กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=12)
-   -   กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทราชอนุชา (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=188)

ทิดตู่ 24-02-2009 14:29

กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทราชอนุชา
 

พระราชประวัติกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
พระนิพนธ์ในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท พระนามเดิม บุญมา เป็นพระราชภาดาร่วมพระราชชนกชนนีกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ประสูติในกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน ๑๑ ขึ้นค่ำ ๑ ปีกุน พ.ศ. ๒๒๘๖ ได้ทรงรับราชการตำแหน่งนายสุจินดามหาดเล็กหุ้มแพร ในแผ่นดินพระเจ้าอยู่หัวสุริยามรินทร์ ครั้งกรุงเก่าเสียแก่พม่าแล้ว ก็เสด็จหลบหนีออกไปอาศัยอยู่ ณ เมืองชลบุรี จนทรงทราบว่าเจ้าตาก (สิน) ออกไปตั้งอยู่เมืองจันทบุรีแล้ว จึงเสด็จพาพรรคพวกดำเนินทางบกไปเข้าด้วย เหตุทรงคุ้นเคยกันมาแต่ครั้งรับราชการกรุงเก่า

ครั้นเจ้าตากยกจากจันทบุรีเข้าตีพม่าซึ่งตั้งรักษากรุงเก่าอยู่นั้นแตกไปแล้ว ก็เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ณ กรุงธนบุรีในปีชวด สัมฤทธิศก กรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาททรงรับบรรดาศักดิ์เป็นพระมหามนตรีเจ้ากรมตำรวจในเวลานั้น ทรงรับราชการสงครามมีความชอบยิ่งๆ ขึ้น ได้ทรงรับบรรดาศักดิ์เลื่อนขึ้นเป็นพระยาอนุชิตราชาและพระยายมราชตามลำดับ เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จขึ้นไปปราบเจ้าพระฝางในปีขาลโทศก จุลศักราช ๑๑๓๒ นั้น โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (เมื่อเป็นพระยายมราช) คุมทัพบกไปทางฟากตะวันออกก่อนทัพหลวง ครั้นปราบเจ้าพระฝางแล้ว โปรดเกล้าฯ ให้พระยายมราชเป็น เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณวาธิราช ครองเมืองพิษณุโลก ทรงบังคับบัญชาการป้องกันพระราชอาณาจักรอยู่ทางฝ่ายเหนือแต่นั้นมา พระเดชานุภาพเลื่องลือจนพม่าเรียกพระนามว่า พระยาเสือ ในครั้งนั้น


ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์

สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวมหากษัตริย์ศึก พระองค์ทรงระงับการแผ่นดินที่วิปริตผันแปรในกรุงธนบุรีราบคาบแล้ว ก็โปรดให้มีตราให้หากองทัพทุกๆกองกลับมาจากกรุงกัมพูชา และได้เริ่มการย้ายพระมหานครขามฟากมาจากเมืองธนบุรีฟากตะวันตกมาสร้างกรุงเทพรัตนโกสินทร์พระมหานครทางข้างตะวันออกแต่ฝั่งเดียว ตั้งพระราชพิธียกหลักเมือง ณ เมื่อวันอาทิตย์ เดือนหก พฤษภาคม แรม ๙ ค่ำ ปีขาล พ.ศ. ๒๓๒๕ รุ่งขึ้น ณ วันจันทร์ เดือนหก แรม ๑๐ ค่ำ จัดการตั้งพระราชวังใหม่ที่กรุงเทพมหานคร ณ ฝั่งฟากตะวันออก

ถึง ณ วันจันทร์ เดือนแปด กรกฎาคม ขึ้นค่ำหนึ่ง ปฐมาสาฒ ขึ้น ๔ ค่ำ เพลารุ่งแล้วสี่บาท(๑ บาท ประมาณ ๖ นาที) เสด็จทรงเรือพระที่นั่งข้ามมหาคงคามา ณ พระราชวังกรุงเทพมหานครฝั่งฟากตะวันออก เสด็จสถิตเหนือพระภัทรบิฐอันกั้นบวรเศวตราชาฉัตร์ พระราชครูปุโรหิตาจารย์ก็กราบบังคมทูลถวายไอศูรย์ราชสมบัติ และเครื่องเบ็ญจพิตรราชกุกุกภัณฑ์พระแสงอัษฎาวุธ อัญเชิญขึ้นปราบดาภิเษกเสวยสวรรยาธิปัตย์ ถวัลย์ราชเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหากษัตราธิราช เจ้าแผ่นดินปกครองสยามประเทศสืบไป (ต่อเมื่อถึงรัชกาลที่ ๓ ถวายพระนามเรียกว่า”พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก”)

กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้เสวยราชสมบัตินั้น พระชนม์มายุได้ ๔๖ พรรษา ได้มีพระราชโองการทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ดำรัสให้พระอนุชา (บุญมา) ซึ่งมีพระชนม์มายุได้ ๓๘ พรรษา เสด็จเถลิงราชมไหศวรรย์ ณ ที่พระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล รับพระราชบัณฑูรประทับ ณ พระราชวังบวร (วังหน้า) ทรงอำนาจว่าราชการพระนครกึ่งหนึ่ง เรียกพระนามว่า “สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทราชอนุชา” ที่ชนในสมัยนั้นเรียกเป็นคำสามัญว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัววังหน้า” หรือมีอีกพระนามหนึ่งที่เรียกกันก็คือ “พระเจ้าเสือ”

สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทได้ทรงสร้างพระราชวังหน้าขึ้นเป็นพระราชวังที่ประทับใกล้ชิดกับพระราชวังหลวง มีป้อม มีโรงช้าง โรงม้า ศาลาลูกขุน คลัง เป็นต้น เรียกได้ว่าสิ่งใดที่มีปรากฏอยู่ในพระราชวังหลวงแล้วก็คงมีที่พระราชวังบวรซึ่งเป็นวังหน้านั้นดุจกัน

ฝ่ายตำแหน่งขุนนางข้าราชการข้างวังหน้านั้น สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทราชอนุชา ก็มีพระบัณฑูรโปรดแต่งตั้งข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง โดยควรแก่ความชอบตามลำดับฐานานุศักดิ์ ครบตามตำแหน่งในพระราชวังหน้าดุจวังหลวงทั้งสิ้น และโปรดให้สร้างพระตำหนักหมู่หนึ่งขึ้นในพระราชวังหน้า ยกหลังคาเป็น ๒ ชั้นคล้ายพระวิมาน เป็นที่ประทับของเจ้าศิริรจนาผู้เป็นเอกอรรคชายาเดิมของพระองค์ แล้วสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จลงมาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกที่วังหลวง


กบฏเมืองกัมปอช รับพระสนม

ฝ่ายพระยาปังกลิมา เจ้าเมืองกัมปอช รู้ข่าวว่าแคว้นไทยผลัดแผ่นดินใหม่ ก็คิดกบฏแข็งเมือง พระยาราชาเศรษฐีครองเมืองผะไทมาศอันขึ้นกับกรุงเทพพระมหานครได้ทราบ ก็ได้มีใบบอกเข้ามากราบทูลให้ทรงทราบ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงมีพระราชดำรัสให้มีตราตอบออกไป ให้พระยาราชาเศรษฐีคิดอ่านจับตัวพระยาปังกลิมาส่งเข้ามา พระยาราชาเศรษฐีจึงยกทัพจากเมืองผะไทมาศ มา ณ เมืองกัมปอช จับเอาตัวพระยาปังกลิมา ส่งเข้ามาถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ จึงมีพระราชดำรัสปรึกษาโทษพระยาปังกลิมา โดยรับสั่งให้เอาตัวไปตัดเท้าแล้วผูกขึ้นแขวนห้อยศรีษะลงมาเบื้องต่ำ กระทำประจานไว้ที่ป่าช้าวัดโพธิ์นอกพระนครด้านตะวันออกจนถึงแก่ความตาย

ฝ่ายข้างกัมพูชาประเทศนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้ข้าหลวงถือท้องตราออกไปตั้งพระยายมราชเขมร ผู้มีความชอบซึ่งภักดีตั้งกองล้อมกรมขุนอินทรพิทักษ์(จุ้ย) ให้เป็นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ครองกรุงกัมพูชาธิบดี แล้วให้ส่งเจ้าเขมร ๔ องค์ ของนักพระอุไทยราชาเข้ามา ณ กรุงเทพพระมหานคร มีนักพระองเอง ๑ นักพระนางมิน ๑ นักพระนางอี ๑นักพระนางเภา ๑

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงพระกรุณาโปรดเลี้ยงนักพระองเองเป็นพระราชบุตรบุญธรรม ส่วนนักพระนางมินถึงแก่พิราลัย นักพระนางอีกับนักพระนางเภาทั้งสอง สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทได้ขอพระราชทานไปเลี้ยงไว้เป็นพระสนมอยู่ในพระราชวังหน้า


กบฏอ้ายบัณฑิต พ.ศ. ๒๓๒๖

ลุปีเถาะ พ.ศ. ๒๓๒๖ ฝ่ายข้างกรุงเทพพระมหานครได้เกิดกบฏขึ้น โดยมีอ้ายบัณฑิต ๒ คน อวดอ้างตนว่าเป็นผู้วิเศษล่องหนหายตัวได้ ล่อลวงให้คนเชื่อถือนอบน้อม ซ่องสุมสมัครพรรคพวกมาตีเมืองนครนายก แล้วเลยเข้ามา ณ กรุงเทพฯ คบคิดกับขุนนางหลายคน มีพระยาอภัยรณฤทธิ์ เป็นต้นกับพวกผู้หญิงวิเสทปากบาตรพระราชวังหน้า คบคิดกันวางอุบายก่อการกบฏ

ครั้นถึง ณ วันศุกร์ แรม ๒ ค่ำ เดือนห้า เมษายน พ.ศ.๒๓๒๖ เพลาเช้า พวกหญิงวิเสทในวังหน้า ขนกระบุงข้าวใส่บาตรเข้าไปทางประตูดินวังหน้า เอี้ยงสาวผู้เป็นนายวิเสทปากบาตรและเป็นบุตรีของพระยาอภัยรณฤทธิ์ ได้บังอาจพาอ้ายบัณฑิตทั้ง ๒ คน นุ่งผ้าห่มปลอมตัวอย่างหญิง ถือดาบซ่อนในผ้าห่มอุกอาจเข้าไปในพระราชวังหน้า แล้วขึ้นไปแอบอยู่ ๒ ข้างพระทวารพระราชมนเฑียร ซึ่งเป็นทวารมุขทางที่จะเสด็จลงมาทรงใส่บาตร คอยลอบจะทำร้ายสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทราชอนุชา แต่ด้วยเดชะพระบารมีเพลานั้นหาได้เสด็จลงมาทรงบาตรทางทวารมุขนั้นไม่ เทพยดาทรงดลพระทัยให้ทรงพระดำริจะลงมาเฝ้า ณ พระราชวังหลวง ก็เสด็จออกอีกทางพระทวารหนึ่ง แล้วเสด็จลงมาทางพระราชวังหลวง อ้ายบัณฑิตทั้งสองหาได้กาสจะทำร้ายไม่ พอนางพนักงานเฝ้าที่มาพบเข้า ก็ตกใจร้องอื้ออึงลงมาว่าผู้ชาย ๒ คนถือดาบมาอยู่ที่พระทวารบน อ้ายบัณฑิตเห็นดั่งนั้นก็สลัดผ้า กวัดแกว่งคมดาบไล่กวดนางเฝ้า ตามฟันลงมาติดๆ ขณะนั้นขุนหมื่นกรมวังคนหนึ่ง คุมไพร่เข้าไปก่อถนนที่พระราชวังหน้า เห็นผู้ร้ายไล่ตามฟันนางเฝ้า จึงเข้าไปปะทะกั้นขวางไว้ อ้ายบัณฑิตก็เอาดาบฟันขุนหมื่นนั้นศรีษะขาดล้มลงตายอยู่กับที่ พวกเจ้าจอมข้างใน และจ่าโขลนต่างพากันตกใจร้องอื้ออึงวิ่งออกมาบอกข้าราชการข้างหน้า ข้าราชการทั้งปวงก็กรูกันเข้าไปในพระราชวังชั้นใน ไล่ล้อมจับอ้ายบัณฑิตกบฏทั้ง ๒ เอาไม้พลองบ้าง อิฐบ้างทุบตี ขว้างใส่เป็นอลหม่าน บางส่วนวิ่งมาที่พระราชวังหลวง กราบทูลให้ทรงทราบเหตุการณ์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ได้ทราบ จึงดำรัสให้ข้าราชการทั้งวังหลวงวังหน้า เร่งช่วยกันไปจับอ้ายบัณฑิตกบฏ ช่วยกันทุบตีล้มลงจับตัวได้มัดไว้แล้วจำครบตบติดไม้เฆี่ยนถาม ให้การซัดพวกเพื่อนซึ่งร่วมคิดกบฏด้วยกันเป็นอันมาก ได้คนสำคัญที่เป็นตัวการ คือ พระยาอภัยรณฤทธิ์กับภรรยา สาวเอี้ยงและสาวจุ้ยบุตรหญิงพระยาอภัยรณฤทธิ์ เกษบุตรบุตรชาย กับทั้งพวกหญิงวิเสทปากบาตรทั้งนายทั้งไพร่ มีพระบัณฑูรให้เฆี่ยนสอบกับอ้ายบัณฑิตกบฏ ทุกคนรับเป็นสัตย์ จึงดำรัสให้ประหารชีวิตอ้ายบัณฑิต และพวกพระยาอภัยรณฤทธิ์พ่อแม่ลูกเมีย พร้อมกันกับพวกเพื่อนชายหญิงนายไพร่ทั้งสิ้นพร้อมสรรพ


บูรณะวัดมหาธาตุ

ในปีเถาะศกนั้น สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทราชอนุชา ดำรัสให้จัดการก่อกำแพงพระราชวังหน้า แล้วให้สถาปนาพระราชมณเฑียร ทั้งข้างหน้าข้างในสำเร็จบริบูรณ์ พร้อมกันคราวเดียวกับที่พระองค์ได้ให้ทรงปฏิสังขรณ์วัดสลัก ได้กระทำอุโบสถพระวิหารการเปรียญและพระมณฑปขึ้นใหม่ แล้วก่อพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุไว้ภายในพระมณฑป ก่อพระระเบียงล้อมรอบ และสร้างกุฎีเสนาสนะฝากระดานถวายสงฆ์ และให้ก่อตึก ๓ หลังถวายพระวันรัตน์ผู้เป็นเจ้าอารม ได้ก่อกำแพงแก้วล้อมรอบพระอาราม แล้วตั้งนามใหม่ว่า”วัดนิพพานาราม” (วัดสลักที่เปลี่ยนชื่อเป็นวัดนิพพานารามนี้ ถึงปีวอก พ.ศ. ๒๓๑๑ เปลี่ยนนามใหม่อีกว่า วัดพระศรีสรรเพชญ์ ครั้นสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทเสด็จสวรรคตแล้ว จึงเปลี่ยนนามอีกครั้งหนึ่งว่าวัดมหาธาตุ เรียกมาจนตราบเท่าทุกวันนี้)


อัญเชิญพระแก้วมรกตสู่ฝั่งพระนคร

ณ วันจันทร์ เดือนสี่ ปีมะโรง แรม ๑๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๒๗ สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ได้อัญเชิญพระพุทธปฏิมากรแก้วมรกตจากโรงในวังเก่าฟากตะวันตก ซึ่งเป็นพระราชวังของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ลงทรงเรือพระที่นั่งกิ่ง มีเรือแห่เป็นขบวนข้ามฟากมาเข้าพระราชวังกรุงเทพพระมหานครฟากตะวันออก อัญเชิญเข้าประดิษฐานในพระอุโบสถพระอารามใหม่ แล้วได้นิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะประชุมกระทำสังฆกรรมสวดผูกพัทธเสมาในวันนั้น เมื่อการพระอารามนั้นสำเร็จบริบูรณ์แล้ว จึงทรงตั้งพระนามว่า วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (หรือวัดพระแก้วนั่นเอง)


พระราชทานนามวัดสระเกศ แลกรุงเทพมหานคร

ณ ปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๓๒๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงเปลี่ยนนามวัดสะแกในกรุงเทพพระมหานคร พระราชทานนามใหม่ว่าวัดสระเกศ (หรือ วัดสระเกศ ภูเขาทองในปัจจุบัน) และให้ก่อเชิงเทินและป้อมทำประตูใหญ่น้อยเป็นอันมากรอบพระนคร ครั้นการสถาปนาพระนครใหม่สำเร็จบริบูรณ์แล้ว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มีงานสมโภชพระนคร ครบ ๓ วันเป็นกำหนด พระราชทานนามพระนครที่สร้างใหม่ว่า

“กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยามหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์”

เด็กเมื่อวานซืน 24-02-2009 15:22

ขอเพิ่มเติมข้อมูลนะครับ

พระแสงอัษฏาวุธ ได้แก่

๑. พระแสงดาบเชลย
๒. พระแสงจักร
๓. พระแสงตรีศูล
๔. พระแสงธนู
๕. พระแสงดาบเขน
๖. พระแสงหอกชัย
๗. พระแสงปืนคาบชุดข้ามแม่น้ำสะโตง
๘. พระแสงของ้าวเจ้าพระยาแสนพลพ่าย

โดยที่ องค์ที่ ๗ และ องค์ที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระบรมราชโองการให้จำลองขึ้นมาใหม่ เพราะองค์จริง สูญหายไปเสียแต่เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเสียแก่ข้าศึกครั้งที่ ๒ ครับ

น่าสังเกตุว่า พระแสงปืนนั้น เป็นลักษณะแบบคาบชุด (MATCHLOCK) นะครับ แต่เราอาจจะเคยได้ผ่านตามาว่า เป็นแบบ คาบศิลา (FlintLock) แทน ปืนสองแบบนี้ต่างกันตรงระบบจุดชนวนครับ

สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ เองเมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศน์ ก็ทรงรับตำแหน่งเป็น นายสุดจินดา หุ้มแพรมหาดเล็ก ซึ่งมีหน้าที่ดูแล พระตะกรุด และ พระพิสมร

อนึ่ง ตำแหน่งหุ้มแพรนั้น เทียบเท่านายร้อยเอก(ปัจจุบัน) มีจำนวนทั้งหมด ๒๐ ตำแหน่ง แต่ที่สำคัญอยู่ ๔ ตำแหน่งเรียกว่า หุ้มแพรต้นเชือก มีลำดับอยู่หน้าหุ้มแพรทั้งหลายใน ๔ เวร คือ นายกวด หุ้มแพร นายขัน หุ้มแพร นายฉันหุ้มแพร และนายชิด หุ้มแพร หุ้มแพรต้นเชือกนี้จะมีศักดินาสูงกว่าหุ้มแพรอีก ๑๖ ตำแหน่งที่กระจายกันอยู่ในเวรทั้ง ๔

ที่มา : หนังสือ ตำนานมหาดเล็ก

เด็กเมื่อวานซืน 24-02-2009 15:38

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ tidtou (โพสต์ 1193)
ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์


ฝ่ายตำแหน่งขุนนางข้าราชการข้างวังหน้านั้น สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทราชอนุชา ก็มีพระราชบัณฑูรโปรดแต่งตั้งข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง

สำหรับ คำศัพท์ที่เรียก คำสั่งของพระมหาอุปราช หรือ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า)

นั้น คงเรียกเพียงแต่ "..พระบัณฑูร.." เท่านั้น นะครับ

ซึ่ง จะมีกรณีพิเศษ ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ที่ทรงพระราชทานให้กับเจ้านายพระองค์อื่น เช่น กรณีพระราชทานให้กับ สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข (วังหลังพระองค์เดียวในกรุงรัตนโกสินทร์ : เป็นพระราชนัดดาใน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ครับ)

โดยจะใช้คำว่า "..พระบัณฑูรน้อย.." แทน และ จะใช้ "..พระบัณฑูรใหญ่.." ในกรณีเป็นคำสั่งของ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ครับ

เด็กเมื่อวานซืน 24-02-2009 16:41

ผมขอแก้ไขข้อมูลที่ผมลงไป ยังไม่ครบถ้วนอีกนิดนะครับ

กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) นั้น ถ้าได้รับการสถาปนาพระเกียรติยศเสมอเป็นพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หนึ่งนั้น จะใช้คำว่า "..รับพระราชโองการ..." แทนคำว่า "..รับพระบัณฑูร..." นะครับ

ตัวอย่างเช่น ในสมัยอยุธยา จะมีกรณีของ สมเด็จพระเอกาทศรถ ซึ่งจะทรง "...รับพระราชโองการ.." (ตัดคำว่า ...บรม... ออกนะครับ และใช้คำว่า รับ แทนคำว่า มี : )


ส่วนกรณี ของ สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท และ สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในยุครัตนโกสินทร์ ก็จะทรงใช้ "...รับพระราชโองการ..." เหมือนกรณีของ สมเด็จพระเอกาทศรถ นะครับ

สรุป

กรุงศรีอยุธยา มี "วังหน้า รับพระบัณฑูร" เป็นพระมหาอุปราช ๑๑ พระองค์
และมี "วังหน้า รับพระราชโองการ" เสมอพระเจ้าแผ่นดิน ๑ พระองค์

กรุงรัตนโกสินทร์ มี "วังหน้ารับพระบัณฑูร" เป็นพระมหาอุปราช ๔ พระองค์
และมี "วังหน้ารับ (บวร) ราชโองการ" เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ ๒ เสมอกับพระองค์


ต้องกราบขออภัย ที่ให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนนะครับ :9a9e6a59:

ที่มา : พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง "ราชประเพณีการตั้งพระมหาอุปราช"

เด็กเมื่อวานซืน 24-02-2009 17:02

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สายท่าขนุน (โพสต์ 1199)
นับถือจริง เล่าเอง ใช้ศัพท์เอง ทักท้วงแก้ไขกันเอง มีความสามารถยิ่ง:af48944b:
เพิ่งได้ยินคนกล่าวถึงสมเด็จวังหน้าพระองค์นี้ เมื่อไม่กี่วันมานี่ จำได้ว่ารู้สีกคุ้นนัก:8f337f1c:
พอจะมีใครให้ข้อมูลเรื่องเล่า ของพระอาจารย์ท่านใด ที่สืบเนื่องกับพระองค์ได้หรือไม่

เห็นเขาลือกันว่า สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสร้างเองนะครับ (ถ้าผมจำไม่ผิดนะ) หรือไม่ก็อาจจะเป็น วังหน้าพระองค์สุดท้าย คือ สมเด็จกรมพระราชวังบวรพิชัยชาญ ทรงสร้างครับ

โดยเฉพาะ กรมพระราชวังบวรพิชัยชาญ เขาลือกันเป็นตำนานว่า พระองค์ทรงเป็นศิษย์ของ พระครูโลกอุดร ครับ

ทิดตู่ 24-02-2009 18:11

เรื่องราวต่อไป ผมจะพิมพ์เพิ่ม ๆ เข้าไว้ที่กระทู้แรกนะครับ จะได้อ่านได้อย่างต่อเนื่อง หากท่านผู้รู้ท่านใดมีใจกรุณานำข้อมูลมาเพิ่มเติมก็โพสท์ไว้ด้านล่างต่อ ๆ กันไปนะครับ เพื่อที่สมาชิกท่านอื่น ๆ เข้ามาอ่านข้อความเบื้องต้น แล้วก็จะได้มาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกทางด้านล่างประกอบกันไป เป็นการเสริมข้อมูลให้กว้างขวางและชัดเจนมากยิ่งขึ้น ผู้ที่เข้ามาอ่านใหม่จะได้ไม่สับสนและอ่านเข้าใจได้ง่าย ขอบพระคุณทุกท่านไว้ก่อนเลยนะครับ สำหรับข้อมูลที่นำมาบอกเล่ากัน

คนเก่า 25-02-2009 10:39

วังหน้าทรงพระปรีชาในการทหารยิ่ง
ทรงสถานะเป็นขุนศึกคู่บัลลังก์ถึง ๒ แผ่นดิน
มีคำกล่าวยกย่องว่า พระยาช้างอยู่ทางเหนือ พระยาเสืออยู่ทางใต้
โดยพระยาช้างก็คือพระเจ้ากาวิละ ผู้เป็นพี่เมียของพระยาเสือ

พระชายาซึ่งเป็นกุลสตรีชาวเหนือผู้สูงศักดิ์ของวังหน้า นอกจากจะเลื่องลือ
ในด้านความงามแล้ว ยังปรากฎจารึกวีระประวัติอันหาญกล้าเกินหญิง
สมเป็นน้องพระยาช้าง สมเป็นเมียพระยาเสือ

ปลายแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนฯ ขณะสมเด็จเจ้าพระยาฯและเจ้าพระยาสุรสีห์
อยู่ระหว่างเดินทางไปราชการสงครามทางเขมร เกิดกบฎพระสรรค์ มีกองกำลัง
ไม่ทราบฝ่ายเข้าล้อมเผาบ้านพระยาสุริยอภัย(ต่อมาคือวังหลัง) อย่างกะไม่ให้
มีใครเหลือรอดออกไปแม้แต่คนเดียว เจ้าครอกศรีอโนชา(ศรีรจจา)ภรรยาของ
เจ้าพระยาสุรสีห์ถึงกับคุมกำลังมาด้วยตนเอง เข้าแก้ไขช่วยพระยาสุริยอภัยออกมาได้

สมเป็นยอดหญิง เมียแก้วของพระยาเสือนัก

เด็กเมื่อวานซืน 25-02-2009 12:08

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คนเก่า (โพสต์ 1219)
มีกองกำลัง
ไม่ทราบฝ่ายเข้าล้อมเผาบ้านพระยาสุริยอภัย(ต่อมาคือวังหลัง) อย่างกะไม่ให้
มีใครเหลือรอดออกไปแม้แต่คนเดียว


เป็นกองกำลังของฝ่ายพระยาสรรค์ครับ นำโดย พระยารัตนจักร ซึ่งเป็นหัวหน้ามอญเก่า (จักรีมอญ) ส่วนทางของ ฝ่ายเจ้าครอกศรีอโนชา ได้นำกำลังมอญใหม่ ภายใต้การนำของ พระยาเจ่ง มาช่วยรบครับ ต่อมา พระยาเจ่ง ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น เจ้าพระยามหาโยธา ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครับ และได้ตำแหน่งจักรีมอญเดิมของ พระยารัตนจักร แทนครับ

นอกจาก พระยารัตนจักร ที่เป็นมอญแล้ว ถ้าจำไม่ผิด ผู้ที่ร่วมบัญชาการอีกท่านก็คือ กรมขุนอนุรักษ์สงคราม พระเจ้าหลานเธอ ของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ครับ ซึ่งพระยาสรรค์ตอนได้ได้จำไว้ แต่ตอนหลังเห็นว่า การณ์ไม่เป็นดังที่คาดไว้ (พระยาสรรค์จะนั่งเมืองเสียเอง) ก็เลย ต้องทูลเชิญ (เกลี้ยกล่อม) ให้กรมขุนอนุรักษ์สงคราม เสด็จออกมาช่วยรบครับ

กรมขุนอนุรักษ์สงครามพระองค์นี้ ได้โดยเสด็จฯ ในงานพระราชการสงครามอยู่หลายครั้งครับ

สำหรับพระยาเจ่ง หรือ เจ้าพระยามหาโยธานี้ เป็นต้นสกุล คชเสนีย์ ครับ สัญลักษณ์ประจำตระกูลคือ ตรารูปช้างใช้งวงถือดาบ ครับ ซึ่ง ชาวรามัญ (มอญ) ในประเทศไทย ถือว่า เชื้อสายของพระยาเจ่งนี้ คือ กษัตริย์มอญกลาย ๆ

เพราะว่า ก่อนที่พระยาเจ่งจะอพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้น พระยาเจ่ง เคยได้เป็นเจ้าเมืองตะเกิง (รัฐมอญ) มาก่อน ภายหลังเกิดผิดใจกับ พระเจ้ามังระ ถึงกับมีการจับคนในตระกูลของพระยาเจ่งจะไปประหารเสียหมด พระยาเจ่งจึง ได้ไปดักตีชิงครอบครัวของตนเอง และ อพยพมอญในสังกัดทั้งหมดเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ครับ

กรณีพระยาเจ่งมาสวามิภักดิ์นี้ ก็เหมือนกับ กรณีของ พระเจ้ากาวิละ และ พระยาจ่าบ้าน(บุญมา) ที่มาสวามิภักดิ์กับ ทางสยามครับ (เล่าแล้วจะยาว ขอไม่เล่าแล้วกันนะครับ ยกเว้นเปิดกระทู้ใหม่)

คนเก่า 25-02-2009 12:42

เพลงยาวนิราศ
พระนิพนธ์ใน สมเด็จฯกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เมื่อครั้งเสด็จไป ตีเมืองพม่า เมื่อ พ.ศ.๒๓๓๖
(ตอนต้นสูญหายไป)

..........
..........
..........
..........
……ประกอบด้วยโภชนากระยาหาร
ทุกถิ่นฐานบริบูรณ์เป็นหนักหนา
อยู่เย็นเป็นสุขทุกทิวา
เช้าค่ำอัตราทั้งราตรี
ประหนึ่งว่าจะไม่มีค่ำคืน
รวยรื่นเป็นสุขเกษมศรี
ไม่เห็นเช่นว่าจะเป็นเหมือนเช่นนี้
มาเยินยับอัปรีย์ศักดิ์ศรีคลาย

ทั้งถนนหนทางอารามราช
มาวินาศสิ้นสุดสูญหาย
สารพัดย่อยยับกลับกลาย
อันตรายไปจนพื้นปัถพี

เมื่อพระกาฬมาผลาญดังทำนาย
แสนเสียดายภูมิพื้นกรุงศรี
บริเวณอื้ออึงด้วยชลธี
ประดุจเกาะอสุรีลงกา

เป็นคันขอบชอบกลถึงเพียงนี้
มาเสียสูญไพรีอนาถา
ผู้ใดใครเห็นไม่นำพา
อยุธยาอาภัพลับไป
เห็นจะสิ้นอายุพระนคร
ให้อาวรณ์ผู้รักษาหามีไม่
เป็นป่าหญ้ารกดังพงไพร
แต่จะสาบสูญไปทุกทิวา



http://www.postimage.org/Pq9BKM0.jpg http://www.postimage.org/Pq9C8Ir.jpg


คิดมาก็เป็นน่าอนิจจัง
ด้วยกรุงเป็นที่ตั้งพระศาสนา
ทั้งอารามเจดีย์ที่บูชา
ปฏิมาฉลององค์พระทรงญาณ
ก็ทลายยับยุ่ยเป็นผุยผง
เหมือนพระองค์เสด็จดับสังขาร
ยังไม่สิ้นศาสนามาอรธาน
ทั้งเจดีย์วิหารก็สูญไป


เสียดายพระนิเวศน์บุรีวัง
พระที่นั่งทั้งสามงามไสว
ดั้งระเบียบชั้นเป็นหลั่นไป
อำไพวิจิตรรจนา
มุขโถงมุขเด็จมุขกระสัน
เป็นเชิงชั้นลวดลายล้วนเลขา
เพดานในไว้ดวงดารา
ผนังฝาดาดแก้วดังวิมาน
ที่ตั้งบัลลังก์แก้วทุกองค์
ทวารลงอัฒน์จันทร์หน้าฉาน
ปราบพื้นรื่นราบดังพระลาน
มีโรงคชาธารตระการตา
ทิมดาบคดลดพื้นกำแพงแก้ว
เป็นถ่องแถวยืดยาวกันหนักหนา
เป็นที่แขกเฝ้าเข้าวันทา
ดังเทวานฤมิตประดิษฐ์ไว้
สืบทรงวงศ์กษัตริย์มาช้านาน
แต่บุราณแล้วไม่นับพระองค์ได้
พระที่นั่งซึ่งตั้งอยู่ข้างใน
มีสระชลาลัยชลธี
ชื่อที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์
ที่ประพาสมัจฉาในสระศรี
ทางเสด็จเสร็จสิ้นสารพันมี
เป็นที่กษัตริย์สืบมา
ก็สูญสิ้นศรีมลายหายหมด
จะปรากฏสักสิ่งไม่มีว่า
อันถนนหนทางมรรคา
คิดมาก็เสียดายทุกสิ่งอัน
ร้านเรียบเป็นระเบียบด้วยรุกขา
ขายของนานาทุกสิ่งสรรพ์
ทั้งพิธีปีเดือนทุกคืนวัน
สารพันจะมีอยู่อัตรา
ฤดูใดก็ได้เล่นเกษมสุข
แสนสนุกทั่วเมืองหรรษา
ตั้งแต่นี้แลหนาอกอา
อยุธยาจะสาบสูญไป
จะหาไหนได้เหมือนกรุงแล้ว
ดังดวงแก้วอันสิ้นแสงใส
นับวันแต่จะยับนับไป
ที่ไหนจะคงคืนมา
ไป่ปรากฏเหตุเสียเหมือนครั้งนี้
มีแต่บรมสุขา
ครั้งนี้มีแต่พื้นพสุธา
อนิจจาสังเวชทนาใจ
ทั้งนี้เป็นต้นด้วยผลเหตุ
จะอาเพศกษัตริย์ผู้เป็นใหญ่
มิได้พิจารณาข้าไท
เคยใช้ก็เลี้ยงด้วยเมตตา
ไม่รู้รอบประกอบในราชกิจ
ประพฤติการแต่ที่ผิดด้วยอิจฉา
สุภาษิตท่านกล่าวเป็นราวมา
จะตั้งแต่งเสนาธิบดี
ไม่ควรจะให้อัครฐาน
จะเสียการแผ่นดินกรุงศรี
เพราะไม่ฟังตำนานโบราณมี
จึงเสียทีเสียวงศ์กษัตรา


เสียยศเสียศักดิ์นัคเรศ
เสียทั้งพระนิเวศน์วงศา
เสียทั้งตระกูลนานา
เสียทั้งไพร่ฟ้าประชากร


สารพัดจะเสียสิ้นสุด
ทั้งการยุทธ์ก็ไม่เตรียมฝึกสอน
จึงไม่รู้กู้แก้พระนคร
เหมือนหนอนเบียนให้ประจำกรรม
อันจะเป็นเสนาธิบดี
ควรที่จะพิทักษ์อุปถัมภ์
ประกอบการหว่านปรายไว้หลายชั้น
ป้องกันปัจจาอย่าให้มี
นี่ทำหาเป็นเช่นนั้นไม่
เหมือนไพร่ชั่วช้ากระทาสี
เหตุภัยใกล้กรายร้ายดี
ไม่มีที่รู้สักประการ
ศึกมาแล้วก็ล่าไปทันที
มิได้มีเหตุจึงแตกฉาน
ตีกวาดผู้คนไม่ทนทาน
เผาบ้านเมืองยับจนกลับไป
ถึงเพียงนี้ไม่มีที่จะกริ่งเลย
ไม่เคยรู้ล่วงลัดจะคิดได้
ศึกมาชิงล่าเลิกกลับไป
มิได้เห็นจะฝืนคืนมา
จะคิดโบราณอย่างนี้ก็หาไม่
ชาติไพร่หลงฟุ้งแต่ยศถา
ครั้นทัพเขายกกลับมา
จะองอาจอาสาก็ไม่มี
แต่เลี้ยวลดปดเจ้าทุกเช้าค่ำ
จนเมืองคร่ำเป็นผุยยับยี่
ฉิบหายตายล้มไม่สมประดี
เมืองยับอัปรีย์จนทุกวันฯ
เหตุเสียกรุงศรีอยุธยา
เหมือนคำที่ว่าไม่เสกสรรค์
ชะล่าใจเคยได้แต่ครั้งนั้น
จึงประชิดติดพันแต่นั้นมา
แตกยับกลับไปก็หลายหน
คิดกลจะลวงให้หลงหา
แต่งคนให้ถือหนังสือมา
เจรจาความเมืองเป็นไมตรี
ทำไว้แต่พอให้รอรั้ง
ขยับยกเข้ามาตั้งตะนาวศรี
จะเดินมั่นกันติดทางตี
ทำนองทีจะคิดให้ชิดไว้
เห็นจะผ่อนโยธาอาหาร
มันคิดการมิให้ใครสงสัย
จะนิ่งอยู่ดูเบาเอาใจ
เห็นเหตุเภทภัยจะเกิดการมา
จะเร่งรัดตัดคิดมันเสียก่อน
บั่นรอนอย่าให้ทันแน่นหนา
จำจะคิดให้ผิดแต่ก่อนมา
เป็นทัพหน้านาวายกไป

ตามทางทะเลไปสงขลา
จะขุดพสุธาเป็นคลองใหญ่
ให้เรือรบออกประจบเอาเมืองไทร
ปากใต้ฝ่ายทะเลให้พร้อมกัน
จึงจะยกไปตีเอามะริด
จะปิดปากน้ำเสียให้มั่น
ทัพเรือมันจะพลอยเข้าช่วยกัน
จะตีบั่นเกยทัพให้ยับไป


รบไหนจะให้ยับลงที่นั่น
แต่กึ่งวันไม่ให้ทนทานได้
จะทำการครั้งนี้ให้มีชัย
จะไว้เกียรติให้สืบทั้งแผ่นดิน
ทำเมืองเราก่อนเท่าใด
จะทดแทนมันให้หมดสิ้น
มันจิตอาหังการ์ทามิฬ
จะล้างให้สุดสิ้นอย่าสงกา


การเสร็จสำเร็จลงเมื่อใด
ซึ่งคิดไว้ขอให้สมปรารถนา
แม้นมิได้ก็ไม่กลับคืนมา
จะเห็นเมืองพม่าในครั้งนี้
เกรงกริ่งอยู่แต่ข้างทัพบก
จะไม่ยกหักได้ให้ถึงที่
เกลือกมันกั้นตัดทางตี
จะตัดที่เสบียงอาหารไว้
ไม่สมคะเนให้เรรวน
ทำป่วนไม่หักเอามันได้
เท่านี้ดอกที่วิตกใจ
จะทำให้เสียการเหมือนทะวาย
เมื่อชนะแล้วกลับแพ้ให้แชไป
จึงเสียชัยเสียเชิงไม่สมหมาย
พากันหนีแต่ไม่มีอันตราย
ถ้าเสียหายอย่างอื่นไม่เป็นไร

อันกรุงรัตนะอังวะครั้งนี้ฤา
จะพ้นเนื้อมืออย่าสงสัย
พม่าจะมาเป็นข้าไทย
จะได้ใช้สร้างกรุงอยุธยา


แม้นสมดังจิตไม่ผิดหมาย
จะเสี่ยงทายตามบุพเพวาสนา
จะได้ชูกู้ยกนัครา
สมดังปรารถนาทุกสิ่งอัน
ถ้าเสร็จการอังวะลงตราบใด
จะพาใจเป็นสุขเกษมสันต์

อ้ายชาติพม่ามันอาธรรม์
เที่ยวล้างขอบขันฑ์ทุกพารา
แต่ก่อนก็มิให้มีความสุข
รบรุกฆ่าฟันเสียหนักหนา
แต่บ้านร้างเมืองเซทั้งวัดวา
ยับเยินเป็นป่าทุกตำบล
มันไม่คิดบาปกรรมอ้ายลำบาก
แต่พลัดพรากจากกันทุกแห่งหน
มันเหล่าอาสัตย์ทรชน
ครั้งนี้จะป่นเป็นธุลี

เพราะเหตุบาปกรรมมาซ้ำเติม
จะพูนเพิ่มให้ระยำยับยี่
ด้วยทำนายว่าไว้แต่ก่อนมี
เหมือนครั้งมอญไปตีเอานัครา
คือหงส์ลงมากินน้ำหนอง
เหตุต้องเมืองมอญหงสา
ตัวนายอองไจยคือพรานป่า
คิดฆ่าหงส์ตายจึงได้ดี
คือพม่ามาตีเอามอญได้
ก็สมในทำนายเป็นถ้วนถี่
ยังแต่พยัคฆ์เรืองฤทธี
จะกินพรานที่ยิงหงส์ตาย
บัดนี้ก็ถึงแก่กำหนด
จะปรากฏโดยเหตุเป็นกฎหมาย
ทัพเราเข้าต้องคำทำนาย
คือเสือร้ายอันแรงฤทธา
จะไปกินพรานป่าที่ฆ่าหงส์
ให้ปลดปลงม้วยชีพสังขาร์
แล้วมีคำทำนายบุราณมา
ว่าพม่าจะสิ้นซึ่งรูปกาย
ถ้าผู้ใดใครเห็นให้เขียนไว้
จึงจะได้ประจักษ์สืบสาย
เห็นเป็นเหตุต้องเหมือนคำทำนาย
อังวะจะฉิบหายในครั้งนี้
ถ้าพร้อมใจพร้อมจิตช่วยคิดการ
จะสำราญทั่วโลกเกษมศรี
นี่จนใจสิ่งไรก็ไม่มี
เห็นทีจะตะกายไปตามจน
จะไปได้ฤามิได้ยังไม่รู้
จะเสือกสู้ไปตามขัดสน
ถ้าสุดคิดผิดหมายที่ผ่อนปรน
ก็จะบนบวงสรวงแก่เทวา
เดชะเทเวศน์ช่วยอวยชัย
ที่คิดไว้ขอให้สมปรารถนา
ตั้งแต่สวรรค์ชั้นกามา
ตลอดจนมหาอัครพรหม
ขอจงมาช่วยอวยพรชัย
ที่มาดไว้ให้ได้ดังประสงค์
จงดลใจไทยกรุงให้นิยม
ช่วยระดมกันให้สิ้นศึกเอย ฯ

เด็กเมื่อวานซืน 25-02-2009 13:07

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ahhaboy (โพสต์ 1221)
โอ้...กำลังมันส์เลยพะยะค่ะ
ถ้างั้นก็รีบเปิดกระทู้ใหม่เลยครับ...เดี๋ยวผมจะไปหาข้าวโพดคั่วมานั่งรอ... :da4c2d5e:

ให้ท่านทิดเปิดกระทู้ดีกว่าครับ ผมขอแจมแล้วกันครับ..จะช่วยได้เท่าที่กำลังสติปัญญาพอจะมีนะครับ

ทิดตู่ 25-02-2009 13:17

กระผมจะเพิ่มเติมที่กระทู้แรกเรื่อย ๆ ครับ หากพี่น้องท่านใดมีความรู้ข้อมูลใดมาเพิ่มเติม ขยายความ ให้คำแนะนำ เพื่อประโยชน์อันจะพึงมีมากยิ่งขึ้น ขอโมทนาด้วยครับ

เด็กเมื่อวานซืน 25-02-2009 13:18

เนื้อเรื่องเดิม ท่านทิดเขียนไว้ละเอียดแล้ว กรณี กบฏบัณฑิต นะครับ ผมขอขยายความบางส่วนแทนแล้วกันนะครับ

------------
ขยายความ

พนักงานวิเสท ปกติ คือ กุ๊กประจำวังนั่นหละครับ มีหน้าที่ทำอาหารทูลเกล้าถวาย หรือ ทูลถวาย พระบรมวงศ์ครับ

สำหรับ กรณีของ อ้ายเอี้ยง นี้ ก็คือ เจ้าพนักงานที่จะคอยถวายการรับใช้ เมื่อ สมเด็จฯ จะลงทรงบาตรครับ โดยที่ ปกติแล้ว เครื่องใช้ส่วนพระองค์ ที่จะวางรองบาตรนั้น สมเด็จฯ ทรงประดิษฐ์เป็นรูปม้า ครับ เป็นม้าทั้งตัวเลย และ จะมีที่วางบาตรอยู่ครับ อ้ายเอี้ยง จะรออยู่ตรงนี้หละครับ

ไว้จะลองไปหารูปม้าตัวที่ว่า มาให้ดูนะครับ (ไม่รับประกันว่าจะหามาได้ไหม) ถ้าสนใจอยากจะดูม้าตัวที่ว่านี้ ก็ขอเชิญได้ที่ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร กทม .ครับ

เด็กเมื่อวานซืน 25-02-2009 13:28

เรื่องสนุก ๆ อีกเรื่อง (หมดสต๊อกพอดีครับ..อิ ๆ )

ก็คือ ตำนานพระแสงดาบส่วนพระองค์ ที่ได้ทรงใช้ในการพระราชสงครามมาตลอด สมเด็จฯ ได้ทรงถวายทำต่างราวเทียน ถวายเป็นพุทธบูชา ซึ่งในอดีตเคยอยู่ในพระอุโบสถ วัดมหาธาตุยุวราษฏร์รังสฤษฏ์ กทม. ครับ

แต่ได้สูญหายไปเสีย ตั้งแต่มี การบูรณะพระอุโบสถเมื่อครั้ง ฉลองกรุงครบ ๒๐๐ ปีครับ ( พ.ศ. ๒๕๒๕ )

เห็นในวงการค้าของเก่าลือ ๆ กันว่า อยู่ในมือของร้านสะสมของเก่าร้านหนึ่ง (ไม่ยืนยันนะครับ)

และก็ยังไม่แน่ใจว่า พระแสงดาบองค์นี้ จะมีสัณฐานเป็นอย่างไร บางกระแสก็ว่า เป็นดาบหัวปลาหลด ซึ่งเป็นรูปแบบการตีดาบที่ได้รับความนิยมในสมัยอยุธยาตอนปลายครับ

นอกจากนี้ จากที่ผมได้เคยคุยกับ พี่ ๆ ที่อยู่ในแวดวงนี้มาก็ได้ทราบว่า ของในวังหลวงเอง ก็สูญหายไปไม่น้อยเมื่อมีการบูรณะพระบรมมหาราชวัง นั่นหละครับ ในระดับ กรุแตก เลยหละครับ

เด็กเมื่อวานซืน 25-02-2009 13:39

อ้าว ต้องขออภัย คุณทิด ด้วยครับ ไม่ได้อ่านหน้าแรกก่อนเดี๋ยวผมลบความเห็นก่อนนะครับ ขออภัยอย่างสูงครับ

คนเก่า 25-02-2009 13:45

http://www.postimage.org/Pq9F9hi.jpg

ดูเหมือนมาจากหนังสือโครงกระดูกในตู้ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเข้าใจว่าคัดลอกมาจากหนังสือสมุดไทยชื่ออภินิหารบรรพบุรุษอีกต่อหนึ่ง มีความตอนหนึ่งบอกเล่าถึงความเป็นมาของดวงตราอุณาโลม เครื่องหมายหน้าหมวกของกองทัพบก ว่า

ครั้งมีข่าวความเคลื่อนไหวของกองทัพพม่าประชิดชายแดนในครั้งสงครามเก้าทัพ

ล้นเกล้า ร.๑ โปรดฯให้ระดมพลเตรียมรับศึก ขณะประชุมทัพอยู่นั้น เหล่าทหารเกิดลองของจนบานปลายตีกันนัว เรรวนไปทั้งกองทัพ จึงโปรดให้ริบของมาจำเริญโดยไฟเสียทั้งหมด จากนั้นล้นเกล้า ร.๑ และวังหน้าก็เข้าไปทำพิธีพุทธาภิเษกผ้ายันต์อุณาโลมในพระอุโบสถวัดพระแก้วที่พึ่งสร้างเสร็จ แล้วมอบให้ทหารผูกศรีษะทุกคน บังเกิดเป็นความพร้อมเพรียง เป็นขวัญและกำลังใจ มีชัยชนะต่อทัพข้าศึกมหาศาลที่มีจำนวนมากกว่าเป็นเท่าตัวอย่างอัศจรรย์

ครั้นเสด็จกลับจากราชการสงครามเก้าทัพ จึงโปรดฯ ให้ประกอบพิธีราชาภิเษกขึ้นใหม่ในพระอุโบสถวัดพระแก้ว และโปรดฯให้ใช้ดวงตราอุณาโลมเป็นพระราชลัญจรประจำรัชกาลตั้งแต่นั้นมา และต่อมาก็ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องหมายหน้าหมวกของกองทัพบก

...ตั้งใจจะอุปถัมภก
ยอยกพระพุทธศาสนา
ป้องกันขอบขันธสีมา
รักษาประชาชนและมนตรี....

(จาก นิราศท่าดินแดง พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้า ร.๑)

ทิดตู่ 25-02-2009 16:26

ขอมาต่อที่กระทู้ด้านล่างนี้นะครับ เนื่องด้วยกระทู้แรกยาวไปน่ะครับ

ทิดตู่ 25-02-2009 16:27

เปิดมหาสงคราม ๙ ทัพ

ฝ่ายข้างแผ่นดินพุกามประเทศซึ่งมีเมืองอังวะเป็นราชธานีนั้น บังเกิดจลาจลวุ่นวายผลัดเปลี่ยนแผ่นดินใหม่ พระเจ้าประดุงราชบุตรที่ ๔ ของพระเจ้าอลองพญาได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ คิดจะแผ่ราชอาณาจักรให้กว้างขวางยิ่งกว่ารัชกาลพม่าแต่ก่อนๆ จึงยกกองทัพไปตีมณีปุระทางฝ่ายเหนือ(อยู่ในเขตของประเทศอินเดีย) และประเทศยะไข่ทางตะวันตก(ปัจจุบันตั้งอยู่ทางตะวันตกของสหภาพพม่า)ได้ทั้งสองประเทศ ก็มีใจกำเริบคิดจะเข้ามาตีเมืองไทยแผ่กฤษฎาภินิหารให้มีเกียรติยศสูงเสมอมหาราชแต่ปางก่อน เฉกเช่น พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง ประกอบด้วยขณะนั้นพระเจ้าปะดุงมีรี้พลบริบูรณ์ และดำรงชัยชนะมาทุกแห่ง พลทหารกำลังร่าเริงฮึกห้าวในการสงคราม เพราะได้ทราบข่าวว่ากรุงไทยกำลังผลัดเปลี่ยนแผ่นดินและย้ายสร้างราชธานีใหม่ พระเจ้าปะดุงแห่งกรุงอังวะเห็นว่าเป็นโอกาสอันงามดียิ่ง การแผ่นดินแห่งกรุงสยามคงจะระส่ำระสายไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยคงจะตีเอาชนะได้ไม่ลำบาก สมกับที่คิดจะแผ่พระราชอภินิหารและพระราชอาณาเขตพุกามให้กว้างใหญ่ไพศาลออกไป อีกทั้งได้เป็นพระมหาเกียรติยศอันบรมโยโสโลภะแห่งพระองค์ จึงมีพระราชดำรัสให้เตรียมมหาพยุหแสนยากรขึ้นเป็นการใหญ่ เกณฑ์ทั้งคนในเมืองหลวงและหัวเมืองขึ้น ตลอดจนเมืองประเทศราชหลากหลายชาติทุกภาษาทั่วทิศทุกมณฑล มีพลพม่า เงี้ยว เตลง ทวาย มอญ เม็ง ยะไข่ และพลลาวเขมรสมทบกัน รวมจำนวนพล ๑๔๔,๐๐๐ เตรียมยกเข้ามาตีเมืองไทย

ครั้นแล้วพระเจ้าปะดุง รวมกำลังพล ๑๔๔,๐๐๐ แบ่งกองทัพยกเข้ามาตีเมืองไทยเป็นหลายแพรกหลายทาง ตรัสให้แมงญีแมงข่องกะยอ(ในพงศาวดารพม่าเรียกชื่อว่า เมงฆ้องกะโย) ยกลงไปตั้ง ณ เมืองเมาะตะมะ เมื่อวันจันทร์ แรม ๔ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเส็ง กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๒๘ เมื่อรวบรวมเกณฑ์เรือบรรทุก และช้างม้าพาหนะ หาเสบียงอาหารไว้ได้พอแก่ราชการแล้ว พระเจ้าปะดุงแห่งกรุงอังวะ ก็ทรงจัดทัพที่จะยกเข้ามาตีกรุงเทพพระมหานคร เป็นกระบวนทัพ ๙ ทัพ ตามแผนราวีของจอมทัพพม่า ดังนี้ คือ

ทัพที่ ๑ ให้เกงหวุ่นแมงยีมหาสีหะสุระ อรรคมหาเสนาบดี เป็นแม่ทัพ ยกทั้งทัพบกและทัพเรือ มีทหารจำนวน ๑๐,๐๐๐ เรือกำปั่นรบ ๑๕ ลำ ลงมาตั้งที่เมืองมะริด ให้ยกทัพบกมาตีหัวเมืองไทยทางปักษ์ใต้ ตั้งแต่เมืองชุมพรลงไปจนถึงเมืองสงขลา ส่วนทัพเรือนั้นให้ตีหัวเมืองทางฝ่ายทะเลตะวันตก ตั้งแต่เมืองตะกั่วป่าลงไปจนถึงเมืองถลาง

ทัพที่ ๒ ให้อนอกแผกคินหวุ่น เป็นแม่ทัพ ถือพล ๑๐,๐๐๐ ลงมาตั้งที่เมืองทวาย ให้เดินเข้าทางด่านบ้องตี้ มาตีหัวเมืองไทยฝ่ายตะวันตก ตั้งแต่เมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรี ลงไปประจบกองทัพที่ ๑ ที่เมืองชุมพร

ทัพที่ ๓ ให้หวุ่นคญีสะโดะมหาสิริยอุจนา เจ้าเมืองตองอู เป็นแม่ทัพถือพล ๓๐,๐๐๐ ยกมาทางเมืองเชียงแสน ให้ลงมาตีเมืองนครลำปาง และหัวเมืองทางริมแม่น้ำแควใหญ่และน้ำยม ตั้งแต่เมืองสวรรคโลก เมืองสุโขทัย ลงมาจบกับกองทัพหลวงที่กรุงเทพฯ

ทัพที่ ๔ ให้เมี้ยนหวุ่นแมงยีมหาทิมข่อง เป็นแม่ทัพ ถือพล ๑๑,๐๐๐ ยกลงมาตั้งที่เมืองเมาะตะมะ เป็นทัพหน้าที่จะยกเข้ามาตีกรุงเทพฯ ทางด่านพระเจดีย์สามองค์

ทัพที่ ๕ ให้เมี้ยนเมหวุ่น เป็นแม่ทัพ ถือพล ๕,๐๐๐ มาตั้งที่เมืองเมาะตะมะ เป็นทัพหนุนทัพที่ ๔

ทัพที่ ๖ ให้ตะแคงกามะราชบุตรที่ ๓ เป็นแม่ทัพ ถือพล ๑๒,๐๐๐ มาตั้งที่เมืองเมาะตะมะ เป็นทัพหน้าที่ ๒ ของทัพหลวง ที่จะยกเข้ามาตีกรุงเทพฯ ทางด่านพระเจดีย์สามองค์

ทัพที่ ๗ ให้ตะแคงจักกุราชบุตรที่ ๒ เป็นแม่ทัพ ถือพล ๑๑,๐๐๐ มาตั้งที่เมืองเมาะตะมะ เป็นทัพหน้าที่ ๑ ของทัพหลวง

ทัพที่ ๘ เป็นกองทัพหลวง จำนวนพล ๕๐,๐๐๐ ของพระเจ้าปะดุงกษัตริย์อังวะ เสด็จเป็นจอมพลเอง

ทัพที่ ๙ ให้จอข่องนรธา เป็นแม่ทัพ ถือพล ๕,๐๐๐ ยกเข้ามาทางด่านแม่ละเมา แขวงเมืองตาก มาตีหัวเมืองเหนือทางริมแม่น้ำพิง ตั้งแต่เมืองตาก เมืองกำแพงเพชร ลงมาประจบกองทัพหลวงของพระเจ้าปะดุงที่กรุงเทพฯ

(สรุป การยกทัพมาของพม่าในครั้งนี้ ไล่ตีมาจากเหนือลงไป จากใต้ขึ้นมา โดยมีทัพใหญ่ไปตั้งอยู่ที่เมืองเมาะตะมะ เข้ามาตีกรุงเทพฯทางด่านเจดีย์สามองค์ มีกำหนดให้ยกเข้ามาตีเมืองไทย ในเดือนอ้าย ธันวาคม ปีมะเส็ง พ.ศ.๒๓๒๘ พร้อมกันทุกทัพ คือ มีทัพที่ตั้งอยู่เมืองเมาะตะมะ ๕ ทัพ จำนวนพล ๘๙,๐๐๐ เข้ามาตีกรุงเทพฯโดยตรง มาจากทางฝ่ายเหนือ ๒ ทัพ จำนวนพล ๒๕,๐๐๐ มีทัพที่ตีขึ้นมาจากปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก ๒ ทัพ จำนวนพล ๒๐,๐๐๐ รวมทั้งสิ้น ๙ ทัพ จำนวนพลทั้งหมด ๑๔๔,๐๐๐ นาย นับว่าเป็นศึกใหญ่หลวงยิ่งกว่าศึกพม่าที่เคยมีมาแต่ครั้งก่อนๆ รี้พลมากมายสรรพด้วยช้างมาสรรพศาสตราอาวุธพร้อมบริบูรณ์ ยกเข้ามาทุกทิศทุกทาง)

ทิดตู่ 25-02-2009 16:32

มหาศึกใหญ่ที่เป็นการประกาศพระศักดานุภาพแห่งพระเจ้าอยู่หัวทั้ง ๒ พระองค์(โดยเฉพาะสมเด็จกรมพระราชวังบวร)กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วครับ ทหารพม่า ๑๔๔,๐๐๐ กับทหารไทยประมาณ ๗๐,๐๐๐ เศษ ต่างกันครึ่งต่อครึ่ง ไทยจะรักษาความเป็นไทในสถานการณ์นี้อย่างไร โปรดติดตามอ่านกันต่อไปนะครับ
ป.ล.พี่น้องท่านใดมีความรู้เข้ามาเสริมก็ช่วย ๆ กันนะครับ ขอบพระคุณครับ

เด็กเมื่อวานซืน 26-02-2009 07:52

ขออนุญาติ เล่าพื้นเพเดิมของ พระเจ้าปดุง ก่อนแล้วกันนะครับ

ก่อนพระเจ้าปดุงจะขึ้นครองราชย์นี่ รัชกาลก่อนหน้านั้นจะเป็นพระนัดดาของพระองค์เอง (หลาน) ซึ่งชื่อภาษาไทยออกพระนามว่า พระเจ้าจิงKuจา

พระเจ้าจิงkuจานี้ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามังระ ครับ ภายหลังพระราชบิดาสวรรคต ก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อมาครับ และ ได้บุตรสาวของ อะตองหวุ่น ขุนนางผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นพระชายา

วันหนึ่ง พระเจ้าจิงkuจา เสวยน้ำจัณฑ์ (ก็สุรานั่นหละครับ) มากเกินไป ประกอบกับโดนยุยง ทำให้ทรงถอดบุตรสาวของ อะตองหวุ่นเสีย ถอดไม่พอ ยังทรงรับสั่งให้ประหารชีวิตเสียอีกด้วย นำมาซึ่งความโกรธแค้น แก่ อะตองหวุ่น เป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ ในต้นรัชกาลของพระเจ้าจิงKuจา เมื่อขึ้นครองราชย์ ได้ทรงเรียกกองทัพพม่าทั้งหมดกลับไปยัง อังวะปุระ ซึ่งทัพพม่าขณะนั้น กำลังทำสงครามศึกเมืองพระพิษณุโลกอยู่ โดยการนำของ อะแซหวุ่นกี้ (ที่มีการนัดดูตัว เจ้าพระยาจักรี นั่นหละครับ) เพราะเชื่อกันว่า พระเจ้าจิงkuจาเอง ไม่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย กลัวขุนนางผู้ใหญ่จะก่อการครับ เมื่อเรียก อะแซหวุ่นกี้กลับมาแล้ว ก็ทรงปลดออกจากตำแหน่ง แล้ว ส่งไปอยู่หัวเมืองแทน นี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งครับ

ภายหลัง พระเจ้าปดุง รวบรวมสมัครพรรคพวกได้มากขึ้น ซึ่งก็รวมทั้ง อะตองหวุ่น และ อะแซหวุ่นกี้ จึงยกพลเข้าชิงราชสมบัติจากพระเจ้าจิงKuจา ครับ ซึ่งก็การสำเร็จได้โดยง่ายครับ

จากนั้น พระเจ้าปดุง ก็ทรงรวบรวมหัวเมือง มอญ ,พม่า ,ไทใหญ่, ล้านนา, ฯลฯ เข้ามาอยู่ใต้ขอบขัณฑสีมาของ อังวะปุระ อีกรอบนะครับ


-------------------------------------------

ปล.. ท่านทิดครับ ยะไข่ จริง ๆ แล้วไม่ใช่รัฐมอญนะครับ รัฐมอญจะอยู่ด้านใต้ ตั้งแต่ หงสาวดี(พะโค) ลงมาจนถึง ทวาย มะริด นะครับ ยะไข่ จะเป็นชนอีกพวกหนึ่งครับ ปัจจุบัน นี้ ยะไข่ โดนวางยาโดยอังกฤษอพยพ แขกบังกลาเทศ เข้าไปอยู่ เลยมีชนเผ่า โรฮิงยา ที่เรารู้จักกันนั่นหละครับ

คนเก่า 27-02-2009 11:56

หลังเสียกรุงครั้งที่สอง ปรากฏผู้มีความสามารถออกมารับราชการรับใช้แผ่นดิน
มีผลงานเป็นที่โดดเด่นจำนวนมาก ประหนึ่งน้ำป่าหลากทำลายภูมิประเทศเดิม
พ้นผ่านไปก็ผุดรัตนชาติออกเกลื่อนกลาด

หนึ่งในเอกบุรุษที่ประวัติศาสตร์ได้จารึกชื่อไว้ คือเจ้าพระยาพระคลัง(หน)

ขณะบ้านเมืองมีศึกสงครามก็รับใช้แผ่นดินในด้านการทหาร ครั้นบ้านเมืองสงบ
ก็แสดงอัจฉริยภาพในด้านบุ๋น ไม่ว่าจะเป็นงานหนังสือ งานประพันธ์ทั้งร้อยแก้ว
และร้อยกรอง หากก้าวหน้าในราชการอย่างที่สุดในด้านงานคลัง ดูจากบรรดาศักดิ์
สุดท้าย คงต้องเป็นมือวางอันดับหนึ่งของแผ่นดินในด้านเศรษฐกิจเลยเชียว

ดูเหมือนจะเป็นหนังสือสามกรุงของ น.ม.ส. ที่เล่าถึงอัจริยภาพเกินมนุษย์ของ
ท่านเจ้าพระยาว่า ครั้งหนึ่งในแผ่นดินสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ขณะที่เจ้าพระยาฯ
ยังดำรงตำแหน่งอาลักษณ์ รับราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท

มีพระบรมราชโองการให้เจ้าพระยาฯ (ขณะนั้นคงจะยังเป็นคุณหลวง หรือคุณพระ)
ร่างหนังสือราชการ เจ้าพระยาฯ บังเอิญลืมไปกระทั่ง ๒-๓ วันให้หลัง ล้นเกล้าฯ
ทวงถาม ด้วยความเกรงพระอาญาฯ เจ้าพระยาฯ จึงทำเป็นเปิดหนังสืออ่านถวาย

พอจบคำ ก็มีพระราชวินิจฉัยว่า ดี แต่ดูเหมือนมีที่ไม่ถูกพระทัยเล็กน้อย ตรัสแล้ว
ก็ดึงหนังสือจากมือเจ้าพระยาฯ ไปเพื่อจะทอดพระเนตร ทรงเห็นเป็นกระดาษเปล่า
ก็ยกทั้งสมุดฟาดศีรษะเจ้าพระยาฯ คืนมา พร้อมคาดโทษให้ไปร่างมาให้เหมือนปากพูด
มิฉะนั้นจะโดนลงอาญา เจ้าพระยาก็สามารถร่างหนังสือถวาย รอดพ้นโทษไปได้

นี่แหละครับคือหนึ่งในคนดีศรีอยุธยา กำลังสำคัญที่ช่วยกู้บ้านกู้เมืองคืนมา
ให้ไทยยังคงเป็นไทยกระทั่งทุกวันนี้

ในบั้นปลาย ท่านเป็นแม่งานก่อสร้างเขามอวัดราชคฤห์ แล้วเขียนกลอน
เป็นอนุสรณ์ไว้ ชอบใจที่สุดคือตอนท้ายที่ท่านอธิษฐานเอาอานิสงส์
คงจะโดนใจอีกหลายคน

.......

ขอตั้งปรารถนาศิวาลัย
แม้ยังไป่ล่วงลุแก่มรรคผล
จะเที่ยวท่องอยู่ในท้องชเลวน
จงอย่าพ้นสมบัติสองประการ

กำเนิดภพมนุษย์ให้ไพบูลย์
ในตระกูลกษัตริย์มหาศาล
เป็นชายชาตินักปราญช์อันปรีชาญ
อนึ่งให้พานพบพุทธพยากรณ์

แม้อุบัติในสวรรค์ชั้นใดใด
จงเป็นอธิปไตยอดิศร
ให้รู้รสธรรมาในอาวรณ์
เป็นที่อมรเทพอัญชลี

หนึ่งแม้นจะเวียนวนในชนชาติ
ให้นิราศอบายทุกข์ทั้งสี่
กว่าจะเสร็จศิวโมกข์โมลี
บุรีรัตน์มหานิพพานเอย ฯ

เด็กเมื่อวานซืน 27-02-2009 12:42

เสริม คุณพี่คนเก่าครับ

ตำแหน่งเดิมของ ท่านเจ้าคุณพระคลัง ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ท่านดำรงค์ตำแหน่ง หลวงสรวิชิต นายด่านเมืองอุทัยธานี ครับ

ท่านมีความชอบในการนำความวุ่นวายในเมืองธนบุรีไปถวายรายงาน ต่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อครั้งยังทรงพระยศเป็น สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ณ ด่านพระจารึก ครับ

ผลงานด้านวรรณกรรมของท่าน นอกจากจะเป็นแม่กองควบคุมการแปล นวนิยายสามก๊ก แล้ว ก็ยังมีอีกหลายงานครับ ที่อยากจะแนะนำคือ ลิลิตกระบวนพยุหะเพชรพวง อันเป็น ลิลิตที่พรรณาถึง ขบวนพยุหะในการเสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท ที่ สระบุรี ของพระเจ้าแผ่นดิน ครั้งสมัยอยุธยา ครับ (ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะเป็นยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราชครับ )

ซึ่งในลิลิตฯ นี้จะพรรณาเป็นร้อยแก้ว ยิ่งถ้าได้ดูแผนผังภาพขบวนพยุหะประกอบ ก็จะยิ่งเข้าใจชัดเจนมากยิ่งขึ้นครับ เมื่อปีที่แล้ว สมาคมห้องสมุดไทย ได้จัดพิมพ์หนังสือลิลิตฯ นี้ขึ้นมา แต่น่าเสียดายว่า ไม่ยอมจำหน่ายครับ แต่แจกฟรีสำหรับหน่วยงานทั่ว ๆ ไป ครับ (อดซื้อเก็บตามระเบียบ)

สำหรับภาพประกอบลิลิตฯ นี้ เราท่านอาจจะผ่านตามาบ้างแล้ว ไม่มากก็น้อย ก็คือ ภาพเขียนในพระอุโบสถ ของ วัดยม ที่จังหวัดอยุธยา ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ภาพนี้ได้ลบเลือนหายไปหมดแล้ว เพราะว่าเนื่องจากโดนน้ำฝนชะล้างออกไปจนหมด ประกอบกับ ท่านเจ้าอาวาสในยุคต่อ ๆ มาก็ไม่ได้ทำการบูรณะด้วยครับ

แต่โชคยังดีอยู่ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการ ให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์หนึ่ง (จำพระนามไม่ได้เสียแล้ว) ได้ไปคัดลอกภาพเหล่านั้นเอาไว้ได้ก่อนที่จะเลือนหายไปหมดครับ แต่ตอนที่ไปดำเนินการคัดลอกนั้น ก็ไม่ได้ครบทุกภาพ เพราะบางส่วนก็เลือนหายไปแล้วครับ


ขอแนบภาพประกอบนะครับ
เป็นส่วนหนึ่งของ ภาพกระบวนพยุหเพชรพวง ครับ ถ้าจำไม่ผิด จะเป็นระดับชั้นขุนนางที่กำลังบังคับช้างอยู่ (ดูตรงฉัตรกลางช้าง ๕ ชั้น) และ แถวหน้าและหลังจะเป็นบ่าวไพร่คอยเดินตามครับ จะเห็นว่ามีบ่าวถือสัปทนกั้นหน้า และ บ่าวด้านหลังถือเครื่องประกอบยศตามครับ (เช่น พานหมาก,พวกเครื่องถมเงิน ถมทองต่าง ๆ ตามที่ได้รับพระราชทานตามชั้นยศแลตำแหน่ง)

ส่วนภาพนี้ เป็นกระบวนทัพหลังครับ คราวงานพระราชสงครามศึกเมืองทวาย ปลายรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ครับ

คนเก่า 27-02-2009 13:49

พาออกนอกเรื่องไป ก็ต้องพาเลี้ยวกลับ ใช้หนี้ท่านทิด ผู้เริ่มเรื่องสงครามเก้าทัพ ด้วยพระราชนิพนธ์นิราศท่าดินแดง

นิราศเรื่องนี้ได้ทรงพระราชนิพนธ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ เมื่อคราวเสด็จไปทรงทำศึกกับพม่า ที่ยกมารุกรานไทยที่ท่าดินแดง ทรงเสด็จไปการทัพครั้งนี้พร้อมกับ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ได้เสด็จโดยขบวนเรือจากกรุงเทพ ฯ ไปจนถึงเมืองไทรโยค แล้วจึงเดินทัพทางบกต่อไป

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ทรงเข้าตีค่ายพม่าที่ท่าดินแดง ในขณะที่กรมพระราชวังบวร ฯ ทรงเข้าตีค่ายพม่าที่ตำบลสามสบ ได้เข้าตีค่ายพม่าพร้อมกันทั้งสองทัพ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๓๒๙ รบกันอยู่ สามวัน ถึงวันที่ ๒๓ เวลาบ่าย ฝ่ายไทยตีฝ่าเข้าค่ายพม่าได้ และได้รบติดพันกันอยู่จนพลบค่ำ พม่าจึงทิ้งค่ายแตกหนีไป กองทัพไทยได้ไล่ติดตามไปถึงค่ายพระมหาอุปราชา ที่ตำบลแม่กษัตร พระมหาอุปราชารู้ว่ากองทัพหน้าแตกแล้วก็ไม่ให้คิดต่อสู้ กองทัพพม่าแตกยับเยิน เสียรี้พลและอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย โดยเฉพาะปืนใหญ่ไม่สามารถจะลากกลับไปได้แม้แต่กระบอกเดียว

แสนรักสุดรักภิรมย์สมร
ทุกอนงค์ทรงลักษณ์อันสุนทร
สถาวรพูนสวาดิสวัสดี
ประกอบศักดิ์สมบูรณ์จำรูญเนตร
อัคเรศงอนงามจำเริญศรี
แสนกระสันปั่นป่วนฤดีทวี
มีมโนเสน่ห์น้อมถนอมนวล
อันราคีมิให้เคืองระคางข้อง
ปองประคองนิ่มเนื้อนวลสงวน
หวังสวาสดิ์มิรู้ขาดอารมณ์ครวญ
เป็นที่ชวนชูชื่นทุกอิริยา
เกษมสุขภิรมย์สมสมาน
เคยสำราญมิได้แรมนิราศา
ไม่นิราศขาดชมสักเวลา
บำเรอล้อมพร้อมหน้าไม่ราวัน

นิจาเอ๋ยโอ้กรรมจึงจำไกล
มาซ้ำให้ทุเรศร้างมไหสวรรย์
ก็เพราะมีอธิราชไภยัน
เข้าหักหั่นด่านแดนบุรีรมย์

จึงต้องกรูกรีธาพลากร
มาจำจรจากสุขเกษมสม
สารพัดสิ่งสวัสดิ์ที่เคยชม
ก็นิยมให้วิโยคด้วยจำเป็น


เมื่อวันออกนาเวศทุเรศสถาน
แสนสงสารสุดอาไลยใครจะเห็น
พี่เคยทัศนาเจ้าทุกเช้าเย็น
เพราะเกิดเข็ญจึงต้องละสละมา
ครั้นถึงด่านดาลเทวษทวีถึง
คนึงในให้หวนละห้อยหา
ถึงนางนองเหมือนพี่นองชลนา
ยิ่งทวาอาวรณ์สท้อนใจ
ครั้นถึงโขลนทวารยิ่งลานแล
ให้หวาดแหวอารมณ์ดังลมไข้
จนลุล่วงคลองชลามหาไชย
ย่านไกลสุดสายในตาแล
เหมือนอกเราที่นิรามาทุเรศ
เหลือสังเกตมุ่งหามาห่างแห
ระกำเดียวเปลี่ยวดิ้นฤดีแด
จนล่วงกระแสสาครบุรีไป
ลุสถานบ้านบ่อนาขวาง
ให้อางขนางร้อนรนกมลไหม้
ถึงย่านซื่อเหมือนพี่ซื่อสังวรใจ
มิได้มีลำเอียงเที่ยงธรรม
เมื่อถึงสามสิบสามคดแล้ว
แคล้วแคล้วเหมือนจะกลับมารับขวัญ
คล้ายคล้ายอัษฎงค์พระสุริยัน
ก็บรรลุถึงคลองสุนัขใน
พอชลาถอยถดลดลงฝั่ง
เรือดั่งเคืองเขินไม่เดินได้
พลพายรายกันลงเข็นไป
เหมือนเข็ญใจเคืองจิตที่จากมา
ครั้นเพลาสุริยาอรุณเรือง
แสงประเทืองเบื้องบูรพ์ทิศา
พอตกลึกแล้วให้ล่องนาวาคลา
ประทับท่าเมืองสมุทรบุรีรมย์
อันฝูงชนชาวบ้านย่านนั้น
ผิวพรรณไม่รื่นรวยสวยสม
ไม่เป็นที่ชวนชื่นอารมณ์ชม
ยิ่งเกรียมกรมสุดแสนระกำใจ
ให้ปั่นป่วนหวนสวาสดิ์ประวัติหา
จะดูใครไม่พาใจชื่นได้
จึงให้ออกนาวาคลาไคล
รีบไปตามสายชลธี
อันเรือหลังดั้งกันสิ้นทั้งหลาย
ก็พายแซงแข่งขึ้นไปอึงมี่
โห่สนั่นครั่นครื้นทั้งนาวี
มีแต่ความเกษมสุขไปทุกคน
เสียงเส้าเร้าเร่งพลพาย
เหมือนรักหมายสายสวาททุกขุมขน
ให้อักอ่วนป่วนจิตจลาจล
ถึงตำบลบางกุ้งเป็นคุ้งเลี้ยว
ยิ่งลับไม้ไกลเนตรทุเรศสถาน
ให้แดดาลหวั่นหวั่นกระสันเสียว
ดังเอกามาแต่นาวาเดียว
เปลี่ยวสวาสดินิราศไร้ภิรมย์ชม
มาถึงย่านนกแขวกแสกส่งเสียง
ทั้งสำเนียงถอนใจเพียงใจล่ม
เคยยินเสียงประโคมขานสำราญรมย์
โอ้ครั้งนี้มาระงมแต่เสียงนก
แสนทุเรศเวทนานิจาเอ๋ย
นี่ใครเลยจะเล็งเห็นในอก
ได้ระกำช้ำใจมาหลายยก
หวังจะป้องปิดปกให้พ้นไภย
มิให้หมู่พาลาอาธรรม์
มาย่ำยีเขตขัณฑ์บุรีได้
จึงสู้สละรักหักใจ
มาทนเทวษอยู่ไกลเอกา .........

เด็กแดง 09-04-2009 15:34

ดีใจจังค่ะ...เข้ามาได้แล้ว..วันแรกเลยค่ะ
ขออีกได้ไหมคะ..ชอบมาก ๆ ค่ะ ยังไม่จุใจเลยค่ะ

คนเก่า 09-04-2009 17:18

มาถึงก็ใช้งานคนแก่เชียว


...ถึงบำหรุเหมือนพี่นิราศรัก
ให้อักอ่วนครวญใคร่อาลัยหา
ครั้นลุราชบุรีภิรมยา
ที่อาทวาหักอารมย์ค่อยสมประดี
จึงรีบรัดจัดหมู่โยธา
ให้อยู่รักษาบุรีศรี
ครั้นอรุณเรืองแรงแสงรวี
ก็จรลีนาเวศทุเรศจร
ด่วนเดินทางโดยทางชลมารค
แสนลำบากด้วยร้างแรมสมร
กระหายหิวหวิวใจให้อาวรณ์
แต่ข้อนข้อนขุ่นเข็ญเป็นนิรันดร์
ถึงท่าราบเหมือนพี่ทาบทรวงถวิล
ยิ่งโดยดิ้นโหยหวนครวญกระสัน
ด้วยได้ทุกข์ฉุกใจมาหลายวัน
จนบรรลุเจ็ดเสมียนตำบลมา
ลำลำจะใคร่เรียกเสมียนหมาย
มารายทุกข์ที่ทุกข์คนึงหา
จึงรีบเร่งนาเวศครรไลยคลา
พอทิวากรเยื้องจะสายัณห์
ก็ลุถึงวังศาลาท่าลาด
ชายหาดทรายแดงดังแกล้งสรร
จึงประทับแรมรั้งยังที่นั้น
พอพักพวกพลขันธ์ให้สำราญ
พรั่งพร้อมล้อมวงเป็นหมู่หมวด
ชาวมหาดตำรวจแลทวยหาญ
เฝ้าแหนแน่นนันต์กราบกราน
นุ่งห่มสะคราญจำเริญตา
ต่างว่าจะเข้าโหมหักศึก
ห้าวฮึกขอขันอาสา
ไม่คิดกายขอถวายชีวา
พร้อมหน้าถ้วนทุกตัวไป
แต่ตริการที่จะผลาญอรินราช
จนโอภาสแสงจันทร์จำรัสไข
ให้ขุกคิดอาวรณ์สะท้อนใจ
ถึงอนงค์นางในไม่รู้วาย
ด้วยเคยทอดทัศนาไม่รารัก
ภิรมย์พักตร์ร้องรำบำเรอถวาย
บ้างเฝ้าแหนหมอบเมียงเรียงราย
กรกรายโบกพัชนีพาน
ยิ่งเร่าร้อนทอนทอดฤทัยทุกข์
เมื่อเคยสุขฤามาเสื่อมทุกสิ่งสมาน
จนลืมหลงที่ดำรงดำริการ
แต่เดือดดาลอารมณ์ไม่สมประดี
จนเพลาสิบทุ่มยิ่งรุ่มร้อน
ให้ยกพลนิกรออกจากที่
กระบวนทัพซับซ้อนมามากมี
โห่มี่สะเทือนก้องท้องวาริน
ถึงม่วงชุมเหมือนเคยประชุมเฝ้า
ยิ่งร้อนเร่ารื้อกำหนัดประวัติถวิล
ยามเสวยเคยเห็นเป็นอาจิณ
แดดิ้นถึงเนื้อวิมลมาลย์
แสนเทวษเสื่อมสิ้นสิ่งสวาสดิ
ด้วยนิราศแรมร้างห่างสถาน
ถึงยามชื่นมิได้ชื่นสำราญบาน
แต่นี้นานสวาสดิ์เว้นไม่เห็นใคร

ถึงปากแพรกซึ่งเป็นที่ประชุมพล
พร้อมพหลพลนิกรน้อยใหญ่
ค่ายคูเขื่อนขัณฑ์ทั้งนั้นไซ้
สารพัดแต่งไว้ทุกประการ
จึงรีบรัดจัดโดยกระบวนทัพ
สรรพด้วยพยุหทวยหาญ
ทุกหมู่หมวดตรวจกันไว้พร้อมการ
ครั้นได้ศุภวารเวลา
ให้ยกพลขึ้นทางไทรโยคสถาน
ทั้งบกเรือล้วนทหารอาสา
จะสังหารอริราชพาลา
อันสถิตย์อยู่ยังท่าดินแดง....

คนเก่า 09-04-2009 17:47

ครั้นเดือนสามวันแรมเก้าค่ำ
ย่ำรุ่งสี่บาทอรุณแสง
จึงให้ยกพหลรณแรง
ล้วนกำแหงหาญเหี้ยมสงครามครัน
ไปโดยพยุหบาตรรัถยา
พลนาวาตามไปเป็นหลั่นหลั่น
สะพรึบพร้อมหน้าหลังดั้งกัน
โห่สนั่นสะเทือนท้องนทีธาร
รีบเร่งพลพายให้เร่งพาย
ฝืนสายชลเชี่ยวฉ่าฉาน
ถึงตำแหน่งแก่งหลวงศิลาดาล
ชลธารไหลเชี่ยวเป็นเกลียวมา
แต่จำเพาะเตราะตรอกซอกทาง
แก่งเกาะขัดขวางอยู่หนักหนา
แสนลำบากยากใจที่ไคลคลา
ใครจะเห็นเวทนาบรรดามี
สองวันบรรลุถึงวังยาง
คนึงวังอ้างว้างเกษมศรี
เคยเป็นสุขทุกเวลาราตรี
โอ้ครานี้มีกรรมมาจำไกล

ถึงบางลางยิ่งดาลทรวงสมร
ให้ขุ่นข้อนอารมณ์หม่นไหม้
จึงเร่งรีบนาวาคลาไคล
มาถึงไศลชลชีสีขริน
สูงส่งตรงโตรกโดดเดี่ยว
อยู่ริมสายชลเชี่ยวกระแสสินธุ์
พรายแพร้วดังแก้วแกมนิล
ปักษินบินร้องร้องระงมไพร
บ้างจับไม้รายเรียงบนเชิงเขา
บ้างง่วงเหงาหาคู่พิศมัย
นกเอ๋ยยังรู้มีอาลัย
อกเราฤๅจะไม่เวทนา
ครั้นบรรลุถึงศาลเทพารักษ์
อันพิทักษ์ปากน้ำประจำท่า
มีแต่ศาลสันโดษอยู่เอกา
คิดมาเหมือนอกพี่ที่จากจร
เห็นอารักษ์แล้วคิดสังเวชจิต
มาใช้มิตรเหมือนพี่ร้างแรมสมร
สารพัดจะวิบัติอนาทร
แต่ร้อนแรมตามทางทุเรศมา
ครั้นมาถึงวังนางตะเคียน
พิศเพี้ยนมิ่งไม้ใบหนา
ตั้งเคียงเรียงราบริมชลา
สาขารื่นรมสำราญใจ
ต้นไม้เปลาเปลาอยู่สล้าง
เหมือนไม้กระถางวางเรียงงามไสว
ชมพลางพลางรีบนาวาไป
บรรลุล่วงมาได้หลายตำบล
มาพลางทางแสนคนึงหา
นัยนาแลลับไพรสณฑ์
ยิ่งแดดาลร่านร้อนทุรนทน
จนลุดลเข้าท้องไอยรารมย์

เป็นช่องชั้นเชิงผาศิลาลาด
รุกขชาติรื่นรวยสวยสม
ไพจิตรพิศพรรณอยู่น่าชม
ลมพัดพากลิ่นสุมาลย์มา
มีท่อธารน้ำพุดุดัน
ตลอดลั่นไหลลงแต่ยอดผา
เป็นโปลงปล่องช่องชั้นบรรพตา
เซนซ่าดังสายสุหร่ายริน
บ้างเป็นท่อแถวทางหว่างบรรพต
เลี้ยวลดไหลมามิรู้สิ้น
น้ำใสไหลรินซอกศิขริน
แสนถวิลถึงสวาดิไม่คลาดคลา
เกษมสุขสรงสนานสำราญเริง
บันเทิงจิตพิศวงหรรษา
ชลอได้ก็จะใคร่ชลอมา
ให้เป็นที่ผาสุขทุกนางใน
คิดเคยเมื่อเคยสรงสนาน
สุธาธารทิพรสสดใส
อันหอมหวลอวลอบสุมาไลย
มาร้างไร้สุคนธกำจร
เจ้าเคยถวายภูษาสุธาสรง
อันบรรจงทิพรสเกษร
เคยไพบูลย์ด้วยดรุณนิกร
ทีนี้มาจำจรอยู่เอกา
ชมเขาลำเนาพนาวาศ
แสนสวาดิไม่วายถวิลหา....

คนเก่า 09-04-2009 17:58

ถึงไทรโยคปลายแดนนัครา
มิให้หยุดโยธาเร่งคลาไคล
แต่เห็นทางท่าชลานั้น
เป็นเกาะแก่งขัดขึ้นล้วนเนินไศล
ยากที่นาวีจะหลีกไป
จึงสั่งให้รอรั้งยั้งนาวา
เร่งรีบคชสารอัสดร
บทจรตามแถวแนวพฤกษา
ชมพรรณมิ่งไม้นานา
บ้างทรงผลผกาเขียวขจี
ลางต้นสาขาดูน่าชม
รื่นร่มมิดแสงพระสุริยศรี
สดับเสียงปักษาสุวาที
ลิงค่างบ่างชนีวิเวกดง
เสนาะเสียงจักจั่นสนั่นไพร
แม่ม่ายลองในในป่าระหง
เรไรร้องหริ่งหริ่งอยู่ริมพง
ส่งเสียงดังสำเนียงอนงค์นวล
คิดคล้ายลม้ายเหมือนดนตรี
จำเรียงรี่เรื่อยโรยโหยหวน
ยิ่งซับซาบอาบชื่นอารมณ์ชวน
กำสรวลว้าเหว่ทุเรโรย
ฟังแต่เสียงสำเนียงนกวิหคร้อง
วิเวกก้องเกริ่นไพรฤทัยโหย
รุกขชาติแกว่งกวัดสบัดโบย
ลมโชยคันธรสจรุงใจ
ตะวันรอนอ่อนแสงจะอัสดง
เหล่าจัตุรงค์เตรียมกายทั้งนายไพร่
แรมรอนนอนแนวพนาไลย
แต่ไศลป่าระหงดงดอน
นอนเดียวเปลี่ยวเทวษทวีทุกข์
ไม่มีสุขเร่าร้อนสท้อนถอน
แสงจันทร์ส่องสว่างกลางอัมพร
ยิ่งอาวรณ์หวังสวาดิไม่ขาดคิด
วายุพัดพานดวงศศิธร
เขจรจรบังเมฆมิดสนิท
พิรุณโรยโปรยปรายใบไม้ชิด
สะท้านจิตเจียนจักเป็นไข้ใจ
เย็นฉ่ำน้ำฟ้าละอองฝน
มาทนเทวษครั้งนี้จะมีไหน
ถึงทั้งหลายหนาวกายได้ผิงไฟ
ไม่เหมือนพี่หนาวใจที่ในทรวง
เห็นดาวดึกนึกหวนรัญจวนหา
ในอุษาเพียงทับด้วยเขาหลวง
อันหาบหามที่เขาตามมาทั้งปวง
ไม่หนักทรวงเหมือนพี่หนักอาลัยไกล
เขาหนักหาบถึงที่ก็ได้พัก
พี่หนักรักนี้ไม่ปลงเอาลงได้
มีแต่คอยคอยทุกข์ทุกวันไป
จะเห็นใจฤาที่ใจการุณกัน
แต่นอนนิ่งกลิ้งกลับไม่หลับสนิท
ยิ่งคิดคิดก็ยิ่งโทมนัสสัน
จนอรุณเรืองศรีรวีวรรณ
จึงให้ยกพลขันธ์ยาตรา
ออกจากเนินผาศิลาพนัส
เร่งรัดทวยหาญทั้งซ้ายขวา
ไปตามแนวแถวในพนาวา
พอสุริยาสายัณห์ลงรอนรอน
ก็ถึงด่านท่าขนุนโดยหมาย
ให้ตั้งค่ายตามเชิงศิขร
แล้วรีบเร่งพหลพลนิกร
ทั้งลาวมอญเขมรไทยเข้าโจมตี
ทัพพม่าอยู่ยังท่าดินแดง
แต่งค่ายรายไว้เป็นถ้วนถี่
ทั้งเสบียงอาหารสารพันมี
ดังสร้างสรรค์ธานีทุกประการ
มีทั้งพ่อค้ามาขาย
ร้านรายกระท่อมพลทุกสถาน
ด้านหลังท่าทางวางตะพาน
ตามละหานห้วยน้ำทุกตำบล
ร้อยเส้นมีฉางระหว่างค่าย
ถ่ายเสบียงมาไว้ทุกแห่งหน
แล้วแต่งกองร้อยอยู่คอยคน
จนตำบลสามสบครบครัน
อันค่ายคูประตูหอรบ
ตบแต่งสารพันเป็นที่มั่น
ทั้งขวากหนามเขื่อนคูป้องกัน
เป็นชั้นชั้นอันดับมากมาย
ให้ทหารเข้าหักโหมโรมรัน
สามวันพวกพม่าก็พังพ่าย
แตกยับกระจัดพลัดพราย
ทั้งค่ายคอยน้อยใหญ่ไม่ต่อดี
ให้ติดตามไปจนแม่กษัตร
เหล่าพม่ารีบรัดลัดหนี
บ้างก็ตายก่ายกองในปัถพี
ด้วยเดชะบารมีที่ทำมา

ตั้งใจจะอุปถัมภก
ยอยกพระพุทธศาสนา
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา
รักษาประชาชนแลมนตรี


จะบำรุงทั้งฝูงสุรางค์รัก
ให้อัคเรศเป็นสุขเจริญศรี
ครั้นเสร็จการผลาญราชไพรี
ก็ให้กรีธาทัพกลับมา
ทั้งทิวาราตรีไม่หยุดหย่อน
ด้วยอาวรณ์ทนเทวษถวิลหา
แสนคนึงถึงสวาดิไม่คลาดคลา
แต่พร่ำปรารภนั้นเป็นอาจิณ
จิตเจ็บจะขาดด้วยนิราศรส
จะอดไว้ก็สุดอาลัยถวิล
อันบำราบรบราชไพริน
ถึงจะไร้ศรศิลป์ที่ชิงไชย
ก็พอจะพยายามตามตี
ให้ชนะไพรีจงได้
จะสู้สงครามรักนี้หนักใจ
ด้วยไร้ศรรสสวาดิจะราวี
อันแสนศึกทั้งหลายก็พ่ายแพ้
ยากแต่จะรบรักให้หน่ายหนี
ที่ลำบากแต่หลังในครั้งนี้
สุดที่จะปรับทุกข์กับผู้ใด
อันฝูงสุรางค์นางทั้งหลาย
ยังค่อยอยู่สุขสบายฤาไฉน
ฤาในจิตคิดอ่านประการใด
อย่าอำไว้จงแจ้งแต่จริง เอย ฯ

สไบเงิน 09-04-2009 23:14

ทราบมาว่า ยังมีเหรียญ "วังหน้า" ไว้ให้บูชาอยู่ที่วัดมหาธาตุ ใกล้ ๆ ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ค่ะ

เคยมีรุ่นพี่ท่านหนึ่งบอกว่า ท่านเก็บเอาไว้ให้ลูกหลานท่านมาบูชา เพราะว่าสร้างไว้นานมากแล้ว และมีพระเกจิฯ ระดับสูงเมตตาปลุกเสก ไม่น่าจะเหลือมาถึงรุ่นเราให้ไปบูชากันได้ค่ะ

ชไมเคิลเชื่อสนิทใจว่าเป็นลูกหลานวังหน้าของแท้ดั้งเดิม เพราะว่าเกิดที่โรงพยาบาลศิริราช แล้วก็ยังได้เรียนที่ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ซึ่งเป็นที่ดินของวังหน้าอีกด้วยค่ะ
(เพราะตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้รับความเมตตาจากท่านปู่พระอินทร์จับยัดเข้ามาเรียนในธรรมศาสตร์ได้ด้วยคะแนนสอบที่ฉิวเฉียดจริง ๆ )
แถมยังได้มีโอกาสบูชาเหรียญวังหน้าอีกด้วย:af48944b:

เด็กเมื่อวานซืน 10-04-2009 09:29

พื้นที่ของโรงพยาบาลศิริราชนั้น แต่เดิมเป็นบริเวณพระราชวังของกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข (วังหลัง) ซึ่งจะมีอาณาบริเวณเริ่มตั้งแต่วัดอมรินทราราม(วัดหลวงพ่อโบสถ์น้อย)เขตบางกอกน้อยไปจนสุดถึงบริเวณนันทอุทยานของกองทัพเรือครับ ปัจจุบันยังมีแนวคูของพระราชวังหลังเดิมอยู่นะครับ

บริเวณวังหน้านั้นพื้นที่จะครอบคลุมตั้งแต่บริเวณสนามหลวงทั้งหมดไปจนถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,วิทยาลัยนาฏศิลป์,และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติครับ

สไบเงิน 10-04-2009 12:54

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เด็กเมื่อวานซืน (โพสต์ 3876)
พื้นที่ของโรงพยาบาลศิริราชนั้น แต่เดิมเป็นบริเวณพระราชวังของกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข (วังหลัง) ซึ่งจะมีอาณาบริเวณเริ่มตั้งแต่วัดอมรินทราราม(วัดหลวงพ่อโบสถ์น้อย)เขตบางกอกน้อยไปจนสุดถึงบริเวณนันทอุทยานของกองทัพเรือครับ ปัจจุบันยังมีแนวคูของพระราชวังหลังเดิมอยู่นะครับ

บริเวณวังหน้านั้นพื้นที่จะครอบคลุมตั้งแต่บริเวณสนามหลวงทั้งหมดไปจนถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,วิทยาลัยนาฏศิลป์,และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติครับ

เป็นนัยยะบางอย่างที่มิอาจเปิดเผยได้ค่ะ
ชไมเคิลเป็นผีติดที่
เกิดศิริราช
ก็เลือกที่จะไปบริจาคเลือดที่ศิริราชเท่านั้น
จะบริจาคอวัยวะ ก็จะเลือกไปที่ศิริราชอีกค่ะ
แม้กระทั่งจะดื่มกาแฟเย็น ที่ท่าน้ำศิริราชก็เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งในใจอีกด้วยค่ะ
:msn_smilies-22:

สไบเงิน 10-04-2009 12:58

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คนเก่า (โพสต์ 3875)
ฝากลูกหลานวังหน้าบูชาให้ได้ไหมจ๊ะ

หากมีโอกาสผ่านไปในเวลาทำการก็ยินดีให้บริการเสมอค่ะ (สถานที่ให้บูชานั้นเป็นตึกในวัดมหาธาตุที่เปิดทำการในเวลาราชการค่ะ)
แล้วจะมาแจ้งภายหลังนะคะ:msn_smilies-22:

ฅนเมืองพริบพรี 26-10-2009 14:26

ขอน้อมกราบบูชาคุณขององค์ท่านที่มีต่อชาติ พระศาสนามาตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน

ข้าพเจ้าเองก็มีความผูกพันกับท่านมาก คิดเอาเองว่าคงจะเป็นลูกหลานหรือบริวารของท่านมาแต่กาลก่อน มาจนถึงปัจจุบัน ก็ได้มาเจอท่านตั้งใจว่าจะพยายามปฏิบัติตามท่านเพื่อเข้าถึงความดีที่ท่านถึงแล้วในชาติปัจจุบันนี้

- ความเศร้าหมองย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มีสติสมบูรณ์ -
ผมชอบประโยคนี้มากครับ

ฅนเมืองพริบพรี 03-11-2009 13:08

ในวันนี้เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของ
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (วังหน้าพระยาเสือ)
ข้าพระองค์ขอน้อมบูชาคุณความดีที่พระองค์ท่านสร้างไว้ต่อแผ่นดินไทย และพระพุทธศาสนา

เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๓๔๖

มีเรื่องเล่าว่าระหว่างทรงประชวร
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทโปรด ฯ ให้เชิญพระองค์ขึ้นเสลี่ยงเสด็จออกไปวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ (ต่อมาเรียกวัดมหาธาตุ) เพื่อนมัสการพระประธานในพระอุโบสถทรงจบพระหัตถ์อุทิศถวายพระแสงเพื่อเป็นพุทธบูชาเพื่อให้ทำเป็นราวเทียน เป็นที่มาของรูปแบบพระบวรอนุสาวรีย์หน้าวัดมหาธาตุในปัจจุบัน
ครั้งนั้นเล่ากันว่าทรงบ่นว่า "ของนี้กูอุตสาห์ทำด้วยความคิดและเรี่ยวแรงเป็นหนักหนา...ต่อไปก็จะเป็นของท่านผู้อื่น...และทรงแช่งตอนหนึ่งว่า
"...นานไปใครที่มิใช่ลูกกู ถ้ามาเป็นเจ้าของเข้าครอบครอง
ขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข..."
(สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ "ตำนานวังหน้า"
ประชุมพงศาวดารภาค ๑๓ อ้างในสมโชติ อ๋องสกุล "วังหน้า:ประวัติศาสตร์เมื่อ ๒๐๐ ปี บนดินแดนธรรมศาสตร์" ๒๕๒๕)

***ตลอดพระชนม์ชีพที่ทรงรับราชการ รวมระยะเวลา ๓๕ ปี จนกระทั่งสงครามครั้งสุดท้ายกับพม่าที่เมืองล้านนา และ รวมตลอดพระชนม์ชีพ พระองค์ทำสงครามถึง ๒๔ ครั้ง เพื่อกอบกู้เอกราชและสร้างความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
***ความยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล พูดอย่างชาวบ้าน ว่า ท่านเกิดมาเพื่อรบ หรือ เกิดมาพร้อมกับดาบ แม่ทัพพม่าที่เป็นคู่รบให้สมัญญานามว่า “พระยาเสือ” ตรงกับพระนามที่ได้รับการอุปราชาภิเษก นับว่าท่านเป็นนักรบโดยแท้


สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท (วังหน้าพระยาเสือ)
ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดตองปุแล้วถวายเป็นพระอารามหลวง
โปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามใหม่ว่า วัดชนะสงคราม
เพื่อเป็นพุทธบูชาในการพระราชสงคราม
ที่พระองค์ทรงมีชัยชนะต่อพม่าในการรบทั้ง ๓ ครั้ง
ทั้งในสงครามเก้าทัพ ปี ๒๓๒๘
ศึกท่าดินแดงและสามสบ ปี ๒๓๒๙
และสงครามที่นครลำปางป่าซาง ในปี ๒๓๓๐
และได้โปรดให้บรรจุ พระเนื้อดินดิบ "วัดชนะสงคราม"
ไว้ในกรุพระเจดีย์เพื่อถวายเป็นเครื่องพุทธบูชา
หลังจากที่ต้องสังเวยชีวิตผู้คนมากมายเพื่อรักษาแผ่นดินเอาไว้

เด็กเมื่อวานซืน 03-11-2009 13:15

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ฅนเมืองพริบพรี (โพสต์ 24243)
มีเรื่องเล่าว่าระหว่างทรงประชวร
กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทโปรด ฯ ให้เชิญพระองค์ขึ้นเสลี่ยงเสด็จออกไปวัดพระศรีสรรเพ็ชญ์ (ต่อมาเรียกวัดมหาธาตุ) เพื่อนมัสการพระประธานในพระอุโบสถทรงจับพระหัตถ์อุทิศถวายพระแสงเพื่อเป็นพุทธบูชาเพื่อให้ทำเป็นราวเทียน เป็นที่มาของรูปแบบพระบวรอนุสาวรีย์หน้าวัดมหาธาตุในปัจจุบัน
ครั้งนั้นเล่ากันว่าทรงบ่นว่า "ของนี้กูอุตสาห์ทำด้วยความคิดและเรี่ยวแรงเป็นหนักหนา...ต่อไปก็จะเป็นของท่านผู้อื่น...และทรงแช่งตอนหนึ่งว่า
"...นานไปใครที่มิใช้ลูกกู ถ้ามาเป็นเจ้าของเข้าครอบครอง
ขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข..."
(สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ "ตำนานวังหน้า"
ประชุมพงศาวดารภาค ๑๓ อ้างในสมโชติ อ๋องสกุล "วังหน้า:ประวัติศาสตร์เมื่อ ๒๐๐ ปี บนดินแดนธรรมศาสตร์" ๒๕๒๕)

จบ หมายถึง การยกของขึ้นหรือพนมมือเหนือหน้าผากเพื่อตั้งใจอุทิศให้เวลาทำบุญ,
อีกความหมายคือ กิริยาที่ช้างชูงวงขึ้นเหนือหัวทําความเคารพ


ใช่

ฅนเมืองพริบพรี 03-11-2009 13:28

สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท
(พระนามล่าสุดที่ถูกต้องและสมพระเกียรติที่สุด)

ทรงเป็นผู้เสกสร้างและค้ำจุนราชบัลลังก์ทูนถวายแด่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์ทรงเป็นแม่ทัพคู่พระทัยของสองมหาราชไทย

และทรงคือมหาบุรุษผู้รักษาเอกราชของชาติไทยไว้มิให้ล่มจมเป็นครั้งที่ ๓ มาจนสิ้นอายุขัย นอกจากการศึกสงครามแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นกำลังสำคัญในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและสร้างพระนครให้มั่นคงเป็นสง่าเชิดชูพระเกียรติแห่งราชวงศ์จักรีอีกด้วย

นอกจากนี้ พระองค์ทรงสถาปนาและปฏิสังขรณ์ วัดหลายแห่ง เช่น วัดมหาธาตุฯ วัดชนะสงคราม วัดโบสถ์ วัดบางลำภู วัดสมอแครง วัดส้มเกลี้ยง วัดสำเพ็ง วัดครุฑ เป็นต้น แม้ในช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพ พระองค์ได้รับสั่งให้คนหามพระองค์เข้าไปในพระอุโบสถวัดมหาธาตุฯ ทรงเอาเทียนติดพระแสงดาบแล้วตั้งสัตยาธิษฐานถวายพระแสงดาบเป็นราวเทียนพุทธบูชาหน้าพระประธานพระพุทธปฏิมากร

พระองค์ทรงพระประชวรด้วยพระโรคนิ่ว เมื่อครั้งเสด็จยกทัพไปช่วยเมืองเชียงใหม่เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๔๕ หลังเสร็จศึกเสด็จกลับมากรุงเทพ ฯ พระโรคกำเริบมากขึ้น และเสด็จสวรรคตเมื่อแรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๓๔๖ สิริพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา
พระองค์ได้สถาปนา วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ หรือวัดมหาธาตุฯ เป็นพระอารามหลวงขนาดใหญ่ วัดนี้มีความสำคัญคือ เป็นสถานที่ที่ทำการสังคายนาพระไตรปิฎก และพระองค์ทรงผนวชที่วัดนี้ด้วย

เด็กเมื่อวานซืน 03-11-2009 14:02

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ฅนเมืองพริบพรี (โพสต์ 24249)
สมเด็จพระบวรราชเจ้า มหาสุรสิงหนาท (พระนามล่าสุดที่ถูกต้องและสมพระเกียรติที่สุด)


นอกจากนี้ พระองค์ทรงสถาปนาและปฏิสังขรณ์ วัดหลายแห่ง เช่น วัดมหาธาตุ ฯ วัดชนะสงคราม วัดโบสถ์ วัดบางลำภู วัดสมอแครง วัดส้มเกลี้ยง วัดสำเพ็ง วัดครุฑ เป็นต้น แม้ในช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพ พระองค์ได้รับสั่งให้คนหามพระองค์เข้าไปในพระอุโบสถวัดมหาธาตุ ฯ ทรงเอาเทียนติดพระแสงดาบแล้วตั้งสัตยาธิษฐานถวายพระแสงดาบเป็นราวเทียนพุทธบูชาหน้าพระประธานพระพุทธปฏิมากร

พระองค์ทรงพระประชวรด้วยพระโรคนิ่ว เมื่อครั้งเสด็จยกทัพไปช่วยเมืองเชียงใหม่เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๔๕ หลังเสร็จศึกเสด็จกลับมากรุงเทพ ฯ พระโรคกำเริบมากขึ้น และเสด็จสวรรคตเมื่อแรม ๔ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๓๔๖ สิริพระชนมายุได้ ๖๐ พรรษา
พระองค์ได้สถาปนา วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ หรือวัดมหาธาตุ ฯ เป็นพระอารามหลวงขนาดใหญ่ วัดนี้มีความสำคัญคือ เป็นสถานที่ที่ทำการสังคายนาพระไตรปิฎก และพระองค์ทรงผนวชที่วัดนี้ด้วย

พระนามไม่ต้องเว้นวรรคครับ พิมพ์ติดกันเลย

เครื่องหมายไปยาลน้อย(ฯ) ไม่ต้องเว้นวรรคหน้า ให้พิมพ์ติดกับคำที่ต้องการจะย่อครับ

รังสฤษฏ์ หมายถึง สร้าง, แต่งตั้ง

สไบเงิน 03-11-2009 15:59

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สไบเงิน (โพสต์ 3886)
หากมีโอกาสผ่านไปในเวลาทำการก็ยินดีให้บริการเสมอค่ะ (สถานที่ให้บูชานั้นเป็นตึกในวัดมหาธาตุที่เปิดทำการในเวลาราชการค่ะ)
แล้วจะมาแจ้งภายหลังนะคะ:msn_smilies-22:

ฮือ ๆ
วันนี้สไบเงินเพิ่งจะมีโอกาสไปแถว ๆ วัดมหาธาตุฯในช่วงเวลาทำการเพื่อจะไปติดต่อขอบูชาเหรียญวังหน้าให้พี่คนเก่าตามสัญญา (ที่ทำไว้นานนักหนาแล้ว) ก็พบว่าเหรียญวังหน้ารุ่นนี้หมดไปแล้ว มีแต่เหรียญรุ่นใหม่เท่านั้นค่ะ

กราบขออภัยพี่คนเก่าที่หนูมิอาจสนองความประสงค์ของพี่ได้ค่ะ

คนเก่า 03-11-2009 17:45

น้ำใจน้องสไบเงินช่างงามนัก
เพียงเท่านี้ก็ชื่นหัวใจพี่คนเก่าเป็นนักหนาแล้ว
มิพักต้องมีสิ่งใดมาให้ดอกเจ้า

(ใช้สำนวนให้เข้ากับเรื่องขุนศึกคู่บัลลังก์ ๒ แผ่นดิน)

สไบเงิน 03-11-2009 20:08

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ คนเก่า (โพสต์ 24303)
น้ำใจน้องสไบเงินช่างงามนัก
เพียงเท่านี้ก็ชื่นหัวใจพี่คนเก่าเป็นนักหนาแล้ว
มิพักต้องมีสิ่งใดมาให้ดอกเจ้า

(ใช้สำนวนให้เข้ากับเรื่องขุนศึกคู่บัลลังก์ ๒ แผ่นดิน)

:154218d4: เรื่องขุนศึกฯ อะไรที่พี่คนเก่าว่ามานั้นผู้แต่งเป็นใครหรือคะ? สงสัยหนูจะเกิดมาไม่ทันได้อ่านค่ะ:l43841274qn5:

คนเก่า 04-11-2009 09:18

เรื่อง "ขุนศึก" ของ "ไม้เมืองเดิม" จ้ะ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:12


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว