ปกิณกโอวาทหลังแจกวุฒิบัตร ช่วงงานบวชเนกขัมมะวันเฉลิมพระชนมพรรษาปี ๒๕๖๒ ณ วัดท่าขนุน
อันดับแรก...ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วย โดยเฉพาะพวกเรามาสร้างความดีกันในวาระพิเศษ คือวันเฉลิมพระชนมพรรษาในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนก็ยังงง ๆ อยู่ จนกว่าจะผ่านไปสัก ๕ ปี ๑๐ ปี ก็จะเริ่มเคยชิน ว่าวันเฉลิมพระชนมพรรษาคือวันที่ ๒๘ กรกฎาคม
อะไรที่เปลี่ยนใหม่ ก็จะไม่เคยชิน แบบเดียวกับที่เราเปลี่ยนคำภาวนา คำภาวนาอย่าเปลี่ยนบ่อย ถ้าเปลี่ยนบ่อย ของเก่าก็ยังไม่ได้ ของใหม่ก็ยังไม่ดี ย่อมจะฟุ้งซ่าน คำภาวนาเป็นเพียงเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ เราจะใช้อะไรก็ได้ |
หลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม สมัยเด็ก ๆ ๔-๕ ขวบ ไปหาพระกับโยมพ่อ โยมพ่อเป็นฮินดู แต่นับถือพุทธ ก็ขึ้นไปสนทนาธรรมกับพระ ไล่หลวงพ่อให้ลงไปเล่นที่ศาลา ทีคราวนี้พระวัดป่าเวลาคุยแล้วมักจะติดลม เพราะว่าท่านคุยไปทรงอารมณ์ไป จนค่ำมืด เด็ก ๆ ๔-๕ ขวบก็กลัว จะขึ้นไปหาพ่อก็กลัวพ่ออีก ก็เลยนั่งกอดเข่า หลับหูหลับตา อยู่บนศาลา "กลัวแล้ว ไม่เอาแล้ว กลัวแล้ว ไม่เอาแล้ว กลัวแล้ว ไม่เอาแล้ว"
อยู่ ๆ รู้สึกว่าสว่างไปหมดทั้งศาลา ก็เลยมองดูว่าทำไมสว่าง "แล้วไอ้นั่นคือใคร ?" ท่านคิดอยู่แค่ว่ากลัวแล้วไม่เอาแล้ว จนกายในหลุดออกไป เห็นตัวเองกอดเขาคุดคู้อยู่ด้วยความกลัว หลับตาปี๋ เพราะฉะนั้น..คำภาวนาไม่ใช่สาระ อาตมายืนยัน...ลมหายใจเข้าออกจึงเป็นสาระสำคัญของการปฏิบัติ |
แต่ละวันอย่าลืมลม ถ้าลืมลมแปลว่าลืมตัว ถ้าลืมตัวจะลืมตาย ถ้าลืมตายก็แปลว่าจะเริ่มทำอะไรที่ไม่ดีไม่งาม เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะตาย
แบบเดียวกับที่อาตมาจัดงานศพให้ป้าโอ่ง แล้วป้าอ้วนบอกว่า "อีโอ่งมีบุญนะ หลวงพ่อจัดงานศพ ถวายแต่ของดี ๆ ให้มัน" "แล้วยายอยากมีบุญแบบป้าโอ่งไหม ?" "ไม่เอา" ป้าโอ่งอายุ ๖๑ แล้ว คิดดูว่าแม่แกอายุเท่าไร นั่นยังไม่อยากมีบุญเลย |
ดังนั้น...พวกเราทั้งหมดที่ปฏิบัติธรรมอยู่ก็ด้วยความจำเป็น บาลีท่านว่า อาหาระนิททัง ภะยะเมถุนัญจะ สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง ธัมโมหิ เตสัง อะธิโก วิเสโส ธัมเมนะ วีณา ปะสุภิสสะมานา
อาหาระ อาหาร คือสิ่งที่เรากินเข้าไป , นิททัง นิทราคือการนอน , ภะยะ การกลัวภัย การหลบภัย, เมถุนะ การเสพกาม การกิน การนอน การหลบภัย การเสพกาม สามัญญะ เหมือน ๆ กัน เป็นธรรมดา เปตัปปะสุภีนะรานัง เหมือนกันทั้งคนและสัตว์ ปะสุ คือสัตว์..สัตว์เลี้ยง นะรานัง คนทั้งหลาย การกิน การนอน การหลบภัย การเสพกาม เหมือนกันทั้งคนและสัตว์ ธัมโมหิ เตสัง อะธิโก วิเสโส ธรรมเท่านั้นที่ทำให้ต่างกันออกไปได้ ธัมเมนะ วีณา ปะสุภิสสะมานา ธรรมจึงเป็นเครื่องจำแนกคนว่าต่างออกไปจากสัตว์ แปลว่าถ้าเราไม่ปฏิบัติธรรม ตัวเราก็เหมือนกับสัตว์ชนิดหนึ่งเท่านั้น |
แต่นี่เขาบัญญัติศัพท์ว่าเราเป็นมนุษย์ มนะ แปลว่าใจ อุสส แปลว่าสูง มนะ+อุสส รวมเป็น มนุสส ภาษาไทยเขียนว่า มนุษย์ มีใจสูง สูงด้วยอะไร ? สูงด้วยคุณธรรม สูงด้วยความดี เพราะฉะนั้น...เราเองต้องมีหลักธรรมเป็นเครื่องยึดถือ อย่างน้อย ๆ ต้องมีศีล ๕ เป็นกรอบในการดำเนินชีวิต ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ต่างจากสัตว์เลยแม้แต่นิดเดียว
|
ถ้าเขาบอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง..ก็ถูก แต่ว่าเป็น Homo sapiens ถือว่าเป็นตระกูลที่มีความเจริญ มีสมองมากกว่าสัตว์อื่น เมื่อเทียบกันโดยขนาดร่างกาย รู้จักคิด รู้จักระงับยับยั้งใจตัวเอง รู้จักออกกฎเกณฑ์กติกามาเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคม ซึ่งสัตว์ไม่มี สัตว์ใช้กำลังเข้าว่า ใครแข็งแรงกว่า ตัวนั้นเป็นใหญ่
เราเองถ้าหากว่าปฏิบัติธรรม..เราเป็นมนุษย์ ถ้ามีศีลมีธรรมทรงตัว..เป็นกัลยาณชน ตัดกิเลสได้ในระดับที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวไว้..เป็นอริยชน เราเลือกที่จะเป็นได้ |
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเชื่อมั่นว่า เราทั้งหลายพัฒนา กาย วาจา ใจ ตัวเองได้ ในเมื่อสามารถพัฒนาได้ พระองค์ท่านก็มอบหลักเกณฑ์ในการพัฒนา กาย วาจา ใจ ให้กับเรา นั่นคือศีล ๕ ศีล ๘ หรือว่ากรรมบถ ๑๐ แล้วแต่ระดับว่ากำลังใจของเราชอบในระดับไหน
ในเมื่อผู้ที่รู้รอบ รู้ทั่ว รู้ถ้วน รู้จริง อย่างพระพุทธเจ้ามั่นใจว่า เราพัฒนา กาย วาจา ใจ ของเราไปจนถึงระดับสูงสุดได้ แล้วเราจะไม่เชื่อมั่นในตัวเราเองหรือ ? |
คนเราจะได้เกิดเป็นมนุษย์ก็แสนยาก เกิดเป็นมนุษย์จะได้พบพระพุทธศาสนาก็แสนยาก ได้พบพระพุทธศาสนาจะได้ฟังธรรมก็แสนยาก ฟังธรรมแล้วจะเลื่อมใสก็แสนยาก เลื่อมใสแล้วน้อมนำไปปฏิบัติก็แสนยาก หลายแสนแล้ว..เกือบล้าน สิ่งยาก ๆ ทั้งหลายนี้เราทำได้หมดแล้ว สำคัญตรงที่ว่าต้องทำจริงกว่านี้อีกนิดเดียว
|
พระพุทธศาสนาเป็นของจริง เป็นของแท้ แต่ก็ต้องการคนจริงด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นแค่ทัพพีตักแกง ตักเข้าไปเถิด ตักจนเหี้ยน ตักจนหัก แต่ไม่รู้เลยว่าแกงมีรสชาติอย่างไร
พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า เปรียบเหมือนบุคคลผู้รับจ้างเลี้ยงโค รับจ้างเลี้ยงวัว ย่อมไม่รู้ปัญจโครส ว่าเป็นอย่างไร ปัญจโครสคือรสที่ได้จากวัว ๕ ประการ มีอะไร..? นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น น้ำมันเปรียง เพราะว่าไม่ใช่เจ้าของ รับจ้างเลี้ยงวัวอย่างเดียว ของเหล่านี้เป็นของเจ้าของวัวเขา |
ในเมื่อเราเองนับถือพระพุทธศาสนา ถ้าคนอื่นเขาถาม โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ต้องบอกเขาได้ว่าพระพุทธศาสนาดีอย่างไร ถ้ายังทำไม่ได้ แปลว่าเรายังไม่ใช่พุทธศาสนิกชนที่แท้จริง เพราะว่าพุทธศาสนิกชนที่แท้จริงย่อมต้องประพฤติปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าตรัสมา จนบังเกิดผล แล้วนำไปบอกต่อคนอื่นได้
ศาสนาพุทธของเรามีจุดด้อยสำคัญที่สุดก็คือ พระภิกษุสามเณรอยู่ในสถานที่เฉพาะ ถ้าไม่รู้จักเข้าหาโยม รอโยมมาหาอย่างเดียว การเผยแผ่ศาสนาจึงเป็นไปได้น้อย แล้วลองดูศาสนาพราหมณ์ ศาสนาอิสลาม ผู้เผยแผ่อยู่ในบ้าน เขาสามารถสอนได้ทุกวัน |
ของเราเองสมัยพุทธกาล ฆราวาสเก่ง ๆ มีนับไม่ถ้วน สมัยนี้ไปไหนกันหมด ? พระพุทธเจ้าตั้งองค์กรพุทธบริษัท ๔ ขึ้นมา ปัจจุบันนี้องค์กรนี้เป็นรถวิ่งไม่เต็มสูบ ภิกษุ ภิกษุณี อ้าว..ภิกษุณีไม่มี สงเคราะห์เอาแม่ชีเข้าไปแทน..ก็ไม่เต็มที่ อุบาสก อุบาสิกา อยู่ที่ไหน มีเรื่องขึ้นมาเมื่อไร มีใครออกมาปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาบ้าง ?
อุบาสก อุบาสิกา มีหน้าที่เทียบเท่าภิกษุ ภิกษุณี พระพุทธเจ้ามอบให้แต่แรกแล้ว แต่เรามักจะไม่รู้ว่านี่คือหน้าที่ของเรา ถามว่าแล้วต้องไปดิ้นรนตีกับชาวบ้านใช่ไหม ถึงจะเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนา..?..ไม่ใช่ การปกป้องพระพุทธศาสนาที่ดีที่สุดก็คือ พวกเราปฏิบัติจนเห็นผล พอปฏิบัติเกิดผลแล้ว เราไปบอกใครต่อก็ง่าย เพราะรู้จริง คนก็ศรัทธาเข้ามาปฏิบัติธรรมได้ง่าย |
ถ้าอย่างนี้เราก็เปลี่ยน เปลี่ยนจากตัวถ่วง เปลี่ยนจากโบกี้รถไฟที่คอยพ่วงให้เขาลาก เปลี่ยนมาเป็นหัวรถจักรเอง ขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องรอคนอื่นเขาลาก และยังมีกำลังที่จะลากคนอื่นไปด้วย
ถ้าทำได้ถึงระดับนี้จึงได้ชื่อว่าอุบาสกอุบาสิกาที่แท้จริง ได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นตามทะเบียนบ้าน ไม่ใช่บอกว่าเป็นพุทธศาสนิกชน อาราธนาศีลก็ไม่เป็น ใส่บาตรปีละครั้งตอนวันเกิด แถมไม่รู้ด้วยว่าใส่ข้าวก่อนหรือว่าใส่กับก่อน อนาถชีวิตจริง ๆ ส่วนใหญ่พวกเราตอนนี้เป็นแบบนั้น |
ฝากงานหนักให้กับญาติโยมไว้ด้วย ศึกษาแล้ว มีลูกสอนลูก มีหลานสอนหลาน บอกต่อ สืบต่อ อยากจะให้โยมเห็น เวลาพี่น้องมอญ พม่ามาทำบุญที่วัดนี้ ลูกเล็ก ๆ เดือนสองเดือน เขาอุ้มคอพับคออ่อนมาแล้ว ขวบสองขวบขี่คอมาบ้าง เข้าเอวมาบ้าง จูงเดินมาบ้างก็มา สี่ขวบห้าขวบจนถึงวัยรุ่นวิ่งตามกันมาเป็นพรวนเลย
เด็กหนุ่มเด็กสาวยิ่งดีใหญ่ อยากไปวัด จะได้ไปเจอหนุ่ม ๆ สาว ๆ ด้วยกัน พวกวัยพ่อวัยแม่ก็มา วัยปู่ย่าตายายก็มา วัยคุณทวดก็มา เขามากันทั้งตระกูล ทำให้ลูกหลานไม่รู้สึกว่าแปลกแยก เห็นว่านี่เป็นสิ่งที่บรรพบุรุษทำกันเป็นปกติ เป็นกิจวัตร เหมือนกับกินข้าว กินน้ำ แต่คนไทยเราปัจจุบันไม่มี ตอนอาตมาเด็ก ๆ ยังมี สมัยนี้ไม่มีแล้ว สมัยก่อนทำบุญเป็นบุญ สมัยนี้ไปวัด ไปทำอะไรกัน ? ไปขอหวย ไปขอพร ไปขอน้ำมนต์ ไปบูชาวัตถุมงคล ไปสึกพระ..อันนี้ไม่ต้องก็ได้..! |
ในเมื่อเรารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร ก็ขอฝากไว้ด้วย อย่าให้พระเป็นฝ่ายเต้นอยู่ฝ่ายเดียว เพราะว่าปัจจุบันนี้พระก็กลายเป็นองค์กรที่พิกลพิการ ไม่ค่อยเข้าใจหน้าที่บทบาทของตัวเอง มีแต่จะทำให้ญาติโยมเขาเสื่อมศรัทธา พวกเราจึงต้องช่วยกัน ถ้าช่วยกันเป็นหูเป็นตา ถึงเวลาเราปฏิบัติแล้วได้ผล บรรดากาฝากพระศาสนาจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่าตาวิเศษมีเยอะ
ดังนั้น...ในส่วนนี้ญาติโยมทั้งหลาย พรุ่งนี้ปฏิบัติธรรมอีกครึ่งวันแล้วก็เดินทางกลับ อาตมาก็ไม่อยู่ จึงขอฉวยโอกาสนี้ อำนวยอวยพรให้กับท่านทั้งหลาย กุศลบารมีที่ท่านทั้งหลายได้สมสร้างมาตั้งแต่ต้นมาจวบจนบัดนี้ ตลอดจนกุศลผลบุญที่ท่านได้สร้างในการมาร่วมบวชเนกขัมมะในครั้งนี้ จงรวมกันเป็นตบะ เดชะ พลวปัจจัย ดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย ไม่ว่าประสงค์จำนงหมายในสิ่งหนึ่งประการใด ที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้ ขอให้ความประสงค์ของท่านทั้งหลายสำเร็จ สัมฤทธิ์ผล สมดังมโนรถปรารถนาจงทุกประการเทอญ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. ปกิณกโอวาทหลังแจกวุฒิบัตร ช่วงงานบวชเนกขัมมะช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาปี ๒๕๖๒ ณ วัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:57 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.