เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๖ |
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็น "วันครู" ซึ่งจะว่าไปแล้ว เรื่องของครูในปัจจุบันนี้ลดคุณค่าลงไปมาก เกิดจากทั้งสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป บรรดาเด็ก ๆ คิดว่าตัวเองฉลาด ไม่จำเป็นที่จะต้องมีครูก็ได้ จึงไม่ให้ความเคารพ ไม่ให้ความสำคัญต่อครูที่สั่งสอนวิชาความรู้ให้กับตัวเองประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งเกิดจากครูที่ขาดจิตสำนึกในความเป็นครูอย่างแท้จริงส่วนหนึ่ง ทำให้คุณค่าของความเป็นครูลดลง พูดง่าย ๆ ว่าทำตัวเองไม่สมกับความเป็นครู จึงทำให้คนไม่เห็นความสำคัญและลดคุณค่าของครูลงไป ประการสุดท้าย เกิดจากนโยบายซึ่งมาจากระดับบริหารในกระทรวง ตลอดจนถึงรัฐบาล ที่ไม่สามารถจะดูแลครูให้ดีไปกว่านี้ จึงเกิดสารพันปัญหาขึ้น โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินของครูที่กลายเป็นดินพอกหางหมูมากขึ้นทุกที ๆ จนปัจจุบันนี้หนี้สินแทบจะทับครูตายแล้ว..! เท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องการเอกสารรายงานผลงานต่าง ๆ จำนวนมากมายมหาศาล จนครูแทบจะไม่มีเวลามาเตรียมการเรียนการสอนให้ดี ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ทับถมมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จึงทำให้ความสำคัญของครูลดน้อยถอยลงไป ในส่วนที่ยังให้ความสำคัญกับครูอยู่มาก ส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ในแวดวงของผู้ที่ศึกษาไสยเวทย์พุทธาคมต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งบรรดานักร้องนักแสดงทุกสาขา ท่านทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยบารมีของครูบาอาจารย์เป็นส่วนหนึ่ง ที่จะช่วยเหลือให้เกิดความสำเร็จตามที่ตนเองต้องการ แม้กระทั่งในการปฏิบัติธรรมของพวกเรา เมื่อถึงเวลาก็มีการบูชาครู อาราธนาบารมีครูใหญ่ ก็คือพระพุทธเจ้า ตลอดจนกระทั่งพระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆเจ้าทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งระบุไว้ชัดเจนเลย บางสาย บางสำนัก ก็มีคำภาวนาหรือว่าคาถา ซึ่งคำภาวนาหรือคาถาเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็ได้มาจากพรหม เทวดา หรือว่าครูบาอาจารย์ที่ทรงฤทธิ์ ทรงอภิญญา ผูกเอาไว้ อยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าใครเอ่ยหรือว่าใช้พระคาถานี้ ก็แปลว่าเป็นลูกศิษย์ หรือว่าเป็นบุคคลในสายวิชาเดียวกัน บรรดาครูบาอาจารย์ท่านก็จะส่งกำลังมาเสริมให้ สิ่งที่เราทำก็จะประสบความสำเร็จมากกว่าการที่เรากระทำด้วยตนเองล้วน ๆ |
โดยปกติแล้ว ครูคนแรกของเราคือแม่ ครูคนที่สองคือพ่อ ครูคนที่สามคือครูบาอาจารย์ที่สอนศิลปวิทยาการต่าง ๆ เพื่อให้พวกเรามีวิชาความรู้ในการเลี้ยงตัวเองและครอบครัว เมื่อกล่าวถึงคุณครู เขาถึงได้ใช้คำว่า "พระคุณที่สาม" ก็คือต่อจากแม่และพ่อมา จัดอยู่ในลำดับที่สาม
แต่ว่าเราท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระภิกษุสามเณร แม่ชี ตลอดจนกระทั่งฆราวาสหญิงชายที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา เราต้องไม่ลืมว่า ครูใหญ่ที่แท้จริงของเราก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านทรงเป็นครูที่ประเสริฐที่สุด ทนความทุกข์ยากลำบากมานับชาติไม่ถ้วน เพื่อแสวงหาหนทางในการขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร นำเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่แดนแห่งอมตสุขคือพระนิพพาน ถ้าไม่ได้ความเสียสละอย่างยิ่งของพระองค์ท่าน เราก็จะไม่มีพระธรรม แล้วก็ไม่มีพระสงฆ์ แต่ว่าด้วยความเสียสละตนเองของพระองค์ท่าน ยอมทุกข์ยากลำบากมาเป็นกัปกัลป์อนันตชาติ จึงก่อให้เกิดพระธรรมและพระสงฆ์ขึ้นมา จนครบพระรัตนตรัย ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรม ไม่ต้องมาก แค่เข้าถึงปฐมฌานในเบื้องต้นเท่านั้น กำลังสมาธิภาวนาที่สามารถกดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ให้สงบนิ่งลงชั่วคราว ในเมื่อไฟใหญ่ ๔ กอง คือไฟโลภะ ไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ซึ่งเผาเราอยู่ตลอดเวลา โดนอำนาจสมาธิกดดับลงไป เราจะมีความสุขเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต ถ้ารู้จักใช้ปัญญาพิจารณาไปว่า เราเป็นปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส แค่เข้าถึงสมาธิเบื้องต้นยังมีความสุขขนาดนี้ บุคคลที่เข้าถึงสมาธิเบื้องกลางและเบื้องปลาย จะมีความสุขขนาดไหน ? พระโสดาบัน ที่ปิดอบายภูมิลงอย่างสิ้นเชิง จะมีความสุขขนาดไหน ? พระสกาทาคามี ที่สามารถระงับรักและโกรธลงได้ จนเกือบจะไม่ปรากฏมาเลย จะมีความสุขขนาดไหน ? พระอนาคามี ที่สามารถตัด ราคะ โทสะ ได้อย่างเด็ดขาด ไม่ต้องเสียเวลาลงมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จะมีความสุขขนาดไหน ? แล้วพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่พ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง จะมีความสุขขนาดไหน ? องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นจอมอรหันต์ สั่งสอนบุคคลบรรลุมรรคผลมานับไม่ถ้วน พระองค์ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ? เราคิดแค่นี้ก็จะเห็นคุณพระรัตนตรัยว่า มีความเลอเลิศขนาดไหน ควรแก่การเคารพบูชาขนาดไหน |
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระธรรม พระอริยสงฆ์ก็ตาม กระทำหน้าที่ในการถ่ายถอนสัตว์โลกให้หลุดจากห้วงวัฏสงสาร โดยไม่ได้หวังการเคารพกราบไหว้จากพวกเราเลย
พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญหน้าที่ในพุทธัตถจริยา คือการประพฤติปฏิบัติในความเป็นพระพุทธเจ้าว่าจะต้องกระทำอย่างไรบ้าง ญาตัตถจริยา ในความเป็นพระพุทธเจ้า จะสงเคราะห์พระญาติพระวงศ์อย่างไรบ้าง โลกัตถจริยา ในความเป็นพระพุทธเจ้า จะสร้างประโยชน์สุขแก่โลกอย่างไรบ้าง พระองค์ทำตามเจตนาปรารภตั้งแต่แรก เมื่อตั้งความปรารถนาในการบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยป้องกันไม่ให้เราตกสู่อบายภูมิ ไม่ว่าจะเป็นศีล เป็นสมาธิ หรือว่าเป็นปัญญาก็ตาม พระอริยสงฆเจ้าทั้งหลาย เมื่อสามารถพ้นจากอบายภูมิ ตลอดจนกระทั่งพ้นการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ก็แนะนำสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน ดำเนินตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในฐานะอนุพุทธะ เพื่อประโยชน์แก่มหาชนเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่มหาชนเป็นจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก โดยไม่ได้หวังความเคารพกราบไหว้จากพวกเราเลย แม้กระทั่งครูบาอาจารย์ที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ตลอดจนกระทั่งฆราวาสทั่วไป ถ้ามีความเป็นครูอย่างแท้จริง ก็ดำเนินตามรอยเดียวกันนี้ ดังนั้น..ไม่ว่าจะเป็น "นักเรียนเลว" แค่ไหนก็ตาม ไม่คิดที่จะกราบไหว้บูชาหรือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อะไรเลย ก็เท่ากับว่าท่านทั้งหลายทำตัวเองให้ตกต่ำเอง แม้ว่าจะอ้างสิทธิเสรีภาพอะไรก็ตาม ก็เป็นการอ้างในลักษณะของความฉลาดแบบเฉโก ไม่ใช่ฉลาดแบบโกวิโทหรืออว่ากุสโล ดังนั้น..ในส่วนทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราไม่ได้ไปใส่ใจ และคาดว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็คงไม่ได้ใส่ใจ แต่ละท่านก็ยังคงทำหน้าที่แม่พิมพ์ ในการสั่งสอนกล่อมเกลาศิษย์ แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะเน้นหนักในเรื่องของวิชาการ ลดในด้านของคุณธรรม จริยธรรมลง แต่ก็ยังมีพระภิกษุสามเณร แม่ชี ตลอดจนกระทั่งอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ที่ทั้งสั่งสอนและทำตัวเป็นตัวอย่างแทนอยู่ได้ บุคคลที่สร้างบุญสร้างบารมีไว้ดี ย่อมได้พบกับครูบาอาจารย์ที่ดี สามารถที่จะศึกษาศีลธรรม และปฏิบัติตามจนกลายเป็นคุณงามความดีส่วนตัวที่เรียกว่า คุณธรรม เมื่อผู้คนเห็นคุณงามความดีส่วนตัวนั้นแล้วยึดถือเป็นแบบปฏิบัติตาม ถึงได้เรียกว่าจริยธรรม เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับบุญบารมีที่เราสร้างสมมาแต่อดีต ที่เรียกว่า ปุพเพกตปุญญตาด้วย ดังนั้น..ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะเห็นความสำคัญของความเป็นครูหรือว่าไม่เห็นก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของแต่ละคนว่าหยาบละเอียดอย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะบังคับกันได้ ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามกรรม สมดังพระบาลีที่มีมาในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค ที่ว่า ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ บุคคลหว่านพืชเช่นใด ก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้น กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ บุคคลผู้ทำความดีย่อมได้รับผลดี บุคคลผู้ทำความชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ด้วยประการฉะนี้ สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:22 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.