กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=105)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=7742)

ตัวเล็ก 30-06-2021 21:50

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔



เถรี 01-07-2021 00:01

วันนี้เป็นวันพุธที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ สิ้นเดือนอีกแล้ว ต้องถามว่า "วันคืนล่วงไป..ล่วงไป..เราทั้งหลายทำอะไรกันอยู่ ?" อย่ามัวแต่สนใจว่ารัฐบาลบริหารประเทศชาติอย่างไรให้บรรลัยวายวอด..! แต่ให้สนใจว่าตัวเราจะสามารถเอาตัวรอดจากวัฏสงสารได้หรือไม่ ?

สถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถ้าเรารู้จักนำมาพินิจพิจารณา แล้วยกเอากรรมฐานขึ้นมารับมือแก้ไขได้ทัน ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่เราทั้งสิ้น อย่างเช่นว่า ถ้าหากว่าพระภิกษุสามเณรของเราออกเดินบิณฑบาต มีหมากัดกันอยู่ตรงหน้า ทำอย่างไรที่กำลังใจของเราจะเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ตั้งใจให้เขาเลิกเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ไปโกรธหมาที่มากัดกัน..!

เห็นญาติโยมขับรถมา ทำอย่างไรกำลังใจของเราจะเกิดมุทิตายินดีว่า เขาสร้างบุญเอาไว้ดี ถึงได้มีรถดี ๆ ไว้ขับ

เจอญาติโยมนำเอาลูกเล็ก ๆ มาใส่บาตร ทำอย่างไรเราจะเห็นว่า จากเด็กก็ก้าวไปสู่ความเสื่อม ก็คือเป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นวัยกลางคนเหมือนพ่อแม่ เป็นคนแก่เหมือนปู่ย่าตายาย ท้ายที่สุดก็ตาย

เจอใบไม้ร่วงหล่น ทำอย่างไรเราจะรู้สึกว่าตัวเราก็เป็นเช่นนี้ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราต้องทำจนเป็นปกติ คือ สามารถยกกรรมฐานคู่ศึกขึ้นมาพินิจพิจารณาได้ทันทีทันใดที่เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านั้นกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กายหรือใจ ก็คือรับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เข้ามาอย่างมีสติ พินิจพิจารณาขบคิดไปในเฉพาะด้านดี ที่จะส่งเสริมกำลังใจของเราให้เจริญขึ้นเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วเราไม่สามารถที่จะสู้กับกิเลสได้ เพราะว่ากิเลสจะไม่รอให้เรามานั่งกรรมฐานก่อน แต่กิเลสกินเราทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที ถ้าต้องรอตั้งหลักไว้ก่อนนี่ตายแน่นอน..!

เถรี 01-07-2021 00:07

ดังนั้น..เหตุการณ์บ้านเมืองยิ่งวิกฤติเท่าไร เรายิ่งต้องใช้กำลังใจสูงเท่านั้นที่จะเห็นว่า การเกิดมามีร่างกายนี้เต็มไปด้วยทุกข์ เต็มไปด้วยภัย มีแต่ความน่ากลัว โดยเฉพาะโรคภัยไข้เจ็บจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙

การเกิดมาในโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อน
โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ทำมาหากินไม่ได้ ต้องลำบาก ต้องเดือดร้อน ต้องทุกข์ยาก และไม่ใช่แค่เห็นเท่านั้น ต้องน้อมนำเข้ามาภายในใจของเราว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราไม่พึงปรารถนาอีกแล้ว เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน จะได้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด และพ้นจากความทุกข์ที่เกิดขึ้นทั้งปวงนี้

ก็แปลว่า สติ สมาธิ และปัญญาของเรา ต้องจดจ่ออยู่เฉพาะหน้าตลอดเวลา เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และธรรมารมณ์ ที่เข้ามาในใจของเรา ทุกสิ่งถ้าเราสามารถสกัดกั้นป้องกันได้ทันก็แค่เสมอตัว แต่ถ้าหากว่าป้องกันไม่ทัน เราก็แพ้..เสียคะแนน

ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายทุ่มเทกำลังใจอยู่กับการปฏิบัติธรรมจริง ๆ จะสนุกสนานยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แม้แต่ดูหนังดูละครก็ไม่ต้องการ เพราะลุ้นกันอยู่ว่า คะแนนต่อไปเราจะได้หรือเขาจะได้ ถ้าหากว่าพลาดพลั้งไปก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะเหมือนกับเราที่เป็นมวยวัด ขึ้นไปต่อยกับสุดยอดแชมเปี้ยนโลก โอกาสที่จะชนะน้อยมาก แต่ขอต่อยเอ็งให้ได้สักหมัดก็แล้วกัน..! ไม่ใช่จั่วลมตลอด

ถ้ากำลังใจของเราสู้ไม่ถอยแบบนี้ โอกาสที่จะชนะก็เริ่มมีขึ้นบ้าง และถ้าเรารู้จักระมัดระวังแก้ไข ปิดจุดอ่อน ใช้กรรมฐานคู่ศึกมาต่อต้านได้ทัน การแพ้ชนะจะก้ำกึ่งกัน ก็คือผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ช่วงนั้นจะเป็นช่วงการปฏิบัติธรรมที่สนุกที่สุด ถ้าหากว่ายังเพียรพยายามไม่ย้อท้อ เราก็จะเริ่มชนะมากกว่าแพ้ แล้วในที่สุดก็ไปถึงเป้าหมาย คือ จะไม่แพ้กิเลสอีก

ฉะนั้น...ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาทีของเรา จึงต้องทุ่มเทไปในการต่อสู้กับกิเลส ทำให้ไม่มีเวลาที่จะไปนึกคิดปรุงแต่งในเรื่องอื่น ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะลำบากยากเข็ญขนาดไหนก็ตาม เราจะมีความรู้สึกว่า นั่นไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราก็คือแก้ไขปัญหากิเลสที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า จากที่กิเลสอาศัย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ เข้ามาทำลายกำลังใจของเรา เพราะว่าไม่ต้องการให้เราไปสู่จุดมุ่งหมายที่ได้ตั้งเอาไว้

เถรี 01-07-2021 00:10

แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วพวกเรามักจะโดนกิเลสหลอก เพราะว่าสติรู้ไม่เท่าทัน สมาธิมีกำลังไม่พอที่จะยับยั้ง ปัญญามองไม่เห็นโทษในสิ่งที่ เราคิด เราพูด เราทำ ซึ่งปัญหาทั้งหมดนี้ก็จะย้อนกลับไปที่เดิม ที่กระผม/อาตมภาพพูดอยู่ประจำ ก็คือสมาธิ

เน้นที่สมาธิเอาไว้ก่อน ถ้าหากว่าสมาธิทรงตัว สติก็จะแหลมคมว่องไว ปัญญาก็จะรู้เท่าทันว่า ถ้าเราคิดแบบนี้จะเกิดโทษอย่างไร ? ถ้าเราคิดแบบนี้จะมีประโยชน์อย่างไร ? แล้วก็ละในส่วนที่เป็นโทษ เลือกเฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราต้องมีความพากเพียร ความอดทน เป็นพื้นฐานใหญ่ที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ การปฏิบัติธรรม ถ้าไม่ขยัน ไม่อดทน ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้ เพราะว่าไม่ใช่บะหมี่สำเร็จรูป ลวก ๓ นาทีแล้วกินได้..!

แต่การปฏิบัติธรรมเป็นการสั่งสมประสบการณ์ จากการที่เราใช้ สติ สมาธิ ปัญญา ต่อสู้กับกิเลส อะไรที่เคยพลาดไปแล้ว เราต้องรู้ระมัดระวัง อย่าให้มามุมนั้นได้อีก กิเลสก็จะไปมุมอื่นแทน จนกว่าเราจะปิดจุดอ่อนทั้งหมดของเราได้ครบถ้วน และท้ายที่สุดหยุดการนึกคิดปรุงแต่ง ถ้าเราหยุดการคิดลงได้ ทุกอย่างก็หยุดหมด ดับหมด นั่นคือนิโรธในอริยสัจ ๔

สิ่งทั้งหลายที่ทำก็จะเหลือแค่กิริยา คืออาการที่ทำไปเท่านั้น จะไม่เป็นกรรม เพราะว่ากำลังใจไม่ได้ปรุงแต่ง เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อทำถึงตรงจุดนั้นจะทราบดีว่า การทำตามใจตนเองอาจจะทำให้มีบุคคลที่ปัญญาน้อยเข้าใจผิดได้ ก็จะพยายามรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณี ระเบียบวินัย เพื่อที่จะได้เป็นแบบอย่างแก่คนอื่น และป้องกันการตำหนิติเตียนจากบุคคลที่กำลังใจยังไม่เพียงพอ ปัญญายังไม่ถึง จะได้ไม่ก่อให้เกิดทุกข์โทษเวรภัยกับผู้หนึ่งผู้ใด

เถรี 01-07-2021 00:12

ดังนั้น..แม้ว่าในปัจจุบันนี้สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ จะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตามความสามารถในการบริหารประเทศของรัฐบาลเรา ก็ไม่ต้องไปใส่ใจตรงจุดนั้น แต่ให้เห็นโทษว่าการเกิดมาแล้ว ต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะพ้นไปได้ ?

เมื่อเห็นโทษ ถ้ากำลังสมาธิและปัญญาพอ ก็จะเริ่มเกิดความเบื่อหน่าย จิตใจก็จะค่อย ๆ ถอนจากการยึดมั่นถือมั่นแต่เดิมมา เริ่มมองเห็นว่า ธรรมดาการเกิดมาในโลกต้องเจอเรื่องแบบนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาแบบนี้ จะไม่มีสำหรับเราอีก ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายสำหรับเรา ตายเมื่อไร เราจะมีพระนิพพานเป็นที่ไปแห่งเดียว

ก็ขอเรียนถวายหลักการดำรงตนเองในช่วงที่เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แพร่ระบาดหนัก ให้แก่พระภิกษุสามเณรของเราเอาไว้เป็นหลักปฏิบัติ และเจริญพรต่อญาติโยมทั้งหลาย ที่ฟังธรรมะจากวัดท่าขนุนนี้อยู่ จะได้รู้ว่าควรที่จะประพฤติปฏิบัติอย่างไร ในสภาพการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้..ขอเจริญพร


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:47


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว