กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3615)

เถรี 14-12-2012 18:50

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
 
ทุกคนขยับตัวนั่งในท่าที่สบาย ตั้งกายให้ตรง กำหนดจิตเอาไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา ให้ความรู้สึกทั้งหมดแนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลมหายใจเข้าออก จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ ตามแต่ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนธันวาคมวันแรก สำหรับวันนี้อยากจะกล่าวถึงเหตุการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมา ก็คือการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีพร้อมกับคณะ ส่วนที่อยากจะชี้ให้เห็นชัด ๆ ก็คือ การที่ฝ่ายค้านใช้ถ้อยคำจาบจ้วงรุนแรงต่อนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้หญิง แต่นายกรัฐมนตรีกลับรักษาอารมณ์ได้มั่นคง เยือกเย็น ไม่หวั่นไหว ตอบกระทู้ตามเหตุตามผล สิ่งทั้งหลายเหล่านี้อยากให้พวกเราดูไว้เป็นตัวอย่างว่า เราที่เป็นนักปฏิบัติธรรม ถ้าพบกับเหตุการณ์อย่างนั้น เราจะทำได้อย่างท่านนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือไม่ ?

พวกเราทราบดีอยู่แล้วว่า โลกธรรม ๘ ประการ ก็คือ ธรรมะที่มีอยู่คู่กับโลก เกิดมาเป็นมนุษย์อย่างไรเสียก็ต้องพบ ก็คือ การได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้รับคำสรรเสริญ ถูกนินทา ได้รับความสุข ได้รับความทุกข์ โลกธรรมทั้ง ๘ นี้ เป็นเรื่องที่ปรากฏขึ้นปกติในโลกของเรา สำหรับบุคคลทั่วไปก็จะยินดียินร้าย อารมณ์ขึ้นลงไปตามสิ่งที่เข้ามากระทบของโลกธรรมเหล่านี้ อย่างเช่นได้ลาภก็ดีใจ เสื่อมลาภก็เสียใจ ได้ยศก็ดีใจ เสื่อมยศก็เสียใจ ได้รับคำสรรเสริญก็ชื่นใจ ได้รับคำนินทาก็ทุกข์ใจ ได้ประสบกับความสุข ได้ประสบกับความทุกข์

ถ้าเราหวั่นไหวคล้อยตามไปในทุกเรื่อง อารมณ์ใจของเราต้องขึ้น ๆ ลง ๆ การที่อารมณ์ใจขึ้นลงอยู่ตลอดเวลานั้น จะเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับเราขึ้นบันไดหรือลงบันได หรือปีนขึ้นภูเขาหรือปีนลงภูเขา ก็จะเหนื่อยมาก

เถรี 15-12-2012 19:00

เมื่อเป็นดังนั้น เราเป็นนักปฏิบัติธรรม ทำอย่างไรจึงจะรักษากำลังใจของเรา ไม่ให้หวั่นไหวไปตามโลกธรรมทั้งหลายเหล่านี้ หวั่นก็คือกลัวว่าจะพบกับสิ่งที่ไม่ดี จะสูญเสียในสิ่งที่ดี ไหวก็คืออาการของจิตใจที่ไหวกระเพื่อม ไปตามสิ่งที่ดีและไม่ดีที่มากระทบ ถ้าเราไม่สามารถที่จะรักษากำลังใจไว้ได้ จิตใจก็จะเศร้าหมองขุ่นมัว หรือว่ายินดียินร้ายไปตามสิ่งที่มากระทบ ทำให้คติหรือว่าที่ไปของเราไม่มั่นคง

แต่ถ้าเราสามารถรักษากำลังใจของเราเอาไว้ได้ รู้เท่าทันว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็เสื่อมไป ไม่มีอะไรที่จะอยู่ยงทรงตัว ส่วนที่ดีก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป ส่วนที่ร้ายก็ไม่ได้มาหาเราอยู่ตลอดไป ถ้ารักษากำลังใจได้ ไม่ฟูเมื่อยามได้ดี และไม่เศร้าหมองเมื่อยามประสบสิ่งร้าย กำลังใจมีความมั่นคง เยือกเย็น ผ่องใส อยู่เป็นปกติได้ ก็พอจะเรียกได้ว่า สมกับเป็นนักปฏิบัติอยู่บ้าง

ดังที่เราจะได้เห็นตัวอย่างว่า ท่านนายกรัฐมนตรีโดนฝ่ายค้านว่ากล่าวเสีย ๆ หาย ๆ พยายามยั่วยุทุกอย่าง เพื่อจะให้เสียท่าออกอาการ แต่ปรากฏว่าท่านนายกรัฐมนตรีของเรา สามารถรักษาอาการเอาไว้ได้ ถ้าเป็นภาษามวยเขาเรียกว่า "เก็บอาการอยู่" ดังนั้น..เราทุกคนอย่างน้อยต้องเก็บอาการอยู่ เมื่อกระทบกับโลกธรรมทั้ง ๘ ยินดีก็อย่าให้มากจนเกินไป ยินร้ายก็อย่าให้หวั่นไหวจนเกินไป ถ้าสักแต่ว่ารับรู้ได้จะดีที่สุด

แต่ว่านั่นเป็นกำลังใจสูงสุด บุคคลที่สักแต่ว่ารับรู้ ไม่หวั่นไหว ไม่คล้อยตามทั้งสิ่งดีสิ่งชั่วนั้น ก็จะมีก็แต่พระอรหันต์เท่านั้น แต่ว่าพวกเราทุกคนก็ปฏิบัติธรรมหวังในความเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น

เถรี 17-12-2012 20:27

เมื่อเป็นเช่นนั้นเราได้เห็นตัวอย่างแล้วว่า ท่านนายกรัฐมนตรีของเรารักษากำลังใจ ไม่หวั่นไหว ไม่คล้อยตามสถานการณ์ที่รุมเร้าเข้ามา สามารถที่จะตอบโต้ฝ่ายค้านอย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช้อารมณ์ ภาพพจน์ที่ออกมาก็มีแต่ความสง่างาม

เราเองที่อยู่ในวงสังคม เมื่อกระทบกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราก็ต้องรักษาอาการของเราอย่าให้หวั่นไหว อย่าให้ยินดียินร้ายไปตามโลกธรรมที่มากระทบให้ได้ โดยเฉพาะเราเป็นนักปฏิบัติ ถ้าจิตใจยังยินดียินร้ายอยู่ ก็บอกได้อย่างชัดเจนเลยว่า การปฏิบัติของเรายังไม่มีผล แต่ถ้าเราสามารถระงับความยินดีไม่ให้ออกนอกหน้ามาก ความยินร้ายไม่ให้ออกนอกหน้ามาก สามารถที่จะรู้เท่าทันการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของโลกธรรมเหล่านี้ได้ ก็นับว่าไม่เสียทีที่เป็นนักปฏิบัติธรรม

ในวันนี้ส่วนที่อยากจะบอกพวกเราก็คือว่า โลกธรรมก็คือธรรมอันเป็นธรรมดาในโลกนั้น มนุษย์ทุกผู้ทุกนามจะต้องได้พบอยู่แล้ว เราต้องเห็นตามความเป็นจริงว่า โลกธรรมทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่เที่ยง ถ้าเราไปยึดถือมั่นหมาย ก็จะประกอบไปด้วยความทุกข์ เพราะท้ายที่สุด ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ไม่ได้อยู่กับเรา การเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็จะต้องปรากฏขึ้น ไม่อาจยึดถือมั่นหมายเป็นเราเป็นของเราได้ บังคับบัญชาไม่ได้

เมื่อเป็นดังนั้น เราเองก็ควรที่จะรักษากำลังใจของเรา โดยการเกาะพระนิพพานไว้เป็นหลัก ทุกสิ่งทุกอย่างสักแต่ว่ารับรู้ สักแต่ว่าอยู่ด้วย สักแต่ว่าดำเนินไปตามหน้าที่ เมื่อถึงวาระ ต่างคนต่างตาย ต่างคนต่างไป เราเองเมื่อตาย เป้าหมายของเราที่ตั้งเอาไว้ก็คือพระนิพพาน ก็จำเป็นต้องมีจิตใจที่จดจ่อแน่วแน่อยู่กับพระนิพพาน การที่เราจะจดจ่อแน่วแน่อยู่กับพระนิพพานได้ สมาธิจะต้องทรงตัวได้ การที่สมาธิของเราจะทรงตัวได้ ศีลของเราก็ต้องบริสุทธิ์

เถรี 19-12-2012 10:36

เมื่อเป็นดังนี้ เราจึงต้องปฏิบัติทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา ศีลทุกสิกขาบทต้องรักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ สมาธิพยายามทำให้คล่องตัวถึงระดับใช้งานได้ จะเข้าสู่สมาธิระดับไหนก็ต้องทำได้เดี๋ยวนั้น ในเรื่องของปัญญาก็ต้องเห็นทุกข์เห็นโทษ ว่าการเกิดมาก็ต้องพบกับโลกธรรมทั้ง ๘ อย่างนี้เป็นปกติ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว เอากำลังใจเกาะพระหรือพระนิพพานไว้ที่เดียว

ถ้ารักษากำลังใจมั่นคงอย่างนี้ไว้ได้ โอกาสที่เราจะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากโลกธรรมทั้งหลาย ก็จะมีขึ้นแก่เราได้เอง

ลำดับต่อไปขอให้ทุกคนตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกาและเถรี)

ชินเชาวน์ 21-12-2013 15:17

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-11-30

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:03


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว