กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=103)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=7548)

ตัวเล็ก 29-04-2021 09:03

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๔
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๔



เถรี 29-04-2021 09:59

ขอโอกาสพระเถรานุเถระ น้องสามเณร และเจริญพรญาติโยมทุกท่าน วันนี้เป็นวันพุธที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ มีหลายเรื่องที่อยากจะพูด แต่ก็อาจจะเลยเวลาไปบ้าง

เรื่องสำคัญที่จะพูด ไม่ใช่เรื่องที่คนไทยติดเชื้อโควิด-๑๙ ทะลุวันละสองพันคนขึ้นไป ไม่ใช่คนไทยตายเพราะโควิด-๑๙ วันหนึ่งเป็นเลขสองหลัก นั่นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่จะพูดถึงก็คือ "ดราม่า" ในวันสองวันนี้

มีคนทำขนมเป็นรูปพระเครื่อง แล้วก็มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย จะเกิดโทษหนัก อีกฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ทำออกมาแล้วก็กิน แล้วก็ขายตามปกติ ถ้าจะห้ามไม่ให้ทำขนมลักษณะอย่างนี้ก็ต้องไปห้ามไม่ให้สร้างพระเครื่องด้วย

เมื่อได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่าชักจะไปกันใหญ่ Go so big...(หัวเราะ)... ที่ว่าไปกันใหญ่เพราะว่าทั้งสองฝ่ายไปกันคนละทาง หันหลังให้กันต่างคนต่างเดิน แล้วก็บอกว่าทางของตัวเองนั่นถูก ทุกท่านคิดว่าจะมีโอกาสถูกไหม ? มีครับ...คือถ้าเดินจนรอบโลกทางก็จะมาซ้อนกันเอง แต่คราวนี้กว่าจะถึงตรงนั้น พระพุทธศาสนาอาจจะไม่มีแล้วก็ได้..!

เถรี 29-04-2021 10:07

เรื่องของการทำขนมเป็นรูปพระเครื่อง ก็ไม่ต่างจากการที่ไปวาดรูปพระพุทธเจ้าแล้วมีพระพักตร์เป็นอุลตร้าแมน ก็คือมาในแนวเดียวกัน เพียงแต่ว่าถ้าเรื่องนี้จะพูดให้ชัด ต้องแบ่งกำลังใจคนออกเป็นสองฝ่าย

ฝ่ายหนึ่งก็คือบุคคลที่มุ่งทางโลก ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินตามปกติ อีกฝ่ายหนึ่งคือพวกที่มุ่งทางธรรม ปฏิบัติแล้วก็หวังความดีความงามที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน พูดแค่นี้ส่วนใหญ่พวกเราก็จะเข้าใจแล้วว่า ที่เรื่องไปกันใหญ่เพราะว่าทั้งสองฝ่ายหันหลังให้กัน แล้วต่างคนต่างเดินไปคนละทาง

ถ้าในความเป็นปุถุชน แปลชัด ๆ ว่าบุคคลที่หนาด้วยกิเลส คนทั้งหลายเหล่านี้จิตใจหยาบ ไม่รับรู้อะไรที่เป็นบาปบุญคุณโทษในส่วนที่ละเอียด ย่อมเห็นว่าไม่มีโทษสามารถที่จะทำได้ แต่บุคคลอีกประเภทหนึ่ง คือกัลยาณชน ผู้หวังความหลุดพ้น พยายามสำรวจทุกวิถีทางว่ามีอะไรที่จะทำให้ทางเดินของตนเองมีอุปสรรค ก็จะเห็นว่าเป็นการปรามาสในพระรัตนตรัย ขาดศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ทำสิ่งนี้แล้วจะเป็นโทษ ทำให้ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์ตามที่ตนเองหวังได้

แล้วหนทางที่จะไปบรรจบกันก็ต่อเมื่อต่างคนต่างเดิน จนกระทั่งได้คนละครึ่งโลก แล้วก็เริ่มเดินเหยียบรอยของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่เรารอขนาดนั้นไม่ได้.... ที่รอไม่ได้เพราะว่าพวกเราในฐานะพุทธบริษัททั้ง ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา หน้าที่หลัก ๆ เลยก็คือปกป้องพระพุทธศาสนา จะไปรอให้เขาเถียงกันจนเห็นดำเห็นแดงนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าต่างคนต่างเดินไปคนละทาง แล้วก็บอกว่าสิ่งที่ตนเองเดินไปแล้วพบนั้นถูกต้อง ก็กลายเป็นเชื้อโรคร้ายก็คือสนิมที่กัดกินเหล็ก ท้ายที่สุดพระพุทธศาสนาก็กลายเป็นเหล็กที่ผุกร่อน...หมดสภาพ...พัง..!

เถรี 29-04-2021 10:14

ทางที่ดีที่สุดคืออะไร ? คือการรู้จักฟังเสียงผู้อื่น แล้วใช้ปัญญาพินิจพิจารณาแก้ไข ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นประโยชน์ เป็นการตักเตือนที่หวังประโยชน์อย่างแท้จริง เขาจะบอกวิธีแก้ไขมาด้วย ไม่ใช่ประเภทด่าแล้วจบ ประเภทนั้นนี่อาตมาถือว่าตีหัวเข้าบ้าน มีหน้าที่ด่าอย่างเดียว แล้วไม่บอกเขาว่าที่ทำแล้วถูกนั้นเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น..บุคคลเช่นนั้นไม่น่าจะถือว่าเป็นผู้วิจารณ์ที่ดีได้

ดังนั้น...เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างฟัง ฝ่ายปุถุชนฟังแล้วว่าสิ่งนี้นักปราชญ์ไม่สรรเสริญ ผู้รู้อย่างแท้จริงไม่เห็นด้วย จะก่อให้เกิดทุกข์โทษในภายภาคหน้า ก็พยายามปรับปรุงตัวเอง อันดับแรกก็ทำให้น้อยลง หลังจากนั้นก็ดึงตัวเองให้ห่างออกมา ท้ายที่สุดก็เลิกทำ

ฝ่ายที่หวังมรรคหวังผลไม่ใช่ไปด่าเขา แต่คุณต้องเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทำอย่างไรจะช่วยให้เขาพ้นจากกองทุกข์ตรงนั้นได้ แนะนำด้วยความหวังดีปรารถนาดี หวังในความเจริญของเขา ก็ต้องมีจิตที่ประกอบไปด้วยเมตตากรุณา

ถ้าทั้งสองฝ่ายต่างเป็นแบบนี้ ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น ศาสนาของเราก็จะมั่นคงอยู่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นก็จะได้รับการแก้ไข

เถรี 29-04-2021 10:21

เพียงแต่น่าเสียดายว่าประเทศของเราปัจจุบันนี้มีแต่คนรู้มาก คำว่า รู้มาก ในที่นี้คือ คนที่รู้มีมาก แต่คนที่รู้จริงมีน้อย แล้วแต่ละอย่างทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ ก็ไม่ได้หวังประโยชน์ต่อผู้อื่น โดยเฉพาะไม่ได้หวังประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา มีทั้งวิจารณ์เอาสนุก มีทั้งวิจารณ์เหยียบย่ำคนอื่นเพื่อให้ตนเองเด่นขึ้นมา มีทั้งประเภททำตัวปล่อยวางแต่ความจริงแล้วแบกไว้เต็มที่ แต่สรุปลงไปก็คือ ตัวกูของกูทั้งนั้น..!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ปัญหาต่าง ๆ จึงประเดประดังกันมา เพราะว่าไม่ได้ติเพื่อก่อ ถ้าเป็นผมหรืออาตมาก็ใช้คำว่า หวังดีแต่ประสงค์ร้าย คนที่ติเพื่อก่อ นอกจากประกอบด้วยเมตตากรุณาแล้ว ยังต้องมีปัญญาด้วย ชี้ทางออกบอกทางถูกให้กับเขา คนที่รับไปก็พยายาม พยายามอย่างไร ? เตือนตัวเองว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก เราต้องทำกาย วาจา ใจ ทั้งหลายเหล่านั้นให้ได้

มองตัวเองให้ออก บอกตัวเองให้ได้ ใช้ตัวเองให้เป็น เห็นตัวเองให้ชัด ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่สามารถที่จะพัฒนากาย วาจา ใจของเราให้ดีขึ้นมาได้

เถรี 29-04-2021 10:29

จากเรื่องนั้นก็ขอมาต่อเรื่องที่ว่า วันนี้สามเณรเดินแถวเป็นรูปเป็นร่างหน่อย แต่เป็นอะไรที่ผมรู้สึกเบื่อหน่ายมาก เพราะอะไร ? เพราะว่าตลอดระยะเวลาทั้งที่บวชและไม่ได้บวช ๔๐ กว่าปีที่ผ่านมา ผมเจอแต่คนประเภทนี้ ก็คือจะด่าก็ต้องออกชื่อกันตรง ๆ ถึงจะรู้ตัว...! ทำไมทุกคนไม่คิดว่าสิ่งที่ครูบาอาจารย์พูดมาเรามีโอกาสผิด เราจะต้องแก้ไข พูดอ้อม ๆ ก็แล้ว ให้นัยก็แล้ว ด่าคนอื่นเป็นตัวอย่างก็แล้ว ไม่เคยคิดที่จะแก้ ต้องออกชื่อว่ามึงนั่นแหละ..! ถึงจะแก้ไข ถ้าไม่บอกว่าไอ้ควายตัวนี้ ไอ้หมาตัวโน้น ไอ้ไก่ตัวนั้น ก็ไม่แก้ แล้วถ้าอย่างนั้นความเจริญจะมีได้อย่างไร ?

สมัยที่อยู่วัดท่าซุงก็เป็นครับ วันหนึ่งหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่า "วันนี้พระท่านมาบอกว่า พระสี่รูปของคุณจิตใจดำมืดมาก ถ้าไม่ปรับปรุงแก้ไข โอกาสที่จะลงอเวจีมีสูงมาก" ท่านบอกว่าจะไม่ออกชื่อว่าเป็นใคร ให้ไปพิจารณากันเอาเอง

ผมอยากจะบอกตอนนี้ว่า ผมมีความรู้สึกเหมือนกับหลวงพ่อตอนนั้น ก็คือ อยากให้ทุกคนพิจารณาว่านั่นคือตัวเอง แล้วพยายามปรับปรุงแก้ไข แต่ปรากฏว่าพอออกจากโบสถ์ลับหลังหลวงพ่อ ทุกคนก็มากระซิบกระซาบกันว่า "ใครวะ...?" ผมฟังแล้วทนไม่ได้ครับ ผมก็เลยบอกว่า "ผมกับท่านชาติชายรับไปแล้วสอง เหลืออีกสองไปแบ่งกันเองก็แล้วกัน..!"

เถรี 29-04-2021 10:39

นี่คือสิ่งที่ส่วนใหญ่แล้วพวกเราบกพร่อง เพราะเราไปมองออก ไม่เคยมองเข้า ที่เรามองออกก็คือไปจับผิดคนอื่น ไม่ได้กล่าวโทษโจทย์ตนเอง แปลว่าผิดหลักธรรมมาตั้งแต่ต้นแล้ว โอกาสที่เราจะเจริญก้าวหน้าจึงไม่มี

ดังนั้น...วันนี้ที่กล่าวถึงในเรื่องของการทำขนมเป็นรูปพระเครื่องก็ดี จนกระทั่งเรื่องของการปรับปรุงแก้ไข แล้วก็วกกลับมาในเรื่องภายในวัดท่าขนุนของเรา ญาติโยมที่ฟังอยู่ก็ไม่ใช่คิดว่านี่เป็นเรื่องของพระ แต่ต้องเข้าใจเลยว่านี่คือเรื่องของเรา ส่วนไหนที่ใกล้เคียงกันเราจะต้องปรับปรุง เราจะต้องแก้ไข ไม่อย่างนั้นแล้วโอกาสที่จะดีขึ้นก็มีน้อยมาก แล้วก็จะแบกเอาตัวทิฐิมานะ ตัวกูของกูมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่นานขึ้น ก็คือกูอายุมากกว่า กูพรรษามากกว่า กูปฏิบัติธรรมมานานกว่า อะไรที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "กว่า" นั่นระยำทั้งนั้น...!

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ต้องบอกว่าพวกเราเองบกพร่อง ก็คือบกพร่องในการประพฤติปฏิบัติให้สมควรแก่ธรรม ไม่สามารถที่จะเป็นทนายแก้ต่างให้กับพระพุทธศาสนาได้ ไม่สมควรเป็นพุทธบริษัททั้ง ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงไว้วางใจแล้วฝากพระพุทธศาสนาเอาไว้

จึงเป็นเรื่องที่เตือนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ สามเณร แม่ชี หรือฆราวาสก็ตาม หน้าที่ของเราก็คือปรับปรุง กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีที่สุด เมื่อถึงเวลามีใครมากล่าวตู่พระพุทธศาสนา มากล่าวตู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะต้องแก้ไขได้ แก้ต่างได้ ยืนยันคุณความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยืนยันคุณความดีของพระพุทธศาสนาได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว เราเองก็คงไม่ต่างจากหนอนจากแมลง ที่คอยบ่อนเบียนชอนไชกินต้นไม้คือพระพุทธศาสนา อาศัยเลี้ยงชีวิตไปวัน ๆ หนึ่ง จนกว่าต้นไม้จะล้มตายไป แล้วเราก็พลอยตายไปด้วย..!

หวังว่าคงจะได้แนวคิดกันพอสมควรแก่เหตุในวันนี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:00


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว