถึงเรื่องหน้าที่การงานแล้ว มันเก่งจริง กูยกให้ ลูกกูทั้งหมดก็มีไอ้นี่แหละ เป็นคนสำคัญ เรื่องการงานต่าง ๆ นั้น กูไว้ใจมันได้

แต่ที่สำคัญ ตอนกูขอให้บวชให้มันบวชให้ทีไร มันไม่เคยตอบไม่เคยพูดเลย เหมือนไม่มีหู ไม่มีปากนั่นเอง บทเวลากูตายแล้ว จะไม่มีใครลากกูขึ้นจากหม้อนรกเลยแม้คนเดียว เลี้ยงลูกไว้หลายคนเท่าไร กูพอจะได้อาศัยมันก็ไม่ได้เรื่อง ถ้ากูอาศัยไอ้บัวนี่..ไม่ได้แล้ว กูก็หมดหวัง เพราะลูกชายหลายคน กูหวังใจอาศัยไอ้นี่เท่านั้น”

ท่านเล่าให้ฟังต่อว่า “พอพ่อว่าอย่างนั้น น้ำตาพ่อร่วงปุบปับ ๆ เรามองไปเห็น แม่เองพอมองไปเห็นพ่อน้ำตาร่วง แม่ก็เลยน้ำตาร่วงเข้าอีกคน เราเห็นอาการสะเทือนใจทนดูอยู่ไม่ได้ ก็โดดออกจากที่รับประทาน ปุ๊บปั๊บหนีไปเลย นั่นแหละ เป็นต้นเหตุให้เราตัดสินใจบวช มันมีเหตุอย่างนั้น”

การที่แม่ก็น้ำตาไหลเหมือนกันกับพ่อ เพราะว่าแม่ก็เคยอบรมและขอร้องลูกเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่ท่านก็ยังยืนยันทุกครั้งไปว่า “ไม่บวช กำลังรักสาวอยู่”

ลัก...ยิ้ม 31-05-2012 07:43

หลบหน้าพ่อแม่ คิดทบทวน ๓ วัน

เมื่อหลบอยู่ตามลำพัง ท่านนำเรื่องนี้ไปคิดอยู่ ๓ วันไม่หยุดไม่ถอย และไม่ยอมมารับประทานร่วมวงพ่อแม่อีกเลยใน ๓ วันนั้น กลัวจะโดนปัญหาดังกล่าวนี้อีก เพราะตอนนั้นใจยังไม่คิดอยากบวช จึงทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเรื่อยมา แต่คราวนี้เห็นเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสสากรรจ์ ขนาดถึงกับทำให้พ่อแม่ต้องเสียน้ำตา ท่านจึงคิดเทียบเคียงหาเหตุผลในใจว่า

“... เอ๊ะ..พ่อมาน้ำตาร่วง ยกลูกก็เรียกว่ายกแบบยกทุ่มลง พูดง่าย ๆ ยกยอก็ยกยอเพื่อทุ่มลง บทเวลาจะให้บวชนี่ละทุ่มลง คิด ..เอ๊ะ..พ่อน้ำตาร่วงเพราะเรา คิดเอามาจริง ๆ นะ ไม่สบายหัวใจเลย

คิดสงสารพ่อ พ่อแม่ก็เลี้ยงเรามา ทั้งบ้านทั้งเมืองเขาก็มีลูกมีเต้า ลูกเต้าเขายังบวชได้ แม้แต่ติดคุกติดตะรางเขายังมีวันออก นี่ไปบวช ไม่ใช่ไปติดคุกติดตะราง คนอื่น ๆ เขายังบวชได้ เขาสึกมาถมไป บางองค์ท่านบวชจนเป็นสมภารเจ้าวัด จนตายกับผ้าเหลืองก็ไม่เห็นท่านเป็นอะไร ทำไมเราบวชให้พ่อแม่เล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้ มีอย่างหรือ เอาละนะทีนี้นะ คิด...

เพื่อนฝูงที่เขาบวชกัน ตลอดถึงครูบาอาจารย์ที่บวชเป็นจำนวนมาก ท่านยังบวชกันได้ทั่วโลกเมืองไทย การบวชนี่ก็ไม่เหมือนการติดคุกติดตะราง แม้เขาติดคุกติดตะราง เช่น ติดตลอดชีวิต เขาก็ยังพ้นโทษออกมาได้ เราไม่ใช่ติดคุกติดตะรางนี่ หมู่เพื่อนบวช เขายังบวชได้ เขาเป็นคนเหมือนกัน และครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านบวชจนเป็นสมภารเจ้าวัด ท่านยังอยู่ได้ เหตุใดเราเป็นคนทั้งคน พ่อแม่เลี้ยงมาเหมือนคนทั้งหลาย อย่างอื่น ๆ เรายังอดได้ทนได้ แต่การบวชนี่มันเหมือนติดคุกติดตะรางเชียวหรือ เราถึงจะบวชไม่ได้ ทนไม่ได้ เราทำไมถึงจะด้อย เอ..เสียนักหนา ต่ำช้าเอานักหนากว่าเพื่อนฝูงทั้งหลาย ถึงขนาดพ่อแม่ต้องน้ำตาร่วงเพราะเรานี่ ไม่สมควรอย่างยิ่ง...

สุดท้ายก็ลง เราเป็นคนทั้งคน เป็นลูกชายคนหนึ่ง เป็นคน ๆ หนึ่ง คนอื่นเขาบวชได้ เราบวชไม่ได้เป็นไปไม่ได้ เอ้า..บวชอยู่ในผ้าเหลือง มันอยากสึกจนกระทั่งตายก็ให้ตายดูซี พ่อแม่เลี้ยงมาก็ยาก ถึงขนาดที่ว่าร้องห่มร้องไห้เพราะเราไม่บวชเท่านี้ มันพิลึกเหลือเกิน เราเป็นลูกคนแท้ ๆ ...”

ท่านคิดวกไปวนมาอยู่นั้นได้ ๓ วัน จึงตัดสินกันได้

“... เอาละทีนี้ ตัดสินใจปุ๊บ เราทำไมจะบวชไม่ได้ ตายก็ตายไปซิ เขาบวชกันมาไม่เห็นตาย พ่อแม่ก็ไม่ได้บอกให้บวชจนถึงวันตาย หรือบอกให้บวชถึงปีสองปี พ่อแม่ก็ไม่เห็นว่านี่ แล้วทำไมถึงจะบวชไม่ได้ล่ะ เราก็คน ๆ หนึ่งแท้ ๆ เอ้า..ต้องบวช...”

ลัก...ยิ้ม 01-06-2012 09:27

ความฉลาดของแม่ รู้ใจลูก

เมื่อท่านตัดสินเป็นที่ลงใจแล้ว ท่านจึงกลับมาหาแม่ และบอกแม่ว่า
เรื่องการบวช จะบวชให้ แต่ว่าใครจะมาบังคับไม่ให้สึกไม่ได้นะ บวชแล้ว จะสึกเมื่อไรก็สึก ใครจะมาบังคับว่าต้องเท่านั้นปีเท่านี้เดือนไม่ได้นะ”

แม่ตอบทันทีว่า “เอ้อ..สาธุ ถ้าเจ้าจะบวชให้ แม่ก็สาธุ โถ.. แม่ไม่ว่าอะไรหรอกเรื่องสึก ขอแต่ว่าได้บวชก็พอแล้ว

ถ้าลูกบวชแล้วสึกออกมาทั้ง ๆ ที่คนที่ไปบวชยังไม่กลับบ้านก็ตาม แม้จะสึกต่อหน้าต่อตาคนมาก ๆ อย่างนั้น แม่ก็ไม่ว่า

คำตอบของแม่เช่นนี้ ทำให้สะดุดใจคิดทันทีว่า “...ก็ใครจะเป็นพระหน้าด้าน มาสึกต่อหน้าต่อตาคนมาก ๆ ที่ไปบวชเราได้ ไม่บวชมันเสียดีกว่า เมื่อบวชแล้วมาสึกต่อหน้าต่อตาคน มันยิ่งขายขี้หน้ากว่าอะไรเสียอีกนั่น

เหตุการณ์ในตอนนั้น ท่านเล่าแบบขบขันถึงความฉลาดของแม่ ที่รู้ถึงนิสัยจิตใจท่านเป็นอย่างดี ดังนี้
“...ฉลาดไหมล่ะ ? ฟังเอา..ใครไปบวชแล้วออกมาจากอุปัชฌาย์ อุปัชฌายะก็ยังไม่หนี พระกรรมวาจาฯ ก็ยังไม่หนี พระสงฆ์ก็ยังไม่หนีกัน คนก็แน่นอยู่อย่างนั้น ออกมาจะมาสึกต่อหน้าต่อตาคนมาก ๆ นี้ มันไม่ขายหน้าโลก กระเทือนโลกหรือ ? ไม่บวชเสียไม่ดีกว่าหรือ ? มันดีกว่าบวชแล้วมาทำอย่างนั้นนี่นะ แม่ก็ต้องทราบว่ามันทำไม่ลง เพราะรู้อยู่แล้วว่านิสัยของเราเป็น‘ยังไง’

นิสัยเราไม่เคยเป็นคนเสียหายนี่ การประพฤติเนื้อประพฤติตัวแต่ไหนแต่ไรมา เราไม่เคยเสียหาย เราพูดคุยได้จริง ๆ การประพฤติตัวไม่เคยเถลไถล พอแม่ว่า ‘งั้น’ เอ้า..บวช บวชละทีนี้ พอบวชเข้าไป เราจะตั้งหน้าบวชให้สมบูรณ์แบบ ไม่ให้ตำหนิติเตียนเจ้าของได้ในหลักธรรมวินัยข้อใดเลย เราจะเอาจริงเอาจังจนกระทั่งวันสึก กะไว้อย่างนาน ๒ ปี คิดไว้นะ..บวชแล้วทำหน้าที่บวชให้สมบูรณ์ คือจะเรียนหนังสืออะไร ๆ ก็แล้วแต่เถอะ จะทำหน้าที่ให้สมบูรณ์...”

เมื่อตกลงกันได้แล้ว ท่านจึงตัดสินใจบวชและเป็นที่น่าแปลกใจว่า การเตรียมการบวชนี้กลับไม่มีอุปสรรค ไม่มีสิ่งใดมากีดมาขวาง ทุกสิ่งทุกอย่างดูพร้อมไปหมดเลย การตัดสินใจในครั้งนี้สร้างความปีติยินดีแก่พ่ออย่างมาก ท่านเล่าเหตุการณ์ตอนนี้ว่า

“...พอมาบวชเท่านั้นนะ พ่อ แหม.. รู้สึกดีใจจริง ๆ นะ อะไร ๆ เตรียมให้หมดทุกอย่างเลย เรียกพี่ชายมา... ให้พี่ชายเป็นคนจัดบริขาร เพราะพี่ชายเคยบวชเป็นเณรมาแล้ว เขารู้เรื่องผ้าสบงจีวร อะไร ๆ มอบให้พี่ชายเลย ซื้ออะไร ๆ ให้ก็เอาของดี ๆ นะ ... บวชก็ไม่ได้คิดว่าจะอยู่นาน จะบวชปีสองปีเท่านั้นแหละ แล้วก็จะสึกตามประเพณีของโลกเขา บวชให้พ่อดีใจ...”

ลัก...ยิ้ม 05-06-2012 11:00

ป่วยหนักก่อนตัดสินใจบวช

เรื่องนี้เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในระยะก่อนบวช และมีส่วนหนุนนำให้ท่านตัดสินใจบวชได้เร็วขึ้นดังนี้

“..ทีแรกก็ไม่อยากบวช ค่อยขยับจ่อเข้าไป ถึงกาลเวลาป่วยหนัก ป่วยหนักจริง ๆ แทบจะไม่พ้นจากคืนวันนั้น ถึงขั้นพ่อกับแม่มานั่งอยู่สองข้าง มานั่งเทียบสองข้างเลย เราก็กำลังเป็นหนักในขณะนั้น ที่ไม่ลืมเลยก็แม่นั่นแหละ แม่เป็นคนใจอ่อน พ่อไม่ค่อยพูด แต่แม่เป็นคนใจอ่อน ‘จะไปเดี๋ยวนี้เชียวหรือลูก ?’

แม่พูดออกมา ‘อย่าด่วนไป ยังไม่ควรไป ลูกยังไม่ได้บวชให้แม่ ให้ลูกบวชเสียก่อน แม่จะได้หายสงสัย’

แล้วกำลังอารมณ์ในการบวช นี่..ก็เป็นหนักเหมือนกัน..หนุนเข้ามา คราวนี้คราวเราจะไปไม่รอด ‘ถ้าวาสนาของเรายังมีอยู่ จะพอสืบภพสืบชาติไปถึงชั้นสูง ๆ บ้าง ก็ขอให้การเจ็บไข้ได้ป่วยเราซึ่งเป็นมาก ๆ ให้หายวันหายคืนไป

พอว่าอย่างนั้น กลางคืนนั้นละ..พญายมบาลดึง ทางพญาแดนสวรรค์ก็ดึง สุดท้ายก็เลยได้มาทางแดนสวรรค์หรือแดนอะไรก็ไม่รู้นะ แต่มาทางแดนสวรรค์...

รำพึงนะ ... ‘บวชคราวนี้ เหมือนว่าเอาเป็นเอาตายเข้าว่า’

พ่อกับแม่นั่งอยู่สองข้าง จะไปพูดก็จะพูดไม่ได้แล้ว แม่ไม่ต้องพูดมากละ แม่..น้ำตาแม่เร็วกว่าน้ำตาพ่อนะ พอเห็นลูกเป็นอย่างนั้นก็ร้องไห้อยู่ข้าง ๆ นั่นละ กำลังใจของเราก็มุ่ง ‘ขอให้หายในคราวนี้ เราจะออกบวช พอหายคราวนี้เราจะออกบวชเลย’

เราก็หายวันหายคืนจริง ๆ นะ ทั้งที่ไม่น่าพ้นคืนนั้นกลับหายวันหายคืน พอหายวันหายคืนแล้ว สายแห่งกุศลมากระตุกอยู่เรื่อย ‘อย่างไรละ ? ว่าจะบวช..หายแล้วทำไมไม่เห็นบวช ?’

ยอมรับทันทีเลย ยอมรับว่ายังไม่ได้บวช แต่จะบวชให้ได้คราวนี้ พอว่าอย่างนั้นการเจ็บไข้ได้ป่วยหายวันหายคืน ไม่กี่เดือนนะ เรื่องสะดุดจิต..ตายไปแล้วจะไม่ได้บวช ตายกับยังไม่ตายจะบวชหนักสองทาง การที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อจะบวช..เพื่อจะบวช จากนั้นก็หายวันหายคืน... พ่อกับแม่นั่งอยู่สองข้าง เพราะเป็นหนักจริง ๆ เป็นถึงขนาดพูดไม่ได้เลย ส่วนแม่น้ำตาพังนะ..แม่นะ

พอเราตั้งสัจจาธิษฐานในจิตของเรา เพราะจิตมันไม่ป่วย จิตไม่เป็นภัย มันเป็นแต่สังขารร่างกายนี้เท่านั้น เราก็ค่อยดีขึ้น..เลยหายวันหายคืนอย่างรวดเร็ว คำที่ว่าหายแล้วจะบวชนั้นกระตุกเรื่อยนะ หายไข้มาแล้วยังกระตุกเรื่อย กระตุกเราก็ยอมรับ บอกว่าเราจะบวช ไม่ปฏิเสธ เลยได้ออกบวชจริง ๆ เรื่องราวนะ

เราเป็นมาก ๆ พญามัจจุราชก็จ้อเข้ามา นายยมบาลหรือ ...ไม่ทราบละ ต่างฝ่ายต่างจ้อเข้ามา.. สุดท้ายก็หายไข้ หายจากไข้แล้วการบวชนี้ จ้อเข้ามาเลย กระตุกเรื่อย หายจากเป็นไข้แล้วว่า ‘จะบวชทำไมไม่บวช ?’ ว่าอย่างนั้นนะ สายกุศลกระเทือนใจเจ้าของเอง

ทางนี้ก็ยอมรับว่า ‘จะบวช ๆ ถึงวันแล้วจะบวช ให้เป็นอื่นไม่เป็นละ’ เพราะได้ยอมกับพญามัจจุราชมาครั้งหนึ่งแล้ว แทบจะไปไม่รอด คราวนี้จะบวชกับสายใยแห่งการกุศลมันหนุนเรื่อย ๆ ทางนี้สารภาพเรื่อยว่า จะบวช ๆ

จากนั้นพอหายไข้แล้วบอกแม่ว่า ‘จะบวชละ’ แม่มีคำสัตย์คำจริงมาก ทั้งศรัทธามีพอ ๆ กับแม่กับพ่อไม่มีขัดแย้งกันเลย เรื่องบุญเรื่องบาปเสมอกัน

นั่นละ พอจากลั่นคำแล้วเรียกว่าเปิดเลยนะ เพราะนิสัยนี่ไม่เหลาะแหละ จะทำ.. ทำ จะทำอย่างไร ? เอา..ทำ ๆ เป็นนิสัยจริง ๆ จัง ๆ พอหายจากไข้แล้ว เรื่องการบวชกระตุกเรื่อย กระตุกเรื่อย เลยลั่นคำออกมาให้แม่ฟังว่า

‘นี่ตั้งใจว่าจะบวชหลายหน มันก็เคลื่อนคลาดไปเรื่อย ๆ คราวนี้จะบวชให้แล้วนะ’

พอบอกแม่จบลงแล้ว แม่ก็รีบไปบอกพ่อ เพราะเห็นเรานิสัยอย่างนั้น นิสัยของเราเป็นอย่างไร ? ว่าจะไป.. ไป ว่าจะอยู่.. อยู่ ว่าจะทำ.. ทำ ถ้าลงได้ลั่นคำแล้วขาดสะบั้น ที่นี้แม่ได้ยินว่าเราจะบวชให้ แม่ร้องไห้ พ่อก็เหมือนกัน... เวลาบวช พ่อเรียกพี่ชายมาสอนมาสั่ง

‘เธอได้บวชก่อนน้องแล้ว รู้จักบริขารเกี่ยวกับการบวช จะเอาอะไรบ้าง ? แล้วหาของดี ๆ ให้น้อง’

น้องก็คือเรา ทีนี้พ่อกับแม่ก็ปรึกษากันให้เอาแต่ของดี ๆ มาบวช เพราะเด็กคนนี้มันไม่ค่อยเหมือนใคร ถ้าว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น นี้มันลั่นคำลงแล้วว่าจะบวช เราเชื่อเสียเดี๋ยวนี้ว่าลูกคนนี้จะต้องได้บวช เพราะได้ยินคำพูดของเราจริงจังมาก จากนั้นเลยตกลงให้พี่ชายไปหาเครื่องบวชดี ๆ

‘เอาดี ๆ นะ มึง..มึงเคยบวชมาแล้ว มึงรู้จักบริขารของพระบวชแล้ว หาของดี ๆ นะ น้องมึงมันไม่เหมือนมึง พูดเล่นอย่างนั้นล่ะ’

พ่อพูดให้พี่ชายฟัง ‘มันเอาจริง ๆ นะ เครื่องบวชทั้งหลายต้องเอาดี ๆ ทั้งนั้นล่ะ มึงเคยบวชแล้ว’

พ่อไปหากับลูกนั่นละ ไปได้แต่ผ้าดี ๆ ของดี ๆ ทั้งหมดเลย ไม่มีขัดข้อง... ธรรมดาประเพณีคนไทยเรา ลูกผู้ชายเมื่อโตขึ้นมาแล้ว ให้ได้บวชเป็นพระเป็นเณรเสียก่อน จึงเหมาะสมกับประเพณีของคนไทยซึ่งเป็นชาวพุทธ ... พ่อกับแม่เรียกว่าเทถุงเลย เงินมีเท่าไร ๆ เอา อย่าเสียดาย ลูกคนนี้ถ้ามันได้พูดเรื่องนี้แล้ว มันแน่แล้วตั้งแต่ยังไม่บวช มันจะบวชแน่ ๆ ล่ะ นี่ลั่นคำแล้ว เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ...”

ลัก...ยิ้ม 06-06-2012 09:12

คำสอนสุดท้ายของแม่

เมื่อใกล้จะถึงวันบวช ท่านพระครูฯ ได้เดินทางมางานบุญประเพณีที่วัดในหมู่บ้านตาด (บริเวณที่ตั้งสถานีวิทยุเสียงธรรมฯ ในปัจจุบัน) พ่อกับแม่จึงได้ฝากให้ลูกชายเป็นนาค และเตรียมของเดินทางไปพร้อมท่านพระครูฯ ในบ่ายวันเดียวกันนั้น ก่อนไปด้วยความที่แม่เป็นห่วง จึงเข้ามานั่งใกล้ ๆ ลูก แล้วกล่าวกระซิบกระซาบพร้อมหยิบยกเรื่อง ๆ หนึ่งขึ้นมาสอนลูก ด้วยความเป็นห่วงว่า

“นี่ลูก ให้มานั่งนี่ ฟัง... นี่แม่จะพูดอะไรให้ฟังนะ นี่ลูกคนนี้ แม่ไม่มีที่ต้องติในหน้าที่การงานอันใด ไม่ว่าอะไร ๆ แม่ตายใจได้หมดทุกอย่างเลย หน้าที่การงานอะไร การประพฤติอะไรนี้ แม่เห็นลูกเป็นที่หนึ่งเลยในลูกทั้งหลาย แม่ตายใจพ่อก็ตายใจ.. เรื่องทุกสิ่งทุกอย่าง แม่ไม่มีวิตกวิจารณ์แล้ว แต่ที่แม่หนักใจที่สุดคือ การนอนของลูกนะ

การนอนของลูกนี่ เหมือนตายเชียวนะ พี่ชายเขา เวลาบอกแม่.. ตื่นเช้าแล้ววันพรุ่งนี้ให้ปลุกหน่อยนะ จะไปโน้นแต่เช้าแล้วก็เข้านอน บางทียังไม่ได้ปลุก เขาไปแล้ว

ส่วนลูกนี่ ว่าแม่ปลุกหน่อยนะ วันพรุ่งนี้เช้าจะไปไหนแต่เช้า แล้วตายเลย.. ไม่มีคราวไหนที่จะลุกขึ้นด้วยตนเอง นี่ละ ที่แม่หนักใจมากที่สุด กลัวจะไปขายหน้าเขา เวลาบวชแล้วยังนอนหลับครอก ๆ อยู่ เพื่อนไปบิณฑบาตกลับมาแล้ว มาปลุกฉันจังหัน โอ๋.. แม่นี่ ให้ตายซะดีกว่านะ อย่าให้ได้ยินนะลูกนะ แม่จะเอาหัวมุดดินตาย

นี่ล่ะ..ที่แม่วิตกมากที่สุด นอกนั้นแม่ไม่มีอะไรเลยล่ะ วิตกการนอนของลูกเหมือนตายนะลูกนะ ให้ตั้งตัวใหม่นะ”

ท่านฟังคำสอนของแม่ตั้งแต่ต้นจนตลอด ภายนอกอาจดูเหมือนเพียงแค่การรับฟังไว้เฉย ๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว จิตฝังลึกมาก ท่านแอบเก็บคำสอนระคนความห่วงใยของแม่คราวนี้ ฝังแนบแน่นจดจารึกไว้ภายในจิตใจอย่างเงียบ ๆ

และด้วยความห่วงใยนี้เอง ได้เปลี่ยนอุปนิสัยการนอนของท่านอย่างเด็ดขาด ทำให้ท่านประสบความสำเร็จในการศึกษาและปฏิบัติธรรมในลำดับต่อมา

ลัก...ยิ้ม 07-06-2012 09:37

๓. บวชเรียนค้นคว้าพระไตรปิฎก

องค์หลวงตาบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดโยธานิมิตร ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เมื่ออายุ ๒๐ ปี ตรงกับวันขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๗ ปีจอ เวลา ๑๔ นาฬิกา ๔๕ นาที ตรงกับวันอังคารที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗ โดยมีพระเทพกวี (จูม พนฺธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูปลัดอ่อนตา เขมงฺกโร วัดโยธานิมิตร อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เป็นพระกรรมวาจาจารย์

---------------------------------------------------------

* พรรษาที่ ๑-๒ (พ.ศ. ๒๔๗๗ – ๒๔๗๘) จำพรรษาที่วัดโยธานิมิตร ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี



ท่านพระครูชมเชย
คนนี้ละ..จะทรงพระศาสนา
-----------------------------------

นิสัยที่เป็นคนทำอะไรทำจริง ท่านจึงระลึกเตือนตนเองว่า “พ่อแม่ไม่ได้ติดตามมาแนะนำ มาคอยตักเตือนเราอีกแล้ว เราต้องเป็นเราเต็มตัว” ด้วยเหตุนี้เอง นับตั้งแต่วันเข้านาคเป็นต้นมา ท่านจึงฝึกฝนเรื่องการตื่นนอนใหม่ ให้สะดุ้งตื่นทันทีที่รู้สึกตัวขึ้นมา

ช่วงเป็นนาคอยู่นั้น ท่านนอนอยู่หน้าโบสถ์กับเพื่อนนาคด้วยกัน ๓ คน ส่วนท่านพระครูวัดโยธานิมิตร ท่านจำวัดอยู่หลังพระประธาน ทุกเช้าตอนตีสี่จะเห็นท่านพระครูลงมาเดินจงกรมเป็นประจำ ดูท่านจริงจังมาก พอสว่างก็กลับเข้ามาทำวัตร ทำวัตรเสร็จแล้วก็ไปบิณฑบาต

จนกระทั่งเมื่อถึงวันบวช พวกนาคทั้งหลายเขานุ่งแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อย นาคบัวเองก็เตรียมพร้อมแล้วที่จะบวชในวันนั้นเช่นกัน ท่านพระครูฯ ท่านเดินเข้ามาหา มองเห็นนาคบัวแต่งชุดนาคซอมซ่อจึงดุเอาทั้งพ่อทั้งแม่ ท่านว่าเอาแบบเจ็บ ๆ แสบ ๆ ท่านตวาดเอาว่า

“อีแพง! บักทองดี! สูไม่มีหรือ ? อะไร ๆ สูก็ไม่มีหรือ ? ดูซิ! นาคบัวเดินอยู่ในวงของนาคทั้งหลาย ซอมซ่ออยู่นั่น สูเห็นไหม..? ไม่มีสง่าราศรีอะไรเลย นาคทั้งหลายเขาแต่งตัวเต็มยศ ทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย สวยงามน่าดูทุกอย่าง แต่ดูนาคบัวสิ..! แต่งตัวซอมซ่อ ถ้าสูไม่มี กูจะหามาให้

พอท่านพระครูว่าอย่างนั้น ทั้งพ่อทั้งแม่จึงรีบไปยกตะกร้าใหญ่ ๆ ใส่เครื่องแต่งตัวทุกอย่างของนาคบัวที่เตรียมมาให้ลูกแต่ง แต่ปรากฏว่าลูกไม่ยอมแต่ง... ซึ่งตามนิสัยของลูกคนนี้เป็นคนไม่ฟุ้งเฟ้อ แม้แต่เป็นหนุ่มก็ไม่ฟุ้งเฟ้อ ผ้าอะไร ๆ ถ้าแม่ทอให้แล้ว ลูกคนนี้จะนุ่งหมด ซื้อที่อื่นไม่ซื้อ พวกเครื่องนุ่งห่มนี้.. อะไรที่แม่ทอให้แล้วใช้หมด ถ้าเป็นของแม่แล้วใช้หมดเลย ... พ่อแม่จึงได้แต่เอาตะกร้าใหญ่ออกมาให้ท่านพระครูฯ ดู พร้อมกับกราบเรียนท่านว่า

“นี่! เครื่องแต่งตัวนาคบัว เตรียมมาให้ลูกบวช มีทุกอย่างจัดมาให้พร้อมบริบูรณ์ แต่มันไม่สนใจ”

ท่านพระครูสั่งว่า “บอกให้มันมาเอาไปนุ่งเดี๋ยวนี้”

พ่อแม่นาคบัวตอบท่านว่า “ได้บอกแล้ว มันกลับพูดว่า ‘นุ่งอย่างนี้ ถืออย่างนี้แล้วจะเป็นอะไรไป ใครจะมาจับ ?’ พอมันว่าอย่างนั้น แล้วมันก็เดินหนี มันไม่สนใจเลย มันจึงเป็นอย่างนั้น แต่งตัวซอมซ่อกว่าใคร ๆ”

ท่านพระครูฯ พอฟังทราบเหตุผลแล้ว ก็กล่าวว่า “เออ ๆ ! ไอ้นี่ ! คนอย่างนี้แหละ มันจะทรงพระศาสนา เอาละเข้าใจ กูเห็นด้วย เป็นอัธยาศัยของตัวเอง ไม่ฟุ้งเฟ้อ”

ท่านพระครูว่าอย่างนั้น แล้วก็หันหลังเดินกลับ แสดงความดีใจยิ้มแย้มแจ่มใส กิริยาท่านพระครูในคราวนั้น ทำให้ท่านไม่เคยลืมเลือน แม้จะผ่านเหตุการณ์นั้นมานานมากแล้วก็ตามดังนี้

กิริยาท่าน เราก็ไม่เคยลืม แทนที่จะดุก็ไม่ดุ กลับชมเชย เรารักสงวนเนื้อหนังของตัวเองมาตั้งแต่เป็นฆราวาส ถ้าเป็นเสื้อเป็นผ้าหรือเป็นอะไร ๆ ที่แม่ทอออกมานี้นุ่งหมดเลย ไม่ไปซื้อให้เสียเงินเสียทอง นี่..เราพูดเรื่องการแต่งเนื้อแต่งตัว เรื่องรักสงวนเนื้อหนังของตัวเอง ของคนอื่น ไม่เอามาใช้ ไม่จำเป็นนะ เราผลิตขึ้นได้.. เราใช้ของเราเอง ดีไม่ดี..ดีกว่าที่ซื้อเขา ของที่ไปซื้อไปหามานี้ไม่ค่อยสนใจ พวกเพื่อนฝูงเขาซื้อชุดโก้เก๋ละ เราไม่โก้ .. เฉย ๆ เป็นอย่างนั้นละ”

ลัก...ยิ้ม 08-06-2012 09:13

พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล)

พระธรรมเจดีย์ มีนามเดิมว่า จูม จันทรวงศ์ เป็นบุตรคนที่ ๓ ในจำนวน ๙ คน เกิดที่บ้านท่าอุเทน ต.ท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๑ ตรงกับวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีชวด

การบรรพชาและอุปสมบท เบื้องแรกเมื่ออายุได้ ๑๒ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพนแก้ว ต.ท่าอุเทน อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๒ เมื่ออายุครบบวชแล้ว ได้อุปสมบทที่วัดมหาชัย ต.หนองบัว อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานี ในวันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ โดยมีท่านพระครูแสง ธมฺมธโร วัดมหาชัย เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูสีมา สีลสมฺปนฺโน วัดจันทราราม (เมืองเก่า) อ.ภูเวียง จ.ขอนแก่น เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย (พระเทพสิทธาจารย์ วัดศรีเทพ จ.นครพนม) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “พนฺธุโล”

การจาริกเพื่อการศึกษาธรรมปฏิบัติ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ ได้ติดตามพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย ไปจำพรรษาที่วัดเลียบ จ.อุบลราชธานี อันเป็นสำนักของพระอาจารย์เสาร์และพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นอาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ได้ศึกษาข้อวัตรปฏิบัติในด้านสมถวิปัสสนากรรมฐานกับท่านอาจารย์ทั้งสองเป็นเวลาถึง ๓ ปี จึงเป็นมูลเหตุให้ท่านมีอุปนิสัยน้อมไปในฝ่ายวิปัสสนาธุระ และได้ประพฤติปฏิบัติสืบต่อเนื่องไปจนถึงวันอวสานแห่งชีวิต

การศึกษาทางปริยัติธรรม ได้เข้ามาเล่าเรียนศึกษาทางพระปริยัติธรรมต่อที่วัดเทพศิรินทราวาส จนได้เปรียญธรรม ๓ ประโยค

สมณศักดิ์

พ.ศ. ๒๔๖๓ เป็นพระครูสังฆวุฒิกร ฐานานุกรมของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) ครั้งเมื่อเป็นพระศาสนโสภณ และได้ย้ายจากวัดเทพศิรินทราวาสมาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖ กับได้ตราตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ด้วย

พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น พระครูสัญญาบัตรที่ พระครูชินโนวาทธำรง

๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ พระญาณดิลก

๖ พฤศจิกายน ๒๔๗๓ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชเวที

๑๙ กันยายน ๒๔๗๘ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพกวี

๑๙ กันยายน ๒๔๘๘ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมเจดีย์

ท่านเจ้าคุณจูมได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๐๕ เวลา ๑๕.๒๗ น. ณ โรงพยาบาลศิริราช สิริรวมอายุได้ ๗๔ ปี ๒ เดือน ๑๕ วัน พรรษา ๕๕

ลัก...ยิ้ม 11-06-2012 10:43

พระครูศาสนูปกรณ์
(อ่อนตา เขมงฺกโร)

ท่านพระครูปลัดอ่อนตา เขมงฺกโร เป็นคนบ้านเหล่า ต่อมาบวชพระฝ่ายมหานิกายแล้วมาญัตติกรรม เมื่ออายุ ๔๑ ปี โดยท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ วัดโพธิสมภรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูเป็นลูกศิษย์ของท่านพระอาจารย์สุวรรณ สุจิณฺโณ (เป็นคนพิบูลมังสาหาร อุบลราชธานี ซึ่งเป็นเพื่อนกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม)

ท่านพระครูฯ ชอบพระธุดงค์ และตั้งใจปฏิบัติในพระธรรมวินัยและกรรมฐาน โดยอาศัยท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ต่อมาท่านมาเป็นสมภารอยู่วัดโยธานิมิตร

อุปนิสัยของท่านนั้น ชอบการก่อสร้าง ชอบการพัฒนา แต่การปฏิบัติก็ไม่ท้อถอย เป็นคนจริง

มรณภาพเมื่อปี ๒๕๑๓ อายุ ๘๗ ปี องค์หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ตอบแทนคุณพระกรรมวาจาจารย์โดยจัดการศพถวายท่านพระครู

ลัก...ยิ้ม 12-06-2012 08:41

เคารพพระธรรมวินัยตั้งแต่วันบวช

ท่านกล่าวย้อนรำลึกอดีตถึงความตั้งใจปฏิบัติตน และความตั้งใจรักษาตนอย่างเข้มงวดกวดขัน ในสิกขาบทพระธรรมวินัยของพระตั้งแต่วันเริ่มอุปสมบทว่า จะไม่ให้มีข้อติเตียนตนเองได้เลยดังนี้
“...พอบวชแล้วก็เตือนตนเองทันทีว่า... ‘เอาละนะทีนี้... ไม่มีใครจะตามแนะนำตักเตือน ตลอดถึงการหลับการตื่น.. ไม่มีใครปลุกละนะ เราต้องเป็นเราเต็มตัว ตั้งแต่บัดนี้ไป ไม่หวังพึ่งพ่อแม่ดังแต่ก่อนอีกแล้ว ทำความเข้าใจกับตัวเองราวกับว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ’...

ครั้นบวชแล้วก็ตั้งใจเอาบุญเอากุศลจริง ๆ ‘พยายามรักษาสิกขาบทวินัยให้เป็นไปตามหลักของพระอย่างแท้จริง ขณะที่เป็นพระอยู่นั้น จะไม่ให้ต้องติตนได้แต่อย่างหนึ่งอย่างใด จนกระทั่งถึงวันลาสิกขาบท’ นี้เป็นความคิดเบื้องต้น...

ครั้นเวลาก้าวเข้าไปสู่วัดแล้ว ก็ปฏิบัติตัวอย่างนั้นจริง ๆ ไม่เคยเถลไถลออกนอกวัด ไปเที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร่อนยังสถานที่ต่าง ๆ ดังเพื่อนฝูงที่มาฝึกหัดนาคเพื่อจะบวชเป็นกัน แม้ในการเรียนพระปริยัติธรรมก็ตั้งใจศึกษาจริง ๆ อยู่อ่านหนังสือจนดึกดื่นเที่ยงคืน ตีสองบ้าง ตีสามบ้างเป็นประจำ ตีห้าบ้างเป็นบางคืน แต่ก็สามารถตื่นทำวัตรเช้าและออกบิณฑบาตได้ทันทุกครั้งไป ไม่เคยขาดแม้แต่ครั้งเดียว...”

ในพรรษานี้ ท่านได้ตั้งสัจอธิษฐานไว้ว่า “ตลอดพรรษานี้จะไม่ให้ขาดทำวัตร สวดมนต์เช้าเย็นรวมกันกับหมู่เพื่อนพระเณรแม้แต่วันเดียว แม้บางครั้งมีกิจนิมนต์ข้างนอกก็กราบเรียนขอให้ท่านพระครูอาจารย์เจ้าอาวาสรอทำวัตรรวมพร้อมกัน เพื่อไม่ให้ขาดตามที่ตั้งสัจจาธิษฐานนั้นไว้”

แม้จะทำวัตรสวดมนต์ร่วมกับหมู่เพื่อนพระเณรแล้ว ท่านยังทำวัตรสวดมนต์ส่วนตัวอีกครั้งหนึ่งที่กุฏิของท่านเอง เพื่อให้เป็นไปตามสัจจะที่ตั้งไว้

ลัก...ยิ้ม 13-06-2012 07:58


เรียนหนังสือจริงจัง

เมื่ออุปสมบทเข้ามาแล้ว นิสัยทำอะไรทำจริงที่ติดตัวมาแต่เมื่อครั้งเป็นฆราวาสก็ปรากฏตั้งแต่เริ่มแรก ท่านตั้งใจศึกษาเล่าเรียน อ่านหนังสืออย่างหนัก จนเหมือนกับจะไม่มีเวลาพักผ่อนหลับนอนเอาเสียเลย ถึงกับทำให้ญาติโยมเริ่มสังเกตพบเห็นและเกิดความห่วงใย จนต้องรีบเข้าไปหาท่านพระครูฯ ดังนี้
“... เริ่มต้นตั้งแต่บวช... เราตั้งใจเรียนหนังสือจนเขาไปฟ้องท่านพระครูเจ้าอาวาส วัดโยธานิมิตร คือ ช่างเขาไปทำหน้าต่างกุฏิชั้นสอง เราพักอยู่บนนั้น เขาไม่เคยเห็นเวลาเรานอน เราก็ไม่ทราบว่าเขาสังเกตเรา เพราะเราไม่ได้สังเกตอะไรใคร นอกจากเรียนหนังสือเท่านั้น สุดท้ายเขาไปฟ้องท่านพระครูฯ ว่า
‘ขอให้คุณบัว ท่านพักผ่อนบ้าง ดูท่านไม่มีเวลาพักผ่อนเลย เท่าที่สังเกต ไม่ว่ากลางวี่กลางวันไม่สนใจกับใคร ออกจากห้องมาแล้วถือหนังสือจ้อมาอยู่นั้น นอกนั้นเข้าห้อง ๆ ไม่เคยสนใจกับใครมาเป็นประจำ กลางคืนท่านไม่ทราบ ท่านนอนเวลาไหน มองเข้าไปช่องหน้าต่าง เห็นแต่ไฟอยู่อย่างนั้น สักเดี๋ยวโผล่ออกมาแล้วเข้าไป ท่านนอนเวลาไหน นี่กลัว.. ท่านจะเป็นบ้า’

ท่านพระครู ท่านก็แก้ดีนะ ‘โยม! คุณบัวนอนหนุนหมอนหรือหนุนมะพร้าว เรานี่นอนหนุนมะพร้าว สมัยไปเรียนสนธิ เรียนมูลกัจจายน์ (การเรียนของพระในสมัยโบราณ) ที่จังหวัดอุบลฯ เราหนุนมะพร้าว ..พอหัวกลิ้งตกจากมะพร้าวเราลุกทันที อันนี้คุณบัวนอนหนุนหมอน หรือหนุนมะพร้าวล่ะ ?’

‘ท่านนอนหนุนหมอน’ โยมตอบ

ท่านพระครูจึงว่า ‘เออ! ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องห่วงท่าน ถ้าไปบอกท่าน ท่านจะเสียกำลังใจ’…”

ท่านทราบเรื่องได้เพราะมีคนอื่นเล่าให้ฟังในเวลาต่อมา ส่วนท่านพระครูฯ ท่านไม่พูดเรื่องนี้ให้พระบวชใหม่ฟังแต่อย่างใด ท่านเงียบเฉยไปเลย

ลัก...ยิ้ม 14-06-2012 09:14

หยอกล้อประสาพระ

สมัยนั้น การกินหมาก สูบบุหรี่ถือเป็นเรื่องประเพณีของคนไทยทั่วไป ชาวบ้านมักมวนบุหรี่จีบหมากถวายพระอยู่เป็นประจำ คราวหนึ่งท่านถูกเพื่อนพระพรรษามากกว่าหยอกล้อเอา ชนิดที่ทำให้ท่านต้องจดจำชนิดไม่มีวันลืมเลยก็ว่าได้ดังนี้
“...พอสูบบุหรี่เราก็ระลึกถึง พระกอง ที่วัดโยธานิมิตร ท่านเกิดปีเดียวกันกับเรา เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เป็นฆราวาส ท่านอยู่บ้านโนนทัน หนองตูม นิสัยท่านชอบตลก เรายังไม่ลืมนะ ท่านบวชก่อนเราพรรษาหนึ่ง อายุเท่ากัน คือท่านบวชเป็นเณร พออายุถึงพระท่านก็บวชเลย เราบวชตอนอายุ ๒๐ ปี ๙ เดือน

ทีนี้เวลาบวชแล้ว ไปคุยกันที่กุฏิท่าน ท่านเป็นคนนิสัยชอบพูดตลกเหมือนจะหัวเราะ หากไม่หัวเราะ มันทำให้คนอื่นหัวเราะจะตาย เราไปก็ไม่เคยคิดเคยอ่าน เพราะเคยสูบบุหรี่อยู่บ้างแล้ว เห็นหมู่สูบก็เลยสูบกับเขา พอจับบุหรี่มาจุดสูบปั๊บ

พระกองเห็นอย่างนั้น ท่านก็ทักว่า ‘ไอ้พระบวชใหม่ บวชมามันไม่มีธรรมวินัย บุหรี่นี้ได้พินทุอธิษฐานแล้วหรือยังก็ไม่รู้ สูบสุ่มสี่สุ่มห้า เดี๋ยว..อาบัติกินหัว’

ว่าแล้วเฉยนะ ใครก็ไม่เคยคิดว่าบุหรี่จะต้องพินทุอธิษฐานเหมือนผ้า เราก็สูบไปเห็นหมู่เพื่อนสูบก็ไม่เห็นองค์ไหนพินทุอธิษฐาน แล้วมาว่าให้เราซึ่งเป็นเพื่อนกัน ท่านพูด..เราก็เชื่อล่ะซี คนหนึ่งพูดหน้าตาขึงขังเหมือนเราผิดจริง ๆ นี่นะ ไม่ใช่ธรรมดา หน้าเคร่งขรึมนะ นี่ละเวลาจะตลกนะ‘อ้าว! บุหรี่ยังต้องพินทุอธิษฐานด้วยหรือ ?

‘อู๊ย! นี่ยังไม่รู้หรือ ? บวชมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้พระวินัยอีกหรือบวชมาขนาดนี้แล้ว’ เราฟังแล้วก็ยิ่งร้อนใหญ่ เลยนึกว่าเราผิดวินัย

‘แล้วบุหรี่นี่มันพินทุอธิษฐานว่าอย่างไรล่ะ ?’ เราถามเพราะไม่รู้นี่นา เพิ่งจะมาทราบเดี๋ยวนี้

‘โอ๊ย! บวชมาขนาดนี้ยังไม่รู้พินทุอธิษฐาน.. ตาย ๆ.. นี่เป็นอาบัติมาเท่าไรแล้วพระใหม่นี่ ?’ ยังขู่เราอีกด้วยนะ ไม่มียิ้มนะ ยังขู่อีก

‘นี่บวชมานานเท่าไร ? มันเป็นอาบัติมาเท่าไรแล้ว ?’

‘แล้วมันพินทุอธิษฐานว่าอย่างไร ?’

บทเวลาบอกคำอธิษฐานนี่ ที่มันขบขันนะ พอขู่เราเต็มเหนี่ยวแล้ว ‘คำพินทุอธิษฐานเท่านี้ก็ไม่ได้ มันจะไปยากอะไร มันไม่ยืดยาวอะไรเลย ยังไม่ได้อีกหรือ ? คำสั้น ๆ เท่านี้ก็ว่าไม่ได้

‘ไม่ยากแล้วมันว่าอย่างไร ?’

อิมัง ควันถมดัง อธิษฐามิ ควันถมดัง..คือควันถมจมูกเข้าใจไหม ?’ ท่านว่าแล้วก็แสดงหน้าตาเฉยด้วยนะ..นิ่งเชียว...

มันน่าโมโห คนหนึ่งจะตาย..ร้อนเป็นไฟ เราโมโหเลยไม่ลืมจนกระทั่งบัดนี้ (หัวเราะ)...”

ท่านสรุปสุดท้ายให้ฟังด้วยความขบขันว่า แท้ที่จริงแล้วคำอธิษฐานเหล่านี้ไม่มีในพระวินัยอะไร เพื่อนพระท่านตั้งขึ้นมา เพื่อหลอกอำพระใหม่ให้ตกใจเล่น เป็นการหยอกล้อกันเล่นตามประสาพระกับพระด้วยกันเท่านั้นเอง

ลัก...ยิ้ม 15-06-2012 10:48

ไม่มีใครขโมยผึ้งแล้วนะ

คราวหนึ่งขณะกำลังบิณฑบาต ท่านได้พบกับจ่าทหารคนหนึ่ง ที่รู้ฝีมือการจับผึ้งของท่านเป็นอย่างดี ตั้งแต่ก่อนบวช จึงพูดหยอกเย้าท่านดังนี้

“... นี่ (เรา) เป็นคู่กันกับผึ้ง จับแต่ผึ้ง อยู่ต้นไม้ทั้งสูงทั้งต่ำ (จ่าเบ้า)..แกอยู่กรมทหารอุดรฯ แกเป็นจ่าเบ้าทางทหาร เราอยู่บ้านตาด ได้ยินว่าผึ้งอยู่ที่ไหน ๆ เขาตามเองนะ ว่าให้หลวงตาบัวนี่ละไปหาเอาหมด ผึ้งอยู่ในป่า เขาผู้เสียภาษี เขาอยู่อุดรฯ อยู่เก้าอี้ เราผู้ไม่เสียภาษีอยู่ในป่า ผึ้งที่ไหนรู้หมด ไปเอาหมด ทีนี้เวลาบวชแล้วออกไปบิณฑบาต (แกว่า) “โอ้ พอบวชแล้ว ที่นี้ไม่มีใครไปขโมยผึ้งแล้วนะ ที่นี้นะ”

เราก็ยิ้ม ๆ แกพูดหยอก พอบวชแล้วไม่มีใครไปขโมยผึ้งละทีนี้ ไม่มีจริง ๆ ตั้งแต่เราบวชแล้วเราก็ไม่ไป แกพูดหยอกเรา.. ชื่อจ่าเบ้า จ่าทหาร แกเป็นคนถือภาษี เสียภาษีผึ้ง เราไม่ได้เสียภาษี แต่ผึ้งอยู่ที่ไหนรู้หมด ขโมยเอามันก็ได้ยินถึงแกซิ ขึ้นต้นไม้ก็เก่ง ผึ้งนี่มันมีอยู่กี่รัง อยู่ที่ไหนเห็นหมดล่ะ อยู่เก้าอี้ไม่เห็น ไม่เห็น เขาก็รู้ว่า บัวมันตัวขโมยผึ้ง... เราไปตีผึ้ง กลางคืนก็มีผึ้ง กลางวันก็มี ได้ทั้งกลางคืนกลางวัน เรากลางคืนก็ได้กลางวันก็ได้ เขาอยู่โต๊ะเก้าอี้เขา เราอยู่ในป่าเอาเมื่อไรก็ได้ เรารู้หมดล่ะ เรื่องขโมยผึ้งเก่ง เรารู้หมด แกพูดหัวเราะ พูดหยอกเล่น ... แล้วก็ไม่ได้สึกไปจริง ๆ เลยไม่ได้ขโมยผึ้งอีก ถ้าสึกไปไม่แน่นะ... ขโมยผึ้งเก่ง ขึ้นต้นไม้ มีมากมีน้อยรู้หมด เราก็เก่ง เก่งเหมือนกัน... ไม่สึกไปก็เลยปลอดภัย ผึ้งทั้งหมดไม่ถูกขโมยละ...”

ลัก...ยิ้ม 19-06-2012 08:40


ปฐมฤกษ์แห่งการภาวนา

ในช่วงเริ่มต้นของการเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ท่านเล่าเหตุการณ์ในช่วงนี้ไว้ว่า
“...ท่านพระครูฯ ท่านชอบภาวนานะ ท่านให้เราไปอยู่ในโบสถ์ด้วยกัน ท่านอยู่เตียงนอนหลังพระพุทธรูป พวกเราก็นอนในโบสถ์นั่นแหละ แต่เป็นหน้าพระพุทธรูป ออกไปโน่น.. ประตูออกโน่น พวกนาค ๒ - ๓ คนนอนอยู่โน่น ท่านสวดมนต์เก่งนะ แล้วก็ภาวนา

ตื่นเช้าออกมาตั้งแต่ตี ๔ ท่านออกไปเดินจงกรมที่หน้าโบสถ์ มันโล่งหมดนะ แต่ก่อนเราเป็นนาค เราเห็นอยู่ ท่านออกไปเมื่อไหร่เราก็เห็นอยู่ เวลาท่านเดินจงกรม เราคอยสังเกตดูอยู่

เมื่อบวชแล้ว เราจึงเดินจงกรม แล้วไปถามคำภาวนากับท่าน เราไม่ลืมนะ เพราะเราชอบภาวนา
“กระผมอยากภาวนา อยากจะเดินจงกรม อยากจะนั่งภาวนาจะต้องทำอย่างไร..?” เราถามท่าน

ท่านพระครูฯ ตอบ “เออ..ให้ภาวนาว่า พุทโธนะ เราก็ภาวนาพุทโธ เหมือนกันแหละ”

“แล้วท่านพระครูฯ นั่งภาวนาสวดมนต์ล่ะ”

“อ้อ! เราสวดมนต์หลายบทหลายสูตร” ท่านพระครูฯ ว่าอย่างนั้น..

เมื่อทราบดังนี้ ภิกษุบวชใหม่ก็จับใจความได้ทันที แล้วน้อมนำไปเป็นหลักปฏิบัติของตนบ้าง ท่านยังเล่าถึงความตั้งใจในช่วงอุปสมบทใหม่นี้เพิ่มเติมด้วยว่า
“...ท่านพระครูฯ ก็สอนเท่านั้น เราก็ไปภาวนาพุทโธด้วยความเลื่อมใส พอใจในการภาวนา อยู่กุฏิใหญ่ทางด้านทิศเหนือ กลางคืนดึก ๆ จะลงมาเดินจงกรมทุกคืนนะ... แม้บวชมาใหม่ ๆ แต่นิสัยชอบภาวนา นิสัยอันนี้มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม ไม่มีใครสอนมัน หากเป็นอยู่ในจิต มันแปลกมากเรื่องนี้...

เวลาจะหลับจะนอนจะเหลือเวลาไว้ คือหยุดจากการอ่านหนังสือจะเหลือเวลาไว้ ๑ ชั่วโมง เพื่อนั่งภาวนาทุก ๆ คืน... สมมุติว่าจะพักนอนตี ๒ ตอนตี ๑ จะหยุดอ่านหนังสือก่อนแล้วต้องทำสมาธิภาวนา ตั้งใจพุทโธ ๆ ไปเรื่อย ๆ

ชั่วโมงนั้นแหละ เป็นชั่วโมงภาวนาเป็นประจำนะ... ถึงเวลาก็ลงมาเดินเงียบ ๆ จากนั้นก็นั่งภาวนาแล้วก็หลับ...”

หลังจากสอบถามท่านพระครูฯ แล้ว ท่านก็ทดลองภาวนาตามลำพัง ดังนี้
“...เราก็เอาพุทโธมาภาวนาตามประสีประสา ไม่คาดไม่ฝันไม่คิดไม่อ่านว่า มันจะแสดงความแปลกประหลาดขึ้นมา ก็พุทโธ ๆ วันนี้ วันนั้นไปตามประสาอย่างนั้นแหละ โอ๋ย.. บทเวลามันจะเป็น พุทโธ ๆ สติติดอยู่นั้น สักเดี๋ยวกระแสของจิตที่มันคิดฟุ้งซ่านเหมือนเราตากแหนี่

ที่นี้พอจิตจะเริ่มสงบก็เหมือนเราดึงจอมแห พุทโธ ๆ นี่เหมือนจับจอมแหดึงเข้ามา ตีนแหก็หดเข้ามา ๆ จนกระทั่งเป็นกองแห ทีนี้กระแสของจิตมันรวมตัวเข้ามา ๆ จนกระทั่งเป็นกองความรู้ที่อยู่เป็นจุดเดียว เท่ากับกองแหที่นี่

นี่ละ พอมันเข้ามาถึงนี้กึ๊กเท่านั้น โถ.. เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ลืมนะ นี่ละเป็นปฐมฤกษ์แห่งการภาวนาของเรา พอเข้าถึงนั้นกึ๊กจะว่าเป็นสมาธิ ไม่สมาธิพูดไม่ถูกนะ พอเข้านั้นกึ๊กขาดหมดเลยโลกอันนี้ ปรากฏไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ธรรมชาติที่อัศจรรย์สุดส่วน คือใจดวงนั้น ขาดออกหมดนะ... อารมณ์ทั้งหลาย ขาดหมด

เกิดความอัศจรรย์ ตื่นเต้น ความตื่นเต้นในความอัศจรรย์ เลยไปกระตุกธรรมชาตินั้นเสีย รวมไม่ได้นานนะ คือขาดไปหมดจริง ๆ เหมือนอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร เรามีที่นั่งอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร หรือว่ามีเกาะ ว่าเกาะก็กว้างไป เหมือนว่าที่นั่งกลางมหาสมุทร
มันอัศจรรย์เกิดคาดเกินหมาย โถ.. ทำไมถึงเป็นอย่างนี้’

นี่เราเป็นทีแรกนะ คือค่อยหดเข้ามา ๆ พอกิริยาของจิตหดเข้ามา สติยิ่งจ่อเข้า ๆ เข้ามาถึงจุดกลางกึ๊กเท่านั้น ทีนี้มันจ้าอยู่ภายในเจ้าของ

อัศจรรย์อันนี้เหมือนว่าขาดหมด เรื่องอารมณ์ของโลกนี้ปรากฏขาดไปหมดในเวลานั้น เกิดความอัศจรรย์ขึ้นมา ตื่นเต้น

ความตื่นเต้นละไปกระตุก ไม่ใช่อะไรนะ คือมันไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ ความตื่นเต้นความอัศจรรย์ไปกระตุก จิตเลยถอนขึ้นมาเสีย โหย... เสียดาย เสียจนวันหลังขยับใหญ่เลย ไม่ได้เรื่อง ๆ...”

กล่าวถึงเรื่องการภาวนาและกรรมฐาน ท่านมีความเคารพเลื่อมใสมาแต่เดิมแล้ว ตั้งแต่บวชทีแรกที่วัดโยธานิมิตรแห่งนี้ หากเห็นพระกรรมฐานมาพักด้วย ท่านจะต้องรีบไปถึงก่อน เพื่อจะได้พูดคุยเรื่องธรรมะ เรื่องจิตกับท่านทันที

ลัก...ยิ้ม 22-06-2012 09:23

จำยอมเทศน์พรรษาแรก


การเรียนของท่านในเวลานั้นยังไม่ได้เรียนนักธรรมตรี เพียงแต่เรียนสวดมนต์และสวดพระปาฏิโมกข์ และด้วยความตั้งใจร่ำเรียนหนังสือ ท่องบทสวดมนต์ทำวัตรอย่างจริงจังเช่นนี้ ทำให้เพียงพรรษาแรกของการบวช ท่านก็สามารถเรียนสวดมนต์ ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน และปาฏิโมกข์จบหมด และยังได้ขึ้นสวดปาฏิโมกข์ในกลางพรรษาอีกด้วย นับเป็นสิ่งยากสำหรับพระภิกษุบวชใหม่ทั้งหลายจะพึงกระทำได้

ครั้นเมื่อออกพรรษาตามฤดูกาล ชาวบ้านเขาจะทำบุญลานข้าว เขาจะเอาข้าวขึ้นยุ้งขึ้นฉาง ภาษาอีสานเขาเรียก “ฟาดข้าว” ฟาดข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็นิมนต์พระไปทำบุญที่ “กองประทายข้าวเปลือก” แล้วจึงขนขึ้นบ้านขึ้นเรือน ครั้งนั้น ชาวบ้านเขาพากันมานิมนต์ท่านพระครูฯ วัดโยธานิมิตร ที่นี้คนนั้นก็ทำบุญลานข้าว คนนี้ก็ทำบุญลานข้าว เมื่อมากต่อมากเข้าพากันมานิมนต์พระจนหมดวัด ไม่มีพระให้เขาแล้ว ท่านพระครูฯ ก็เลยให้ท่านเป็นหัวหน้า ทั้งที่เพิ่งบวชได้พรรษาเดียวเท่านั้น และก็ยังไม่เคยเตรียมตัวมาก่อนเลยด้วย

ท่านพระครูฯ ว่า “มันไม่มีพระจะทำอย่างไร ไปฉลองศรัทธาให้เขาหน่อยสิ”
จึงตกลงให้พระภิกษุบัวเป็นหัวหน้า ครั้งนั้น ท่านก็ได้พกเอาหนังสือเทศน์เล่มหนึ่งประมาณ ๑ กัณฑ์จบพอดี พกติดย่ามไปด้วย เผื่อว่าเวลาจำเป็นก็จะเอาหนังสือนี้ออกเทศน์ ท่านเล่าเหตุการณ์ตอนนี้ว่า

“...พอออกพรรษาแล้วถูกเขานิมนต์ไปในงานข้าวเปลือกตามลานข้าว เขาถือเป็นประเพณีนิมนต์พระไปทำบุญที่ลานข้าวเขา เสร็จแล้วเขาถึงจะขนข้าวขึ้นยุ้งขึ้นฉางเขาเป็นปกติ ส่วนมากเขาทำอย่างนั้น แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเขาทำทุกรายนะ แต่ส่วนมากมันเป็นอย่างนั้น เราก็ได้พรรษาเดียว เดือนพฤศจิกายนกำลังหนาวนะ ไปค้างที่ลานนั่นแหละ เขาจัดทำเลไว้ให้ค้างให้พักที่นั่น ..

เราก็ไป... ไปก็ไปนอนค้างคืนที่บ้านหนองแวง... ตะวันออกบ้านดงเค็ง พอไปตอนกลางคืนสวดมนต์เรียบร้อยแล้วก็ค้างที่นั่นเลย ตอนเช้าฉันจังหันเสร็จ เขานิมนต์ให้ขึ้นเทศน์ เทศน์ตอนแรกก็ได้นะสิ มันมีหนังสือเล่มหนึ่งบาง ๆ กัณฑ์เดียวความว่า “จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคคติ ปาฏิกังขา” เมื่อจิตเศร้าหมอง ทุคตติเป็นอันหวังได้

เทศน์จบกัณฑ์นี้แล้ว ต่อมาพวกหลังแห่กันมาอีก.. มาขอฟังเทศน์ ทีนี้ตัวผู้เฒ่าศรัทธาเจ้าภาพก็ว่า ‘ท่านเทศน์ให้ฟังก็ได้ จะยากอะไร ?’
เขาไม่ยากนะสิ แต่เรามันจะตายเอา (หัวเราะ) มันเหงื่อแตก นี่ขนาดหนาว ๆ นะ โถ!.. เราอยากฆ่าเฒ่านั่น เรายังไม่ลืมเฒ่านั่น เฒ่าที่ว่า ‘เทศน์มันยากอีหยัง ?’

โธ่!.. ยากบ่ยาก แต่เรามันแค่น (แน่นในอก) เสียแล้ว หัวอกมันคับแล้ว จะเอาอะไรมาเทศน์ละทีนี้ มันไม่มีอะไรแล้ว !! กูตายนี่... พอเขานิมนต์ให้เทศน์แล้ว ทีนี้มันก็อยู่กับหัวหน้า จะให้เขาเทศน์มันก็ไม่ได้นี่นา.. ตกลงก็ต้องเป็นเราเทศน์ โถ.. หนาว ๆ นี่แต่เหงื่อก็แตกหมดเลยนะ แต่มันก็ไปได้นะ ก็แปลกอยู่ เวลาจนตรอกมันไปได้นะ เทศน์ไปได้ นี่นะ.. แต่ว่าอกนี้จะแตก มันก็พอปีนรอดตัวไปได้ ‘ว่างั้น’ เถอะนะ

พอเทศน์เสร็จก็ออกมา เพื่อนพระมาด้วยกันมาพูดหยอกล้อว่า ‘โถ! เวลาเทศน์ก็เทศน์ดีนี่นะ’

เราว่า ‘อยากตายดิ๊.. อยากตาย อย่ามายุ่งเด้อว่ะ อย่ามาล้อเด้อว่ะ’

‘ฮ่วย! อยากตายอีหลีดิ๊เดี๋ยวนี้’ (อยากตายจริง ๆ หรือนี่)

เรามันโมโหนี่ว่ะ เหงื่อยังแตกอยู่บ่เซา (เหงื่อไหลไม่หยุด) เข้าใจไหมล่ะ ? ภาคอีสานทางนี้เขาเรียก “ข้าวโป่ง” ฉันเพลข้าวโป่งแผ่นเดียวก็ฉันไม่หมด มันสิตาย มันแค่น (จุกในอก กินไม่ลง) โน่นน่ะ

‘โอ้ ทุกข์มากจริง ๆ ชีวิตของพระก็มีครั้งนั้นละ เราจำไม่ลืมนะ.. ทุกข์มากที่สุด ยังไม่ได้อะไร ก็ยังไม่ได้คิดเรื่องเทศน์ ภาษิตหนังสืออะไร ๆ เราก็ยังไม่เคยสนใจเรียน ก็คิดตั้งแต่เรื่องสวดมนต์สวดพร เรียนจบไปตามนั้น ๆ หลังจากนั้นไปแล้ว เราก็จะเริ่มเรียนนักธรรม เรากะไว้อย่างนั้นนะ ปีนี้จะต้องเรียนสวดมนต์ และปาฏิโมกข์ให้ได้เสียก่อน พอปีที่สองตั้งหน้าใส่ฝ่ายนักธรรมเลย พอออกพรรษาเท่านั้น ยังไม่ได้เรียนนักธรรม เขาก็จับไปเทศน์แล้ว มันจะไปได้ภาษิตที่ไหนจากไหนมา ยกเป็นคาถาเทศน์ขึ้นมา มันไม่ได้มีอะไรจะเทศน์ละทีนี้ โอ้ย.. คับหัวอก ทุกข์ที่สุดเลย โธ่.. ฉันขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นกลืนไม่ลง เข้าใจไหม จะเอาอะไรเทศน์ให้เขาฟัง..! มันคับมันแค้นในหัวใจ นี่ละชีวิตของพระ เรามีครั้งนั้นละ ทุกข์มากจริง ๆ ก็เทศน์ให้เข้าฟังได้นะ คนเรามันจะตายจริง ๆ มันปีนได้นะ มันปีนไปจนได้นั่นละ’

จากนั้น พอกลับมาถึงวัดก็หาคัมภีร์เอามาท่องกัณฑ์เทศน์เลย ค้นหนังสือเทศน์ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) ค้นเอากัณฑ์เทศน์ของท่านที่เราชอบใจ ท่องขึ้นใจ คล่องปากยิ่งกว่าท่องพระปาฏิโมกข์เสียอีก คิดในใจว่า ‘คราวนี้ไม่ตายแล้ว ถ้ามีเหตุจำเป็นต้องได้เทศน์ที่ไหน ก็จะเอากัณฑ์นี้ออกเทศน์’ ก็เลยไม่ถูกนิมนต์เทศน์อีกเลย...”

นับแต่นั้นมา ท่านกลับไม่เคยได้เทศน์ในลักษณะนี้อีกเลย และเทศน์หนนั้นก็ยังทำให้ท่านไม่มีวันลืมเลือนได้เลย ด้วยเหตุผลว่า

“เพราะเป็นการเทศน์แบบจนตรอกจริง ๆ ไม่มีทางไปเลย แต่ก็ต้องปีนเอา เอาตายสู้เลย ... เราไม่เคยมีจนตรอกจนมุม มีครั้งนี้ครั้งเดียว จากนั้นไม่เคยมีปรากฏในชีวิตของพระ เรามีครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราฝังลึกมาก อันนี้ก็ไม่ลืม... จากนั้นมาก็พอเทศน์ได้ธรรมดา ไม่อั้นตู้ (อับจน) เหมือนตอนนั้น เพราะเรียนหนังสือไปด้วย จะมีเทศน์บ้างก็ยามจำเป็นจริง ๆ หากไม่จำเป็นไม่เทศน์”

ลัก...ยิ้ม 25-06-2012 11:00

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท)

พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ มีนามเดิมว่า จันทร์ ศุภษร เป็นบุตรคนหัวปี ในจำนวน ๑๑ คน เกิดเมื่อวันศุกร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๙๙ ที่บ้านหนองไหล จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๔๐๐ เส้น (๑๖ กิโลเมตร)

การบรรพชาและอุปสมบท เมื่ออายุ ๑๓ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ต่อมาได้อุปสมบทที่วัดทุ่งศรีทอง โดยพระอาจารย์ม้าว เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ฉายา “สิริจนฺโท”

ท่านศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดพิชัยญาติ วัดเทพศิรินทราวาส และอีกหลาย ๆ สำนัก ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ท่านก็สอบได้เปรียญ ๔ ประโยค ซึ่งขณะนั้นจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส ท่านได้รับการยกย่องให้เป็นทั้งนักปราชญ์ นักเทศน์ นักปฏิบัติ และนักพัฒนา มีอุปนิสัยพูดจริงทำจริง ตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวใคร มีความเชี่ยวชาญแตกฉานด้านวิปัสสนาธุระ เป็นพระนักเทศน์ที่มีโวหารชาญฉลาด ทั้งยังได้แต่งตำราทางด้านวิปัสสนาธุระ และมีศิษย์เอกที่มีชื่อเสียงทางปริยัติ ได้แก่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) วัดบรมนิวาส นอกจากนี้ท่านยังให้คำแนะนำด้านปริยัติธรรมแก่ครูบาศรีวิชัย วัดสวนดอก และพระครูวินัยธร (มั่น ภูริทตฺโต) อีกด้วย

สมณศักดิ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ ได้เป็นที่พระธรรมธีรราชมหามุณี ได้ครองตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส สมณศักดิ์สุดท้ายได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะหิรัญบัตรที่ “พระอุบาลีคุณูปมาจารย์”

มรณะภาพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ สิริอายุได้ ๗๗ ปี

ลัก...ยิ้ม 26-06-2012 09:39

อยากเป็น “พระอรหันต์” เท่านั้น

ท่านจำพรรษาที่วัดโยธานิมิตร ๒ พรรษา นอกจากตั้งใจอ่านหนังสือธรรมะแล้ว ยังได้ช่วยเหลืองานก่อสร้างศาลาท่านพระครูฯ อยู่บ้าง ดังนี้

“การก่อสร้าง.. ก่ออะไรก็มี ที่มาจำพรรษาที่วัดโยธานิมิตร หนองขอนกว้าง ๒ พรรษาแรกอยู่นี้ พอพูดอย่างนี้ก็ทำให้ระลึกถึงท่านพระครูฯ เหมือนกันนะ ท่านพระครูฯ เป็นเจ้าอาวาสวัด ทำให้คิดเหมือนกันนะ

เราได้ช่วยงานก่อสร้าง คือว่าเลื่อยไม้ ท่านพาไปเลื่อยไม้ในป่าแถว ๆ ใกล้นี้ ไม่อดนี่ ไม้แต่ก่อน.. อดอยากที่ไหน ท่านพาไปเลื่อยไม้มาสร้างศาลา เราก็ได้ช่วยท่านอยู่ปีหนึ่ง จำได้..ก่อสร้าง เรียกว่าเราได้ช่วยก่อสร้าง... ออกจากนั้นแล้วก็เตลิดเปิดเปิงจนกระทั่งป่านนี้”

เมื่อได้เรียนหนังสือตำรับตำราทางธรรม ธรรมะซึ่งเป็นของจริงอยู่แล้วกับนิสัยที่จริงจังของท่าน ก็รู้สึกว่าเข้ากันได้อย่างสนิทใจ ทำให้เกิดความซาบซึ้งอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนี้
“เมื่อเรียนธรรมะ ไปตรงไหนมันสะดุดใจเข้าไปเรื่อย ๆ โดยลำดับ นับตั้งแต่หนังสือธรรมะชื่อนวโกวาท นี่เป็นพื้นฐานแห่งการศึกษาเบื้องต้น จากนั้นก็อ่านพุทธประวัติ ทำให้เกิดความสลดสังเวช สงสารพระองค์ท่านในเวลาที่ทรงลำบาก ทรมานพระองค์ก่อนตรัสรู้ธรรม จนถึงกับน้ำตาร่วงไปเรื่อย ๆ

จนกระทั่งอ่านจบเกิดความสลดใจอย่างยิ่ง ในความพากเพียรของพระองค์ซึ่งเป็นกษัตริย์ทั้งองค์ ทรงสละราชสมบัติทรงออกผนวชเป็นคนขอทานล้วน ๆ ซึ่งสมัยนั้นไม่มีศาสนา คำว่าการให้ทานได้บุญอย่างนั้น การรักษาศีลได้บุญอย่างนี้ไม่เคยมี พระองค์ก็ต้องเป็นคนอนาถาและขอทานเขามาโดยตรง และฝึกอบรมพระองค์เต็มพระสติกำลังทุกวิถีทางเป็นเวลา ๖ ปี ถึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา

ในขณะที่อ่านประวัติของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้ธรรม รู้สึกอัศจรรย์อย่างยิ่งถึงกับน้ำตาร่วงเช่นเดียวกัน...”

แม้เมื่อได้อ่านประวัติพระสาวกอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านออกมาจากสกุลต่าง ๆ กัน ตั้งแต่พระราชามหากษัตริย์ มหาเศรษฐีกุฎุมพี พ่อค้า ประชาชน ตลอดคนธรรมดา ก็ยิ่งทำให้เกิดความซาบซึ้งใจ ดังนี้
“... องค์ไหนออกมาจากสกุลใด หลังจากได้รับพระโอวาทจากพระพุทธเจ้าแล้ว ต่างก็ได้บำเพ็ญในป่าในเขาอย่างเอาจริงเอาจัง เดี๋ยวองค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์อยู่ที่นั้น องค์นั้นสำเร็จอยู่ในป่านั้น ในเขาลูกนั้น ในถ้ำนั้น ในทำเลนี้มีแต่ที่สงบสงัดก็เกิดความเลื่อมใสขึ้นมา ทำให้ใจหมุนติ้ว... เรื่องภายนอกก็ค่อยจืดไปจางไป...

ท่านเล่าถึงความรู้สึกที่ค่อยแปรเปลี่ยนไป ๆ เช่นนี้ว่า

“... ทีแรกก็คิดจะไปสวรรค์ คิดจะไปพรหมโลก พออ่านประวัติสาวกมาก ๆ เข้า มันไม่อยากไปละซิ อยากไปนิพพาน สุดท้ายก็อยากไปแต่นิพพานอย่างเดียว อยากเป็นพระอรหันต์.. อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีเปอร์เซ็นต์อื่นเข้ามาเจือปนเลย ที่นี้จิตมันก็พุ่งลงตรงนั้น ลงช่องเดียว...”

ความตั้งใจเดิมว่าจะบวชเพียง ๒ พรรษาแล้วสึกหาลาเพศนั้นค่อยจืดจางลงไป ๆ ทุกขณะ กลับเพิ่มพูนความยินดีในเพศนักบวชมากเข้าไปทุกที เรื่องธรรมะก็รู้สึกดูดดื่มยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จิตใจก็เปลี่ยนแปลงไป

ด้วยเหตุนี้เอง ในระยะต่อมาท่านจึงได้ออกจากบ้านตาดไปศึกษาเล่าเรียนในที่ต่าง ๆ จนกระทั่งได้ตั้งสัจจาธิษฐานไว้เลยว่า
“เมื่อจบเปรียญ ๓ ประโยคแล้ว จะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่มีข้อแม้ ไม่มีเงื่อนไข เพราะอยากพ้นทุกข์เหลือกำลัง อยากเป็นพระอรหันต์นั่นเอง”

ลัก...ยิ้ม 27-06-2012 09:48

พุทธประวัติย่อ

“... เบื้องต้นเจ้าชายสิทธัตถราชกุมารเสด็จออกผนวช ทรงเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างโดยทรงตัดความห่วงใยอาลัยเสียดายทุกประการ กระทั่งประชาชนทั้งหลายที่เห็นแก่ตัว ตำหนิติเตียนท่าน ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนคับแคบ เอาตัวรอดเพียงพระองค์เดียว..

โดยลำพังพระกำลังความสามารถที่ทรงทำประโยชน์ให้แก่โลก ในความเป็นพระเจ้าแผ่นดินนั้นผลมีจำกัด ไม่สามารถทำประโยชน์แก่โลกได้มากมายทั่วไตรโลกธาตุ เหมือนความเป็นศาสดาเลย อย่างมากก็ได้เพียงขอบเขตขัณฑสีมาที่พระสิทธัตถราชกุมารทรงปกครองเท่านั้น ไม่เหมือนความเป็นศาสดาสอนโลกทั้งสาม เช่น กามภพ รูปภพ อรูปภพ ที่เรียกว่าไตรโลกธาตุ

พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเป็นครูสั่งสอน เมื่อเสด็จออกผนวชก็ทรงบำเพ็ญพระองค์อย่างเต็มพระสติปัญญา สละตัดความห่วงใยอาลัยเสียดายทั้งสิ้นที่โลกนิยมกัน ก็ตำแหน่งพระราชามหากษัตริย์ใครจะไม่ต้องการ ยศถาบรรดาศักดิ์ ความเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ไพร่ฟ้าประชาชี บริษัทบริวาร พระชนกชนนี พระชายา พระราชโอรส สมบัติเงินทองข้าวของทั้งแผ่นดิน เป็นของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสิ้น...

จากนั้นก็ทรงบำเพ็ญอยู่ในป่า การอยู่ การเสวย การใช้สอยต่าง ๆ เมื่อลดตำแหน่งจากความเป็นพระเจ้าแผ่นดินลงมาเป็นคนอนาถา หาที่พึ่งพาอาศัยไม่ได้แล้ว จะได้รับความทุกข์ความลำบากยากเย็นเข็ญใจมากน้อยเพียงใด ... ที่อยู่ที่หลับนอน การเสวย ตลอดยาแก้ไข้ ยารักษาโรคต่าง ๆ ไม่มีในสิทธัตถราชกุมารซึ่งกำลังเป็นอนาถานั้นเลย แม้เช่นนั้น ก็ไม่ทรงท้อพระทัย ทรงบำเพ็ญจนถึงขั้นสลบไสลไปในบางครั้ง ซึ่งบอกไว้ในตำรา ... ปรากฏว่า ทรงสลบไปถึงสามครั้ง หากไม่ฟื้นก็ต้องตาย นี่คือความทุกข์ความลำบากของต้นศาสนาเป็นมาอย่างนี้ เมื่อกาลเวลาที่ได้รับความทุกข์ความทรมานยิ่งกว่านักโทษในเรือนจำ ซึ่งเป็นอยู่ถึงหกปีผ่านไปแล้ว ...

ปฐมยาม ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้กี่ภพกี่ชาติของพระองค์เอง ได้เกิดได้ตายท่องเที่ยวในวัฏสงสาร ทั้งภพน้อยภพใหญ่ทั้งสูงทั้งต่ำ คือขึ้นถึงชั้นพรหมโลกก็ถึง ลงจนถึงนรกอเวจีก็ลง เป็นอย่างนี้เหมือนสัตว์ทั้งหลายทั่ว ๆ ไปนั้นแล เมื่อพระองค์บำเพ็ญสมณธรรมคืออานาปานสติถูกทางแล้ว ได้บรรลุธรรมนี้ขึ้นมา ...

เมื่อได้ผลจากการบำเพ็ญอานาปานสติในปฐมยามนั้นแล้ว ก็ทรงทราบย้อนหลังถึงความเป็นมาของพระองค์ ว่าเคยเกิดเคยตายในภพในชาติเป็นสัตว์ เป็นเปรต เป็นผี หรือเป็นสัตว์นรก ตลอดถึงเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ประเภทใด พระองค์เคยเป็นมาหมด แล้วนับย้อนหลังได้หมด ตามร่องรอยแห่งความเป็นมาของพระพุทธเจ้า นี่พระองค์ก็ทรงทราบได้อย่างชัดเจน เป็นผลประจักษ์ในคืนวันนั้น

พอมัชฌิมยามนั้นก็บรรลุจุตูปปาตญาณ ทรงพิจารณาเรื่องความเกิดความตายของสัตว์โลกทั่ว ๆ ไปไม่มีประมาณ ก็ทรงทราบตลอดทั่วถึง เช่นเดียวกับพิจารณาความเป็นมาของพระองค์ จนถึงกับท้อพระทัยในการที่เกิดตายแบกหามทุกข์ตลอดมา ไม่มีสถานที่ใดที่จะปลงวางแห่งความทุกข์ เมื่อมีความเกิดผิด ๆ พลาด ๆ อยู่อย่างนี้แล้ว พระองค์จึงทรงย้อนพระทัยเข้ามาสู่ต้นเหตุอันใหญ่หลวงคือ อวิชชา ปัจจยา สังขารา เป็นต้น อวิชชาคือ ความมืดบอดปิดในหัวใจของสัตว์ สังขารก็ผลักดันให้คิดให้ปรุงในเรื่องในราวต่าง ๆ ซึ่งเป็นทางเดินของกิเลสอวิชชานั้นไปเรื่อย ๆ จึงพาสัตว์ให้เกิดให้ตายเรื่อย ๆ

พระองค์ทรงพิจารณาย้อนหน้าย้อนหลัง ถึงต้นเหตุแห่งการพาสัตว์ให้เกิดตายคืออะไร ? ก็มาได้ความที่อวิชชา ปัจจยา ทรงพิจารณาลงที่จุดนั้น.. เข้าสู่ต้นตอแห่งภพแห่งชาติ แห่งความทุกข์ความทรมานทั้งหลาย ได้ทราบอย่างประจักษ์พระทัย แล้วถอนขึ้นมา บรรดาอวิชชาที่ครอบงำในพระทัยของพระพุทธเจ้า ได้ถูกถอนขึ้นมาโดยสิ้นเชิง ... นั่นละ ที่ปัจฉิมยามก็บรรลุอาสวักขยญาณ คือสิ้นกิเลสโดยประการทั้งปวง สิ้นอาสวกิเลสหมดในปัจฉิมยามที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรียกว่าตรัสรู้ขึ้นมาในขณะนั้น ตัดภพตัดชาติความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เป็นมาแล้วก็จะนับจำนวนไม่ได้ ที่จะเป็นต่อไปนั้นก็เป็นอันว่าสุดสิ้นลงแล้ว ในขณะที่อวิชชาตัวพาให้เกิดให้ตายได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ในวันเพ็ญเดือนหกตอนปัจฉิมยามฯ ...

นี่คือพระพุทธเจ้าทรงฝึกฝนอบรมพระองค์ คอยสังเกตสังกาการประพฤติปฏิบัติของพระองค์ เพราะไม่มีครูใดอาจารย์ใดจะมาสอนได้ เป็นลำพังของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะพระวิสัยของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์นั้น เวลาตรัสรู้ จะตรัสรู้โดยลำพังพระองค์เองทุก ๆ พระองค์ ไม่มีใครแนะนำสั่งสอนเลย จึงเป็นการยากการลำบาก นี่ละ..การฝึกฝนอบรมพระองค์จนได้เป็นศาสดาขึ้นมาแล้วก็ประกาศธรรม ... ทรงนำมาแสดงสั่งสอนสัตว์ทั้งหลายเรื่อยมา นี่เริ่มเป็นครูของโลกแล้ว เป็นครูของมนุษย์และเทวดา อินทร์ พรหมทั้งหลายในสามแดนโลกธาตุนี้...”

ลัก...ยิ้ม 29-06-2012 10:52

• พรรษาที่ ๓ (พ.ศ. ๒๔๗๙)
จำพรรษาที่วัดท่าช้าง * (ปัจจุบัน วัดป่าคีรีวัลลิ์) ตำบลท่าช้าง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา

• พรรษาที่ ๔-๕ (พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑)
จำพรรษาที่วัดสุทธจินดา ตำบลโพธิ์กลาง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

• พรรษาที่ ๖ (พ.ศ. ๒๔๘๒)
จำพรรษาที่วัดศาลาทอง ตำบลหัวทะเล อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

================================

ตามข้อมูลที่สืบค้นมา ทั้งจากกัณฑ์เทศน์ การสอบถามครูบาอาจารย์ และบุคคลต่าง ๆ ในสถานที่จริง ในระหว่างพรรษาที่ ๓-๖ ยังไม่พบว่า องค์หลวงตาได้เมตตากล่าวชี้ชัดว่า ปีใดจำพรรษาอยู่ที่ใด จึงสันนิษฐานว่า องค์ท่านน่าจะจำพรรษาที่วัดท่าช้าง ๑ พรรษา วัดสุทธจินดา ๒ พรรษา และวัดศาลาทอง ๑ พรรษา ตามลำดับ

ที่ลำดับเช่นนี้ เพราะสันนิษฐานว่า เมื่อบวชทีแรกอ่านประวัติพระพุทธเจ้า พระสาวก ซาบซึ้งอยากออกปฏิบัติเป็นพระอรหันต์ แต่ใจยังรักการเรียน จึงเริ่มต้นที่วัดท่าช้างก่อน เพราะเป็นวัดกรรมฐานที่ไม่ไกลจากสถานที่เรียนปริยัติจนเกินไป อีกเหตุผลหนึ่งท่านเคยกล่าวว่า พักท่าช้างทีแรกฉันข้าวไม่อิ่ม (ชาวบ้านใส่บาตรข้าวเจ้า) ด้วย ๒ เหตุผลนี้ จึงให้น้ำหนักการจำพรรษาที่นี่ก่อนวัดศาลาทองและวัดสุทธจินดา จากนั้นองค์ท่านจึงได้ย้ายเข้ามาพักจำพรรษาที่วัดสุทธจินดา และวัดศาลาทองในที่สุด ซึ่งทั้งสองวัดนี้อยู่ห่างกันไม่ถึง ๒ กิโลเมตรเท่านั้น เมื่อยังต้องเรียนปริยัติที่วัดสุทธจินดาอยู่ ก็ไม่น่าจะพักในที่ไกลออกไปนัก

ลัก...ยิ้ม 30-06-2012 08:22


ตั้งสัจอธิษฐาน ขอพบครูบาอาจารย์


ท่านได้เล่าถึงอุปนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่ครั้งเป็นฆราวาสไว้ว่า
“เราเคยพูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง พูดเพื่อเป็นคติเพราะเรามันมีนิสัยอันนี้ พูดถึงนิสัย ถ้าว่า “ดื้อ” มันดื้อจริง ๆ แต่มันดีอยู่อย่างหนึ่งที่ว่า ความดื้อที่ว่านี้ เราไม่เคยทำใครให้เดือดร้อน หมายถึงว่า จิตนี้มันจริงจัง ถ้าสมมุติไปในทางที่ชั่วขาดสะบั้นจริง ๆ เลย แต่ส่วนมากนั้น ไม่ไปนะ.. ทางที่ชั่ว ไม่เอนไปเลย เช่นฉก เช่นลัก ไม่เคยเลย แม้แต่เพื่อนฝูงคนใดที่นิสัยไม่ดี เราไม่คบนะ ถึงคบก็ไม่นาน นั่นมันเป็นอย่างนั้นนะ มันเป็นอยู่ในใจนี้ มันชอบคบกับพระกับอะไรไปตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส


อ้อ! อีกอย่างหนึ่งคือ เราเป็นคนชอบหัวเราะ หัวเราะเก่งนะ ถ้าในพระธรรมวินัยห้ามพระหัวเราะ เราก็คงจะบวชไม่ได้ นี่ไม่มีห้ามไว้นี่!”

และด้วยอุปนิสัยทำอะไรทำจริง ชนิดขาดสะบั้นไปเลยเช่นนี้ เมื่อมาทางสายบาตรตามที่คุณตาได้ทำนายไว้ ธรรมะที่เป็นของจริงอยู่แล้ว จึงเข้ากับอุปนิสัยจริงของท่านได้อย่างสนิทใจ กลายเป็นความมุ่งมั่นที่จะศึกษาเล่าเรียน และออกปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น และด้วยความคิดที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าวนี้ ถึงกับทำให้ท่านเคยพูดเชิงทีเล่นทีจริงกับโยมแม่ของท่านเองว่า
“แม่ เสื้อผ้าที่ลูกเก็บไว้นั้น เอาให้หมู่เพื่อน เอาให้พี่ให้น้องนะ ถ้าเกิดตอนหลังคิดจะสึกมา จะหาถากเปลือกไม้เอามาใส่แทนหรอก”


อย่างไรก็ดี แม้ในตอนนั้นท่านจะเริ่มรู้สึกจืดจางในทางโลก และยินดีในเพศนักบวชมากขึ้น อีกทั้งยังมีอุปนิสัยจริงติดตัวมา แต่หากไม่มีบุญช่วยหนุนนำและเกิดมีอุปสรรคขัดขวางในช่วงเวลานั้นขึ้นมา ท่านว่าความตั้งใจนี้ก็อาจต้องสะดุดลงได้เช่นกัน ดังนี้
“มันแปลกอันหนึ่งนะ ถ้าคิดจะเอาเมียทีไร มันปรากฏมีสิ่งขึ้นมากีดขวาง ๆ จนได้ หรือแม้กระทั่งเราบวชแล้วก็ตามเถอะ ผู้หญิงที่เรารักกับพี่ชายเขาตามหาเรา แต่ไม่พบกัน เพราะเราออกเดินทางไปก่อนแล้ว นี่ถ้าได้พบกัน มีหวังเราจะบวชมาจนทุกวันนี้ไม่ได้แน่ ๆ มันคงจะมัดคอติดกันไปเลย”


ส่วนความรู้สึกเกี่ยวกับสตรีเพศทั่วไปนั้น ท่านก็ได้เคยเล่าไว้เช่นกันว่า
“ออกบวชทีแรก อะไรงามหมด ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ขึ้นชื่อว่าสาว ๆ ชอบทั้งนั้นแต่ไม่หนัก เหมือนความที่จะไปนิพพาน สะเทือนปึ๋งเข้าไปก็ซัดกันเรื่อยนะ อันนั้นลบอันนี้ขึ้น ซัดกันเรื่อยนะ”


เมื่อไม่ปรากฏสิ่งใดขึ้นมากีดขวาง กลับเพิ่มพูนความเชื่อความเลื่อมใสในธรรม คิดอยากบำเพ็ญตนให้เป็นพระอรหันต์มากกว่า แต่สิ่งที่เป็นอุปสรรคแก่ท่านในระยะเริ่มต้นก็คือ เกิดความลังเลสงสัยว่าปฏิปทาแนวทางการปฏิบัติ ที่เราดำเนินตามท่านเหล่านั้นจะบรรลุถึงจุดที่ท่านบรรลุหรือไม่ หรือว่าทางเหล่านี้จะกลายเป็นขวากเป็นหนามเป็นโมฆะ และกลายเป็นความลำบากแก่ตนผู้ปฏิบัติไปเปล่า ๆ อีกประการหนึ่งก็สงสัยว่า
เวลานี้ มรรคผลนิพพาน จะมีอยู่เหมือนครั้งพุทธกาลหรือไม่ ?”


ท่านได้เก็บความสงสัยนี้ฝังอยู่ภายในใจ เพราะไม่สามารถจะระบายให้ผู้ใดฟังได้ และเข้าใจว่าคงไม่มีใครสามารถแก้ไขความสงสัยนี้ให้สิ้นซากไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม ท่านมีความรู้สึกเชื่อมั่นอย่างเต็มใจ ตามวิสัยของปุถุชนถึงการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า และการตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ของพระสาวกท่าน จากนั้นจึงได้นึกตั้งสัจอธิษฐานว่า
ขอให้เราได้พบครูบาอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่งมาชี้แจงในเหตุในผล เรื่องของมรรคผลนิพพานว่า ยังมีอยู่ด้วยเหตุนั้น ๆ ให้เราได้ถึงใจเท่านั้นแหละ เราจะมอบกายถวายตัวต่อครูบาอาจารย์องค์นั้นด้วย และเราจะมอบหัวใจเราลงสู่อรหัตผลนั่นด้วย ตายก็ตาย ยังไม่ได้ก็ตามให้ตายอยู่ในสนามรบ”


ด้วยความลังเลสงสัยดังกล่าวเป็นเหตุ ให้ท่านมีความสนใจและมุ่งหวังที่จะพบหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต อยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่ก็ยังไม่เคยพบท่านมาก่อนก็ตาม แต่เพราะได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนเด็กสมัยที่หลวงปู่มั่น มาจำพรรษาอยู่ทางอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ และ พ.ศ. ๒๔๖๗ จึงทำให้รู้สึกเชื่อมั่นอยู่ลึก ๆ ภายในใจว่า หลวงปู่มั่นจะสามารถไขปัญหานี้ให้กระจ่างได้

ลัก...ยิ้ม 03-07-2012 08:01

อดอาหาร ดัดความหิว

ระยะแรกที่มาถึงจังหวัดนครราชสีมา ท่านมาพักที่วัดท่าช้างก่อน ชาวบ้านที่นี่ใส่บาตรข้าวเจ้า ทำให้ท่านฉันไม่อิ่มท้องดังนี้

“... เหตุที่จะได้ดัดเจ้าของให้รู้เหตุรู้ผล รู้หนักรู้เบากัน ก็เพราะตอนที่ธาตุขันธ์มันกำลังรุนแรง ฉันข้าวเจ้าเสียด้วย ข้าวเจ้ามันไม่ค่อยอยู่ท้องนาน แหละเพราะเราไม่เคย ถ้าเคยก็ไม่เป็นไร อยู่โคราช วัดท่าช้างเป็นวัดกรรมฐาน เราลงไปทีแรกก็ไปอยู่วัดท่าช้าง ฉันเท่าไรมันก็ไม่อิ่ม จนกระทั่งรำคาญนะ เราก็ดี เพราะเรามุ่งธรรมนี่ แต่ธาตุขันธ์มันไม่ได้สนใจอรรถธรรมอะไรกับเรา มันมีแต่จะเอาท่าเดียว ฉันลงไปเท่าไรก็ไม่อิ่มไม่พอ เอามันอีก ‘เอ้า ฟาดมันลงไปให้มันอิ่ม จนกระทั่งไม่มีท้องใส่’


ปรากฏว่ามันเต็มอัดเลย ขนาดนั้นอัดลงไปแล้ว มันยังไม่หยุดความหิวความอยาก ยังอยาก เอาข้าวเปล่า ๆ มาฉันมันก็หวานไปเลย ‘เอ๊ มันทำไมจึงเป็นอย่างนี้ น่ารำคาญนะ’

ออกจากนั้นก็ไปล้างบาตร ล้างบาตรกลับมาเช็ดบาตรยังไม่เข้าถลก หิวข้าวอีกแล้ว ‘หือ มันทำไมจึงเป็นอย่างนี้’ นี่นะต้นเหตุจะดัดกัน ก็ให้กินมาสักครู่นี้แท้ ๆ ยังไม่ถึง ๓๐ นาทีเลย อิ่มออกมานี้ มาล้างบาตรเช็ดบาตร ยังไม่ได้เข้าถลกเลย ทำไมถึงอยากอีกแล้ว ตั้งแต่นี้ไปถึงวันพรุ่งนี้เช้าก็ ๒๔ ชั่วโมง มันทำไม มันเก่งนักหรือ
‘เอ้า ลองดูมันจะตายจริง ๆ หรือ ไม่ได้กินมันจะตาย จะลองดูสัก ๖-๗ วัน’


เอาเลยทีนี้ดัดมัน ตัดสินใจปุ๊บลงไป ตายก็ตาย ช่วง ๗ วันนี้มันจะตายเพราะไม่กินข้าว เอาให้เห็นเสียทีวะ จะทดลองดูให้รู้ความหนักเบาของธาตุของขันธ์ มันจะเป็นไปขนาดไหน ก็หยุดกึ๊กเลย ไม่เอา จนกระทั่งถึงกำหนดถึงมาฉัน มันไม่เห็นตายนี่นะ แน่ะ..จากนั้นมาก็พอฟัดพอเหวี่ยง ถึงจะหิวจะอะไร ธาตุขันธ์มันจะดื่มจะกินอย่างเดิมก็ตาม ทีนี้จิตใจก็ปล่อยกังวลได้ เพราะเคยรู้เรื่องราวกันมาแล้ว นี่มันเป็นเรื่องของธาตุของขันธ์กำลังดูดดื่ม มันเป็นอย่างนั้น ๆ เราอดแล้วเท่านั้นวันเท่านี้วัน.. ไม่เห็นตาย

พูดถึงเรื่องความหิวก็ไม่เห็นมันหิวเอานักเอาหนา วันหนึ่งสองวันมันหิวมาก พอจากนั้นไปแล้วก็ค่อยเบาลงไป จนกระทั่งถึงกำหนด วันฉันก็ไม่เห็นหนักหนาอะไรพอจะให้ล้มให้ตาย อันนี้เราฉันให้มันอยู่ทุกวัน ๆ แล้วฉันขนาดอิ่มแล้ว มันยังจะตายก็ให้มันตายไปซี เหมือนกับคนหมดกังวล ... ‘ยังไง’ ก็ขอให้มุ่งอรรถมุ่งธรรมเป็นสำคัญ ให้ฝังอยู่ภายในจิตใจ อย่าให้เอนเอียง สิ่งภายนอกที่เกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ให้เป็นอันหนึ่ง อย่าถือสิ่งเหล่านี้เป็นใหญ่ยิ่งกว่าธรรม จิตใจจะค่อยเป็นไป และให้เข้มงวดกวดขัน

สิ่งใดที่จิตชอบ ๙๙% เป็นกิเลส ถ้าเป็นจิตเราธรรมดามักจะชอบในสิ่งที่เป็นภัย แต่ถ้าจิตมีธรรมขึ้นเป็นลำดับ ๆ นั้น อาจจะมีชอบหลายด้าน อาจหมุนเข้ามาชอบในธรรมภายนอกที่ยังชำระกันไม่ได้ ใจก็มีลักษณะชอบ แต่ก็รู้สึกตัวและพยายามแก้ไขไปโดยลำดับ จนกระทั่งความชอบเกี่ยวกับเรื่องโลก เรื่องสงสารจางไป ๆ จนกระทั่งความรู้สึกชอบทั้งหลายหมุนไปทางธรรมะล้วน ๆ จากนั้นใจก็สบาย แรงของโลกไม่ดึงดูดจิตใจได้ มีแต่จิตใจดึงดูดกับธรรมหมุนกันไปเลย....

ลัก...ยิ้ม 04-07-2012 09:02

สมณะ ๔ ประเภท

“...สะมะณานัญจะ ทัสสะนัง เอตัมมังคะละมุตตะมัง การเห็นสมณะผู้สงบกาย วาจา ใจ เป็นมงคลอันสูงสุด..

คำว่า ‘สมณะ’ ตามหลักธรรมที่ท่านแสดงไว้มี ๔ ประเภท ... สมณะที่ ๑ ได้แก่ พระโสดาบัน , สมณะที่ ๒ ได้แก่ พระสกิทาคามี , สมณะที่ ๓ ได้แก่ พระอนาคามี , สมณะที่ ๔ ได้แก่ พระอรหันต์...”

ลัก...ยิ้ม 05-07-2012 10:03

เอื้อเฟื้อ มีน้ำใจ

ระยะต่อมาท่านมาศึกษาปริยัติอยู่กับพระราชกวี ซึ่งภายหลังดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) เป็นอาจารย์ผู้สอนทางด้านปริยัติ ท่านกล่าวยกย่องเสมอ ๆ ว่า

“...สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) ท่านเป็นพระนักเสียสละ ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว เราอยู่กุฏิเดียวกับท่าน เป็นผู้ดูแลของทุกสิ่งทุกอย่างของท่าน เป็นผู้สั่งจับสั่งจ่ายสั่งเก็บอะไร ๆ ทั้งหมด เพราะฉะนั้น จึงรู้จักท่านได้ดี ท่านมีเท่าไรให้หมด ท่านเด่นมากในทางเป็นนักเสียสละ...


เราอยู่กับท่านเวลาเรียนหนังสือ ท่านเป็นผู้สอนฝ่ายบาลีให้เรา ขณะเรียนหนังสืออยู่ ถ้าเราทราบว่ามีพระกรรมฐานท่านมาอยู่ในวัดหรือมาอยู่ที่ไหน ๆ เราจะต้องเข้าไปหาท่านจนได้ เวลาฟังธรรมกรรมฐานรู้สึกว่า ธรรมะมันกล่อมใจเคลิ้มไปเลย เราจะเป็นนิสัยอย่างนั้น...”

ที่นี่มีการจัดแบ่งพระเณรออกเป็นคณะ คณะของท่านมีเจ้าคุณอาจารย์เป็นหัวหน้าคณะ แต่เจ้าคุณมอบให้ท่านเป็นผู้ช่วยดูแลคณะ ภาระหลายประการจึงตกมาถึงท่านนอกเหนือจากภาระการเรียน เป็นที่ทราบกันดีในหมู่พระเณรถึงความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวของท่าน เมื่อมีจตุปัจจัยไทยทานเข้ามามากน้อย ท่านจะแบ่งปันสิ่งของต่าง ๆ ออก แจกจ่ายพระเณรอย่างทั่วถึงหมด เหตุนี้เองทำให้คณะของท่านมีพระเณรมาอยู่ด้วยจำนวนมาก ซึ่งท่านเคยกล่าวไว้ดังนี้
“...ตั้งแต่เราเป็นพระหนุ่มน้อย เราไปอยู่วัดไหน หากสมภารตระหนี่ เราอยู่ไม่ได้นะ มันคับหัวอก เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ใช่พูดเล่นนะ เรียนหนังสือก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน คณะของเรานี้..มีเรามีเขาทีไหน ของตกมาหาเรานี่ พระเณรนี้รุมพรึบเดียวหมดเลย


นั่นแหละ เป็นอันเดียวกันมาตลอด เรียนหนังสือก็เป็นอย่างนั้น ไม่เคยว่านี่เป็นของเรานั่นเป็นของท่าน... เหมือนครัวเรือนเดียวกัน เราไปไหนมา ได้ของมากน้อย พระเณรนี้รุมพรึบเดียวหมดเลย... พระเณรแย่งกันก็เหมือนกับเราอยู่ในครัวเรือน คือแย่งกันในฐานะพระเณรในวัด แย่งกันแบบพระ ‘ว่างั้น’ แย่งแบบฆราวาส แย่งแบบพ่อแม่กับลูกในครอบครัวเป็นอย่างหนึ่ง การแย่งกันมีหลายประเภท นี่แย่งแบบพระมันก็น่าดู ดูด้วยความตายใจ พออะไรมานี้ตายใจแล้ว พรึบเลย...

ไม่เคยเก็บ ไม่เคยสั่งสมแต่ไหนแต่ไร คณะของเราช่วงเรียนหนังสือจึงมีพระเต็มไปหมด เราไปอยู่ที่ไหนคณะของเราจะมากที่สุด มากกว่าเพื่อน ลูกศิษย์ลูกหา เพื่อนฝูงเต็มไปหมด... เพราะความเสียสละ...”

ลัก...ยิ้ม 06-07-2012 11:49

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธฺมมธโร)


สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ มีนามเดิมว่า พิมพ์ แสนทวีสุข เกิดเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๖ ปีระกา ที่บ้านสว่าง ตำบลสว่าง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี

การบรรพชาและอุปสมบท เบื้องแรกได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสุปัฏนาราม อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้อุปสมบท ณ อุทกกุกเขปสีมา ในลำน้ำมูล ที่บ้านโพธิตาก ตำบลพิบูล อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ๒๔๖๐ มีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ครั้งดำรงสมณศักดิ์ พระราชมุนี เป็นพระอุปัชฌาย์ พระศาสนดิลก (ชิต เสโน) เป็นพระกรรมวาจารย์ มีฉายาว่า ธมฺมธโร

สมณศักดิ์

พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นพระราชาคณะสามัญที่ พระญาณดิลก ในรัชกาลที่ ๗
พ.ศ. ๒๔๘๙ เป็นพระราชาคณะเสมอชั้นราชในนามเดิม ในรัชกาลที่ ๘
พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่ พระราชกวี ในรัชกาลที่ ๙
พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพโมลี
พ.ศ. ๒๔๙๖ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมปิฎก
พ.ศ. ๒๕๐๔ เป็นพระราชาคณะชั้นหิรัญบัฏที่ พระพรหมมุนี
พ.ศ. ๒๕๐๘ เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์

มรณภาพ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๗ ณ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช

ลัก...ยิ้ม 09-07-2012 09:37

เจ้าคุณนักเสียสละ

ท่านให้ความเคารพนับถือเจ้าคุณอาจารย์อย่างสูง ไม่เพียงเพราะเจ้าคุณฯ เป็นอาจารย์สอนปริยัติธรรมให้ท่านเท่านั้น แต่ด้วยคุณธรรมของท่านเจ้าคุณฯ เฉพาะอย่างยิ่งความเป็น “นักเสียสละ” เป็นสิ่งที่ทำให้ต้องกล่าวถึงอยู่เสมอ ๆ อย่างไม่มีวันลืมเลือนได้เลย ดังนี้

“...สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) เปรียญ ๖ ประโยคนั้น ท่านเป็นนักเสียสละนะ เราเคยอยู่ด้วยแล้ว ถึงไหนถึงกัน... ท่านไปไหนมานี่ พระเณรรุมพรึบเลย


หมดเลย ๆ ท่านเป็นนักเสียสละ ไม่สนใจได้มาเท่าไร บทเวลาท่านจะพูด ท่านก็พูดของท่าน พูดเฉย ๆ เอาของมาเต็มอยู่นี่ มันมีผ้าไหมดี ๆ อยู่ มาจากเมืองอุบลฯ ผ้าไหมผ้าอะไร เขาทอมาถวายท่าน พอมาถึงท่าน
‘เออ... ผ้าไหม ให้ระวัง ให้รีบเก็บนะ เดี๋ยว อีตา... จะมาเอาหมดนะ’


อีตา...นี้ เป็นมหาและเป็นหลานของท่านเอง ท่านบอก ‘ให้รีบเอาไปซะ ของไหนดี ๆ เดี๋ยวมันเอาไปหมด’ ว่าเท่านั้นแหละ แล้วไม่เคยพูดถึงอีกเลย มีเท่านั้น นี่..เรียกว่าพูดติดปากเฉย ๆ ท่านไม่ได้พูดด้วยความหวง

ความหมายก็คือว่า เอาไว้เผื่อว่ามันจำเป็น องค์ไหนที่ควร ท่านจะสั่งจัดให้เลย นี่เรียกว่านักเสียสละ เราเทิดที่สุดเลย... เพราะนิสัยท่านกับนิสัยเราเข้ากันได้ปุ๊บปั๊บเลย เราฝังลึกแล้วว่า ท่านคือนักเสียสละ นี่องค์หนึ่งที่เป็นพระนักเสียสละ ท่านไม่มี .. ได้มาเท่าไรหมด ไม่มีเหลือ หมด.. หมดเลย...”

ท่านกล่าวยกย่องน้ำใจของท่านเจ้าคุณอาจารย์ว่า เป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง ไม่สั่งสมและไม่ตระหนี่ถี่เหนียวในจตุปัจจัยไทยธรรมต่าง ๆ เลย มีแต่นำออกจ่ายแจกแก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาพระเณรเสมอมา ท่านเจ้าคุณฯ เคยสั่งให้นำของจำนวนมากออกทำสลาก และให้พระเณรทุกรูปได้จับสลากแบ่งปันกัน

ท่านเจ้าคุณฯ ก็ไม่เคยให้ความสนใจในสิ่งของเหล่านั้นเพื่อตัวเองเลย ฉะนั้นในคราวหนึ่ง ท่านอยากให้ท่านเจ้าคุณฯ ได้ใช้ของดี ๆ บ้าง จึงได้แอบเอาจีวรชุดหนึ่งแยกเก็บไว้ต่างหาก เพื่อมิให้นำมาติดสลากร่วมด้วย คิดในใจว่า จะเปลี่ยนถวายใหม่ให้ท่านเจ้าคุณฯ บ้าง ต่อมาภายหลังท่านเจ้าคุณฯ ได้สังเกตเห็นจีวรนี้ยังคงเก็บอยู่ในตู้เช่นเดิม จึงถามท่านทันทีว่า
“ทำไมไม่ได้นำจีวรชุดนี้ไปจับสลาก แจกให้พระเณร ?”


ท่านให้เหตุผลเป็นอุบายแก่ท่านเจ้าคุณฯ เพื่อจีวรชุดดีนี้จะได้เก็บรักษาไว้เป็นของท่านเจ้าคุณฯ ต่อไป ไม่ถูกสั่งให้นำออกแจกจ่ายไปทางอื่นเสียว่า
“เพราะในบางคราว จีวรของเจ้าคุณอาจารย์อาจชำรุดเสียหายด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เช่น ไฟไหม้ หรือหนูกัด ก็จะมีเปลี่ยนได้ทันทีครับกระผม”


คำตอบนี้ทำให้ท่านเจ้าคุณฯ ต้องจำยอมด้วยเหตุผล

ลัก...ยิ้ม 10-07-2012 09:39

เรียนปริยัติ แอบปฏิบัติ


บรรยากาศการเรียนหนังสือของท่านที่นครราชสีมาในครั้งนั้น มักมีเหตุได้เข้ากรุงเทพฯ อยู่บ่อย ๆ และเมื่อต้องโดยสารรถไฟก็ต้องยอมอดอาหารในวันนั้นเลยทีเดียว

“...ตอนเรียนหนังสือ เราไปเรียนที่โคราชแล้วเกี่ยวข้องกับกรุงเทพฯ อยู่เสมอ ไปกรุงเทพฯ จากกรุงเทพฯ..มาโคราช ไปมาบ่อยด้วยรถไฟ คือตอนก่อนไม่มีรถยนต์ ทางถนนรถยนต์ไม่มี มีแต่รถไฟ รถไฟเขาก็ไปตามเวลา เช่นตอนเช้า ไม่ได้เหมือนทุกวันนี้ซึ่งมีรถเต็มถนน ไม่ว่ารถไฟ รถยนต์เต็มถนน มันไม่มีนะ ถ้าไปไม่ทันเวลาไม่ได้ นี่เราก็ไป คือออกจากโคราชแต่เช้า รถไฟออก คือว่าต้องเสียสละแหละ (ไม่ฉัน) ตอนเช้าก็ตอนเช้า


นี่อันหนึ่งมันก็แปลก ๆ อยู่นะ ไปนั่ง คือวันนี้มาเรียกว่าตั้งใจเสียสละไม่ฉัน อยู่ในรถไฟ มันมีเทวดาอยู่นั้นจนได้ เทวบุตร เทวดามี เราก็นั่งอยู่ในนั้นไม่สนใจ เขาก็รู้นี่..พระท่านฉันตอนเช้าตอนอะไร ก็เขารู้เรื่องของพระนี่ เราก็นั่งของเราเฉย

แล้วอยู่ ๆ เขาเอาจานเอาอะไรในรถไฟ ตู้เสบียง เทวบุตรเทวดาอยู่ในนั้น เขาไปสั่งอาหารในตู้เสบียงเอามาถวายเต็มไปหมดเลย

คือเราก็เหมือนว่า ตัดสินใจไม่ได้ฉันละวันนี้ ตั้งใจไม่ฉันละ ที่ไหนได้เต็มเลย 'แน่ะ' ..มันแปลกอยู่นะ...”

อย่างไรก็ดีเมื่อว่างจากการเรียน ท่านจะพยายามหลบหลีกจากหมู่เพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกัน โดยแอบนั่งสมาธิในกุฏิคนเดียว หรือเดินจงกรมในช่วงเวลาดึก ๆ อยู่เสมอด้วยเกรงผู้อื่นจะพบเห็น อันทำให้ท่านเกิดความเก้อเขินในการปฏิบัติ ท่านเล่าแบบขบขันถึงเหตุผลที่ต้องแอบหลบเพื่อนมาภาวนา ดังนี้

“..เราภาวนาอยู่ทุกวันนี่ เรียนหนังสือ เราไม่เคยละนะ หากไม่บอกใครให้รู้ เพราะอยู่กับพวกลิงด้วยกัน ถ้าไปภาวนาเดี๋ยวมันมาพูดแหย่กัน บางทีไปแอบเดินจงกรมตอนดึก ๆ เงียบ ๆ แล้วเพื่อนฝูงก็เดินผ่านมาเจอเข้า เขาถามว่า ‘ทำอะไร ?’


เราเผลอบอกไปว่า ‘เดินจงกรม’

‘โฮ้! จะไปสวรรค์นิพพานเดี๋ยวนี้เชียวหรือเพื่อน ? คอยกันหน่อยนะ คอยกันเสียก่อน เรียนจบแล้วค่อยไปด้วยกัน’ เขาพูดหยอกล้อกันเล่น นั่นน่ะ พวกเดียวกันมันพูดกันได้นี่นะ จะ 'ว่าไง’ ไม่ถือสีถือสากัน ‘นี่ จะไปสวรรค์นิพพานนะนี่ พวกเราอย่าไปกวนท่านนะ ท่านกำลังเตรียมจะไปสวรรค์ นิพพาน’ ต้องมีแหย่กันอยู่อย่างนั้น


ตั้งแต่นั้นมาเข็ด เวลามาเจอกันกลางคืนขณะเรากำลังเดินจงกรม มีพระเพื่อนเดินมาถามว่า ‘ทำอะไร เดินทำไม ?’

‘โอ้ย! ผมเปลี่ยนบรรยากาศ นั่งดูหนังสือเหนื่อย จึงออกมาเดินเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง’ เราต้องตอบอย่างนี้จึงผ่านไปได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่ให้รู้ นั่งภาวนาเฉยไม่ให้รู้นะ ปิดประตู เราไม่ให้เห็น ถ้าออกมาก็เป็นลิงเหมือนเขาเสีย ถ้าเข้าในห้องเป็นแบบนั้น กลางคืนดึก ๆ ออกมาเดินจงกรม มันเป็นอยู่ในหัวใจนี่จะ 'ว่าไง' หากบอกใครไม่ได้ อย่างนี้ไม่บอกใครเลย เพื่อนฝูงอยู่ด้วยกันก็ไม่บอก เป็นลิงไปกับเขาเสียอย่างนั้น

ทางภาคปฏิบัติละเอียด ภาคปริยัติหยาบกว่ากัน หากอยู่ในขอบเขตของหลักธรรมวินัยด้วยกัน เวลาเราเรียนหนังสืออยู่นี้ทำตัวเหมือนไม่เคยภาวนา เก็บเงียบเลย แต่อันหนึ่งมันฝังอยู่ลึก ๆ ไม่จืดจาง มันรักมันสนิทมันติดใจในเรื่องกรรมฐาน เรื่องมรรคเรื่องผล เรื่องนิพพาน จากทำกรรมฐาน จากการภาวนา หากไม่แสดงต่อใครให้ทราบ..”

ในช่วงที่ท่านกำลังเรียนหนังสืออยู่นี้ ทางบ้านเริ่มเกิดความสงสัยเกี่ยวกับความคิดที่จะลาสิกขาของท่าน ว่าคิดอย่างไรบ้าง ? ดังนั้น ในคราวที่ท่านบวชได้ ๔ พรรษา มีโอกาสเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้าน โยมพ่อจึงได้ถามขึ้นมาว่า “ไม่อยากสึกบ้างหรือ ?

ครั้งนั้น พระลูกชายได้แต่นั่งนิ่งไม่ตอบว่าอะไร แต่ในใจของท่านขณะนั้นคิดว่า
“ไอ้เรื่องสึกนี้ไม่คำนึง มีแต่หมุนตัวเข้าสู่ธรรมของพระพุทธเจ้า”

ลัก...ยิ้ม 11-07-2012 10:05

ซุ่มฟังธรรมพระปฏิบัติ

ท่านกล่าวว่าท่านใช้ชีวิตการเรียนหนังสืออยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา คือวัดท่าช้าง ตำบลท่าช้าง ๑ ปี วัดสุทธจินดา ๒ ปี และวัดศาลาทอง ตำบลหัวทะเล ๑ ปี รวม ๔ ปี มีโอกาสออกปฏิบัติกรรมฐานระหว่างพักเรียนหนังสือดังนี้

“...เราอยู่โคราชมาหลายปี... ท่าช้างปีหนึ่ง แล้วก็วัดสุทธจินดาในโคราชเอง ๒ ปี วัดศาลาทอง ๑ ปี ... เที่ยวแหลกหมดเลย แต่ก่อนอำเภอมีน้อย เดี๋ยวนี้เขาตั้งอำเภอใหม่เลยไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน ? ... เรียนหนังสือก็มาอยู่ที่นั่น แต่ก่อนดูเหมือนจะไปทุกอำเภอละมัง ทีนี้เวลาเขาตั้งอำเภอใหม่นี้.. เลยไม่ทราบว่าอำเภอไหนบ้างนะ .. อำเภอจักราชนี่ตั้งทีหลัง ตั้งทีหลังหลายอำเภอ ที่มีดั้งเดิมก็อำเภอปักธงชัย สีคิ้ว สูงเนิน ปากช่อง มีมาดั้งเดิม ... วัดป่าแถวนั้นไปหมดนั่นแหละ ขึ้นชื่อว่าวัดป่าอยู่ที่ไหนหลวงตานี้ต้องถึงหมดเลย มันเป็นอย่างนั้น นิสัยกรรมฐานมีอยู่เป็นประจำตลอดเลยนะ รักกรรมฐานมาก


จะเรียกว่าพระโคราชเราจะผิดไปไหน อยู่โคราชเวลาหยุดเรียนหนังสือก็เข้าป่า เข้าไปหลายแห่ง แต่ก่อนกลางดงไม่มีบ้านมีเรือนอะไรละ มีแต่พวกกอไผ่ เขาพริก เราไปเที่ยวทางนู้น ไม่มีบ้านมีเรือน แต่ก่อนมีเท่านั้นแหละ พอว่าง ๆ ก็ไปเที่ยวกรรมฐาน ชอบกรรมฐานอยู่นะ เรียนหนังสืออยู่กรรมฐานไม่เคยปล่อยวางนะ ไปอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน พอว่างออกแล้ว พอว่างปิดโรงเรียนปั๊บนี่ ออกเลยไปเที่ยวกรรมฐาน... เข้าป่าเข้าเขาไปเรื่อย ๆ ... เราเรียนหนังสืออยู่ที่นี่ก็เรียน ออกปฏิบัติกรรมฐานไปทางเขาใหญ่ ป่าเขาทางอำเภอปักธงชัย ที่ไหนไปทั้งนั้น ไปเที่ยวภาวนาเวลาว่าง คือเวลาหยุดโรงเรียน...”

ระหว่างการเรียนหนังสือ นอกจากท่านจะแอบปฏิบัติอยู่ภายในแล้ว ท่านยังพยายามหาโอกาสไปฟังเทศน์ของพระปฏิบัติ เช่น ท่านอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม ที่วัดป่าสาลวันอีกด้วย ดังนี้

“เราเรียนหนังสืออยู่วัดสุทธจินดา ก็มีวัดป่ากรรมฐาน เช่น วัดป่าสาลวัน วัดป่าศรัทธาราม เป็นต้น วัดเหล่านี้เป็นวัดใหญ่มาก วัดศรัทธาราม..ท่านอาจารย์มหาปิ่นเป็นเจ้าอาวาส วัดสาลวัน..หลวงปู่สิงห์เป็นเจ้าอาวาส พระเณรเยอะน่าดู


เวลาพระท่านออกบิณฑบาต ท่านจัดท่านแจกอาหาร เราเป็นพระหนุ่มน้อย แต่ตามีหูมีมันต้องคิดซิ ดูไปงามตา ความสม่ำเสมอท่านถือเป็นสำคัญมาก จะมีมากมีน้อยไม่สำคัญ สำคัญให้สม่ำเสมอ มีมากมีน้อยแจกให้เสมอกัน เราเป็นพระหนุ่มพระน้อยได้ไปรับความเสมอภาคกับท่านในสองสำนักนี้ ฝังใจไม่ลืมนะ ... น่าชม มีมากมีน้อยก็เถอะ ถ้าลงความเสมอภาคได้ เข้าไหนเป็นธรรมอบอุ่นด้วยกัน ตายใจกันได้ เห็นแก่ได้เห็นแก่กินอยู่ไม่ได้นะ เข้ากันไม่สนิท ถ้าลงมีเท่าไรถึงไหนถึงกันให้สม่ำเสมอ...

พอวันไหนว่างจากเรียนหนังสือ ... เป็นวันหยุด วันพระวันอะไรอย่างนี้ เราจะไปฟังเทศน์ท่านอาจารย์สิงห์ที่วัดป่าสาลวัน .. ที่วัดป่าสาลวันจะมีประชุม ๔ วันครั้งหนึ่ง ประชุมตอนบ่ายโมง เราได้ฟังเทศน์ท่าน.. ท่านจึงพบเราบ่อยไปตามประสาของเราที่มันชอบภาวนา ...

หมู่เพื่อนใครไม่ไป เราไม่สนใจกับใคร ถ้าวันไหนท่านประชุมฟังธรรมตรงกับวันที่เราว่างจากการเรียน เราก็ไป ไปบ่อย .. ถ้าวันไหนว่าง จากนั้นอีกก็จะไปเข้าป่า ไปทางวัดป่าดงขวาง อยู่ทางตะวันออกของวัดป่าสาลวัน สงัดดี ไปพักอยู่ที่นั่น ไปภาวนา ... แต่บอกว่าไปภาวนาไม่ได้นะ ต้องบอกว่าไปดูหนังสือบ้าง ความจริงคือไปภาวนา ... ท่านอาจารย์สิงห์ยังชมให้พระเณรฟัง อาจารย์คำดีก็ได้ฟังอยู่ด้วยว่า
“พระหนุ่มองค์นี้สำคัญนะ ภาวนาดีนะ”


และท่านยังไปเล่าให้พระฟังอีกด้วยว่า ‘มานั่งฟังเทศน์เหมือนหัวตอ นั่งตรงแน่ว ไม่เอนไม่เอียง มาแล้วมานั่งข้างหน้า เทศน์จบแล้วหายเลย (ไม่คุยกับใคร)’ เพราะเราไปฟังเทศน์ของท่านตลอด ตอนนั้นเราภาวนายังไม่เป็น ยังไม่ทราบว่า ท่านเทศน์มีบทหนักบทเบาขนาดไหน แต่เรื่องวิถีจิตที่ท่านแสดงนั้น เรายังไม่เคยได้ยินมาก่อน ...

ลัก...ยิ้ม 12-07-2012 09:04

ไปวัดนั้นวัดนี้เขาก็ทราบว่าเป็นวัดกรรมฐาน แต่เราบอกว่าไปดูหนังสือ ความจริงไปดูหนังสือใหญ่คือภาวนา ไม่ให้ใครทราบ มันหากเป็นอยู่ลึก ๆ ถ้าหากพูดออกมาหมู่เพื่อนขัดทันทีจึงไม่พูด เฉยดีกว่า เขาเป็นลิง เราก็เป็นลิง เขาเป็นอะไรก็เป็นกับเขาไป

คำว่า “ลิงค่างด้านปริยัติ” นั้นคือ กิริยาหยอกเล่นกันธรรมดา แต่ไม่ให้ผิดจากหลักธรรมหลักวินัย เราเรียนหนังสืออยู่ ใครมาดูถูกพระกรรมฐานไม่ได้นะ แต่ก็มีน้อยมากที่ปริยัติจะดูถูกพระกรรมฐาน ถ้าเขาพูดออกมาในเชิงดูถูกอะไร ๆ เอาแล้ว เรารักกรรมฐานรักอย่างนั้น แต่ส่วนมากท่านชมเชย ท่านปฏิบัติได้ เราปฏิบัติไม่ได้ แสดงว่ายอมตนชมเชย...”

ที่วัดป่าสาลวันแห่งนี้เอง ทำให้ท่านมีโอกาสได้พบและสนิทสนมกับหลวงปู่คำดี ปภาโส ท่านได้บอกกับหลวงปู่คำดีในครั้งนั้นว่า
“พอจบจากการเรียนตามคำอธิษฐานแล้ว จะออกปฏิบัติเพียงเท่านั้น”


กาลเวลาผ่านมาหลายต่อหลายปี ท่านทั้งสองถึงได้มาพบกันอีก ครั้งนั้น หลวงปู่คำดีพูดด้วยความตื่นเต้นมากทีเดียวว่า
“โห ! ท่านมหา (บัว) ผมไม่ลืมนะ คำพูดท่านน่ะ ทำไมพูดมีความสัตย์ความจริงอย่างนี้ ตอนท่านไปเรียนหนังสืออยู่โคราชได้บอกกับผมไว้ว่า เมื่อเรียนจบตามความมุ่งหมายแล้ว จะออกปฏิบัติก็ออกปฏิบัติจริง ๆ”

ลัก...ยิ้ม 13-07-2012 09:33

หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม

หลวงปู่สิงห์ มีนามเดิมว่า สิงห์ บุญโท เกิดเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๒ เวลา ๕.๑๐ น. ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๓ ปีฉลู ณ บ้านหนองขอน ตำบลหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี มีพี่น้องร่วมกัน ๗ คน ท่านเป็นคนที่ ๔ และพระมหาปิ่น ปญฺญาพโล เป็นคนที่ ๕

บรรพชาและอุปสมบท เมื่ออายุ ๑๕ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ ในสำนักพระอุปัชฌาย์ป้อง ณ บ้านหนองขอน ตำบลหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่ออายุครบบวช ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พันธสีมาวัดสุทัศน์ฯ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๒ โดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) สมัยเมื่อดำรงสมณศักดิ์เป็นพระศาสนาดิลก เจ้าคณะมลฑลอีสาน เป็นพระอุปัชฌาย์ นับว่าเป็นสัทธิวิหาริกอันดับ ๒ ของสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พระมหาเสน ชิตเสโน เป็นพระกรรมวาจารย์ พระปลัดทัศน์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

การจาริกเพื่อศึกษาธรรมปฏิบัติ เหตุที่ได้จูงใจให้ท่านออกเที่ยวธุดงค์เจริญสมถวิปัสสนากรรมฐานนั้น สาเหตุด้วยได้คำนึงถึงพระพุทธศาสนาว่า หมดเขตสมัยมรรคผลธรรมวิเศษแล้ว หรือว่ายังมีหนทางปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพุทธศาสนาอยู่ ในระหว่างพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้พบกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่วัดบูรพา จังหวัดอุบลราชธานี ทราบว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เมื่อได้ศึกษากับท่านจนได้ความแน่ชัดว่า หนทางปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้นมีอยู่ จึงได้ตกลงใจออกเที่ยวธุดงค์หาที่วิเวกเพื่อเจริญสมถวิปัสสนากรรมฐานตั้งแต่นั้นมา พ.ศ. ๒๔๘๑-๒๔๘๓ ได้จำพรรษาวัดป่าสาลวัน

สมณศักดิ์ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ขึ้นเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญฝ่ายวิปัสสนาธุระมีนามว่า พระญาณวิสิษฏ์ สมิทธิวีราจารย์ เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๐

มรณภาพ อาพาธด้วยมะเร็งเรื้อรังในกระเพาะ ได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๔ เวลา ๑๐.๒๐ น. ณ วัดป่าสาลวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา สิริอายุรวม ๗๓ ปี

ลัก...ยิ้ม 16-07-2012 11:24

พรรษาที่ ๗ (พ.ศ. ๒๔๘๓)

จำพรรษาที่วัดเจดีย์หลวง ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

==========================================================


พบเห็นสมณะผู้ประเสริฐ

ในระยะที่ท่านยังเรียนหนังสืออยู่นั้น กิตติศักดิ์ กิตติคุณของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต มิเคยได้จืดจางลงไปแม้แต่น้อย กลับยิ่งฟุ้งขจรขจายอย่างกว้างขวางมาจากจังหวัดเชียงใหม่ว่า ท่านเป็นพระสำคัญรูปหนึ่ง และส่วนมากผู้ที่มาเล่าเรื่องของหลวงปู่มั่นให้ฟังนั้น จะไม่เล่าธรรมชั้นอริยภูมิธรรมดา แต่จะเล่าถึงชั้นพระอรหันต์ภูมิทั้งนั้น ดังนี้

“ครูบาอาจารย์องค์ไหนที่เคยไปอยู่กับท่านมาแล้ว มาพูดเป็นเสียงเดียวกันหมด ไม่เป็นอื่นว่า ‘ท่านอาจารย์มั่นคือพระอริยบุคคล’ เราก็ยิ่งอยากจะทราบ ‘อริยบุคคลชั้นไหน ? มันก็หลายชั้นนี่นะ อริยบุคคล’


ก็อรหันต์นั่นแหละ’ 'ว่างี้’ เลย ‘อรหันตบุคคล’ 'ว่างี้’ มันก็ยิ่งซึ้งน่ะซี”

ท่านจึงมีความมั่นใจว่า “เมื่อเรียนจบตามคำสัตย์ที่ตั้งไว้แล้ว จะต้องพยายามออกปฏิบัติไปอยู่สำนักและศึกษาอบรมกับหลวงปู่มั่น เพื่อตัดข้อสงสัยที่ฝังใจอยู่นี้ออกไปให้จงได้”

โอกาสอำนวยให้ท่านเดินทางไปศึกษาปริยัติต่อที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเดินทางไปถึง เผอิญเป็นระยะเดียวกันกับที่ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (พระอุปัชฌาย์ขององค์หลวงตา) ได้อาราธนานิมนต์หลวงปู่มั่นด้วยตนเอง เพื่อขอให้ไปพักจำพรรษาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี หลวงปู่มั่นเมตตารับนิมนต์นี้ จึงได้ออกเดินทางจากสถานที่วิเวกบนเขาในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อจะเข้าพักชั่วคราวอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงนั้นเช่นกัน

เหตุการณ์ก็บังเอิญเป็นระยะเวลาไล่เลี่ยกันกับที่ท่านเดินทางไปถึง จึงมีโอกาสที่ได้เห็นหลวงปู่มั่น ดังนี้

“ท่านมาถึงก่อน ๒ วันหรือ ๓ วัน เราก็ไปถึง ท่านป่วยอยู่ที่บ้านป่าเปอะ* ท่านออกมาครั้งนั้น เพราะรับนิมนต์ท่านเจ้าคุณอุปัชฌายะของเรานี่เอง ท่านออกมาเพราะนัดกันแล้ว ว่าเดือนนั้น ๆ ระยะนั้น ๆ ให้มา ท่านก็ออกมา มีท่านอาจารย์อุ่น กับคุณนายทิพย์ภรรยาของผู้บังคับการตำรวจ ทุกวันนี้เรียกผู้กำกับ มานิมนต์ท่านอาจารย์อุ่นไปรับท่านมา...


พอเราได้ทราบว่า ท่านมาพักอยู่วัดเจดีย์หลวงเท่านั้นก็เกิดความยินดีเป็นล้นพ้น สอบถามจากพระว่า ‘ท่านไปบิณฑบาตสายไหน ?’ สอบถามได้ความว่า ‘เช้านี้ ท่านพระอาจารย์มั่นออกบิณฑบาตสายนี้และจะกลับมาทางเดิม’ ดังนี้ ก็ยิ่งเป็นเหตุให้มีความสนใจ ใคร่อยากจะพบเห็นท่านมากขึ้น แม้จะไม่ได้พบท่านซึ่ง ๆ หน้าก็ตาม เพียงขอให้ได้แอบมองท่านก็เป็นที่พอใจ

พอรุ่งสางเช้าวันใหม่ ก่อนที่ท่านจะออกบิณฑบาต เราก็รีบไปบิณฑบาตแต่เช้า แล้วกลับมาถึงกุฏิก็คอยสังเกตตามเส้นทางที่ท่านจะผ่านมา คอยจ้องดูอยู่ไม่นานนัก สักเดี๋ยวพระมาบอกว่า ‘มาแล้ว โน่น ๆ กำลังเข้ากำแพงวัด’

เราก็รีบเข้าไปในห้องเลย มันมีช่องอยู่ ยังไม่ลืมนะ ก็ได้เห็นท่านเดินผ่านมา แล้วจึงส่งสายตาสอดส่องดูท่านอย่างลับ ๆ ด้วยความหิวกระหาย ใคร่พบท่านมาเป็นเวลานานแสนนาน เมื่อได้เห็นองค์ท่านจริง ๆ ก็ยิ่งเพิ่มความศรัทธาเลื่อมใสในองค์ท่านขึ้นอย่างเต็มที่...

ส่องดู ลักษณะของท่านเหมือนไก่ป่านะ คล่องแคล่ว ตาแหลมคม ท่านเดินมา เราก็ดู ... ฟังด้วยความสนใจ ดูด้วยความเลื่อมใส ‘นี่มันซึ้งจริง ๆ’ เราไม่ลืมนะ ... แต่ท่านจะเห็นเรา 'ยังไง’ ก็ไม่รู้ ...”

ขณะที่ส่องดูอยู่นั้น เกิดความรู้สึกเลื่อมใสในองค์ท่านขึ้นอย่างเต็มที่ ในขณะนั้นคิดในใจว่า
“เราไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้เห็นพระอรหันต์ในคราวนี้เองแล้ว”


ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใครบอกว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ ในขณะที่ได้เห็นอยู่นั้น ท่านว่า
ใจมันหยั่งลึกเชื่อแน่วแน่ลงไปอย่างนั้น พร้อมทั้งเกิดความปีติยินดีจนขนพองสยองเกล้าอย่างบอกไม่ถูก ทั้ง ๆ ที่องค์ท่านก็ไม่ได้.. ก็ไม่ได้มองเห็นเรา”


==========================================================

* บ้านป่าเปอะ ต.ท่าวังตาล อ.สารภี จ.เชียงใหม่

ลัก...ยิ้ม 17-07-2012 12:09

ฟังเทศน์หลวงปู่มั่นครั้งแรกในชีวิต

ที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่แห่งนี้ เป็นสถานที่ที่ทำให้ท่านมีโอกาสได้ฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชาอีกด้วย ในวันนั้นหลวงปู่มั่นแสดงธรรมนานถึง ๓ ชั่วโมงพอดีถึงจบกัณฑ์ ท่านตั้งใจฟังธรรมด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนี้
“เราก็อยู่นั้นเวลาท่านเทศน์ แต่ก่อนไม่มีรถนี่ เทศน์อยู่วิหารใหญ่ ทางรถผ่านหน้าวัดจนเขาแตกตื่นเข้ามาดู เขาว่าพระทะเลาะกัน มาดูก็เห็นท่านอาจารย์มั่นเทศน์อยู่บนธรรมาสน์ นั่นละขนาดนั้นละ ท่านเทศน์เปรี้ยง ๆ เอาอย่างถึงเหตุถึงผล แต่เราก็เพลินไปด้วยความเลื่อมใสท่านนะ จะให้รู้เรื่องรู้ราวในเรื่องท่านเทศน์ เรื่องวิถีจิตวิถีอะไรก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่มันเพลินด้วยความเชื่อท่าน ความเลื่อมใส ว่าเราเกิดมาไม่เสียชาติ ได้พบท่านอาจารย์มั่นที่ร่ำลือมานาน


‘ท่านพระอาจารย์มั่นเทศน์เป็นที่จับใจอย่างฝังลึก ไม่มีวันลืมเลือนตลอดมาถึงปัจจุบัน กัณฑ์นี้เราได้ฟังด้วยตัวเองอย่างถึงใจ ดังที่ใฝ่ฝันในองค์ท่านมานาน’...”

ใจความสำคัญของธรรมที่หลวงปู่มั่นได้แสดงในวันนั้น ท่านลิขิตไว้ในหนังสือประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ดังนี้
“... วันนี้ตรงกับวันพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน เราเรียกว่า “วันวิสาขบูชา” พระพุทธเจ้าเกิดกับสัตว์โลกเกิดต่างกันมาก ตรงที่ท่านเกิดแล้วไม่หลงโลกที่เกิด ที่อยู่และที่ตาย มิหนำยังกลับรู้แจ้งที่เกิด ที่อยู่ และตายของพระองค์ด้วยพระปัญญาญาณโดยตลอดทั่วถึง ที่เรียกว่าตรัสรู้นั่นเอง


เมื่อถึงกาลอันควรจากไป ทรงลาขันธ์ที่เคยอาศัยเป็นเครื่องมือบำเพ็ญความดีมาจนถึงขั้นสมบูรณ์เต็มที่ แล้วจากไปแบบ “สุคโต” สมเป็นศาสดาของโลกทั้งสาม ไม่มีที่น่าตำหนิแม้นิดเดียว ก่อนเสด็จจากไปโดยพระกายที่หมดหนทางเยียวยา ก็ได้ประทานพระธรรมไว้เป็นองค์แทนศาสดา ซึ่งเป็นที่น่ากราบไหว้บูชาคู่พึ่งเป็นพึ่งตายถวายชีวิตจริง ๆ

เราทั้งหลายต่างเกิดมาด้วยวาสนา มีบุญพอเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มภูมิดังที่ทราบอยู่แก่ใจ แต่อย่าลืมตัวลืมวาสนาของตัว โดยลืมสร้างคุณงามความดีเสริมต่อภพชาติของเรา ที่เคยเป็นมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงและกลับกลายหายไป ชาติต่ำทรามที่ไม่ปรารถนาจะกลายมาเป็นตัวเราเข้าแล้วแก้ไม่ตก

ความสูงศักดิ์ ความต่ำทราม ความสุขทุกขั้นจนถึงบรมสุข และความทุกข์ทุกขั้นจนเข้าขั้นมหันตทุกข์เหล่านี้ มีได้กับทุกคนตลอดสัตว์..ถ้าตนทำให้มี อย่าเข้าใจว่า จะมีได้เฉพาะผู้กำลังเสวยอยู่เท่านั้น โดยผู้อื่นมีไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติกลาง แต่กลับกลายมาเป็นสมบัติจำเพาะของผู้ผลิตผู้ทำได้

ฉะนั้น ท่านจึงสอนไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน เมื่อเห็นเขาตกทุกข์หรือกำลังจน จนน่าทุเรศ เราอาจมีเวลาเป็นเช่นนั้น หรือยิ่งกว่านั้นก็ได้ เมื่อถึงวาระเข้าจริง ๆ ไม่มีใครมีอำนาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมดีกรรมชั่วเรามีทางสร้างได้เช่นเดียวกับผู้อื่น จึงมีทางเป็นได้เช่นเดียวกับผู้อื่น และผู้อื่นก็มีทางเป็นได้เช่นที่เราเป็นและเคยเป็น

ศาสนาจึงเป็นหลักวิชา.. ตรวจตราดูตัวเองและผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ และเป็นวิชาเครื่องเลือกเฟ้นได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีวิชาใดในโลกเสมอเหมือน นับแต่บวชและปฏิบัติมาอย่างเต็มกำลังจนถึงวันนี้ มิได้ลดละการตรวจตราเลือกเฟ้นสิ่งดีชั่วที่มีและเกิดอยู่กับตนทุกระยะ มีใจเป็นตัวการพาสร้างกรรมประเภทต่าง ๆ จนเห็นได้ชัดว่ากรรมมีอยู่กับผู้ทำ มีใจเป็นต้นเหตุของกรรมทั้งมวล ไม่มีทางสงสัย ผู้สงสัยกรรมหรือไม่เชื่อกรรมว่ามีผล คือคนลืมตนจนกลายเป็นผู้มืดบอดอย่างช่วยอะไรไม่ได้

คนประเภทนั้นแม้เขาจะเกิด และได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่มาเป็นอย่างดี เหมือนโลกทั้งหลายก็ตาม เขามองไม่เห็นคุณของพ่อแม่ว่า ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูตนมาอย่างไรบ้าง ? แต่เขาจะมองเห็นเฉพาะร่างกายเขาที่เป็นคน ซึ่งกำลังรกโลกอยู่โดยเจ้าตัวไม่รู้เท่านั้น ไม่สนใจคิดว่าเขาเกิดและเติบโตมาจากท่านทั้งสอง ซึ่งเป็นแรงหนุนร่างกายให้เป็นอยู่ตามกาลของมัน การทำเพื่อร่างกาย ถ้าไม่จัดว่าเป็นกรรมคือ การทำจะควรจัดว่าอะไร ? สิ่งที่ร่างกายได้รับมาเป็นประจำ ถ้าไม่เรียกว่าผล จะเรียกว่าอะไร ? จึงจะถูกตามความจริง

ดี ชั่ว สุข ทุกข์ ที่สัตว์ทั่วโลกได้รับกันมาตลอดสาย ถ้าไม่มีแรงหนุนเป็นต้นเหตุอยู่แล้ว จะเป็นมาได้ด้วยอะไร ใจอยู่เฉย ๆ ไม่คะนองคิดในลักษณะต่าง ๆ อันเป็นทางมาแห่งดีและชั่ว คนเราจะกินยาตายหรือฆ่าตัวตายได้ด้วยอะไร สาเหตุแสดงอยู่เต็มใจที่เรียกว่าตัวกรรมแล ทำคนจนถึงตายยังไม่ทราบว่าตนทำกรรมแล้ว ถ้าจะไม่เรียกว่ามืดบอด จะควรเรียกว่าอะไร ?

กรรมอยู่กับตัวและตัวทำกรรมอยู่ทุกขณะ ผลก็เกิดอยู่ทุกเวลา ยังสงสัยหรือ ไม่เชื่อกรรมว่ามี และให้ผลแล้วก็สุดหนทาง ถ้ากรรมวิ่งตามคนเหมือนสุนัขวิ่งตามเจ้าของ เขาก็เรียกว่าสุนัขเท่านั้นเอง ไม่เรียกว่ากรรม นี่กรรมไม่ใช่สุนัข แต่คือการกระทำดีชั่ว ทางกาย วาจา ใจ ต่างหาก ผลจริงคือความสุขทุกข์ที่ได้รับกันอยู่ทั่วโลก การทั่งสัตว์ผู้ไม่รู้จักกรรม รู้แต่กระทำคือหาอยู่หากิน ที่ทางศาสนาเรียกว่ากรรมของสัตว์ของบุคคล และผลกรรมของสัตว์ของบุคคล”

หลังจากนั้นไม่นาน หลวงปู่มั่นก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปจังหวัดอุดรธานีกับคณะลูกศิษย์ของท่าน สำหรับท่านยังคงอยู่เรียนหนังสืออยู่ที่วัดเจดีย์หลวงนี้ต่อไป โดยศึกษาบาลีกับนักธรรมควบคู่กันไป

ลัก...ยิ้ม 18-07-2012 11:16

นิมิตหลวงปู่มั่น
และคำทำนายพระหนุ่มองค์หนึ่ง

มีเรื่องแปลกประหลาดเรื่องหนึ่งที่หลวงปู่มั่นเกิดขึ้นทางนิมิตภาวนา ขณะที่ท่านพักอยู่ที่ดอยคำ บ้านน้ำเมา อำเภอแม่ปั๋ง ก่อนที่จะออกเดินทางมาถึงวัดเจดีย์หลวงนี้ นิมิตดังกล่าวนี้ หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท ซึ่งติดตามหลวงปู่มั่นอยู่ในขณะนั้นด้วย ได้ยินได้ฟังด้วยตนเองและได้เล่าแบบย่อ ๆ ว่า
“หลวงปู่มั่น นิมิตเห็นพระหนุ่ม ๒ รูป นั่งช้าง ๒ เชือก ติดตามท่าน ซึ่งนั่งสง่างามบนช้างตัวขาวปลอด จ่าโขลงเป็นช้างใหญ่ พระหนุ่มสองรูปนี้จะสำเร็จก่อนและหลังท่านนิพพานไม่นานนัก


นิมิตเดียวกันนี้ได้บันทึกโดยละเอียดไว้ในประวัติหลวงปู่มั่น ดังนี้
“... คืนหนึ่งมีเหตุการณ์โดยทางนิมิตภาวนาเกิดขึ้น เวลานั้นท่านพักอยู่ในภูเขาลึกแห่งหนึ่ง ห่างจากหมู่บ้านมากที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นเหตุการณ์ที่ทั้งน่าหวาดเสียวและน่ายินดีพอ ๆ กัน คืนนั้นดึกมากราว ๓ นาฬิกา อันเป็นเวลาธาตุขันธ์ละเอียด


ท่านตื่นจากจำวัด นั่งพิจารณาไปเล็กน้อยปรากฏว่า จิตใจมีความประสงค์จะพักสงบมากกว่าจะพิจารณาธรรมทั้งหลายต่อไป ท่านเลยปล่อยให้จิตพักสงบ พอเริ่มปล่อยจิตก็เริ่มหยั่งลงสู่ความสงบอย่างละเอียดเต็มภูมิสมาธิ และพักอยู่นานประมาณ ๒ ชั่วโมง หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ถอยออกมา แต่แทนที่จิตจะถอนออกมาสู่ปกติจิต เพราะมีกำลังจากการพักผ่อนทางสมาธิพอสมควรแล้ว แต่กลับถอยออกมาเพียงขั้นอุปจารสมาธิ แล้วออกรู้เหตุการณ์ต่อเนื่องไปในเวลานั้นเลยทีเดียว

คือขณะนั้นปรากฏว่า มีช้างเชือกหนึ่งใหญ่มากเดินเข้ามาหาท่าน แล้วทรุดตัวหมอบลงแสดงเป็นอาการจะให้ท่านขึ้นบนหลัง ท่านก็ปีนขึ้นบนหลังช้างเชือกนั้นทันที พอท่านขึ้นนั่งบนคอช้างเรียบร้อยแล้ว

ขณะนั้นปรากฏว่า มีพระวัยหนุ่มอีกสององค์ขี่ช้างองค์ละเชือกเดินตามมาข้างหลังท่าน ช้างทั้งสองเชือกนั้นใหญ่พอ ๆ กัน แต่เล็กกว่าช้างตัวที่ท่านกำลังขี่อยู่เล็กน้อย ช้างทั้งสามเชือกนั้นมีความองอาจสง่าผ่าเผยและสวยงามมากพอ ๆ กัน คล้ายกับเป็นช้างทรงของกษัตริย์ มีความฉลาดรอบรู้ความประสงค์ และอุบายต่าง ๆ ที่เจ้าของบอกแนะดีเช่นเดียวกับมนุษย์

พอช้างสองเชือกของพระหนุ่มเดินมาถึง ท่านก็พาออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางภูเขาที่มองเห็นขวางหน้าอยู่ไม่ห่างจากที่นั้นนักประมาณ ๑ กิโลเมตร ช้างท่านเป็นผู้พาเดินหน้าไปอย่างสง่าผ่าเผย

ในความรู้สึกส่วนลึก ท่านว่าราวกับจะพาพระหนุ่มสององค์นั้นออกจากโลกสมมุติทั้งสามภพ ไม่มีวันกลับมาสู่โลกใด ๆ อีกต่อไปเลย พอไปถึงภูเขาแล้ว ช้างพาท่านและพระหนุ่มสององค์ เดินเข้าไปที่หน้าถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งไม่สูงนัก เพียงเป็นเนินเชื่อมกันขึ้นไปหาถ้ำเท่านั้น

เมื่อช้างใหญ่ทั้งสามเชือกเข้าไปถึงถ้ำแล้ว ช้างเผือกที่ท่านอาจารย์ขี่อยู่หันก้นเข้าไปในหน้าถ้ำ หันหน้าออกมา แล้วถอยก้นเข้าไปจรดผนังถ้ำ ส่วนช้างสองเชือกของพระหนุ่มสององค์ ต่างเดินเข้าไปยืนเคียงข้างช้างท่านข้างละเชือกอย่างใกล้ชิด หันหน้าเข้าไปในถ้ำ ส่วนช้างท่านอาจารย์ยืนหันหน้าออกมาหน้าถ้ำ ขณะนั้นปรากฏว่า

ท่านอาจารย์เองได้พูดสั่งเสียพระว่า
นี้เป็นวาระสุดท้ายแห่งขันธ์และภพชาติของผม จะขาดความสืบต่อกับสมมุติทั้งหลายและจะยุติลงเพียงแค่นี้ จะไม่ได้กลับมาสู่โลกเกิดตายนี้อีกแล้ว นิมนต์ท่านทั้งสองจงกลับไปบำเพ็ญประโยชน์ตนให้สมบูรณ์เต็มภูมิก่อน อีกไม่นานท่านทั้งสองก็จะตามผมมา และไปในลักษณะเดียวกับที่ผมจะเตรียมไปอยู่ขณะนี้ การที่สัตว์โลกจะหนีจากโลกที่แสนอาลัยอ้อยอิ่ง แต่เต็มไปด้วยความระบมงมทุกข์นี้ไปได้แต่ละรายนั้น มิใช่เป็นของไปได้อย่างง่ายดายเหมือนเขาไปเที่ยวงานกัน แต่ต้องเป็นสิ่งฝืนใจมากที่ผู้นั้นจะต้องทุ่มเทกำลังทุกด้านลง เพื่อต่อสู้กู้ความดีทั้งหลาย ราวกับจะไม่มีชีวิตยังเหลืออยู่ในร่างต่อไป นั่นแล.. จึงจะเป็นทางพ้นภัยไร้กังวล ไม่ต้องกลับมาเกิดตายเสียดายป่าช้าอีกต่อไป


การจากไปของผมคราวนี้ มิได้เป็นการจากไปเพื่อความล่มจมงมทุกข์ใด ๆ แต่เป็นการจากไปเพื่อหายทุกข์กังวลในขันธ์ จากไปด้วยความหมดเยื่อใยในสิ่งที่เคยอาลัยอาวรณ์ทั้งหลาย และจากไปด้วยความหมดห่วง เหมือนนักโทษออกจากเรือนจำ ฉะนั้น ไม่มีความหึงหวงและน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะความพรากไปแห่งขันธ์ที่โลกถือเป็นเรื่องกองทุกข์อันใหญ่หลวง และไม่มีสัตว์ตัวใดปรารถนาตายกันเลย ฉะนั้น จึงไม่ควรเสียใจอาลัยถึงผมอันเป็นเรื่องสั่งสมกิเลสและกองทุกข์ ไม่มีชิ้นดีเลย นักปราชญ์ไม่สรรเสริญ

พอท่านแสดงธรรมแก่พระหนุ่มสององค์จบลง ก็บอกให้ถอยช้างสองเชือกออกไป ซึ่งยืนแนบสองข้างท่านด้วยอาการสงบนิ่งราวกับไม่มีลมหายใจ และอาลัยคำสั่งเสียท่านที่ให้โอวาทแก่พระหนุ่มสององค์ ขณะนั้น ช้างทั้งสามเชือกแสดงความรู้สึกเหมือนสัตว์มีชีวิตจริง ๆ ราวกับมิใช่นิมิตภาวนา

พอสั่งเสียเสร็จแล้ว ช้างสองเชือกของพระหนุ่มก็ค่อย ๆ ถอยออกมาหน้าถ้ำ หันหลังกลับออกไป แล้วหันหน้ากลับคืนมายังท่านอาจารย์ตามเดิมด้วยท่าทางอันสงบอย่างยิ่ง ส่วนช้างท่านก็เริ่มทำหน้าที่หมุนก้นเข้าไปในผนังถ้ำโดยลำดับ เฉพาะองค์ท่านนั่งอยู่บนคอช้างนั่นเอง ทั้งขณะให้โอวาท ทั้งขณะหมุนตัวเข้าในผนังถ้ำ พอช้างหมุนก้นเข้าไปได้ค่อนตัว จิตท่านเริ่มรู้สึกตัวถอนจากสมาธิขึ้นมาเรื่องเลยยุติลงเพียงนั้น

ลัก...ยิ้ม 19-07-2012 09:39

เรื่องนั้นจึงเป็นสาเหตุให้ท่านพิจารณาความหมายต่อไป เพราะเป็นนิมิตที่แปลกประหลาดมาก ไม่เคยปรากฏในชีวิต ได้ความขึ้นเป็นสองนัย 'นัยหนึ่ง..ตอนท่านมรณภาพจะมีพระหนุ่มสององค์รู้ธรรมตามท่าน แต่ท่านมิได้ระบุว่าเป็นใครบ้าง ?

อีกนัยหนึ่ง สมถะกับวิปัสสนา เป็นธรรมมีอุปการะแก่พระขีณาสพแต่ต้นจนวาระสุดท้ายแห่งขันธ์ ต้องอาศัยสมถวิปัสสนาเป็นวิหารธรรม... เครื่องบรรเทาทุกข์ระหว่างขันธ์กับจิตที่อาศัยกันอยู่ จนกว่าระหว่างสมมุติคือขันธ์กับวิมุตติคือวิสุทธิจิตจะเลิกราจากกัน ที่โลกเรียกว่าตายนั่นแล สมถะกับวิปัสสนาจึงจะยุติในการทำหน้าที่ลงได้ และหายไปพร้อม ๆ กับสมมุติทั้งหลาย ไม่มีอะไรจะมาสมมุติกันว่าเป็นอะไรต่อไปอีก

ท่านว่าน่าหวาดเสียวนั้น ท่านคิดตามความรู้สึกทั่ว ๆ ไป คือตอนช้างท่านกำลังหมุนกันเข้าไปในผนังถ้ำ ทั้งที่ท่านนั่งอยู่บนคอช้าง แต่ท่านว่า ท่านมิได้มีความสะทกสะท้านหวั่นไหวเพราะเหตุการณ์ที่กำลังเป็นไปอยู่นั้นเลย ปล่อยให้ช้างทำหน้าที่ไปจนกว่าจะถึงที่สุดของเหตุการณ์

ที่น่ายินดีเช่นกันคือ ตอนที่นิมิตแสดงภาพพระหนุ่มและช้างให้ปรากฏขึ้นในขณะนั้น บอกความหมายว่า จะมีพระหนุ่มรู้ธรรมตามท่านสององค์ในระยะที่มรณภาพ ไม่ก่อนหรือหลังท่านนานนัก ท่านว่าแปลกอยู่อีกตอนหนึ่งก็คือ ตอนท่านสั่งเสียและอบรมสั่งสอนพระหนุ่มไม่ให้ตกใจ และมีความอาลัยถึงท่าน ให้พากันกลับไปบำเพ็ญประโยชน์ส่วนตนให้เต็มภูมิก่อน และพูดถึงการจากไปของท่านเองราวกับจะไปในขณะนั้นจริง ๆ นี้ ท่านว่า นิมิตแสดงให้เห็นเป็นความแปลกในรูปเปรียบว่า เมื่อวาระนั้นมาถึงจริง ๆ พระหนุ่มสององค์จะรู้ธรรมในระยะนั้น...”

และในคราวหนึ่งช่วงอยู่เชียงใหม่ก่อนกลับภาคอีสาน หลวงปู่มั่นได้ทำนายพระหนุ่มองค์หนึ่งให้หลวงปู่เจี๊ยะฟังว่า
“มีพระหนุ่มอยู่องค์หนึ่ง เวลานี้กำลังเรียนหนังสืออยู่จะมาหาเรา พระองค์นี้จะทำประโยชน์ใหญ่ให้โลกให้วงศาสนาได้กว้างขวาง ลักษณะคล้าย ๆ ท่านเจี๊ยะ แต่ไม่ใช่ท่านเจี๊ยะ ตอนนี้อยู่เชียงใหม่ เขาอยากมาหาเรา แต่ยังไม่เข้ามาหาเรา องค์นี้ต่อไปจะสำคัญอยู่นะ เขายังไม่มาหาเรา แต่อีกไม่นานก็จะเข้ามา”


หลวงปู่เจี๊ยะเล่าถึงความรู้สึกภายหลังจากได้ฟังคำทำนายของหลวงปู่มั่นในครั้งนี้ด้วยว่า
“เมื่อท่านพูดอย่างนั้น เราก็จับจ้องรอดูอยู่ ไม่ว่าใครจะไปจะมาก็คอยสังเกตอยู่ตลอด เพราะคำพูดของท่านสำคัญนัก พูด ‘ยังไง’ ต้องเป็นอย่างนั้น เรื่องนี้เราจึงเก็บไว้แล้วคอยสังเกตตลอดมา เพราะผู้ที่จะมาสืบต่อท่านต้องเป็นผู้มีบุญใหญ่


เหตุการณ์นี้ (ราวเดือนพฤษภาคม ๒๔๘๓) อยู่ในระยะเวลาเดียวกับที่องค์หลวงตาเพิ่งเดินทางไปถึงวัดเจดีย์หลวง แต่ในครั้งนั้นองค์หลวงตายังไม่เข้าไปหาหลวงปู่มั่น จึงยังไม่มีโอกาสได้สนทนากับหลวงปู่เจี๊ยะแต่อย่างใด

ลัก...ยิ้ม 20-07-2012 10:09

สอบได้คะแนนเต็มร้อย

ในการศึกษาวิชาภาษาบาลีของท่านนั้น ถึงแม้การสอบครั้งแรกจะยังไม่ผ่าน ท่านก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด ท่านยอมรับตามนั้น เพราะทราบดีว่าภูมิความรู้ของตนในตอนนั้นยังไม่เต็มที่จริง ๆ

สำหรับการสอบในครั้งต่อ ๆ ไปนั้น ท่านมีความมั่นใจอย่างเต็มภูมิว่า แม้จะสอบหรือไม่สอบก็ไม่มีความแตกต่างกันในเรื่องความรู้ ทั้งนี้ก็ด้วยความสามารถที่ได้แสดงให้ครูสอนบาลีของท่านคือ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) เห็นในระหว่างที่เรียนเพื่อจะสอบมหาเปรียญให้ได้ ในการสอบเป็นครั้งที่ ๓ ครูของท่านถึงกับออกปากว่า
“ท่านบัวนี้ได้แต่ก่อนสอบนะ ให้เป็นมหาเลยนะ ถ้าลงท่านบัวตก นักเรียนทั้งชั้นตกหมด”


ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น คือท่านสอบได้เป็นมหาเปรียญ โดยได้คะแนนบาลีเต็มร้อยในเวลาต่อมา ท่านเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังว่า
การสอบได้ในครั้งนั้น ไม่มีอะไรดีใจเลย เพราะรู้สึกว่าความรู้ได้เต็มภูมิตั้งแต่การสอบครั้งที่ ๒ แล้ว แต่ในครั้งนั้นปรากฏว่าสอบตก เหมือนกับจะให้คอยการศึกษาทางนักธรรมเขยิบขึ้นมาตาม จนถึงปีที่สอบมหาได้ก็สำเร็จนักธรรมเอกพร้อมกันเลย ซึ่งน่าคิดว่าเหมือนมีสายเกี่ยวโยงกัน ทำให้การศึกษาทางโลกจบประถม ๓ ทางบาลีก็จบเปรียญ ๓ และทางนักธรรมก็จบนักธรรมเอกเป็น ๓ ตรงกันหมด ๓ วาระ...


ด้วยผลการเรียนดี และเป็นที่ไว้วางใจของผู้ใหญ่ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ ทำให้ผู้ใหญ่หวังจะให้ท่านเป็นครูสอนนักเรียนในโรงเรียน แต่ท่านก็ได้ปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมดังนี้

“... เรียนออกมานักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เปรียญไม่สอนใครทั้งนั้น เป็นครูสอนนักเรียนในโรงเรียนก็ไม่เอา ผู้ใหญ่ท่านจะให้เป็นครูสอน... ‘ไม่เอา ครูไม่อดไม่อยาก เอาองค์ไหนก็ได้’ เราว่าอย่างนั้นเสีย เราเลยหลีกได้ ถ้าหากว่า ครูไม่มีจริง ๆ เราจะหลีกอย่างนั้นมันก็ไม่งาม แต่นี้ครูก็มีอยู่ ผู้มีภูมินั้นมีอยู่ที่จะเป็นครู


เราก็ทิ้งให้องค์นั้น ๆ ไปเสีย เราก็ออกได้ เราจึงไม่เป็นครูใครเลย นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก มหาเปรียญ ไม่เคยเป็นครูสอนใครทั้งนั้น...”

ช่วงเวลาที่เชียงใหม่ แม้ท่านจะมีเวลาไม่นานนัก แต่ท่านก็ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด คือพอมีว่างจากการเรียน ท่านจะใช้โอกาสนี้มุ่งเสาะหาสำนักกรรมฐานอยู่ตลอดเวลา ดังนี้

“ทางเชียงใหม่เราก็ไปมาก แต่จำไม่ได้ว่าไปที่ไหนต่อที่ไหนบ้าง ? ตอนเรียนหนังสืออยู่เชียงใหม่เราก็ซอกแซก เพราะนิสัยเรากับกรรมฐานนี้มันเป็นแต่ไหนแต่ไรมา เรียนก็เรียนเพื่อจะออกปฏิบัติอย่างเดียว เราไม่ได้เรียนเพื่ออื่น เรียนเพื่อปฏิบัติ เพราะฉะนั้น พอว่างเมื่อไร ‘ปั๊บ’ จึงเข้าหาสำนักกรรมฐาน วัดไหนอยู่แถวนั้น เราไปหมดนั่นแหละ ไปภาวนา พอถึงเวลาโรงเรียนจะเปิดเราก็มาเข้าโรงเรียนเสีย พอว่างเมื่อไรก็ ‘ปั๊บ’ เลย ไปแต่วัดกรรมฐาน เพราะฉะนั้น เชียงใหม่จึงไปหลายแห่งนะ ไปสำนักนั้นสำนักนี้ ส่วนมากก็มีแต่สำนักลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้น”


ชีวิตการศึกษาด้านปริยัติของท่านเป็นอันสิ้นสุดลงที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ นับเป็นปีที่ท่านบวชได้ ๗ พรรษาพอดี โดยสอบได้ทั้งนักธรรมเอกและเปรียญ ๓ ประโยคในปีเดียวกัน

ลัก...ยิ้ม 23-07-2012 09:26

ค้นคว้าพระไตรปิฎก
ขอเงินโยมแม่ซื้อหนังสือเรียน

ด้วยความมุ่งมั่นอย่างจริงจังที่จะออกปฏิบัติเมื่อจบมหาเปรียญ และจะยอมมอบกายถวายชีวิตต่อครูบาอาจารย์ผู้รู้จริงเช่นนี้เอง ทำให้การเรียนของท่านจึงมิใช่จะหาความรู้เพียงแค่วิชาในชั้นเรียนเท่านั้น แต่หากความรู้ใดจะเป็นประโยชน์ต่อการออกปฏิบัติกรรมฐาน ท่านจะพยายามศึกษาค้นคว้าตำรับตำราเพิ่มเติมเข้าไปอย่างเต็มที่ เฉพาะอย่างยิ่งจากพระไตรปิฎก สังเกตได้จากความตั้งใจของท่านที่ว่า

“...เราจะเรียนทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พอจำได้เราจะจำ เราจะจดโน้ตคัดเอาไว้ ๆ มีสมุดเล็ก ๆ คัดเอาไว้ในนั้น ๆ อันนี้มาจากเล่มนั้น ๆ ชาดกเล่มนั้น ๆ หน้าที่เท่านั้น จดไว้ ๆ เวลาเราต้องการความพิสดาร เราก็ไปเปิดดูง่าย ๆ ที่เราจด


แต่ส่วนมากพอมองเห็นที่คัดไว้เท่านี้ มันก็เข้าใจไปหมดแล้ว เพราะอ่านมาหมดแล้วนี่ ก็ไม่จำเป็นต้องไปค้นดูพระไตรปิฎกละ เพราะฉะนั้น เวลาหนังสือผ่านมาที่ไหน ๆ ถึงรู้ทันที ๆ เพราะได้อ่านมาหมด มันอยู่ในข่ายของพระไตรปิฎกทั้งนั้นละ

ทีนี้พระไตรปิฎก เราก็ค้นเสียจนพอก่อนที่จะออกมาปฏิบัติ เวลาว่างจากเรียนหนังสือ ปิดโรงเรียนนั้นละ เป็นเวลาค้นหนังสือ เวลาเรียนหนังสือก็เรียนไปตามหลักวิชานั้นเสีย ครั้นเวลาหยุดเรียนหนังสือ ก็ค้นพระไตรปิฎก โน้ต ๆ เอาไว้ เพื่อให้เป็นประโยชน์ในเวลาจะออกปฏิบัติ เพราะตั้งใจจะออกปฏิบัติเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น...”

สมัยที่เรียนปริยัติอยู่นั้น แม้จะมีอุปสรรคบางประการ ที่ทำให้มีข้อเสียเปรียบเพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกันอยู่บ้าง แต่ด้วยความอุตสาหะวิริยะของท่าน ปัญหาดังกล่าวก็ไม่มีผลแต่อย่างใด ดังนี้

“...หัวสมองเรานี่เกี่ยวกับความจำ มันอยู่ในย่านกลางนะ ดีก็ไม่ใช่ ต่ำกว่านั้นก็ไม่ใช่ อยู่ในย่านกลางนี่แหละ เราจะเห็นได้จากพวกหมู่เพื่อนที่เขาเรียนหนังสือด้วยกัน ท่องสองหน สามหนเท่านั้น เขาจำได้แล้วนะ


เรานี่เอาจนแทบเป็นแทบตาย ก็ไม่ได้ผิดกันมากนะ ท่องสูตรเดียวกันนี่ เขาไปท่องมาชั่วโมงสองชั่วโมง เขาจำได้ แล้วสูตรหนึ่ง เราฟาดมันจนไม่ทราบกี่ชั่วโมง มันก็ไม่ได้นะ ผู้ที่หนากว่าเราก็ยังมีอีก นี่มันเทียบได้ เราจึงอยู่ในย่านนี้ ไม่ใช่ย่านนั้น คือย่านสูงกว่านั้น เราก็ไม่ได้...”

เพราะเหตุนี้ทำให้ท่านต้องขยันหมั่นเพียรอย่างหนัก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกท้อถอยน้อยใจ กลับตั้งอกตั้งใจเรียนยิ่งขึ้นไปอีก ในช่วงที่เรียนหนังสืออยู่นั้น ท่านได้เขียนจดหมายมาขอเงินโยมแม่เพื่อซื้อหนังสือเรียน โดยโยมแม่จะมอบให้ครูชาลีเป็นคนส่งเงินถวายท่านตลอดมา การใช้จ่ายของท่านเป็นไปด้วยความประหยัด เพราะรู้สึกเห็นอกเห็นใจพ่อแม่ ท่านเล่าว่า

เงินที่ขอพ่อแม่มานี้ เราเห็นเป็นคุณค่าอย่างยิ่ง นำไปซื้อหนังสือทุกบาททุกสตางค์ ใช้เฉพาะเรื่องส่วนตัว ไม่ขอท่านทีละมาก ๆ เราก็ประหยัดของเราเหมือนกัน คือเห็นอกพ่ออกแม่ ขอเท่าไรให้ไปทันที ๆ เรื่องเงินนี้เราจึงไม่จ่ายทางอื่นเลย


นี่พูดถึงเรื่องเรียนหนังสือ ขอเงินจากทางบ้านไปเรียน เพราะเราเรียนหลายสำนัก ออกจากสำนักนี้ไปสำนักนั้น ออกจากสำนักนั้นไปสำนักนั้น มันถึงได้รู้ได้เห็นทางด้านปริยัติทั่วถึง วัดใหญ่วัดน้อยวัดราษฎร์วัดหลวงไปหมดเลย ทีนี้เวลามันผ่านมาหมดแล้วก็พูดได้ตามที่รู้ที่เห็น

พอหยุดจากการศึกษาเล่าเรียนก็เลิกขอเงินเลย ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยขอเงินแม่แม้สตางค์แดงเดียว”

ลัก...ยิ้ม 24-07-2012 15:16

เรียน ๗ ปี จิตสงบอัศจรรย์ ๓ ครั้ง

ตลอดระยะเวลาแห่งการเรียนปริยัติของท่าน แม้จะต้องใช้เวลาในการเรียนอย่างหนักเพียงใด ท่านก็พยายามแอบปฏิบัติภาวนาอยู่เป็นประจำไม่ลดละ ซึ่งในช่วงแรก ๆ จิตใจก็ไม่สงบเท่าใดนัก แต่เมื่อทำอยู่หลายครั้งหลายหน จิตก็เริ่มสงบตัวลงไปโดยลำดับ ๆ จนเกิดความอัศจรรย์ ดังนี้

“...ตั้งใจพุทโธ ๆ ไปเรื่อย ๆ ตอนแรกมันไม่ได้เรื่องเพราะคนไม่เคย วันไหนไม่ได้เรื่องก็ช่างมัน เราได้ภาวนาได้บุญก็เอา หลายครั้งหลายหน สุ่มไปสุ่มมา เหมือนสุ่มหาปลานะ สุ่มหลายครั้งหลายหนก็ไปเจอเอาจนได้...


นี่แหละ ที่ได้เห็นความอัศจรรย์ของจิต ทำไปสะเปะสะปะไป นั่งภาวนาพุทโธ พุทโธ... สำรวมจิตตั้งสติไว้กับพุทโธ พุทโธ... มันไม่เคยเป็น ไม่เคยรู้เคยเห็น ไม่เคยคาดเคยฝันว่ามันจะเป็นอย่างนั้น พอพุทโธไป ๆ ปรากฏว่ามันเหมือนเราตากแหไว้นะ แล้วตีนแหก็หดเข้ามา หดเข้ามาพร้อม ๆ กัน

พอนึกพุทโธกับสติถี่ยิบเข้าไปเหมือนดึงจอมแห กระแสของจิตที่มันซ่านไปในที่ต่าง ๆ มันจะหดตัวเข้ามา เหมือนตีนแหหดตัวเข้ามา ลักษณะมันเป็นอย่างนั้น เราก็ยิ่งเกิดความสนใจก็เลยพุทโธถี่ยิบเข้ามา หดเข้ามา หดเข้ามา ถึงที่... ‘กึ๊ก’ เลย...ขาดสะบั้นไปหมดโลกนี้...

จิตนี้เป็นเหมือนเกาะอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร จิตที่รู้ ๆ เด่น ๆ อัศจรรย์นี้ นอกนั้นก็เป็นโลกสงสารเป็นมหาสมุทรไปหมด แต่เกาะนี้เป็นเกาะที่เด่นดวงอัศจรรย์สง่างาม อัศจรรย์ตื่นเต้น เราไม่เคยเห็น เลยตื่นเต้น เจ้าของเลยกระตุกตัวเอง ทีนี้จิตมันก็ถอนออกมา โอ๊ย...เสียดายจะเป็นจะตาย

วันหลังขยับใหญ่เลย ก็ไม่ได้เรื่อง แม้ขยับเท่าไหร่ก็ไม่ได้เรื่อง นั่นแหละ เลย.. เฮ้อ เอาละ.. ทำไปตามประสีประสาก็แล้วกัน ที่นี้มันก็ปล่อยอารมณ์ความยึดอดีตน่ะสิ พอทำไป ๆ ก็เลยเป็นอย่างนั้นอีก เลยขยับบ้าเข้าอีก ๆ เลยไม่ได้เรื่อง...

จิตที่ว่าอัศจรรย์อย่างนี้นะ วันนั้นทั้งวัน จิตไม่พรากไม่ห่างจากอัศจรรย์ที่ปรากฏในจิตนั้น มันกระหยิ่มอยู่อย่างนั้น เรียนหนังสือมันก็อยู่ด้วยกัน จิตไม่ส่งไปไหนเลย นี่แหละ เป็นหลักใหญ่ที่เป็นเครื่องยึดของใจเอามากอันหนึ่ง...”

ด้วยความตั้งใจเรียนที่หนักมากตามอุปนิสัยจริงจังของท่าน ประกอบกับการปฏิบัติจิตตภาวนา ต้องแอบเพื่อนพระนักศึกษาด้วยกัน ทำให้การปฏิบัติไม่ค่อยเต็มที่เท่าใดนัก ท่านเล่าถึงผลการภาวนาในช่วงที่เรียนหนังสืออยู่ตลอด ๗ ปีเต็มว่า

เป็นเพียงสงบเล็ก ๆ น้อย ๆ ธรรมดา ๆ จิตสงบของมันอยู่ธรรมดา ... เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี จะมีก็เพียง ๓ หนเท่านั้นเป็นอย่างมากที่จิตลงถึงขนาดที่อัศจรรย์เต็มที่ คือลง ‘กึ๊ก’ เต็มที่แล้วอารมณ์อะไรขาดหมดในเวลานั้น เหลือแต่รู้อันเดียว กายก็หายเงียบเลย


ท่านว่าผลการภาวนาเช่นนี้มันน่าอัศจรรย์มาก สิ่งนี้เองเป็นเครื่องฝังจิตฝังใจของท่าน ให้มีความสืบต่อที่จะออกปฏิบัติให้จงได้ และกล้าที่จะพูดเปิดเผยให้หมู่เพื่อนได้ฟังถึงความตั้งใจที่จะเรียนจบแค่เปรียญ ๓ ประโยคเท่านั้น

ลัก...ยิ้ม 25-07-2012 09:37

นิมิต “เหาะรอบพระนครทองคำ”

เพื่อมุ่งหน้าออกปฏิบัติกรรมฐานตามคำสัตย์ที่ตั้งไว้ ท่านจึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาวัดบรมนิวาส เพื่อหาโอกาสเข้ากราบลาพระเถระผู้ใหญ่เจ้าคุณพระราชกวี (พิมพ์ ธมฺมธโร) อาจารย์ของท่าน แม้พระเถระผู้ใหญ่จะมีเมตตา หวังอนุเคราะห์ให้ท่านศึกษาปริยัติต่ออีก เพราะเห็นว่าในสมัยนั้นพระภิกษุที่มีความรู้ระดับมหาเปรียญมีน้อยมาก แต่ท่านเคยพิจารณาในเรื่องนี้แล้วว่า

ความรู้ระดับมหา ๓ ประโยคนี้ ก็เพียงพอแล้วกับการจะออกปฏิบัติกรรมฐาน วิชาความรู้ขนาดเป็นมหาแล้วย่อมไม่จนตรอกจนมุมง่าย ๆ


และอีกประการหนึ่ง ท่านยังคงระลึกถึงความสัตย์ที่เคยตั้งต่อตนแองไว้ว่า
“ฝ่ายบาลีขอให้จบเพียงเปรียญ ๓ ประโยคเท่านั้น ส่วนนักธรรมแม้จะไม่จบชั้นก็ไม่ถือเป็นปัญหา ... แล้วจะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียว จะไม่ยอมศึกษาและสอบประโยคต่อไปเป็นอันขาด”


ระหว่างที่รอหาโอกาสเข้ากราบลาพระเถระผู้ใหญ่ในวันต่อไป ค่ำคืนดึกสงัดที่วัดบรมนิวาส ในคืนนั้นท่านได้ตั้งใจไหว้พระสวดมนต์ และตั้งสัจอธิษฐานต่อหน้าพระรัตนตรัยอย่างแม่นมั่นว่า

“๑) ถ้าหากว่า ข้าพเจ้าออกไปปฏิบัติธุดงคกรรมฐานแล้ว จะได้สำเร็จตามความมุ่งหมายโดยสมบูรณ์ ขอให้จิตนี้แสดงนิมิตอย่างน่าอัศจรรย์ซึ่งไม่เคยรู้เคยเห็น ให้สมกับภูมิธรรมที่ข้าพเจ้ามุ่งหมายเถิด


...๒) ถ้าหากข้าพเจ้าออกไปปฏิบัตธุดงคกรรมฐานแล้ว ไม่สำเร็จตามความมุ่งหมายก็ขอให้จิตนี้แสดงนิมิต เป็นข้อเทียบเคียง ว่าออกไปแล้วก็เถลไถลไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรให้ทราบเถิด

...๓) ถ้าหากข้าพเจ้าจะไม่ได้ประสบผลทั้ง ๒ อย่าง คือไม่ได้ออกปฏิบัติธุดงคกรรมฐานด้วย หรือออกไปปฏิบัติธุดงคกรรมฐานแล้วไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรด้วย ขอให้จิตนี้แสดงนิมิตให้ทราบด้วยเถิด

ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย ขอให้นิมิตแสดงใน ๓ วาระนี้ จะพึงแสดงให้รู้โดยทางนิมิตภาวนาหรือจะพึงแสดงให้รู้โดยทางสุบินนิมิตก็ได้”

ภายหลังไหว้พระสวดมนต์และตั้งสัจอธิษฐานต่อหน้าพระรัตนตรัยแล้ว ท่านจึงเข้าที่เจริญสมาธิภาวนาและเข้าพักอิริยาบถจำวัด เวลาประมาณ ๖ ทุ่มได้เกิดสุบินนิมิตอย่างอัศจรรย์ว่า

“...เราเหาะปลิวขึ้นไปในอากาศอย่างสะดวกสบาย เหาะเหินวนเวียนรอบพระนครหลวง อันเป็นพระนครอัศจรรย์ดั่งเมืองสวรรค์ชั้นฟ้า มองไกลโพ้นสุดสายตา กว้างขวางสุดประมาณราวกะว่า เมืองไทยเราทั้งเมืองเป็นเมืองหลวงโดยสิ้นเชิง ตึกรามบ้านช่องเป็นประดุจหอปราสาทราชมณเฑียร


มิใช่เป็นบ้านเป็นเรือนของผู้คนธรรมดา มีความสง่าผ่าเผย ประดับด้วยแสงสีทองอร่ามแวววาวพร่างพราวระยิบระยับ เป็นประหนึ่งว่าลูกนัยน์ตาของชนผู้ที่มองเห็น จะถึงซึ่งอาการถลนแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เพราะแสงสว่างแพรวพราวเจิดจรัสของสีแสงแห่งเมืองนั้น

ยิ่งเพ่งมองเข้าไปเท่าใด ยิ่งเหมือนกับว่าเป็นเมืองแห่งทองคำทั้งแท่ง ตึกรามบ้านช่องเป็นประดุจทองคำธรรมชาติ ส่องทอลำแสงกระจายกราดกล้า เราได้เหาะวนถึง ๓ รอบแล้วก็ลง”

นิมิตนั้นยังติดตาตรึงใจท่านเสมอมา ไม่มีวันลืมเลือน และทำให้แน่ใจแล้ว ว่าในคราวนี้อย่างไรต้องได้ออกปฏิบัติกรรมฐานอย่างแน่นอน และแน่ใจว่าจะต้องประสบผลสำเร็จ

พอตื่นเช้ามาเข้าไปกราบลาเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) เผอิญในระยะนั้น เจ้าคุณพระราชกวี (พิมพ์ ธมฺมธโร) พระเถระอาจารย์ของท่านรับนิมนต์ไปต่างจังหวัด ท่านจึงถือโอกาสนั้นเข้ากราบนมัสการลาสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสในขณะนั้น

ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็ยินดีอนุญาตให้ไปได้ ท่านเล่าถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า
“บุญกรรมก็ช่วยด้วยนะ ผู้ใหญ่ท่านไม่อยากให้ออก ท่านห้ามไว้เลยเทียว ... ยังไม่ให้ออก ... ให้เรียนจบได้เปรียญ ๖ ประโยคเสียก่อนจึงค่อยออก แต่เรา ‘ยังไง’ ก็ไม่อยู่ แต่จะหาออกด้วยมารยาทอันดีงามเท่านั้นเอง สบโอกาสเมื่อไรแล้วเราจะออก พอดีท่านไปต่างจังหวัดละซิ นั่นละโอกาสมันก็เหมาะ พอท่านไปต่างจังหวัด ‘พับ’ เราก็ ‘ปั๊บ’ ออกเลย”

ลัก...ยิ้ม 26-07-2012 10:40

ภาษิตจำสอนใจสมัยเรียน


สมัยเรียนมีภาษิตคำกลอนสอนใจที่แสดงไว้ในที่ต่าง ๆ องค์หลวงตาเห็นว่าภาษิตคำกลอนอันไหนดี ก็พยายามท่องจำจนขึ้นใจไม่เคยลืม ดังเช่นภาษิตคำกลอน ๓ บทนี้

๑. ใบลานมักบังพระธรรม
ทองคำมักบังพระพุทธ
สงฆ์สมมุติมักบังอริยสงฆ์ฯ

๒. อันโคควายเลี้ยงไว้ใช้งานไถ
เมื่อตายไปเนื้อและหนังยังให้ผล
วิสัยพาล พาลเพียร เบียดเบียนคน
ประพฤติตนเลวร้ายยิ่งกว่าควายฯ

๓. วัดจะดีไม่ใช่ดีเพราะโบสถ์สวย
หรือร่ำรวยด้วยทรัพย์อสงไขย
แต่วัดดีเพราะพระเณรเก่งเคร่งวินัย
ยึดหลักชัยอรหันต์เป็นสันดานฯ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:58


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว