กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=7151)

เถรี 08-08-2020 09:04

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓
 
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ เป็นการปฏิบัติธรรมวันแรกของต้นเดือนสิงหาคม

ระยะนี้ภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ ก็ยังคงรุนแรงอยู่ แต่เป็นที่น่ายินดีว่า ภายในบ้านของเรานั้น ไม่ได้ร้ายแรงเหมือนกับต่างประเทศ แต่จุดที่ต้องระมัดระวังก็คือ ทุกคนยังคงต้องระวังตัวกันเป็นปกติ เพราะว่าถ้าเผลอเมื่อไร เชื้อโรคซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ก็อาจจะระบาดมาถึงตัวของเราได้

ส่วนในต่างประเทศนั้นการแพร่ระบาด ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอเมริกา ยุโรป หรือเอเชียอย่างอินเดีย หรือญี่ปุ่น แม้กระทั่งใกล้เคียงในอาเซียนของเราคือสิงคโปร์ ก็แพร่ระบาดอย่างน่ากลัว

ในส่วนนี้ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักพินิจพิจารณา ก็จะเห็นว่าการเกิดมาในโลกของเรานั้น จะต้องพบกับเรื่องที่น่ากลัวเช่นนี้เป็นปกติ เผชิญกับภัยคุกคามชีวิตของเราเป็นปกติ ซึ่งไม่ได้มีแต่เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น แม้แต่สภาพดินฟ้าอากาศ ความแปรปรวนของธาตุ ๔ ก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของน้ำท่วม ไฟไหม้ พายุพัด หรือว่าแผ่นดินไหว เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีแต่จะรุนแรงขึ้นตามสภาวะโลกร้อน ก็จะซ้ำเติมความน่ากลัวของโรคภัยไข้เจ็บให้หนักขึ้นไปอีก

เถรี 08-08-2020 09:06

ส่วนในเรื่องของการรบราฆ่าฟันกันด้วยสงคราม ทั้งที่ประกาศและไม่ประกาศ ก็ทำให้สถานการณ์ของโลกตึงเครียดขึ้นไปตามลำดับ แม้กระทั่งในบ้านของเรา ก็ยังมีการปลุกระดมเพื่อขับไล่รัฐบาลกัน ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสิ่งธรรมดาที่เราเกิดมาแล้วต้องพบ ต้องเจอ แต่ว่าทำอย่างไรที่ท่านทั้งหลายจะเห็นเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ธรรมดาได้ นั่นจึงเป็นปัญหาที่เราจะต้องขบคิด และนำมาปฏิบัติ

การที่เราจะมองเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้อย่างชัดเจน แล้วสามารถยอมรับว่า ปกติธรรมดาของโลกเป็นเช่นนี้ ปกติธรรมดาของการเกิดมาเป็นเช่นนี้ ต้องอาศัยนอกจากในเรื่องของศีล..ที่เราจะต้องพยายามควบคุมให้ทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ เรื่องของสมาธิ..ที่เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประพฤติปฏิบัติจนเกิดเป็นอัปปนาสมาธิแล้ว ยังต้องมีปัญญา..คือในส่วนของวิปัสสนาญาณ ที่หลายท่านโดยเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติในสายของหลวงพ่อวัดท่าซุงเผชิญหน้าอยู่ก็คือ ถนัดแต่สมถกรรมฐาน อ่อนวิปัสสนากรรมฐานเป็นอย่างยิ่ง

เถรี 10-08-2020 19:32

เรื่องของสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเหมือนกับคนที่ถูกผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันก้าวไปทีละข้างจึงจะก้าวหน้าไปได้ แต่พวกเราทั้งหลายส่วนใหญ่แล้วถนัดในสมถกรรมฐาน เมื่อจับลมหายใจเข้าออก ภาวนาไปจนเต็มที่ สภาพจิตไม่สามารถที่จะทรงฌาณ ทรงสมาบัติ หรือว่าทรงสมาธิต่อไปได้ ก็จะเคลื่อนจะคลายออกมา แล้วเราก็ไม่หางานให้จิตทำ ก็คือไม่หาวิปัสสนาญาณมาขบคิด ไม่พยายามมองให้เห็นความเป็นจริงในร่างกายนี้ ไม่พยายามมองให้เห็นความเป็นจริงในโลกนี้ ว่ามีการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป การทนอยู่ของเราก็มีแต่ความทุกข์ และท้ายที่สุดก็ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายได้ มีแต่เสื่อมสลาย ตาย พัง ไปทั้งสิ้น

ในเมื่อเราไม่ยอมขบคิดเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ยอมพิจารณาเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาสมาธิดำเนินต่อไปไม่ได้ เราก็เลิก เมื่อเราเลิก กำลังสมาธิที่เราทำได้ ไม่ได้ถูกนำไปใช้งานให้เกิดปัญญา ก็จะโดนกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง นำเอากำลังสมาธิไปฟุ้งซ่าน ก็จะฟุ้งกันอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ บางคนก็สมาธิพังไปเป็นเดือน ๆ เพราะว่าเราไปเปิดโอกาสให้กับกิเลสเอง

ดังที่อาตมาเคยเปรียบเทียบเอาไว้ว่า เหมือนกับเลี้ยงโจรเอาไว้ปล้นเราเอง ก็คือการที่เราสร้างกำลังสมาธิเอาไว้ แล้วไม่ได้นำไปใช้งาน โดนกิเลสขโมยเอาไปใช้ ไปฟุ้งซ่าน ไป รัก โลภ โกรธ หลง ก็เท่ากับว่าเอากำลังที่เราทำได้ ย้อนกลับมาทำร้ายตัวของเรา

เถรี 10-08-2020 19:36

ดังนั้น..สิ่งที่เป็นจุดบอด เป็นจุดอ่อน ที่ท่านทั้งหลายต้องแก้ไขก็คือ พยายามฝึกซ้อมในการพิจารณาวิปัสสนาญาณ ไม่ว่าจะดูในลักษณะของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง..ไม่เที่ยง ทุกขัง..เป็นทุกข์ อนัตตา..ไม่มีอะไรเป็นตัวตนเราเขา

ถ้าไม่เช่นนั้นก็พิจารณาในส่วนของวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ ตั้งแต่
อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ ที่ต่อเนื่องกันเป็นสันตติอยู่ตลอดเวลา ทำให้บุคคลที่ขาดปัญญา มองไม่เห็นความไม่เที่ยงตรงนี้ แล้วไปยึดถือมั่นหมายว่า ทุกอย่างนั้นเที่ยง

หรือมองให้เห็นความดับ คือ ภังคานุปัสสนาญาณ ว่าทุกอย่างเกิดมาแล้วก็เสื่อมสลายหมด พังทลายลงไปหมด ตายหมด ไม่มีอะไรดำรงอยู่ได้เลย

หรือว่าเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นทุกข์เป็นภัย ที่เรียกว่า ภยตูปัฏฐานญาณ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องของภัยธรรมชาติ เรื่องของสงคราม เรื่องของการเมือง เรื่องของเศรษฐกิจก็ตาม

เถรี 10-08-2020 19:39

ถ้าเราพินิจพิจารณาในลักษณะอย่างนี้ จนสภาพจิตเห็นจริง ยอมรับ ก็จะเกิดการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนจิตจากความยึดมั่นถือมั่น ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายก็จะได้อาศัยกำลังวิปัสสนาญาณนี้ ก้าวเข้าสู่ภูมิความเป็นพระอริยเจ้าตามลำดับ ๆ แล้วแต่กำลังความสูงต่ำที่เราทำได้ ตั้งแต่

พระโสดาบันขึ้นไป ก็จะมีอานุภาพในการปิดอบายภูมิ ๔ เราก็ไม่ต้องไปลำบากเดือดร้อนอีก

หรือถ้าหากว่าเป็นพระสกทาคามี เกิดมาลำบากเดือดร้อนเฉพาะในโลกนี้อีกครั้งเดียว ตายแล้วเข้าสู่พระนิพพาน

ถ้าสามารถเข้าถึงความเป็นพระอนาคามี เราก็ไปเกิดในสุทธาวาสพรหมชั้นใดชั้นหนึ่งใน ๕ ชั้น ไม่ต้องลงมาลำบากยากเข็ญ ไม่ต้องลงมาทนทุกข์ยากอีก รอไปพระนิพพานตามเวลา

หรือถ้าสามารถถอนจิตจากความยึดมั่นถือมั่น ทั้งในร่างกายนี้ ทั้งในโลกนี้ ไม่เห็นคุณความดีใด ๆ ไม่มีความปรารถนาในร่างกาย ไม่มีความปรารถนาในการเกิดอีก ท่านก็สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

เถรี 10-08-2020 19:41

ขอให้ญาติโยมทั้งหลายไม่ว่ากำลังเดินทางอยู่ก็ดี อยู่ในเคหสถาน บ้านเรือนก็ดี ในประเทศก็ดี อยู่ต่างประเทศก็ดี มีความอยู่รอดปลอดภัย ในทุกที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ ขอบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองป้องกันตัวท่าน ตลอดจนคนที่ท่านรัก ไม่ว่าจะอยู่ในที่ใดก็ตาม ขอให้อยู่รอดปลอดภัย กระทำสิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นไปโดยชอบ ประกอบด้วยธรรมวินัยแล้วไซร้ ขอให้การกระทำทั้งหลายเหล่านั้นจงสำเร็จ สัมฤทธิ์ผลสมดังมโนรถปรารถนาจงทุกประการด้วยเทอญ


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:06


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว