กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=110)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8165)

ตัวเล็ก 20-11-2021 20:41

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๔



เถรี 20-11-2021 23:14

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ เมื่อเช้าพระเกือบ ๓๐ รูป ที่ตามกระผม/อาตมภาพไปบิณฑบาตสายตลาดเทศบาล ก็คงจะเจอประสบการณ์ชีวิต ซึ่งเรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องปกติของสมัยนี้ ก็คือมีเด็กวัยรุ่นขี่มอเตอร์ไซค์คนหนึ่ง ซ้อนท้ายคนหนึ่ง มาพร้อมกับถาดใส่โจ๊ก ๒๐ ถุง ตะโกนมาว่า "พระจอดด้วย..หนูจะใส่บาตร..!" อาตมภาพก็เลยบอกว่า "เอ้า...จอดก็จอดวะ" เห็นอย่างชัดเจนว่าเด็กสมัยนี้ห่างวัดมาก ห่างชนิดที่ไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดที่ถูกต้องกับพระอย่างไร

เมื่อหลายปีก่อนนั้น
กระผม/อาตมภาพก็เจอเด็กวัยรุ่นเหมือนกัน น่าจะสอบเอ็นทรานซ์ติด ขับรถญี่ปุ่นคันเล็ก ๆ น่ารักมา ยี่ห้ออะไรช่างมันเถอะ ลงมาถึง เจอกระผม/อาตมภาพเข้าพอดี ยกมือไหว้ พูดจาแบบฉะฉานมาก "ท่านเจ้าคะ ช่วยนิมนต์พระให้อาตมา ๕ รูป อาตมาจะถวายสังฆทาน..!" อืมม์...เล่นเอากระผม/อาตมภาพยืนงงอยู่นานว่า "ตกลงใครเป็นพระกันแน่วะ ?" แต่ในเมื่อพอสื่อสารกันเข้าใจ..ก็เอาเถอะ เหมือนกับพูดภาษาต่างประเทศนั่นแหละ อย่าไปเอาอะไรแน่นอนเลย คุยกันรู้เรื่องก็พอ..ใช่ไหม ?

ตรงจุดนี้ที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา และเกิดมากขึ้นทุกที เกิดจากการที่เด็ก ๆ ไม่มีใครทำตัวอย่างให้ดู สมัยโน้นที่ไปประเทศพม่าใหม่ ๆ ไปด้วยความรู้สึกของผู้ที่เหนือกว่า ว่าเรามาจากประเทศที่เจริญ ถ้ามีอะไรพอที่จะแนะนำสั่งสอนเขาได้ เราจะทำอย่างเต็มที่ ปรากฏว่าไปถึงประเทศพม่า
กระผม/อาตมภาพอายแทบจะมุดดินหนี บ้านเขาผู้คนทั้งหญิงและชาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เข้าวัดเหมือนกับบ้านเราไปเดินห้างที่เพิ่งเปิดใหม่ ทุกคนสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิกันเป็นปกติ เพราะเขามีคนทำให้ดู

ดูตัวอย่างจากงานตักบาตรเทโววัดท่าขนุนก็พอ ประเภทอายุ ๗๐-๘๐ ปี ลูกหลานต้องจูงมาบ้าง ใส่รถเข็นมาบ้าง รองลงไปก็ระดับ ๕๐-๖๐ ปี ลูกหลานล้อมหน้าล้อมหลังมา แล้วก็มีระดับ ๓๐-๔๐ ปี ลูกกำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น แล้วก็มีประมาณ ๒๐ ปี อุ้มคนจูงคน แล้วก็ยังมีพวกเด็กวัยรุ่นประมาณ ๑๐ กว่าปี แล้วก็ยังมีเด็กเล็ก ๆ ที่แน่ที่สุดก็คือทารกเพิ่งจะเกิด เขาก็กล้าอุ้มมาด้วย ถามว่า "กี่เดือนแล้ว ?" เขาบอกว่า "๒ อาทิตย์..!"

เขาทำแบบนี้กันทั้งบ้าน ทำแบบนี้กันทั้งหมู่บ้าน ทำแบบนี้กันทั้งประเทศ เด็ก ๆ เขาเห็นตัวอย่างตลอด พอรู้ภาษาขึ้นมาก็ทำตามโดยไม่เคอะเขิน เพราะว่ามีผู้ใหญ่นำให้ แต่บ้านเราตรงนี้หายไปแล้ว เหลือแค่ไม่กี่บ้าน ส่วนหนึ่งก็คือ ใส่บาตรปีละครั้งตอนวันเกิดตัวเอง แล้วก็เก้ ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูก ถามพระด้วยว่า "จะต้องใส่ข้าวก่อน หรือจะใส่กับข้าวก่อน ?" เอาที่โยมสบายใจก็แล้วกัน...!

เถรี 20-11-2021 23:18

จากตรงจุดนี้ จะว่าไปแล้วก็สามารถที่จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ ประการแรกก็คือ พอมีปัญหาขึ้นมาแล้ว เด็กสมัยนี้ยังนึกถึงพระ ยังอยากจะทำบุญ แม้ว่าจะเป็นการตัดเคราะห์ตัดกรรมอะไร แล้วแต่หมอดูจะว่าก็เถอะ ก็ยังอุตส่าห์ขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตามมา เรียกให้พระจอดก่อน..! ก็แปลว่า ถ้าหากว่าเรานำเสนอสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไป เด็กก็พอที่จะรับกันได้อยู่

คราวนี้เราจะนำเสนอแบบไหน ? ตรงนี้ต้องการต้นทุนที่สูงมาก ถ้าในทองผาภูมิ ต้นทุนของวัดท่าขนุนมีเพียงพอ ถามว่าต้นทุนสูงมากตรงไหน ? ตรงที่ว่าเจ้าอาวาสสร้างชื่อเสียงเอาไว้เป็นที่เลื่องลือ จนเขาบอกกันว่า "เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนดุอย่างกับหมา ตรงเวลาจนน่าเกลียด..!" ความจริงก็ภูมิใจนะ ก็คืออย่างน้อย ๆ ญาติโยมเขายังรู้ข่าวรู้คราว ก็แปลว่าเขาก็ให้ความสนใจกับวัดอยู่

คราวนี้ในเมื่อต้นทุนพอ ถ้าหากว่าเราไปบอกไปกล่าว เด็กเขาจะฟัง แล้วยิ่งกระผม/อาตมภาพจบปริญญาเอกมา แถมยังคะแนนยอดเยี่ยมอีกต่างหาก พูดอะไรเด็กก็เชื่ออยู่แล้ว แล้ววัดที่เหลือล่ะ ? ทองผาภูมิมี ๕๒ วัด กับ ๒๓ สำนักสงฆ์ มีอยู่แค่ ๓-๔ วัดเท่านั้นนะที่มีต้นทุนเพียงพอ

ตรงจุดนี้ทำอย่างไรที่จะให้ทุกวัดมีต้นทุนที่เพียงพอ ? ก็ต้องฝากความหวังไว้กับพระเณรรุ่นใหม่ ๆ ถามว่าทำไมต้องฝากไว้กับรุ่นใหม่ ? เพราะว่ารุ่นเก่าเป็นไม้แก่ ดัดไม่ไปแล้ว อย่างพระวัดท่าขนุนของเรา
ถ้าหากว่าหลวงพ่ออยู่วัด ได้ฟังการอบรมอยู่ตลอดเวลา ก็จะรู้แนวคิด รู้วิธีการ ถ้าหากว่าใครตั้งใจศึกษา หาหน้าที่การงานรับผิดชอบ ก็จะรู้ด้วยว่าแนวทางการบริหารจัดการเป็นอย่างไร แต่วัดอื่นเขาไม่มีตรงนี้ ในเมื่อไม่มีตรงนี้ จะให้เหมือนกันทุกวัดก็ยาก จึงเป็นเรื่องของพระอุปัชฌาย์อาจารย์และเจ้าอาวาส ที่ทำอย่างไรจะเข้มงวดกับพระเณรของตนเอง

อย่างที่กระผม/อาตมภาพตั้งเป้าไว้ ไม่มากหรอก แค่บวชเข้ามาแล้ว ให้โยมไหว้ได้เต็มมือก็พอ ไม่ต้องไปบรรลุมรรคบรรลุผลอะไรทั้งนั้นแหละ คือต่อให้เป็นสมมติสงฆ์ ก็เป็นสมมติสงฆ์แบบที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งเป้าไว้ ก็คือมีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิทรงตัวบ้าง ไม่ใช่โดนกิเลสกินอยู่ตลอดเวลา ถึงจะไม่ได้เป็นพระโสดาบันยันพระอรหันต์ก็ไม่เป็นไร

แต่คราวนี้มีจุดบกพร่องที่บุคลากรซึ่งจะเข้ามาบวช ส่วนใหญ่ "เหลือเลือก" แล้ว แทบทุกวัดในปัจจุบันนี้ พอพ่อแม่เอาไม่อยู่ก็ส่งลูกไปบวช หวังว่าหลวงพ่อจะเอาอยู่ แล้วส่วนใหญ่ก็ไปเจอหลวงพ่อที่เกรงใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่กล้าดุด่าว่ากล่าว ไม่กล้าลงโทษ จนกระทั่งหลวงพ่อเจ้าคุณพยอมท่านบอกว่า "สมัยก่อนเขามีแต่เอาหมูหมากาไก่ไปปล่อยวัด สมัยนี้คนเราก็แปลก ชอบเอาเหี้ยมาปล่อยวัด..!"

ก็คือส่วนใหญ่พ่อแม่เอาไม่อยู่แล้ว ไปฝากความหวังไว้กับวัด มาถึงก็ "ท่านเจ้าขา..ช่วยทีเถอะ อบรมลูกอิฉันให้เป็นคนดีหน่อย" "แล้วโยมจะให้ลูกบวชกี่วัน ?" "๗ วันเจ้าค่ะ" กูเป็นเทวดาหรือเปล่าวะ ? โยมเลี้ยงลูกมาจนกระทั่งบวช อย่างน้อยก็ ๒๐ ปี ยังเอาดีไม่ได้เลย แล้วให้เวลาพระ ๗ วัน ฟังแล้ว "น้ำตาจิไหล..!"

เถรี 20-11-2021 23:21

คราวนี้เป็นเรื่องอัศจรรย์ตรงที่ว่า วัตถุดิบที่เข้าขบวนการผลิตเป็นวัตถุดิบประมาณโน่น..เกรดดีลบเลย เกรดดี เกรดซีโน่น แต่ผลิตไปผลิตมา ออกมาเป็นสินค้าเกรดเอได้เหมือนกันนะ เพียงแต่ว่ามีไม่มากเท่านั้น

ตรงนี้ก็ต้องบอกว่า บางอย่างกุศลกรรมเข้ามา ก็ทำให้บุคคลนั้นคิดได้ ในเมื่อบุคคลนั้นคิดได้ ถึงเวลาก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองเสียใหม่ ประมาณว่า "โจรกลับใจ" แล้วถ้าเป็นโจรกลับใจนี่จะดีมากเลย เพราะรู้ว่าโจรจะทำอะไร ตัวเองเคยเป็นมาก่อน ประเภทนี้ถ้าไปเป็นครูบาอาจารย์เขา ลูกศิษย์แสบแค่ไหนก็เอาอยู่หมด เพราะว่าตัวเองเคยทำมาก่อน

ดังนั้น...ตรงจุดนี้ที่ปรารภให้พระเณรของเราฟัง ก็เพื่อเป็นแนวทาง และขณะเดียวกันก็ให้ญาติโยมได้รู้ไว้ว่า
ถ้าลองว่านิมนต์ให้พระจอดล่ะก็...สถานการณ์พระพุทธศาสนาของเรานั้นร่อแร่เต็มทีแล้ว..!

พวกเราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาจนปรากฏผล คำว่าปรากฏผลในที่นี้ก็คือ สามารถนำเอาหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่เราฝึกหัดขัดเกลาตนเอง ไม่ว่าจะเป็นศีล เป็นสมาธิ หรือเป็นปัญญา ไปใช้งานจริงได้

บุคคลที่ทำได้จริง จะเป็นธรรมชาติของเขาเลย การแสดงออกด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ คนอื่นจะเห็นความต่างอย่างชัดเจน รู้เลยว่านี่ของแท้ เพราะว่าถ้าเป็นของปลอม จะดัดจริตทำอย่างนั้นหลาย ๆ ปีไม่ได้หรอก ระยะเวลาไม่นานเดี๋ยว
ก็หางโผล่..! แต่ถ้าของแท้นี่ทนต่อการพิสูจน์ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ถ้าหากว่าเราเป็นของแท้ สิ่งที่เราพูด คนจะฟัง สิ่งที่เราทำ คนจะทำตาม

เถรี 20-11-2021 23:23

ดังนั้น...ในการที่เราจะกอบกู้พุทธศาสนาอย่างแท้จริงนั้น ขึ้นอยู่กับตัวญาติโยมทุกคน ว่าสามารถจะทำตนเองให้เข้าถึงธรรมของพระพุทธเจ้าได้ จนกระทั่งกลายเป็นของแท้หรือเปล่า ?

ถ้าสามารถทำได้ พระพุทธศาสนาของเราตั้งมั่นครบ ๕,๐๐๐ ปีอย่างแน่นอน ถ้าทำไม่ได้ กรุณาส่งต่อให้รุ่นต่อไปด้วย ซึ่งจะต้องมีอัจฉริยะมาเกิดจนได้แหละ พวกที่สร้างสมบุญกุศลมา หน้ามืดตามัวลงมาเกิดไม่ดูทิศไม่ดูทาง ดันทะลึ่งมาเกิดกับเราหรือคนรอบข้างเรา เดี๋ยวคนเหล่านี้พอรับถ่ายทอดต่อไป เขาจะเกิดการแตกฉานขึ้นมาเอง เพราะว่ามีบุญเก่าสร้างสมไว้ดี

ดังนั้น...หน้าที่ของเราในปัจจุบันนี้ก็คือ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้เป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นเขา ขณะเดียวกันอย่าลืมส่งต่อให้คนรุ่นต่อไปด้วย ไม่อย่างนั้นแล้วเขาไม่มีแนวทางในการยึดถือและปฏิบัติ ก็จะ "หลุด ๆ รั่ว ๆ" อย่างที่เห็น ถ้าเราทำด้วยตนเองเต็มที่ ส่งต่อให้คนรุ่นหลังด้วย พระพุทธศาสนาของเราจะเจริญมั่นคงอย่างแน่นอน

วันนี้จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:48


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว