กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1180)

เถรี 26-10-2009 15:16

ในเรื่องของตะกรุดมหาสะท้อน หลวงพ่อกล่าวว่า "ที่เขาห้ามให้เด็กใช้ เพราะว่ามหาสะท้อนมันย้อนกลับหลายอย่าง แล้วมันย้อนกลับหลายเท่า ถ้าเราเผลอไปตีเด็ก มันจะโดนอะไรที่หนักกว่านั้นคืน เขาเลยห้ามไม่ให้เด็กใช้ และห้ามเข้าไปในที่ที่คนหรือสัตว์กำลังคลอด เพราะมันจะคลอดไม่ออก มันจะย้อนกลับหมด"

เถรี 26-10-2009 15:18

ในเรื่องการทำบุญหลวงพ่อได้เตือนโยมคนหนึ่งว่า "ทำอะไรอย่าให้เกินกำลัง ถ้าไม่ไหวก็ทำแต่น้อย ในเรื่องของทานบารมีมันไม่ได้อยู่ที่น้อยหรือมาก มันอยู่ที่สละออก ไม่ใช่เราจะทำขึ้นมา เสร็จแล้วก็ไม่ได้ดูรอบข้าง อาจจะมีคนเดือดร้อน"

เถรี 26-10-2009 15:20

หลวงพ่อกล่าวว่า "ตะกรุดมหาสะท้อนรุ่นที่ปั๊ม เราจะทำพิธีตอนเจ็ดโมงครึ่ง ของมันมาถึงตอนหกโมงครึ่ง เราไม่มีโอกาสตรวจสอบอะไรเลยสักอย่างเดียว ตั้งใจว่าไม่เอาแล้ว แต่โยมเขาบอกให้รับไว้

ตอนแรกตั้งใจทิ้งหมด ทิ้งมัดจำด้วย จะไม่จ่ายเงินที่เหลือด้วย ตอนแรกตกลงกับเขาว่าจะบรรจุหลอดให้ มันกลายเป็นว่าเขาไปทำห่วงหัวท้ายแทน เพราะมันถูกกว่า และห่วงที่เขาทำก็ไม่ได้เรื่อง แต่มันกลายเป็นเอกลักษณ์ไปในที่สุด ไม่มีใครเลียนแบบได้ เพราะมันห่วยได้ไม่เท่า กลายเป็นจุดตายในการพิจารณา เขาเรียกว่าพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ของแท้ต้องห่วย !"

เถรี 26-10-2009 15:25

หลวงพ่อกล่าวว่า "หลวงปู่จันทร์ กุสโล ท่านเจ้าคุณพุทธพจน์วราภรณ์ วัดเจดีย์หลวง สมัยที่ท่านยังเป็นพระเทพกวี อยู่วัดป่าดาราภิรมย์ อาตมาเคยไปกราบท่าน ท่านบอกว่า ถ้าเมตตาเกินประมาณจะเจอแต่คนพาลทั้งเมือง

คนสมัยนี้มันมีแต่หน้าด้านใจดำ เขาไม่กลัวความดีกัน เขากลัวแต่คนที่ชั่วกว่า ถ้าเราแสดงออกให้เห็นว่าเขี้ยวเรายาวกว่า มันถึงจะยอม นึกถึงพวกสัตว์เดรัจฉาน อย่างพวกลิง เวลาลิงมันขู่ มันจะแยกเขี้ยวใส่ ถ้าเราแยกเขี้ยวใส่มัน มันเห็นเขี้ยวเราใหญ่กว่า มันจะหนี ก็แปลว่า ในการทำมาหากินในปัจจุบันมันเอานิสัยของสัตว์เดรัจฉานมาใช้เยอะ เขาเลยไม่กลัวความดี กลัวแต่ความรุนแรงมากกว่า กลัวแต่คนที่ชั่วกว่า

คิดดูก็น่าอนาถใจว่า เรื่องของศีลธรรมจรรยามันตกต่ำขนาดนั้นเชียวหรือ และนี่มันแค่กลางศาสนาเท่านั้น ยังไม่ใช่ปลายศาสนาเลย ถ้าเรามาดูในยุคนี้ การทำมาค้าขายมันเป็นในเรื่องของคนกินคน ปลาใหญ่กลืนปลาเล็กไปหมด กิจการใหญ่ฮุบกิจการเล็กไปหมด ในลักษณะเทกโอเวอร์ กลายเป็นผู้ที่เข้มแข็งกว่าจึงอยู่ได้ นี่มันกลายเป็นสไตล์ของสัตว์เลย สัตว์ที่ตัวแข็งแรงกว่ามันจะอยู่รอด

ในเมื่อแค่กลาง ๆ ศาสนายังกินขนาดนี้แล้ว ตอนปลายศาสนาที่เขาเรียกว่ามิคสัญญี มันจะรุนแรงมาก (มิคสัญญี = หมายว่าเป็นเนื้อ) เห็นอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเหยื่อ เขาบอกว่าลงจากบ้านก็ไม่จำหน้ากันแล้ว ไม่ชอบใจก็คว้าอาวุธฆ่ากันเลย ขออย่าให้ไปเกิดช่วงนั้นเลยนะ"

เถรี 27-10-2009 18:03

หลวงพ่อกล่าวว่า "เรื่องของพระ....มันแปลก มันมักจะตรงกันข้ามกับฆราวาส ข้าวของอย่างอื่นพอมันเก่ามันแก่ มันมักจะหมดราคา โดยเฉพาะเมีย แต่พระยิ่งแก่ยิ่งเก่า...คนยิ่งชอบ ประเภททั้งอุ้มทั้งจูงไป อายุ ๙๐ หรือ ๑๐๐ นี่คนชอบกันจริง เรานี่อยากจะเป็นลม ตอนหนุ่ม ๆ มีเรี่ยวแรงไม่ใช้หรอก ไปใช้เอาตอนหมดแรงแล้ว"

เถรี 27-10-2009 18:29

ถาม : ที่หลวงพี่บอกตอนต้นเดือนที่แล้ว....
ตอบ : จริง ๆ แล้วมันอยู่ที่การขวนขวายของเราจ้ะ พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ชัดว่า สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน บุคคลหนึ่งจะทำให้อีกบุคคลหนึ่งบริสุทธิ์หาได้ไม่ แม้กระทั่งท่านเองยังบอกว่า อกฺขาตาโร ตถาคตา ตถาคตเป็นได้แต่เพียงผู้บอก เพราะฉะนั้นอยู่ที่เราขวนขวายและเร่งทำ อย่างไรก็ขอให้ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเห็นทางก็ไม่ยากแล้ว

ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงพี่ด้วย ไม่รู้ไอ้ตัวท้าย
ตอบ : ไม่เห็นต้องรู้อะไร แค่เราไม่เอาก็จบ ขึ้นชื่อความเกิดนี้เราไม่เอาอีกแล้ว ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่มีความทุกข์เช่นนี้เราไม่เอาอีกแล้ว ขึ้นชื่อว่าโลกที่ทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้ไม่เอาอีกแล้ว เมื่อถอนใจของเราออกมา กติกาของความเป็นพระอริยเจ้า มีกี่ข้อเราก็ทำไป รักษาศีลให้บริสุทธิ์ไม่ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ ตั้งใจอยู่เสมอว่าตายเมื่อไหร่เราไปนิพพาน เสร็จแล้วก็จับภาพพระให้เป็นปรกติ นึกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหน ท่านอยู่พระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน แล้วก็จับตัวสุดท้าย

ถาม : ไม่ค่อยไปนึกถึง
ตอบ : พยายามนึก ช่วยได้เยอะ ถ้าเราอยู่กับท่าน มันจะเจ็บจะป่วยอะไร ไม่สนใจ ไม่รู้สึกหรอก เป็นการระงับเวทนาได้ดีมาก ๆ

ถาม : ฟังเทศน์มาแล้วเขาบอกว่า ต้องเข้าฌานสี่แล้วถอยออกมาฌานหนึ่ง มาพิจารณาอะไรอีก
ตอบ : เสียเวลา ได้แค่ไหน ทำแค่นั้นเถอะ ได้แล้วค่อยมาคิด ถ้ามันอยากนิ่งก็ให้มันนิ่ง ถ้ามันอยากคิดแล้วค่อยให้มันคิด อารมณ์ใจแต่ละช่วงมันไม่เหมือนกัน บางช่วงมันอยากนิ่ง มันอยากสงบก็ให้มันสงบ จะเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี ก็ให้มันนิ่งไป เพราะตอนที่มันนิ่งรัก โลภ โกรธ หลง มันเกิดไม่ได้

ขณะเดียวกันมันไม่นิ่ง มันเริ่มอยากคิด ก็หาวิปัสสนาญาณให้มันคิด จะดูให้เห็นทุกข์ก็ได้ จะดูให้เห็นไตรลักษณ์ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ได้ จะดูให้เป็นวิปัสสนาญาณ ๙ ตั้งแต่การเกิดการดับ ไปจนถึงสังขารุเปกขาญาณ ปล่อยวาง เห็นเป็นธรรมดาก็ได้ เลือกเอาว่าจะเอาอันไหน ไม่อย่างนั้นแล้วมันจะใช้กำลังอย่างที่บอก ฟุ้งซ่านได้ดีมาก เพราะเราไปเพาะกำลัง

เถรี 27-10-2009 18:30

ถาม : สมมติว่าเราไม่รู้ว่าเราสัญญาอะไรกับพระไว้ แล้วมีคนมาบอกว่าเราสัญญากับพระ ว่าจะช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเราบอกว่าไม่เอา
ตอบ : ถึงเวลามันก็เป็นไปตามสัญญาเอง

ถาม : แต่หนูก็ทำให้พวกนี้นะคะ
ตอบ : อย่าไปฟุ้งซ่านกับมัน

เถรี 27-10-2009 18:31

ถาม : หลวงพี่ครับถ้าจะฝึกกรรมฐาน ดูจิตอย่างไรครับ
ตอบ : ตอนแรกดูลมหายใจก่อน ถ้าตามลมหายใจทันแล้วค่อยดูอย่างอื่น ถ้าหากลมหายใจยังตามไม่ทัน เผลอเมื่อไหร่คิดถึงแฟน เผลอเมื่อไหร่คิดถึงเพื่อนอย่างนี้ ยังใช้ไม่ได้จ้ะ เอาลมหายใจให้ทัน

เถรี 27-10-2009 18:55

ในขณะที่คุยเกี่ยวกับเรื่องการทำลานธรรม ที่วัดท่าขนุน หลวงพ่อท่านก็ได้กล่าวว่า "ต้องไปดูข้างบน (มุมที่สูง) แล้วจะเห็นว่าสิ่งที่พระท่านชี้มันลงตัวเป๊ะ ๆ เลย เหมือนกับเราตั้งใจเขียนแผนที่ไว้ก่อน แล้วค่อยไปทำ แต่จริง ๆ ไม่ใช่หรอก ท่านชี้บอกให้ทำไปเป็นจุด ๆ มันเป็นสถาปนึกล้วน ๆ ท่านมองลงมาท่านเห็น เพราะฉะนั้นท่านบอกตรงไหนก็ต้องเอาตรงนั้น"

เถรี 27-10-2009 19:03

ถาม: อยากถามเรื่องของเวลาอสงไขย มันเกี่ยวข้องกับการเกิดดับของกาแลกซี่หรือไม่ครับ
ตอบ : ถามว่ามีความสัมพันธ์ไหม...ก็มี มันเป็นส่วนหนึ่งของอายุขัย อสงไขย แปลตามศัพท์ว่า นับไม่ได้ ที่นับไม่ได้นี่คือคนนับไม่ได้ แต่พรหม เทวดา หรือท่านผู้ได้อภิญญาท่านกำหนดนับได้

ที่คนนับไม่ได้ ท่านเปรียบเอาไว้ว่า แค่ระยะเวลา ๑ กัป ถ้าสมมติว่ามีถังเหล็กใบหนึ่งรูปสี่เหลี่ยม กว้างยาวด้านละหนึ่งโยชน์ ( ๑๖ กิโลเมตร) ร้อยปีเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดใส่ไปเม็ดหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นเต็มถังเมื่อไหร่ ระยะเวลา ๑ กัป ยังยาวนานกว่านั้น

ระยะเวลานั้น หนึ่งรอบของอันตรกัป ๖๔ รอบ = ๑ อสงไขยกัป
๔ อสงไขยกัป = ๑ มหากัป

ดังนั้นคำว่าอสงไขย ที่นับไม่ได้ คือ พวกเรานับไม่ได้ เพราะอย่างอายุเรา เม็ดแรกก็ไม่มีสิทธิ์หย่อนแล้ว ถ้าไม่ถึง ๑๐๐ ปี ตายเสียก่อนจะไปนับอย่างไร

ถาม : แล้วมันสัมพันธ์กับเอกภพหรือเปล่า
ตอบ : ทุกอย่างมันสัมพันธ์กันหมด เพียงแต่ว่าระยะของพวกมันบางทีก็ยาวกว่า บางทีก็สั้นกว่า เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันไม่ได้ดับไปเฉย ๆ ถึงวาระที่สมควรมันก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่ เรื่องพวกนี้รู้ไปก็บ้าเสียเปล่า ๆ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไปคิดหาเหตุผล พึงมีส่วนของความเป็นบ้า อุมมัตตกะภาโค ยังดีนะแค่มีส่วนเป็นบ้า ไม่ใช่บ้าเลย ถ้ามัวแต่คิดอยู่ เสียเวลาเปล่า ไม่มีโอกาสทำความดี

ถาม : มีผู้กล่าวไว้ว่า ถ้าเราสามารถประมาณระยะเวลา ๑ อสงไขยได้ จะมีผลดีสำหรับผู้บำเพ็ญพระโพธิญาณ จะได้ประมาณเวลาสำหรับการทำบารมี จริงหรือไม่อย่างไร
ตอบ : ผิดแน่นอน ผู้ที่บำเพ็ญพระโพธิญาณไม่ได้สนใจว่าระยะเวลาจะเท่าไหร่ สนใจแค่ว่าได้ทำหรือเปล่า

เถรี 27-10-2009 19:10

ถาม: พระที่เราจะเอาไปให้คนเขาเวียนมาถวายสังฆทาน เราจะต้องทำอย่างไร จึงจะสามารถทำอย่างนี้ได้ ?
ตอบ : ก็ไปตลาด แล้วเอาเงินให้เขา (ไปบูชามา)

ถาม : อยู่ดี ๆ เราจะเอามาใช้ได้เลยหรือว่าต้องอธิษฐานอย่างไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง พระที่ผ่านพิธีแล้ว เทวดาท่านรักษา ยกขึ้นยกลงบางทีท่านไม่ชอบใจเหมือนกัน ก็ต้องใช้พระท้องตลาด ไม่ผ่านพิธีเป็นดีที่สุด เพราะว่าพระทั้งหลายเหล่านั้นแม้จะมีเทวดารักษา แต่เขาไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าเป็นใคร

ถาม : พอดียังมีพระต่างจังหวัดหลายวัด ที่ยังไม่มีพระพุทธรูปสำหรับทำสังฆทาน ถ้าจะทำไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : ก็เอาไปถวายท่าน

ถาม : แล้วอานิสงส์ ?
ตอบ : อานิสงส์ก็ได้สังฆทาน มีพระพุทธรูปก็เป็นพุทธบูชา มีผ้าไตรก็เป็นวรรณะ มีอาหารก็เป็นกำลัง ถ้าถวายความสะดวกให้เขา ก็ได้รับความสะดวกด้วย เป็นไวยาวัจจมัยด้วย เป็นปัตตานุโมทนามัยด้วย เพราะถ้าไม่ยินดีก็ไม่เอาไปถวายหรอก

ถาม : ควรหรือเปล่าที่จะเป็นสมเด็จองค์ปฐม ?
ตอบ : อะไรก็ได้ ให้เป็นพระพุทธรูปก็แล้วกัน

เถรี 28-10-2009 10:29

ถาม : ทำสมาธิแล้วเกิดอาการปวดเมื่อย
ตอบ : ถ้าเราสนใจอยู่กับร่างกายมันจะปวด มันจะชา แต่ถ้าเราไม่สนใจ อยู่กับลมหายใจเข้าออกจริง ๆ อยู่กับภาพพระจริง ๆ มันจะลืมตรงส่วนนี้ไปเลย แล้วจะนั่งนานแค่ไหนก็แล้วแต่ ลุกปุ๊บมันเดินได้เลย มันไม่มีการปวดการเมื่อยอะไรเลย

เถรี 28-10-2009 10:34

ถาม : พ่อแม่ป่วยอยู่ที่บ้าน แล้วมีคนบอกให้ชะลอการทำบุญ เพราะว่าการที่ออกไปนอกบ้าน เป็นการทิ้งพ่อทิ้งแม่ไว้ที่บ้าน
ตอบ : มีคนอื่นช่วยดูแลไหมจ๊ะ ตอนที่เราไปทำบุญ

ถาม : ไม่มีค่ะ
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่มี ให้บอกพ่อแม่ด้วยว่าเราไปทำบุญแล้วบอกให้ท่านอนุโมทนาบุญด้วย แต่ถ้าหากเราไปตะลอน ๆ ทิ้งให้ท่านอยู่ ไม่มีใครดูแล ปรนนิบัติรับใช้ อันนั้นก็แย่

ถาม : พ่อแม่ก็ยังสามารถดูแลตัวเองได้
ตอบ : ถ้าหากว่าท่านยังสามารถดูแลตัวเองได้ เราก็ปลีกตัวไปได้ แต่ก็อย่ามากจนเกินไป จนกระทั่งกลายเป็นว่าท่านเองต้องอยู่กับบ้านตลอด แต่เราไปไกลเลย

ถาม : แล้วการที่เราไปทำบุญให้ท่าน ท่านได้ไหมคะ
ตอบ : ได้จ้ะ บอกแล้วว่าก่อนไปให้บอกท่านด้วย กลับมาก็มาบอกท่านซ้ำอีกที

เรื่องของการทำความดีต้องอยู่ในลักษณะโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย ทั้งนี้ทางโลกของเราถ้าทำดีแล้ว ในส่วนของทางธรรมก็ทำด้วย ในความเป็นลูกเรามีหน้าที่อย่างไร ถ้าตามที่พระพุทธเจ้าท่านบอก พ่อแม่เลี้ยงเรามา เราเลี้ยงท่านเป็นการตอบแทน ให้รักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเอาไว้ ทำตนเป็นคนดีให้เหมาะสมเพื่อที่จะได้รับมรดก ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มความสามารถ ท้ายสุดแม้บิดามารดาล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากเราทำหน้าที่ของเราเต็มที่แล้ว ระยะเวลาที่เหลือ เราจะพลิกตัวไปทำบุญที่ไหนก็ได้ ตามที่เขาทักท้วงมา เขารู้สึกว่าเราใช้เวลาไปในการทำบุญมากกว่าการอยู่บ้าน เราก็แบ่งเวลาเสียใหม่

เถรี 28-10-2009 10:36

ถาม : อย่างเวลาไปทำบุญ จะมีอุปสรรค เจ็บไข้ได้ป่วย เช่น ปวดท้อง ไม่รู้จะแก้อย่างไร
ตอบ : ไม่ต้องแก้ อันนั้นเขาเรียกว่าทดสอบกำลังใจ เพราะว่าการทำอะไรก็ตาม จะมีการทดสอบอยู่ตลอด แล้วลักษณะในการทดสอบก็จะทำให้เราเข้าใจผิดได้ อย่างเช่น เพราะว่าเราทำความดี....เราจึงได้เจอเหตุแบบนี้ จึงได้เป็นแบบนี้ บางคนเลิกทำความดีไปเลยก็มี

เถรี 29-10-2009 12:59

ถาม : สมัยหลวงพ่อฤๅษีท่านสร้างพระ ..
ตอบ : อันนั้นพระท่านบอก แต่ละอย่างพระท่านจะบอกว่าใช้งานในด้านไหนได้บ้าง แต่ท่านบอกไว้เสมอว่าวัตถุมงคลของท่านให้หารุ่นสุดท้ายไว้ ถ้าพระเคยสงเคราะห์เท่าไหร่ครั้งต่อไปจะไม่มีต่ำกว่านั้น มีแต่ว่าถ้าเพิ่มอะไรมาแล้วท่านจะบอก เพราะฉะนั้นวัตถุมงคลสายหลวงพ่อวัดท่าซุงรุ่นสุดท้ายดีที่สุด จะว่าไปก็คือสั่งสมมาเรื่อย

อาตมานี่เอาไม่มาก ถึงเวลาทำพุทธาภิเษกก็อธิษฐาน สมัยหลวงพ่ออยู่ท่านสงเคราะห์แค่ไหน...ผมเอาแค่นั้น ขอนิดเดียวสั้น ๆ ไม่เคยอธิษฐานเยอะแยะกับเขา

เถรี 29-10-2009 13:18

หลวงพ่อเล็กกล่าวว่า "ตอนช่วงนี้บรรดาสหายศึก เพื่อนร่วมรบเก่า ๆ เขามาช่วยงานพระศาสนากันมาก ก็คือบรรดาเพื่อนที่เคยไปรบทัพจับศึกตั้งแต่สมัยไหนยุคไหน สิ่งที่มันผูกพันอยู่กับหน้าที่มันล็อกตัวเองอยู่ ทำให้ไม่สามารถจะไปเกิดได้ ในเมื่อปลดออกมา ปล่อยออกมา ก็เลยเอามาช่วยงานกัน"

เถรี 29-10-2009 13:21

ถาม : บนท่านท้าวมหาราชให้ได้เป็นพระโสดาบัน
ตอบ : ท้าวมหาราช....ท่านให้พรไว้ว่าบุคคลใดก็ตามถ้าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ท่านจะตามคุ้มครองตลอดชีวิต มันดันไปกลายเป็นว่าบนท่านท้าวมหาราชให้เป็นพระโสดาบัน ถ้าเป็นอย่างนี้ตูจะรีบบนเลย

นาน ๆ ไปมันเละได้ขนาดนั้น เขาเรียกว่าอิทธิพลสื่อที่บิดเบือน บอกมันด้วยว่า ท่านบอกไว้อย่างนี้

เถรี 29-10-2009 13:23

หลวงพ่อเล็กกล่าวว่า "บุคคลที่เป็นพระโพธิสัตว์บารมีเข้มเท่านั้นที่ร่างกายจะมีพระรัศมี คราวนี้อย่างหลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านมีแค่ ๔ สี ก็แสดงว่าท่านสร้างบารมีมาเยอะ"

เถรี 29-10-2009 13:24

หลวงพ่อเล็กกล่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าถ้ามรรคแปดยังมีอยู่ครบถ้วน สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็จะมีอยู่ในศาสนานี้ เพราะฉะนั้นของสี่หมื่นแปดพันพระธรรมขันธ์ยังครบ ไม่ใช่แค่มรรคแปด

ก็เลยอยู่ที่ว่าพวกเราจะมีความพยายามสักเท่าไหร่ที่จะทำแล้วให้เกิดผล ไม่ใช่ว่าเจอลำบากเสียหน่อยก็ท้อแล้ว ท้อไม่ได้ ถ้าท้อก็ห้ามท้อบ่อย"

เถรี 29-10-2009 13:39

ถาม : เวลาที่เราสวดมนต์อย่างที่โหลดเอ็มพีสามที่เป็นเพลงสวดมนต์ แล้วเราร้องเป็นเพลงจะได้ไหมคะ
ตอบ : จริง ๆ มันสำคัญที่ว่าใจเราเป็นสมาธิหรือเปล่า ถ้าใจเราเป็นสมาธิต่อให้ร้องเพลงก็ได้ เพียงแต่ว่าให้มันจดจ่ออยู่ตรงหน้าอย่าไหลตามไป อย่างเช่นเวลาเราร้องเพลง ถ้าหากว่าใจเรานิ่งอยู่ตรงหน้า มันจะไม่ไหลตามเนื้อเพลง แต่ถ้าหากว่าใจเราไม่นิ่งอยู่ตรงหน้า มันจะไปคิดตามเนื้อเพลง

ถ้าหากว่าจิตเป็นสมาธิอยู่ตรงหน้า ต่อให้ร้องเพลงมันก็เป็นกุศล แต่ถ้าหากว่าไม่เป็นสมาธิตรงหน้า จิตมันจะปรุงแต่งตามเนื้อเพลงแล้วมันจะไหลตามกระแสไปเรื่อย ถ้าอย่างนั้นมันจะเป็นโทษ
ฉะนั้นเราเองจะสวดมนต์ในลักษณะอย่างสรภัญญะหรืออะไรก็ได้ทำนองเพราะ ๆ ก็ได้ ไม่มีใครว่า อย่างเมืองจีนเขาก็เคาะป๊อก ๆ ๆ บางอันก็มีดนตรีประกอบ

ถาม : แล้วอย่างหนูจะสวดชินบัญชร หนูจำไม่ได้ หนูก็เลยใช้วิธีร้องเพลงเอาได้ใช่ไหมคะ
ตอบ : ได้

ไม่ยากหรอกนะ เพราะที่ให้ไปเป็นสิ่งที่ดี ฟังบ่อย ๆ ก็ติดหู ชินบัญชร ๙ จบ กว่าจะจบอย่างน้อยก็ต้องจำคาถาได้เป็นบรรทัดแล้ว

เถรี 29-10-2009 13:44

ถาม : เวลาปฏิบัติจะมีเสียงเหมือนคนมาคุยรบกวน
ตอบ : เอาอย่างนี้ ให้มาสนใจอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว จะมีเสียงคุยกัน หรือจะมีอะไรก็ตาม ไม่ต้องใส่ใจ ให้ใส่ใจว่าเราหายใจแล้วเรารู้ตามเข้าไปได้ไหม....จนกระทั่งมันสุด หายใจออกรู้ตามออกมาได้ไหม....จนกระทั่งมันสุด

ให้มันอยู่แค่นี้ ถ้ามันไปอยู่ที่อื่นเมื่อไร ดึงมันกลับมาตรงนี้ แล้วสมาธิจะก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นแล้วเรามัวแต่ไปสนใจที่อื่น สมาธิจะไม่ก้าวหน้า เป็นลักษณะที่โบราณเรียกว่า กิเลสมารมันหลอก ก็คือมันกวนเรามาก ๆ แล้วเราไม่มีเวลามาดูตรงนี้ สมาธิมันก็ไม่ได้สักที แต่มันจะรำคาญตอนต้น ๆ ยิ่งไปสนใจจะยิ่งชัดเจน ปล่อยให้เป็นเรื่องปกติธรรมดา หากมันเหมือนใครมาคุยกันอยู่ใกล้ ๆ ก็ปล่อยมัน แล้วเราทำงานของเราไป

ถาม : แล้วมันมาคุยอะไรกันอย่างนี้
ตอบ : ก็ปล่อยมันคุยกันไปสิ มันเป็นเรื่องปกติของนักปฎิบัติ จะต้องเจอเรื่องพวกนี้

ถาม : ก็ดึงมา
ตอบ : มาอยู่กับ พุทโธ มาอยู่กับลมหายใจตามเดิม อยู่กับตรงนี้ ถ้าคิดเรื่องอื่นหรือใครมันจะคุยกันอย่างไร ก็รีบดึงกลับมา

ถาม : (ไม่ชัด)
แล้วมันจะชัดขึ้นเรื่อย ๆ มันตั้งใจกวนเรา ไม่ต้องไปใส่ใจมัน หลังจากที่สมาธิเราทรงตัวแล้ว เรื่องพวกนี้เดี๋ยวมันจะหายไปเอง

เถรี 29-10-2009 13:50

ถาม : การถวายพระพุทธรูปแล้วเอามาเป็นสังฆทานอย่างนี้ เขาเรียกว่าถวายทานธรรมหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ก็ถวายพระพุทธรูป ส่วนคนรับจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของเขา เราก็ได้อานิสงส์สร้างพระ ถ้าเขาเอามาทำเป็นสังฆทานอย่างที่เขาทำกันกี่ครั้งก็มีส่วนของเราด้วย น่าสนใจนะ

ถาม : แล้วผมจะเช่าพระพุทธรูปมาทำอย่างนี้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่สมควร

ถาม : ทำไมครับ ?
ตอบ : พระเช่าบูชา...เทวดาเขารักษาเป็นการเฉพาะเจาะจง ไปยกขึ้น ๆ ลง ๆ ข้ามไปข้ามมาท่านไม่ชอบใจ

เถรี 29-10-2009 13:52

หลวงพ่อกล่าวว่า "ให้สังเกตไว้อย่างหนึ่งว่า ช่างคนไหนปั้นพระ...เค้าหน้าก็จะเป็นของช่างคนนั้น มันอาจจะเป็นการหลงตัวเองอยู่ลึก ๆ ก็ได้ ถึงเวลาปั้นเสร็จก็ออกเค้าหน้าตัวเองว่าสวยที่สุด

ฉะนั้นที่เขาให้สังเกตว่าผู้หญิงผู้ชายที่เป็นเนื้อคู่กันหน้าตามักจะคล้าย ๆ กัน อาตมาฟันธงว่ามันเป็นการหลงตัวเอง คือพอเห็นหน้าคล้ายตัวเอง ด้วยความไม่รู้ตัวก็ชอบไว้ก่อน เรื่องนี้ไม่รู้ว่าจะฟันธงผิดหรือถูก แต่พูดไปแล้ว ฉะนั้นเวลาเห็นหน้าคนไหนที่มาเป็นคู่ ๆ หน้าคล้าย ๆ กันแล้วเราก็ว่าสองคนนี่เป็นคู่กันแน่เลย จริง ๆ ก็คืออาการหลงตัวเองของคนใดคนหนึ่ง"

เถรี 29-10-2009 13:56

หลวงพ่อเล็กท่านกล่าวว่า "ท่านที่จับภาพพุทธานุสติเป็นปกติ นาน ๆ ไป เค้าหน้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นเค้าของพระ"

แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า "มีอยู่ครั้งหนึ่งออกจากโบสถ์หลังจากปาฏิโมกข์แล้ว หลวงพ่อท่านเดินนำ พวกเราก็เดินตาม มีโยมจากบ้านแพน จังหวัดอยุธยา แห่กันมา ๓ คันรถ พอลงจากรถมาเจอหลวงพ่อ ก็กราบกัน บางคนนี่ร้องไห้โฮเลย เขาบอกว่าทำไมเหมือนหลวงปู่ปานอย่างนี้ เราดูอย่างไรหลวงพ่อกับหลวงปู่ปานก็ไม่เหมือนกัน แต่คนที่นาน ๆ เห็นที จับเค้าหน้าท่านว่าเหมือนเค้าหน้าของพระ พอไปมองตรงจุดนั้นแล้วมองอย่างไรก็เหมือน แต่ถ้าหากจับมาคู่กันจริง ๆ เราจะเห็นว่าไม่มีเหมือนหรอก จะเห็นลักษณะเค้าบางส่วนที่จับภาพพระอยู่เป็นปกติ

ก่อนหน้านี้สมัยหนุ่ม ๆ เค้าหน้าของหลวงพ่อคล้าย ๆ กับหลวงพ่อสมปองของพวกเรา ขอยืนยันนะ แล้วท่านจับภาพพระไปเรื่อย ๆ ๆ เค้าหน้าแปรเป็นภาพพระได้ หน้าเป็นคนละทรงไปจากของเดิมเลย สมัยอายุ ๕๐ กว่า เค้าหน้าท่านก็ยังออกมาทางด้านนี้อยู่ พอยิ่งอยู่ไป ๆ ก็เปลี่ยนไปใกล้พระท่านไปเรื่อย ๆ"

ถาม : หลวงพ่อเล็กก็เปลี่ยนนะ
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้ส่องกระจก พระเขาห้ามส่องกระจก

เถรี 29-10-2009 14:03

ถาม : แม่อายุ ๖๘ อยู่โรงพยาบาล เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง จะรอดไหม
ตอบ : ถ้าหากว่ายังไม่ได้ผ่าตัด ยังอยู่ได้อีกระยะ

ถาม : กี่ปีครับ
ตอบ : บอกไม่ถูก ขึ้นอยู่กับกำลังใจคนไข้

ถาม : แล้วจะฟื้นไหม
ตอบ : ฟื้นขึ้นมาไม่ใช่เรื่องดีหรอก ฟื้นมันมี ๒ อย่าง ฟื้นขึ้นมาอย่างแรกก็คือมันเป็นวูบสุดท้ายเพื่อสั่งเสียลูกหลาน ส่วนฟื้นอีกอย่างหนึ่งคืออาการดีขึ้น เพราะฉะนั้นการฟื้นนี่เราบอกไม่ถูก

ถาม : แล้วจะฟื้นไหมครับ
ตอบ : ก็รอสิ

ถาม : จะทำบุญอะไรให้ดี
ตอบ : บุญช่วยอะไรก็ช่วยไม่ได้หรอกจ้ะ ถ้าหากคนไข้ไม่ได้สติ ต้องบอกให้ท่านรู้แล้วโมทนาด้วย เพราะฉะนั้นถ้าได้สติรีบบอกให้ท่านโมทนาที่เราถวายสังฆทาน

ถาม : แล้วจะทำบุญหล่อพระจะดีไหมครับ
ตอบ : บุญอะไรก็ได้ แต่ต้องบอกให้โมทนา

เถรี 29-10-2009 14:06

ถาม : หนูอยากเป็นเด็กดีที่โรงเรียน
ตอบ : ต้องเชื่อฟังคุณครู อย่าดื้อกับพ่อกับแม่ แล้วถ้าเป็นไปได้รักษาศีลให้ได้ด้วยจ้ะ ก็คือเราต้องไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักขโมยใคร ของที่เขารักเราก็ไม่ไปแย่ง แล้วก็ไม่พูดโกหก แล้วก็ไม่กินเหล้าเมายา ถ้าทำอย่างนี้ได้เป็นเด็กดีแน่ ๆ จ้ะ ทำได้ไหมจ๊ะ พอไหวไหม เยอะไปหรือเปล่า ท่องพุทโธ ๆ ไว้ก่อนลูก

เถรี 29-10-2009 14:10

ถาม : หลวงพ่อครับคำว่าการรักษาพรหมจรรย์ระหว่างที่ครองเรือนอยู่ มีขอบเขตอย่างไรครับ
ตอบ : ถ้าหากว่าจะเอาเป็นศีลพรหมจรรย์จริง ๆ ก็ต้องรักษาศีล ๘ แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ศีลพรหมจรรย์เราไม่ละเมิดศีล ๕ ก็ถือว่าไม่ผิด

ถาม : แล้วแสดงความรัก กอดหอมอะไรอย่างนี้
ตอบ : เรื่องปกติ

ถาม : ทำได้ใช่ไหมครับ
ตอบ : ทำได้

ถาม : ไม่ถือว่าทำให้ผิด
ตอบ : ถ้าหากว่ามันทำให้กามราคะกำเริบถือว่าผิด แต่ถ้าหากไม่มีส่วนที่ทำให้กามราคะกำเริบถือว่าไม่ผิดหรอก มันอยู่ที่ว่าเราระวังใจตัวเองให้ได้

เถรี 29-10-2009 15:52

ถาม : เราจะทำอย่างไรที่จะทรงบารมี ๑๐ ได้ดี ต้องพิจารณาให้เข้าไปทั้ง ๑๐ ข้อ หรือเปล่า
ตอบ : จริง ๆ สำคัญที่สุดอยู่ตรงสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวมันจะรู้ระมัดระวังแล้วทบทวนอยู่เสมอ ๆ บารมี ๑๐ จับข้อใดข้อหนึ่งก็ได้ขึ้นมา อย่างเช่นว่าเราจับเมตตาบารมีขึ้นมา ตั้งใจแผ่เมตตาหวังสงเคราะห์คนให้มีความสุขความเจริญอยู่ตลอดเวลา ตัวอื่นอีก ๙ ตัวมันตามมาเอง แล้วคนจะมีเมตตาบารมีได้ ศีลจะต้องทรงตัวอัตโนมัติ ศีลบารมีก็ได้ คนที่จะรู้ว่าเมตตาบารมีดี....ปัญญาต้องมี ปัญญาบารมีก็ได้ ไล่ไปครบทุกตัวแหละ เพราะฉะนั้นเลือกเอาตัวเดียวมาเน้น ๆ อีก ๙ ตัวตามมาเอง

ถาม : คนที่ทำอารมณ์ได้ระดับพระโสดาบัน เขาต้องมีบารมีพวกนี้มาครบ
ตอบ : พวกนี้เขาทำมาเยอะแล้ว ถ้าหากมาไม่ถึงนี่ ไม่มีทางหรอกที่คิดจะภาวนา ถ้าหากว่ารู้จักภาวนานี่กำลังพอแล้วทั้งนั้น เพียงแต่ว่าทำถูกวิธีหรือเปล่า

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : รับรู้มันไว้ แล้วเสร็จแล้วก็เปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนสถานที่ในการภาวนา ก็จะดีขึ้น ไม่ใช่ไปนั่งเหี่ยวอยู่กับมันตลอด

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าได้เปลี่ยนสถานที่มันจะดีขึ้น เหมือนที่พระท่านธุดงค์

เถรี 29-10-2009 15:54

ถาม : แล้วคนที่ปฏิบัติไปแล้ว ได้รู้ในข้อธรรมบางข้อธรรม แล้วยึดอยู่กับข้อธรรมนั้นในสิ่งที่ตนรู้นั้น ตรงนี้เป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่เจริญไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติได้หรือเปล่าคะ

ตอบ : ถ้าไปยึดอยู่ตรงนั้นโดยไม่ปล่อยก็เสร็จเหมือนกัน ยกเว้นว่าตรงนั้นเป็นทางที่ต้องผ่านจริง ๆ ก็พยายามตะเกียกตะกายผ่านไปให้ได้เท่านั้นเอง

เถรี 29-10-2009 22:36

ถาม : วันนั้นคุยกับหลวงพี่หน่อยครับ ท่านโทรมาเล่าให้ฟังว่า ออกพรรษาค่อยเห็นว่าได้อานิสงส์บ้าง ถามทำไมเล่าหลวงพี่ ท่านบอกว่าท่านพิจารณาทุกข์มาตลอดเวลา พอพิจารณาทุกข์ก็รู้สึกว่าจิตมันเป็นทุกข์ ก็รู้สึกว่าทำไมมันเห็นทุกข์แล้วมันยังทุกข์อยู่ แล้วมันทุกข์อยู่ของมันร่ำไปอยู่อย่างนั้น จนออกพรรษาพิจารณาไปพิจารณามาถึงรู้ว่า อ๋อ มันเป็นเวทนา เลยเข้าใจว่า อ๋อ เขาพิจารณากันอย่างนี้
ตอบ : ยังอุตส่าห์รู้ ..กำหนดรู้ ยอมรับว่าปกติธรรมดามันเป็นอย่างนั้น แล้วก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมันก็จบแล้ว อันนี้รู้แล้วก็ไปแบกไว้แล้วก็สงสัยทำไมมันหนักแท้

ถาม : ครับ บอก ๘-๙ ปีท่านก็พิจารณาทุกข์มาตลอด ทำไมพิจารณาทุกข์ ใจมันก็เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าบอกเห็นทุกข์แล้วมันต้องหายทุกข์สิ
ตอบ : รู้ว่าแบกอยู่แล้วมันจะหายหนักไหมเล่า มันจะหายหนักก็ต่อเมื่อเลิกแบก

เถรี 29-10-2009 22:37

ถาม : แล้วอย่างบางคนที่เขากำลังเสวยในทุกข์อยู่ แล้วทีนี้พยายามหาทางจะปล่อยวางในทุกข์นั้น แต่ทำเท่าไหร่มันก็ปล่อยไม่ได้สักทีค่ะหลวงพ่อ ตรงนี้มันเป็นเพราะอะไร

ตอบ : กำลังของสมาธิและปัญญายังไม่พอ ถ้าหากว่ากำลังของสมาธิและปัญญาเพียงพอ มันจะก้าวข้ามไปได้ อันนี้มันเหมือนอย่างกับประเภทขายาวไม่พอจะก้าวข้ามรั้ว ข้ามไปก็ติดแหง็ก คราวนี้หนักกว่าเดิมเพราะดันไปเขย่งขาเดียว

เถรี 29-10-2009 22:50

ถาม : แล้วไสยขาวกับพุทธศาสตร์คืออย่างเดียวกันหรือเปล่า
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ ไสยศาสตร์คือไสยศาสตร์ แต่ไสยขาวเป็นไสยศาสตร์ที่ใช้ในการแก้ ใช้ในการช่วย แต่ถ้าไสยดำนี่ก็คือเอาไว้ทำอันตรายคนอื่น

ถาม : พุทธศาสตร์นี่เน้นไปเพื่อการหลุดพ้นเพื่อสมาธิ ปัญญา
ตอบ : ไสยศาสตร์แต่ละอย่างนี่เราก็ลองไปดู ๆ มันคาถาหัวใจธรรมะทั้งนั้นเลย มีไม่มากเท่าไหร่หรอกที่มันออกไปด้านนั้นตรง ๆ คราวนี้มันก็เลยเป็นที่ยอมรับว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสอะไรไม่ผิดจริง กำลังใจที่มันมุ่งมั่น สิ่งดีก็กลายเป็นสิ่งไม่ดีเพราะมันมุ่งมั่นที่จะใช้ในทางที่ไม่ดี กลายเป็นดาบสองคม

ถาม : ที่เขาเรียกว่ามิจฉาสมาธิใช่ไหมครับ
ตอบ : ถึงเวลาได้อาวุธไป แทนที่มันจะเอาไปใช้งาน มันก็ดันเอาไปจี้ ไปปล้น ไปฆ่าเขา

ถาม : นึกถึงคนฝึกกรรมฐานกันนะครับ แรก ๆ ก็คงจะไม่น่ากลัวหรอก
ตอบ : พวกคุณไม่น่ากลัวหรอก เพราะเขาจ้องจะเด็ดหัว เตือน ๆ ให้ระวัง ไม่แน่หรอก ถ้าเกิดเด็ดหัวไม่ได้เดี๋ยวก็ย้อนกลับไปพวกข้างล่าง

เถรี 30-10-2009 08:05

ถาม : หลวงพี่ครับบางสำนักอาจารย์เขาไม่เป็นอะไรเลย แต่คนมาเชื่อถือเยอะมาทำบุญเยอะ ตายไปเขาได้อานิสงส์เยอะไหมครับ
ตอบ : ถ้าหากว่าสอนตามพระพุทธวัจนะได้ แต่ถ้าแหกคอกพระพุทธวัจนะ เป็นอัตโนมติของตนเอง เตรียมตัว (ลงนรก) ได้เหมือนกัน

ถาม : สอนถูกครับแต่ตั้งใจไม่ถูก
ตอบ : สอนถูกตั้งใจไม่ถูกไม่เป็นไร เสียหายไม่มาก มันแค่ว่าตัวเองเลี้ยงวัวทั้งฝูง แต่ไม่เคยได้ชิมเลยว่ารสชาติของวัวมีอะไรบ้าง พระพุทธเจ้าท่านเปรียบว่า ไม่เคยรู้ในปัญจโครสเลย ก็คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ ๕ ประการจากวัว นม เนยใส เนยข้น น้ำมันเปรียง แล้วก็นมส้ม (นมส้มก็คือนมเปรี้ยว)


หมายเหตุ : อัตโนมติ = อัตโน+มติ
คือ ความคิดเห็นของผู้พูด ผู้แสดงธรรมในพระพุทธศาสนา ซึ่งอาจจะตรงหรือผิดกับคำของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้

เถรี 30-10-2009 09:40

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "วันก่อนมีเด็กจะมาขอบวช บอกมันว่าตื่นขึ้นทำวัตรเช้าตอนตีสามครึ่ง ทำกรรมฐานและทำวัตรเช้าเสร็จแล้วเตรียมตัวตามพระออกบิณฑบาต กลับมาฉันอาหารเสร็จแล้ว ล้างเก็บถ้วยชาม จัดสถานที่เตรียมไว้มื้อเพล

หลังเพลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ล้างถ้วยล้างชาม ปัดกวาดสถานที่ แล้วก็เตรียมทำความสะอาดวัด พอตอนเย็นก็มาทำวัตรเย็น ๒ รอบ รอบแรกก็ ๖ โมงเย็น รอบ ๒ ก็ทุ่มหนึ่ง จะได้นอนก็เมื่อเปิดเสียงตามสายสองทุ่มไปแล้ว

ถ้าขาดเวลาใดเวลาหนึ่งเจอสายไฟ ขาดครั้งแรก ๑ ที ครั้งที่สอง ๒ ที ครั้งที่สาม ๓ ที บวกเพิ่มไปเรื่อย ครบ ๑๐๘ เมื่อไร......วันรุ่งขึ้นมันหายจากวัดไปเลย

จากที่มันบอกทุกคนว่ามันจะต้องบวชให้ได้นะ หายจากวัดไปเลย บอกว่าถ้าไม่เชื่อถามเณรที่อยู่ในวัดนี้ดูว่าโดนจริงไหม"


ถาม : แค่ไปถามใช่ไหม
ตอบ : แค่มันไปถามก็รู้แล้ว เพราะเณรมันโดนทุกคนแหละ
ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง งวดนี้นี่โดนข้อหาจับหมาไปเขียนคิ้วเขียนตา กลับไปมีการชำระ คือ หมานี่มันไม่ได้ดมกลิ่นอย่างเดียวนะ ตามันดูด้วย แล้วเวลามันเห็นหน้าแปลก ๆ ไปบางทีมันก็กัดเลย

เถรี 30-10-2009 10:04

สมัยอาตมาอยู่วัดท่าซุงส่วนใหญ่ก็มุดอยู่ใต้สวนไผ่ ๖ ไร่ ไม่ต้องยุ่งกับใคร ยกเว้นบรรดางูเหลือมหรือว่าพวกเหี้ย พวกตะกวดมันจะมายุ่งกับเราก็ไล่มันไปไกล ๆ
ถาม : จริง ๆ แล้วสัตว์พวกนี้กลัวเราไหมคะ
ตอบ : มันกลัว เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ทำอะไรเขา แล้วคนที่นั่งกรรมฐานนี่มันคล้าย ๆ กับว่าเราไม่ได้มุ่งร้าย ในเมื่อเราไม่ได้มุ่งร้าย เขาไม่กลัวเขาก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วท้ายสุดก็มานอนตักบ้าง มานอนบนอกบ้าง

ถาม : แล้วเขารู้หรือคะว่าเรารักเขา
ตอบ : ถ้าว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ ในแต่ละอารมณ์ใจร่างกายของเราจะหลั่งสารเคมีแบบต่าง ๆ กันออกไป สัตว์มันสามารถรับสัมผัสได้ แต่ถ้าว่ากันตามหลักของศาสนา หลักของการปฏิบัติทางจิต ก็ต้องบอกว่าสัตว์มันสามารถรับรู้ได้ว่าใครมีความเมตตาหรือใครไม่เมตตามัน คือพวกนี้เขาเป็นสัตว์เลือดเย็นถึงเวลาต้องหาที่อุ่นนอน แล้วไอ้ที่อุ่นที่สุดก็อยู่ตรงนั้นแหละ นอนตักยังดี อาตมาโดนมันทับอก ตัวอะไรวะเบ้อเริ่มเลย ค่อย ๆ ลากมันออก

ถาม : ตัวใหญ่แค่ไหน
ตอบ : ก็มีตั้งแต่ประเภทเล็ก ๆ จนถึงใหญ่กว่าขาอ่อน

ถาม : คุยได้ไหมเจ้าคะ
ตอบ : ก็คงได้ แต่เราฟังไม่รู้เรื่อง ถึงเวลาก็มาแลบลิ้นแพล่บ ๆ ก็คงอยากจะคุยด้วย ได้แต่บอกมัน บอกว่าไม่อร่อยหรอกอย่ากินเลย

ถาม : สนิทกันขนาดนี้ทำไมหลวงพ่อบอกไม่ค่อยอยากจะเจองู
ตอบ : เจอทีไรแล้วชอบจับมันเล่น

เถรี 30-10-2009 16:26

ถาม : ถ้าเขาเรียกให้เป็นกรรมการ แล้วเราใส่ซองไป ๒๐ บาท นี่ผิดไหมคะ
ตอบ : ก็ไม่ผิดหรอกจ้ะ มันอยู่ที่ศรัทธา

ถาม : เขาไม่บอกให้เราทราบ แต่ใส่ชื่อเราเป็นกรรมการไปเฉยเลย กรรมการก็หนึ่งร้อยบาท แต่เราใส่ ๒๐ บาท
ตอบ : ก็บอกเขาสิว่ามีศรัทธาแค่นี้ การทำบุญมันไม่ได้อยู่ที่จำนวน สำคัญตรงใจสละออก อย่างเจ้าเต้ย มันติดกัณฑ์เทศน์ตรงนี้บาทหนึ่ง หลายคนอาจจะเห็นว่ามันเหลวไหล แต่คุณรู้ไหมว่ามันอาจจะมีแค่ ๒๐ แต่มันติดกัณฑ์เทศน์บาทหนึ่ง เท่ากับ ๕% ที่มันมี แต่ถ้าหากว่าใครมีพันล้านแล้วติดกัณฑ์เทศน์ตรงนี้ล้านหนึ่ง ลองเทียบเปอร์เซ็นต์ดูสิมันต่างกันแค่ไหน อันนี้มันเป็นต้องเรียกว่าอย่างไร บาทหนึ่ง เท่ากับหนึ่งในยี่สิบ แต่อันนั้นมันเป็นหนึ่งในพัน จำนวนเปอร์เซ็นต์มันห่างกันมากเลย

ถาม : แล้วถ้าไม่มีแล้วต้องไปกู้หนี้ยืมสินละครับ
ตอบ : ก็พระพุทธเจ้าบอกว่าทำแล้วต้องไม่ให้ตนเองและบุคคลรอบข้างเดือดร้อน ถ้าถึงขนาดกู้หนี้ยืมสินมาทำนั่นมันขาดปัญญาในทานบารมี

เถรี 30-10-2009 16:31

ถาม : หลวงพี่ครับ ตู้บริจาคตามวัดหยอดไปเป็นสังฆทานหรือเปล่าครับ
ตอบ : คือถ้าเขาระบุอะไรก็ได้อย่างนั้น ยกเว้นว่าถ้าเขาไม่ได้ระบุเราตั้งใจเป็นสังฆทานก็ได้เลย

ถาม : แล้วที่ช่วยค่าน้ำค่าไฟละครับ
ตอบ : ค่าน้ำค่าไฟทั้งวัดหรือเปล่า ถ้าทั้งวัดก็เป็นสังฆทานอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ใช่ ..ค่าน้ำค่าไฟเฉพาะกุฏิ (ของฉัน) ถ้าอย่างนั้นละก็ไม่เป็นสังฆทาน

เถรี 30-10-2009 16:32

ถาม : มีแผ่นทอง ตั้งใจหล่อพระไว้ที่หนึ่งแต่ไม่ได้ไปหล่อ ไปหล่ออีกที่หนึ่ง แต่เป็นพระเหมือนกันนี่ใช้ได้ไหมคะ
ตอบ : จริง ๆ ถ้าตั้งเจตนาไว้ที่ไหนควรจะเป็นที่นั่น

เถรี 02-11-2009 14:56

หลวงพ่อถามว่า "มีใครอ่านมังกรคู่สู้สิบทิศบ้าง พระเอกมันพัฒนาตัวเองด้วยการสู้แล้วแพ้ จากครั้งแรกที่แพ้ยับเยินครั้งต่อไปก็พอที่จะสูสี รู้ว่าไม่ไหวก็เผ่นก่อน แล้วก็กลับมาใหม่ เขาใช้คำว่า ใช้การต่อสู้หล่อเลี้ยงการต่อสู้ ก็คือเหมือนกับว่าเอาอุปสรรคเป็นกำลังใจในการที่จะเอาชนะมันให้ได้ ถ้าไม่มีอุปสรรคมาขวางอยู่ตรงหน้า อาจจะไม่มีกำลังใจที่จะทำอะไร

อย่างที่พูดมาก็อยู่ในลักษณะเดียวกันว่า เขาฝึกฝนตัวเองจากสิ่งต่าง ๆ ที่พบในชีวิตจริง แล้วพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ อย่างเราก็ใช้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต พัฒนาตัวของเราเองให้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างที่พระท่านพิจารณาว่ากาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้"

เถรี 02-11-2009 14:58

หลวงพ่อกล่าวว่า "ตอนนี้พวกเรารู้สึกว่ารังเกียจความแก่ แต่พอไปอีกนิดหนึ่งจะรู้สึกว่ามันแก่ไม่พอ แล้วถึงเวลานั้นมันจะดัดจริตแก่ คอยดูแล้วกันมันจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ใครถามจะบอกอายุให้น้อยที่สุด แต่พอก้าวพ้นจุดนี้ไปใครถามจะบอกให้มากที่สุด มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดเล่นเรื่องจริง"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:53


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว