กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=20)
-   -   เล่าสู่กันฟัง ภาค ๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=81)

เถรี 05-03-2009 02:57

หลวงพ่อเล็กเล่าเรื่องพระลกุณฏกภัททิยะ ให้ฟังว่า คนอื่นสร้างเจดีย์สูงใหญ่ขนาดไหน พระลกุณฏกภัททิยะ จะต่อให้เล็กลงตลอด
หลวงพ่อยกตัวอย่างว่า เขาสร้างสูงหนึ่งโยชน์ท่านบอกว่าเอาครึ่งโยชน์ ถ้าเขาสร้างครึ่งโยชน์ ท่านบอกเอาหนึ่งคาวุตก็พอ พอเวลาท่านพระลกุณฏกภัททิยะมาเกิด ตัวก็เลยเล็กนิดเดียว ไปไหนคนเขาก็เรียกกันว่าเณร


ท่านลกุณฎกภัททิยะนี้ ภายหลังได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเอตทัคคะในทางพูดเสียงไพเราะ
ดูข้อมูลได้จากเว็บนี้ ค่ะ http://www.84000.org/one/1/20.html

เถรี 05-03-2009 02:59

หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ถ้าอยากมีบริวารเยอะ ๆ ต้องเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิสักครั้งหนึ่ง ถึงเวลาแล้วจะรู้ เพราะต้องบริการคนทั้งโลก แล้วจะเข็ดไปเอง..!"

เถรี 05-03-2009 03:01

ในเรื่องการจารตะกรุดเม หรือเขียนยันต์ต่างๆ ฯลฯ หลวงพ่อเล็กท่านบอกว่า "โบราณที่เขาสอนให้ทำเรื่องพวกนี้ คือ ตั้งใจให้จิตเป็นสมาธิ เป็นการบังคับให้ทำจิตเป็นสมาธิไปในตัว"

เถรี 05-03-2009 19:32

มีสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อเคยไว้ ท่านบอกว่า ถ้าเราคิดว่าเราปล่อยแล้ว วางแล้ว ไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งนั้นแล้ว แต่ถ้าเรายังเก็บเอาไปคิดต่อทีหลังอีก แสดงว่าเรายังแบกเอาไว้

เถรี 05-03-2009 19:35

วันอาทิตย์ มีคนมาถามปัญหาหลวงพ่อเล็ก เขาถามในลักษณะที่ว่าไม่น่าถาม เวลาถามก็รวบรวมคำถามได้ไม่ดี เจอหลวงพ่อเล็กดุไปหลายครั้ง แต่ท่านก็ยังเมตตาตอบชายสองคนนั้น

ในขณะที่ท่านตอบคำถามของชายสองคนนั้น ท่านบอกกับเถรีด้วยว่า
"ถ้าเขาเจอแบบนี้(โดนดุ)แล้ว รู้สึกอาย รับไม่ได้ จนครั้งต่อไปไม่กล้าถาม แสดงว่า เกิดอาการ ตัวกู ของกู"

เถรี 05-03-2009 19:46

หลวงพ่อเคยบอกว่า ให้พวกเราหมั่นจดคำไทยโบราณที่ท่านสอนไว้บ้าง ต่อไปจะได้รวบรวมทำหนังสือ "คำพ่อสอน"

ปล. ถ้าจำชื่อหนังสือไม่ผิด น่าจะประมาณนี้

เถรี 06-03-2009 14:21

หลวงพ่อเล็กบอกว่า "การที่จะปิดทวารให้ได้จริง ๆ อย่างน้อยต้องทรงฌานได้ แต่ว่าปฐมฌานปิดได้ไม่จริง คือ ยังรับรู้ แต่ไม่เอาเข้ามา
ถ้าจะเอาประเภทไม่รับรู้ไปเลยก็ต้องนิโรธสมาบัติ"

เถรี 07-03-2009 00:52

หลวงพ่อเล็กกล่าวถึงในเรื่องการทำบุญว่า ถ้ายอดเงินขาดแล้วเติม คนสุดท้ายจะได้เปรียบ เพราะเขาทำเท่าไรเราจะได้หมด

พอหลวงพ่อพูดจบ เห็นหลวงพี่ติ๊กท่านล้วงย่ามจะปิดยอดเงินทันที :4412144b:

เถรี 07-03-2009 01:01

หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังถึงหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ว่าตอนนั้นท่านไปหาหลวงปู่ตั้งแต่เช้า กะว่าเป็นเวลาฉันเช้าของท่าน จะได้ไม่รบกวนท่านมาก และอย่างน้อย ๆ ได้เจอท่านแน่ ๆ ปรากฏว่าเจอท่านหมอบอยู่ที่ประตู เพราะมีญาติโยมที่แห่กันมาเป็นรถทัวร์ มาเคาะประตูเรียกท่านตั้งแต่ตอนตีสอง

หลวงพ่อเล็กบอกว่า ท่านได้คำสอนประโยคหนึ่งจากหลวงปู่ แล้วไม่เคยขอท่านเพิ่มอีกเลย กราบเรียนถามท่านว่า "หลวงปู่ครับ..ผมขอโอวาทสำหรับนำไปปฏิบัติด้วยครับ"

ท่านบอกว่า "ครูบาอาจารย์ของผมสอนไม่มากหรอก ท่านสอนว่า พุทธัง ธัมมัง สังฆังเป็นที่พึ่ง แค่นี้แหละ"

หลวงพ่อเล็กบอกว่า "เรานี่กราบตูดโด่งเลย เคี้ยวตั้งหลายปียังไม่หมด ก็เลยไม่ได้ขออะไรเพิ่ม พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ท่านให้ตั้งแต่โสดาบันยันอรหันต์เลย..!"

เถรี 07-03-2009 01:06

หลวงพ่อเล็กกล่าวถึงท่านสุปปพุทธกุฏฐิให้ฟังอย่างย่อ ๆ ว่า พอท่านสุปปพุทธกุฏฐิตาย พระทั้งหลายไปทูลบอกพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าบอกว่า ท่านสุปปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบัน

พระท่านก็สงสัยว่า พระอริยะบุคคลทำไมเป็นโรคเรื้อนด้วย พระพุทธเจ้าตรัสบอกบุรพกรรมให้ฟังว่า ในอดีตท่านสุปปพุทธกุฏฐิ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าบิณฑบาตอยู่ก็เกิดความรังเกียจ เพราะพราหมณ์จะรังเกียจพวกที่แต่งตัวแบบพระ เขาถือว่าเป็นกาลกิณี เลยถ่มน้ำลาย ด่าว่าเป็นคนขี้เรื้อน

ปรากฏว่าตัวเองเกิดใหม่ก็เลยกลายเป็นขี้เรื้อน แต่ว่าเนื่องจากบุญเก่าสร้างไว้ดี ได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมกลายเป็นพระโสดาบัน
ท่านบอกว่า เป็นผู้มีคติอันเที่ยงแท้แล้ว มีแต่ขึ้นบน ไม่มีลงล่างแล้ว

เถรี 07-03-2009 01:13

ในเรื่องการปฏิบัติเพื่อละกิเลส หลวงพ่อเล็กท่านเล่าให้ฟังถึงตอนที่ท่านอยู่วัดท่าซุงว่า มีอยู่วันหนึ่ง หลังจากที่ท่านนอนไป ๒ ชั่วโมงแล้วก็ลุกขึ้นมาภาวนาต่อ ปรากฏว่าวันนั้นอารมณ์จิตดีมาก เบาสบาย แทบจะเหาะได้บินได้อยู่เดี๋ยวนั้นเลย ท่านก็คิดว่า ท่านเองคงได้บรรลุคุณวิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว

แต่โชคดีที่หลวงพ่อฤๅษีท่านสอนอยู่เสมอว่า อารมณ์การปฏิบัตินั้น ให้ยกสังโยชน์ ๑๐ ขึ้นมาเทียบก็จะรู้ หลวงพ่อเล็กท่านก็ไล่เทียบสังโยชน์ตั้งแต่ต้นยันปลาย สรุปว่ายังมีครบ ๑๐ ตัวเลย..!


ท่านก็บอกว่า วันนั้นอารมณ์ดีมาก กิเลสบางอย่างเบาลง เราคิดว่าหมดแล้ว พอพิจารณาเข้าจริง ๆ ยังมีซ่อนอยู่เต็ม เพียงแต่มันหลบไปนอนอย่างที่หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกไว้ กิเลสหลบไปนอนนี่ น้ำใสปิ๊ง ไม่มีขุ่นเลย

หลวงพ่อเล็กท่านแนะนำมาว่า ในการพิจารณาเทียบกับสังโยชน์ ให้พิจารณาแบบห้ามเข้าข้างตัวเอง ประเภทที่รู้ว่าต้องตอบอย่างนี้ถึงจะถูก นั่นยังไม่ใช่ จะต้องเป็นคำตอบที่ออกมาจากใจจริง

เถรี 07-03-2009 01:16

หลวงพ่อเล็กบอกว่า การที่จะได้ฟังธรรมเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะฟังในคราวที่พระท่านมาโปรดเป็นเรื่องยาก เพราะส่วนใหญ่ที่ท่านโปรดจะอยู่ในส่วนที่เราข้องอยู่
ถ้าฟังแล้วจะได้อะไรมหาศาล เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ ต้องเอามาเคี้ยว ค่อย ๆ ย่อยทีหลัง

เถรี 07-03-2009 13:05

ในเรื่องการใช้คาถา การปฏิบัติภาวนาต่าง ๆ หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ถ้าไม่คิดที่จะทำเสียตั้งแต่ตอนที่ครูบาอาจารย์ยังอยู่ ถ้าท่านตายไปแล้วคิดหรือว่าจะทำ..!"

ประโยคนี้ต้องเน้น :332f960b:

เถรี 07-03-2009 16:21

หลวงพ่อเล็กบอกว่า พวกว่านยาส่วนมากถ้ากินลงไปแล้ว ตราบใดที่ยังไม่ปัสสาวะ ฤทธิ์ก็จะคงอยู่อย่างนั้น ถ้าปัสสาวะออกเมื่อไรก็จะหมดฤทธิ์

เถรี 08-03-2009 02:40

หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า "ตอนที่ยังแบกอยู่ ก็ทุกข์แสนสาหัส พอวางได้แล้ว มองกลับไปคิดจะหัวเราะ ขำตนเองว่าทำไมตอนนั้นถึงโง่แท้
นึกถึงสมัยก่อน หลวงปู่หลวงพ่อสิบกว่าองค์ มาช่วยงานสร้างโบสถ์ที่วัดท่าซุง พอถึงเวลารับสังฆทานที่กรุงเทพฯ ท่านก็มาอยู่พร้อมหน้ากัน สี่รูป ห้ารูป หกรูป วัน ๆ ไม่เห็นท่านคุยอะไรกันเลย แต่ละท่านก็นั่งยิ้ม ฉันหมาก ฉีกใบพลู ทาปูน แล้วก็ม้วนใส่ปากเคี้ยว มองหน้าแล้วก็พยักหน้า...ยิ้ม ท่านไม่มีอะไรคุยจริง ๆ

เราเห็นท่านเราก็มีความสุข แต่เราตะกายไม่ถึง ช่วยพูดสักหน่อยไม่ได้หรือครับหลวงปู่ (หัวเราะ)
เราเหมือนเป็นตัวตลกของท่าน เพราะเรายังปล่อยไม่ได้ วางไม่ได้ ยังแบกเต็มตัว แต่ท่านที่ทำถึง ท่านไม่มีเรื่องจะคุยแล้ว หมดแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวคือ รักษากำลังใจตัวเองด้วยความระมัดระวัง เพราะท่านไม่ประมาท แต่สำหรับพวกที่ไม่ถึงอย่างเรา ก็ยังต้องตะกายอยู่ "

เถรี 09-03-2009 22:30

หลวงพ่อเล็กบอกว่า "ภาวนา คือ ทำให้เจริญ ยิ่งทำต้องยิ่งเจริญขึ้น ไม่ใช่ทำแล้วอยู่กับที่หรือว่าถอยหลัง "

เถรี 09-03-2009 22:32

หลวงพ่อเล็กบอกว่า " ความยากลำบากคือกำไรของชีวิต ถ้าเราลำบากถึงที่สุดแล้ว ต่อไปทุกอย่างก็สบาย เพราะไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสกว่านั้นอีกแล้ว"

เถรี 09-03-2009 22:41

หลวงตาวัชรชัยเคยถามหลวงพ่อเล็กว่า "เวลามีเรื่องต้องใช้เงินมาก ๆ แล้วเราไม่มีนี่ คุณทำใจอย่างไร"
ท่านตอบว่า "มอบความไว้วางใจให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปเลยครับ ท่านหาของท่านเอง ไม่ใช่ผมหา"

เถรี 09-03-2009 22:44

หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังถึงคำสอนของหลวงปู่ดู่ที่ว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร เลือกพูดแต่ส่วนที่ดีของคนอื่นเขา เพราะท่านดีหมด ในเมื่อท่านดีหมด สิ่งที่ท่านเห็น ก็มีแต่ดีทั้งหมด แต่ขณะเดียวกัน คนมองโลกในแง่ร้าย เห็นอะไรก็คิดว่าไม่ดีไปหมด"

เถรี 10-03-2009 16:10

หลวงพ่อได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระวินัยข้อหนึ่งให้ฟัง ข้อที่กล่าวว่า ห้ามภิกษุกล่าวพรรณนาหรือสรรเสริญคุณความดีของความตาย

แล้วท่านก็เล่าเรื่องในพระไตรปิฎกให้ฟังว่า สมัยหนึ่งมีอุบาสกคนหนึ่งไม่สบาย แล้วภิกษุฉัพภัคคีย์ (ภิกษุ ๖ คน ในกรุงสาวัตถีที่เป็นสหายกัน) เกิดพอใจในภรรยาของอุบาสกนั้น พูดง่าย ๆ ว่าอยากได้ภรรยาของอุบาสก จึงใช้วิธีกล่าวพรรณนาคุณของความตายให้อุบาสกฟัง ปรากฏว่าอุบาสกผู้นั้นเชื่อ เลยพยายามกินของแสลงเยอะ ๆ เพื่อที่จะให้ตนเองตาย แล้วก็ตายจริง ๆ ตายด้วยโรคกำเริบเพราะเหตุกินของแสลง ภรรยาของอุบาสกนั้นจึงติเตียนภิกษุฉัพภัคคีย์ และความนี้ทราบถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติสิกขาขึ้นว่า ห้ามการพรรณนาคุณของความตาย หรือชักชวนเพื่อให้ตาย ผู้ใดละเมิด ต้องอาบัติปาราชิก

:4672615: จริง ๆ แล้ว ภิกษุฉัพภัคคีย์นี่แสบมาก ๆ ถ้าใครได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับภิกษุเหล่านี้ จะรู้เลยว่าชอบย่ำยีสิกขาบท พวกนี้ที่เข้ามาบวชเพราะว่าเบื่อการทำกสิกรรม ไม่ชอบความลำบาก เลยคิดว่าบวชดีกว่าตนเองจะได้สบายและมีบริวาร


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:06


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว