กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   กระทู้ธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=2)
-   -   อัศจรรย์โลกใบนี้ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1866)

ลัก...ยิ้ม 26-05-2010 11:23

อัศจรรย์โลกใบนี้
 
1 Attachment(s)
อัศจรรย์โลกใบนี้

ตามความประสงค์ของท่านพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ ได้ให้พิมพ์คัดลอกบทธรรม จากหนังสือ “อัศจรรย์โลกใบนี้” เพื่อเป็นความรู้ ธรรมทาน และได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าของผู้เขียน คือ คุณฐานุพงศ์ สิรสุขสวัสดิ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านลุงยังได้เมตตามอบหนังสือให้ทั้งเล่มเพื่อจัดพิมพ์ โดยอนุญาตให้สามารถนำเผยแพร่ต่อได้ โดยอ้างอิงแหล่งที่มาอย่างถูกต้อง ห้ามแอบอ้างหรือนำไปจำหน่าย หรือเพื่อหาประโยชน์เข้าตนแม้แต่ประการใด ๆ ทั้งสิ้น



หมายเหตุ
  • ๑. ขออนุญาตกราบโมทนาบุญในเมตตาของท่านพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ และท่านลุงจิตตพงศ์ ติถีสุขสวัสดิ์(ท่านเดียวกัน เปลี่ยนชื่อแล้ว) ที่ทำให้พวกเราทั้งหลายได้มีบทธรรมะดี ๆ ได้ศึกษาเพื่อเพิ่มเติมประสบการณ์ความรู้

  • ๒. ขอโมทนาบุญคุณอุตราที่ร่วมเดินทางไปเป็นเพื่อนกราบขออนุญาตท่านลุงด้วยกัน
  • ๓. ในการจัดพิมพ์เพื่อเป็นธรรมทาน ยิ้มได้มีการปรับเปลี่ยนเนื้อความบางส่วนไปบ้าง ตามความเข้าใจของตนเอง ซึ่งยิ้มจะทำเครื่องหมาย “*” กำกับไว้ด้านหน้าและด้านหลัง
  • ๔. หากยิ้มได้ทำการปรับเปลี่ยนเนื้อความบางส่วนไปเพราะความไม่เข้าใจของยิ้มเอง (คืออ่านแล้วยิ้ม งง นะคะ เพราะความรู้ของตนเข้าไม่ถึง) ทำให้เนื้อความผิดเพี้ยน หรือเสียหาย ไร้อรรถรสไป ก็ต้องกราบขอขมาโทษแด่องค์พระรัตนตรัย ขอความเมตตาต่อท่านพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ ได้โปรดเมตตาชี้นำ แนะนำ ในการแก้ไข ขัดเกลาเนื้อหาด้วยนะคะ
  • ๕. กราบโมทนาในเมตตาและบุญกุศลของท่านพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ อีกครั้งค่ะ :onion_wink:

ลัก...ยิ้ม 01-06-2010 08:34

อัศจรรย์โลกใบนี้
ผู้เขียน นายฐานุพงศ์ สิรสุขสวัสดิ์
พิมพ์ครั้งที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๐
จำนวน ๒๒๔ หน้า
เพื่อเป็นวิทยาทาน
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ลัก...ยิ้ม 01-06-2010 08:36

อัศจรรย์โลกใบนี้

ยามมีความทุกข์ จงอ่านเนื้อหาสาระในหนังสือเล่มนี้จิตจะสงบ

ยามมีความสุข จงอ่านเนื้อหาสาระในหนังสือเล่มนี้ สันติสุขจะปรากฏในดวงจิต ด้วยสันติธรรมแห่งโลกุตรธรรม

ลัก...ยิ้ม 01-06-2010 08:54

คำนำ

หนังสือเล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นธรรมวิทยาบารมี จากประสบการณ์ที่พบเห็น จึงได้เรียบเรียงแก่นธรรมจากการปฏิบัติธรรมตามรอยพระพุทธองค์ เพื่อยังประโยชน์แก่ผู้ได้พบเห็นได้อ่าน ได้เป็นแนวทางในการจะนำไปพัฒนาจิต ให้ได้เห็น ได้รู้ ได้กระทำ จึงได้เขียน "ธรรม" ให้ "ทำ" ไม่ใช่เขียนให้อ่าน ให้พูดตาม

แต่เขียนเพื่อ ให้ทำ ให้ปฏิบัติ ให้ฝึกฝน ให้สอนตนเอง ให้แก้ไข ให้ปรับปรุง ให้เปลี่ยนแปลง ให้หยุด ให้กระทำระงับจิตที่มุ่งไปในทางอกุศล ตามกระแสของตัณหาอย่างสุดเหวี่ยง จนไม่สามารถแยกแยะ ถูก ผิด ชั่ว ดี ออกจากจิตของตนเองได้ ทำให้มันคลุกเคล้าผสมกลมกลืนอยู่ภายในจิต เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เรียกว่า คุ้มดี คุ้มร้าย ตลอดเวลา

ไม่มีสติที่เข้มแข็ง ไม่มีปัญญาไปพิจารณายับยั้ง จำแนกจิตไม่ออกว่า อะไรสมควรกระทำ อะไรสมควรยับยั้ง อะไรสมควรทำลาย อะไรสมควรเก็บรักษา อะไรสมควรบำรุง อะไรสมควรศึกษาและปรับปรุงแก้ไข เพื่อเป็นหนทางแห่งการหยุดยั้ง ความทุกข์ ค้นให้พบความสงบ ความสุข สุขอันรื่นรมย์ในสันติธรรม สุขในสัมมาสุข ทำจิตให้สว่าง ทำจิตให้สะอาด จิตผ่องใสให้จิตเรืองปัญญาในสัมมาแห่งปัญญาอันบริสุทธิ์

ให้ทำลายจิตพาล อภิบาลจิตดี คือทำลายจิตที่พาลในตัวเรา ที่ทำให้เราเป็นคนพาล อันเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อน ทำให้จิตร้อน ตกอยู่กับความเศร้าหมองในอารมณ์ มีความทุกข์ร้อนในจิต ให้นำออกจากจิตให้หมด พร้อมสกัดกั้นอย่าให้กลับเข้าไปเจริญในจิต อย่าให้อยู่ในจิต อย่าให้มีอำนาจในจิต อย่าให้อวดศักดาในจิต

กำราบให้หมด ตัดให้สิ้นเชื้อ ความดีก็จะบังเกิดในจิตของเรา จึงต้องบำรุงรักษา เก็บรักษา สร้างความชำนาญในการเก็บรักษา การบำรุงรักษา บำรุงให้เจริญอย่างต่อเนื่อง ให้มั่นคงอยู่ภายในจิตตลอดเวลา ตลอดไป มีความยั่งยืนถาวร ไม่แปรผันเป็นอย่างอื่น ไม่ย้อนกลับไปสู่จิตให้เป็นพาล สร้างความเดือดร้อนกับตนเองกับผู้อื่น อย่าให้จิตกลับไปกลับมา

ลัก...ยิ้ม 01-06-2010 14:07

ธรรมชาติมันเป็นของมันเช่นนั้น มันอยู่ของมันแบบนั้น ทำใจให้กว้าง ยอมรับความจริง แล้วแก้ไขตนเอง กำจัดจิตพาลในตัวเราออกแล้ว อภิบาลจิตดี ความดีที่บังเกิดในจิตเรา ค้นให้พบ ความจริงในจิตของเรามีดีอยู่ หรือไม่มีแค่ไหน มีอยู่หรือ ไม่มีอยู่แค่ไหน อย่ามองแต่ความไม่ดีของผู้อื่น ให้ดูความไม่ดีที่อยู่กับเรา หรือเมื่อเห็นเขาโกรธมันไม่ดี แต่ความโกรธก็ยังอยู่กับเรา อย่าไปพิจารณาแทนคนอื่น วิจารณ์คนอื่น

ให้พิจารณาตัวเรา วิจารณ์ตัวเรา ความขุ่นเคืองจะได้ดับจากจิตของเรา ถ้าดับในจิตของผู้อื่น แต่คุกรุ่นอยู่ในตัวเรา ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา เราต้องดับมันเสีย คนอื่นไม่ดับก็ไม่เกี่ยวกับตัวเรา เจ็บปวดก็เขา ทุกข์ระทมก็เขา สุขสบายก็เขา ส่วนเราต้องสุขตลอด เป็นคนดีอยู่ในธรรมที่เป็นอริยธรรม มีธรรมของคนดี มีปัญญาสถิตอยู่ในใจตลอด ทำได้ คิดได้ ปฏิบัติได้เช่นนี้ สันติธรรมของประชาคมก็บังเกิด ความสงบของสังคมโลกก็ปรากฏ

ต่างคนมุ่งทำดี มุ่งคิดดี มุ่งพูดดี เราต้องช่วยตัวเรา ถ้าทุกคนคิดเช่นนี้ ช่วยแก้พฤติกรรมที่ไม่ดีของตัวเรา จิตที่ประพฤติธรรมย่อมเปลี่ยนแปลงให้พ้นจากความมืดมัวในกาม พบความสว่างด้วยธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ช่วยชี้ทางให้อยู่กันด้วยเมตตาธรรม ความวุ่นวายก็สงบ ความขัดแย้งก็ถูกสยบ การอยู่กับความวุ่นวายมันง่าย แต่จะออกจากความวุ่นวายมันแสนยาก

ต้องทนอยู่ในความวุ่นวาย โดยไม่มีวิธีการจะออกจากความวุ่นวาย เมื่อมีวิธีในการออก เมื่อออกแล้วต้องมีวิธีการไม่ให้กลับเข้าไปอีก ซึ่งมันแสนจะลำบากยากเย็น เพราะมันจะดิ้นรนที่จะเข้าไป มันมีตัวล่อมากระตุ้นจิตให้ส่าย ให้เอนเอียง ให้เข้าไปหาความวุ่นวาย ตัวสัญญาจำได้หมายรู้เป็นตัวเหตุสำคัญ ที่ชักนำจิตให้ลุ่มหลง จนเกิดอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ไม่วาง

เชื่ออย่างนั้น คิดอย่างนั้น กำหนดเอาเองจริงจังอย่างนั้น ใครจะพูดไม่เชื่อ ไม่ยอม ไม่เข้าใจ ไม่สนใจ ไม่ยินยอม ไม่รับรู้ ไม่ต้องการรู้ ไม่อยากสนใจ บังเกิดความอึดอัดใจ รำคาญใจ ยุ่งยากใจ รุ่มร้อนใจ ขุ่นเคืองใจ แค้นใจ อัดอั้นตันใจ ว้าวุ่นใจ ใจฟุ้งซ่าน เกิดความเบื่อหน่าย จะบังเกิดอารมณ์โกรธเกลียดในที่สุด

ลัก...ยิ้ม 02-06-2010 09:29

หากเราอยู่กับความมืดมัวในจิต เราก็ต้องไปกับความมืด หากเราอยู่กับความสว่างในจิต เราก็จะไปกับความสว่าง คงต้องเลือกเอาทางใดทางหนึ่ง นั่นก็สุดแท้แต่กรรมของเรา จะไปทางไหนได้อย่างนั้น พบอย่างนั้น ได้รับผลเช่นนั้น ตัวเรารองรับกรรมนั้นอยู่แล้ว เป็นความจริงที่เที่ยงแท้ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ยกเว้น ไม่ละเว้น ไม่ต้องกราบกรานขอร้อง ร้องขอใด ๆ ทั้งสิ้น

ไม่ใช่แค่คิด แค่คนบอก แต่ต้องปฏิบัติ ต้องฝึก ต้องทำได้ ต้องรู้เข้าใจวิธีการกำกับ การกำหนด การหยุด การพิจารณา การออกจากสิ่งที่ไม่ต้องการในจิต อย่างชำนาญช่ำชอง คล่องแคล่ว รวดเร็ว ทันทีทันใด ถ้ากระทำอย่างนี้ได้ มั่นใจว่าเราเป็นผู้ชนะกิเลสมาร พ้นหนทางแห่งความทุกข์ ความสุขรอเราอยู่ เราพบแน่นอน

บนทางเส้นนี้กำลังรอผู้กล้าหาญ ปราบจิตของตัวเองให้สยบในความดี จะบังคับจิตก็เหมือนนั่งบนหลังม้า แล้วบังคับให้ม้าวิ่งไปตามทางที่เราต้องการ จะให้หยุดก็ต้องหยุด จะให้ไปก็ต้องไป จะให้ยืนก็ต้องยืน จะให้นอนก็ต้องนอน จะให้เดินก็ต้องเดิน จะให้วิ่งเร็ววิ่งช้าก็บังคับได้ ให้กระโดดก็ต้องกระโดด ไปซ้ายไปขวาได้ทั้งสิ้น ทำให้จิตมันเชื่อง เราสั่งการได้ อยู่ภายใต้อำนาจของสติและปัญญาอันบริสุทธิ์ตลอดไป เท่านี้ก็สบายเรา ไม่ใช่สบายเขา อย่างนี้เรียกผู้วิเศษ เป็นผู้ปราบอาชาพยศของจิตให้สงบราบคาบเหนือคนทั้งมวล เหนือธรรมชาติ คือ เอาชนะธรรมชาติ เดินสวนกระแสโลกจนพบดวงแก้วมณีอันล้ำค่า ได้จิตแท้ จิตเดิมที่สะอาดบริสุทธิ์

จิตที่ไม่ถูกห่อหุ้มด้วยตัณหา จิตที่ไม่มีทุกข์ จิตที่ไม่ต้องดิ้นรน จิตที่ไม่รุ่มร้อน จิตที่สำรอกกิเลสแล้ว มีแต่ความผ่องใส จิตมีพระพุทโธ จิตมีฤทธิ์กำจัดทุกอย่างที่ไม่ดีออกไป ถามว่า ทำได้ไหม ตอบว่าได้ เพราะมีผู้ทำได้ แสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าทำได้ แต่ต้องทำ อย่าเพียงนึกคิด ถ้าเพียงนึกคิดอย่างนี้ทำไม่ได้ จนตายก็หาไม่พบ ค้นไม่เจอ มันเล่นซ่อนหากับเราตลอด ต้องสร้างสติสัมปชัญญะ โดยการเจริญกรรมฐานจนปรากฏฌาน บังเกิดญานทัศนะเท่านั้น ไม่มีทางอื่น ทางอื่นมีแต่ความวุ่นวายหนอ ทางนี้ไม่วุ่น

ทางที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ไม่ผิดทาง เป็นเส้นทางตรงส่งความสุขนิรันดร์ สุขแท้ สุขจริง สุขสงบ สุขประณีต สุขเยือกเย็น สุขพ้นมลทินทั้งมวล คือ พ้นกิเลส อันเป็นเครื่องร้อยรัดความเศร้าหมองของจิต กิเลสมันกำเริบไม่ได้นั่นเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้ตัวเราจะคิดอย่างไร ไม่ต้องมองใคร ตัวเราตัดสินใจ เหตุดีผลดี เหตุชั่วผลชั่ว ตัดสินใจแล้วอย่ามาเสียใจ หากผลออกมาไม่ดีก็อย่าร่ำไห้ อย่าเรียกร้อง อย่าคร่ำครวญ อย่าโอดครวญ อย่าอุทธรณ์ ร้องทุกข์ เราทำเอง ตัดสินใจเองทั้งสิ้น เราเลือกทางเดินของเราเอง ไม่มีใครเลือกให้ ไม่มีใครกลั่นแกล้ง อย่าโทษใคร โทษตัวเอง อย่าต่อว่าใครให้เสียค่าโง่ เสียรู้กรรมที่เราทำมา เราได้ตัดสินใจเลือกแล้ว เลือกด้วยตัวเราเอง ผลมาดีก็อย่าทะนงไป หากทะนงผลก็จะย้อนกลับมาไม่ดีอีก เพราะเหตุใหม่ไม่ดีนั่นเอง ผลใหม่จึงไม่ดี ทำเหตุใหม่ ให้ดีไปตลอด ผลออกมาใหม่ก็จะดีตลอดเช่นกัน

เมื่อยังไม่เสียรู้ก็อย่าเสียรู้ เมื่อเสียรู้แล้วก็แก้ไข สร้างเหตุใหม่ให้ดีเท่านั้น รู้แล้วไม่ทำก็คือไม่รู้ ไม่รู้แต่ทำก็คือรู้ เมื่อไม่สมหวังอย่าร้องนะ อย่าโอดครวญนะ อย่าร่ำไห้นะ อย่าคร่ำครวญนะ อย่าเสียใจนะ อายเขา อายตัวเอง อายนักปราชญ์ อายราชบัณฑิต อายเทวดาฟ้าดิน ปราชญ์รู้ ปราชญ์ก็ตำหนิ ราชบัณฑิตรู้ ราชบัณฑิตก็ตำหนิ ถ้าทำเช่นนั้นใคร่ครวญให้ดี เวลามีน้อยลงทุกขณะ ร่างกายมีแต่เสื่อมรอการแตกดับ ชีวิตเหมือนใบไม้ร่วง ร่วงเวลาใดไม่รู้

อย่าอุ้ยอ้ายอยู่ อย่ารีรอ อย่าขอเวลา อย่ารอเวลา อย่าให้ต้องเสียโอกาส เพราะจิตเรามันคับแคบ ไม่เชื่อในสิ่งที่เป็นจริง เชื่อในมายาโลก จึงวุ่นวาย ดังสุภาษิตจีนที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” แต่ผู้มีปัญญาไม่มีน้ำตาให้เห็น คนโง่เท่านั้นที่ต้องหลั่งน้ำตา

:154218d4::154218d4::154218d4:

ลัก...ยิ้ม 02-06-2010 17:49

จะมองดูอนาคตต้องดูปัจจุบันกรรม ในปัจจุบันจะส่งผลสู่อนาคต ความระทม ไม่ระทมรออยู่ที่เหตุ เหตุดีประตูแห่งความสุขสมบูรณ์รอเปิดรับอยู่ เหตุไม่ดีประตูแห่งความระทม ความผิดหวัง ความทุกข์ทรมานรอเปิดรับอยู่เช่นกัน

อย่าทำลายอนาคตของตัวเราด้วยน้ำมือของเราเลย มันทั้งเจ็บปวด ทั้งทรมาน ทั้งผิดหวัง ทั้งร้ายกาจ ทั้งจืดชืด ทั้งเศร้าโศก ทั้งรันทดใจ ทั้งโหยหวนครวญครางร้องขอ ทั้งร่ำไห้ ทั้งโอดครวญ ทั้งรำพัน ทั้งหมองหม่นในชีวิต ทั้งถูกกระทำย่ำยี ทั้งพิการทางร่างกาย ทั้งพิการทางจิตใจ ทั้งถูกรังแกเอารัดเอาเปรียบ ทั้งต้องสูญเสีย ทั้งมีมลทินชีวิต ทั้งถูกรังแก ทั้งถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ทั้งถูกข่มเหง ทั้งถูกกลั่นแกล้งให้เดือดร้อน ทั้งถูกทอดทิ้ง ทั้งทุกข์ยากลำบาก ทั้งถูกติฉินนินทา ทั้งถูกลงโทษนานาประการ ทั้งอดอยาก ยากเย็นเข็ญใจ ทั้งมีแต่คนมุ่งร้าย ทั้งถูกทำร้ายทำลาย ทั้งเจ็บป่วย ทั้งเป็นโรคร้าย ทั้งต้องพลัดพราก ทั้งถูกกำจัด อีกมากมายนัก ผลจะมาบังเกิดในการกระทำของเราด้วยน้ำมือเรา อย่ากลัวทำดี ให้กลัวทำชั่ว ผลที่บังเกิดมันตรงข้ามเสมอ

เราต้องทำอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่แล้ว ให้เลือกทำแต่กรรมดี มีคุณแก่ตัวเรา ต่อภูมิภพ ต่อชาติกำเนิด ต่อความสุขสบายของเรา จึงจะเรียกได้ว่าฉลาด รู้เท่าทันกิเลสที่เป็นเหตุให้ทำกรรมชั่ว จึงต้องละกิเลส ตัดเหตุแห่งกรรมชั่ว ทำให้หมดมลทินจากกิเลส เหตุก็ดี ผลก็ดี จิตเราเป็นผู้รู้เห็นเองทั้งหมด ผู้อื่นเห็นไม่ได้ เห็นไม่จริง เพียงแต่อย่าเห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัวเท่านั้น จงเป็นตัวอย่างของตัวเอง

เราอยู่อย่างเรา เราคิดแต่สิ่งที่ดี เราทำในสิ่งที่ดี เราพูดในสิ่งที่ดี ทำอย่างนี้เถิด สังคมจะได้เป็นสังคมประชาธรรม ประชาสันติก็จะบังเกิด มีผลต่อสันติสุขของประชาราษฎร์ ความร่มเย็นก็จะบังเกิดทั่วทุกส่วน

เวลาเรายังมีอยู่ ผิดแล้วแก้ไข อย่าจมอยู่ อย่าให้กลายเป็นเวลาของพญามาร ทำลายเราหมดสิ้น กายยังไม่แตกดับยังมีความหวังอยู่ตลอด รู้แล้วอย่าช้า เร่งรีบทำ เร่งรีบศึกษา เร่งรีบทำความเข้าใจจิต ทำความรู้จัก “จิต” ของตัวเรา ทุกอย่างถูกผิดเกิดที่จิต ต้องแก้ที่จิต ต้องเป็นจิตของตัวเรา ไม่ใช่จิตของคนอื่น อย่ามัวคิดผิด หลงอยู่ ทำผิดซ้ำซาก ผิดแล้วผิดอีก ตัวเราให้อภัยตัวเราได้ร่ำไป คนอื่นไม่ได้ให้อภัยเราด้วย พึงจำไว้ว่าอย่าเสียรู้ จะเสียการ เสียโอกาสเหลือไว้แต่ความเสียใจภายหลัง เมื่อหมดเวลาแล้ว จะบอกว่าคิดผิด จะบอกว่าเสียใจ ก็ไม่มีค่าควรแก่คำพูดนั้น สายแล้วสายเลย แก้ไขไม่ได้ ต้องรับกรรมนั้น ตามเหตุที่ได้กระทำเหตุมีกำลังแรง ผลจะแรงตามเหตุเสมอ

ลัก...ยิ้ม 03-06-2010 12:55


จิตก็เสมือนตำราเล่มใหญ่ ที่มีเนื้อหากว้างลึกทุกศาสตร์ ทุกสาขาถูกบรรจุไว้อย่างหนาแน่น แถมยังมีพื้นที่ว่าง ที่จะเขียนไม่มีสิ้นสุด จะอ่านเท่าไหร่ ไม่มีวันจบสิ้น
คำว่า “ทำ” ให้ทำที่จิต ให้กายเป็นเครื่องมือ ใช้จิตกระทำได้ ให้เรียนรู้ ให้ระงับ ให้ละวางในจิตดวงนี้ ในตัวเรา มิใช่ในตัวเขา

เราเป็นทั้งผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองของโลก พร้อมกันเป็นผู้ทำลายล้างความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต ให้สูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างต่อเนื่องกันมา เกิดสงครามแสวงหาอำนาจ ทำลายล้างเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ มาทุกยุคทุกสมัยสืบกันมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังทำลายกัน เปลี่ยนเฉพาะยุทธวิธีการทำลายเท่านั้น ใช้ยุทธวิธีเครื่องมือในการทำลายล้างที่ทันสมัยรุนแรงมากขึ้น ใช้กลไกเครือข่ายมากขึ้น ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการทำลายมากขึ้นเท่านั้น

ล้วนแต่เกิดจากจิตดวงเดียวนี้ที่มันสั่งการ ที่มันกำหนดทุก ๆ เรื่อง ตามกำลังของตัณหา ความทะยานอยาก ความอหังการ ความใคร่ ความอยากได้ความอยากเป็น ความไม่อยากได้ ความไม่อยากเป็นในตัณหา ๓ ประการ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา อันเกิดในจิตเป็นอุปาทานในสัญญา ยึดมั่นถือมั่นในตัณหานั้น จิตไม่สงบ ไม่ละวางมันติดกินใจอยู่ทุกเวลา จิตจึงสร้างอุบาย เพื่อให้ได้มา จึงเป็นความลึกล้ำ จิตจึง

เป็นแหล่งรวมของสรรพวิทยาต่าง ๆ
เป็นแหล่งรวมของดีชั่ว
เป็นแหล่งรวมของสุข ทุกข์

เป็นแหล่งรวมของความฉลาดปราดเปรื่อง
เป็นแหล่งรวมของความรู้ ความไม่รู้
เป็นแหล่งรวมของคุณธรรม ศีลธรรม
เป็นแหล่งรวมของการเพาะปัญญา

เป็นแหล่งรวมของการคิดค้น
เป็นแหล่งรวมของขนบธรรมเนียมประเพณี
เป็นแหล่งรวมของการสร้างเสริม
เป็นแหล่งรวมของสันติธรรม

เป็นแหล่งรวมของการกำหนดชีวิต
เป็นแหล่งรวมของการกำหนดกฎเกณฑ์
เป็นแหล่งรวมของชาติ ภพ ภูมิ
เป็นแหล่งรวมของความเมตตา กรุณา

เป็นแหล่งรวมของแนวคิดปรัชญา
เป็นแหล่งรวมของนักปราชญ์ราชบัณฑิต
เป็นแหล่งรวมของความโง่ ความเก่ง
เป็นแหล่งรวมของความเอารัดเอาเปรียบ

เป็นแหล่งรวมของความโหดร้าย ทารุณ
เป็นแหล่งรวมของความรัก ความชัง
เป็นแหล่งรวมของสันติภาพ สันติสุข
เป็นแหล่งรวมของความโลภ โกรธ หลงฯ

ลัก...ยิ้ม 03-06-2010 18:00


ยังมีอีกมากมายจนเขียนอย่างไรก็ไม่หมด ทุกรายวิชาบรรจุไว้ในจิตทั้งหมด ในแต่ละรายวิชาล้วนมีสาระในตัวเอง เรื่องดี สาระดี เรื่องไม่ดี สาระไม่ดี ทั้งมีทฤษฎีรองรับสาระนั้น ๆ อีกด้วย นี่เป็นเพียงตัวอย่างแห่งคลังความรู้เบื้องต้นเท่านั้น

ทั้งหมดจิตเป็นผู้กำกับพฤติกรรม ตัวเราจึงสมควรพิจารณาอย่างถ่องแท้ เรื่องของจิตจึงมีความยิ่งใหญ่ต่อสถานภาพของโลกและสัตว์โลก ต่อการสร้างหรือทำลายล้าง มีจิตเป็นนาย มีกายเป็นข้ารับใช้ ทำให้เกิดกรรมคือการกระทำ ยิ่งมากคนยิ่งมากเรื่อง เฉพาะเรื่องของเราก็รับไม่ไหวอยู่แล้ว

อันที่แท้จิตดวงนี้มีคุณอนันต์ มีโทษมหันต์ซ่อนอยู่ภายในจิตของทุกคน มีดำมีขาว มีมืดมีสว่าง ในถูกก็มีผิด ในจริงมีเท็จ ในเท็จมีจริง ผสมกลมกลืนอยู่ สุดแท้แต่ใครจะมีภูมิปัญญาอยู่ในทางใด อยู่ในโลกีย์หรืออยู่ในโลกุตระอันเป็นทางคู่ขนาน ทางหนึ่งพบแต่ความทุกข์เดือดร้อนตลอดเวลา อีกทางหนึ่งดับทุกข์พบสุขตลอด เรียกว่าทางแห่งความทุกข์ยากกับทางแห่งความสงบสุข จงเลือกเดินเอาเอง สร้างเอาเอง คิดเอาเอง นึกเอาเอง แสวงหาเอา จะเอาแบบไหน ได้กับตัวเราทั้งสิ้น

จงพิจารณาธรรมในธรรม ธรรมคือธรรมชาติ กิจทั้งมวลในจิตล้วนเป็นธรรมทั้งสิ้น ได้แก่ จิต อารมณ์ ล้วนเป็นธรรมที่บังเกิดในจิต ทั้งดีและร้าย คือการพิจารณาสภาวะแห่งความเป็นจริง ทำให้จิตมีสมาธิ สร้างสติสัมปชัญญะ

อะไรเกิดในจิต สติต้องรู้ สัมปชัญญะต้องพิจารณา ธรรมทั้งหลายซ่อนอยู่ในจิต ความสำเร็จทั้งหลายซ่อนอยู่ในความสำเร็จ ความไม่สำเร็จซ่อนอยู่ในความไม่สำเร็จ ความไม่สำเร็จซ่อนความสำเร็จเอาไว้ตลอดเวลา ค้นให้เจอ หาให้พบ นั่นคือ เราพิจารณาจิตในจิตของตัวเรา และสภาวะธรรมชาติของจิตให้ถ่องแท้

ให้พิจารณาว่ามันเป็นอย่างไร ภาวะของจิตเรานั้นเกิดอะไรขึ้น ค้นหาอกุศลและกุศลที่เกิดอยู่ภายในจิต ค้นให้พบ พิจารณาให้ได้ แล้วสิ่งใดต้องแก้ไข ก็ต้องทำการแก้ไข สิ่งใดไม่ต้องการแก้ไขก็รักษาประพฤติให้ได้ เราชำระจิตของเราให้ได้ อย่าชำระจิตของผู้อื่น จิตใครจิตมัน อย่ามัวห่วงผู้อื่น ให้ห่วงตัวเราเองก่อน แม้จิตของเรายังชำระได้ยากอยู่แล้ว หากเราคิดชำระจิตของผู้อื่นยิ่งยากลำบาก ยิ่งคนหมู่มากยิ่งยากเป็นทวีคูณ

แต่ถ้าทุกคนช่วยกันแก้ ไม่ยากเลยในการจะแก้ไขปัญหาภายในจิต ถ้าทุกคนช่วยกันแก้นิสัยของตนเอง ก็จะเป็นการสร้างชีวิตให้มีรากฐานที่ดี ก็หมายความว่า เราต้องมีความมั่นคงในดวงจิต ความมั่นคงจะมาบังเกิดอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อมีสมาธิที่แน่นหนาไม่หวั่นไหว เสมือนบ้านที่มีรากฐานมั่นคง แม้จะมีอะไรมากระทบ บ้านก็ไม่สั่น บ้านก็ไม่คลอน จิตก็เช่นกัน ไม่หวั่นไหว จงสร้างรากฐานของจิตให้มั่นคง ทำทาน ศีล ภาวนา สำรวมกาย วาจา ใจ เจริญสมาธิ ให้บังเกิดสติสัมปชัญญะให้สถิตอยู่ในจิตตลอดเวลา

บุคคลที่ได้ออกปฏิบัติร่วมกันที่สมควรจะเอ่ยนาม
๑. นายอภิรัฐ ปานเทพอินทร์
๒. นายอภิวรรธน์ สงวนงาม
๓. นายบัญญัติ แสงประเสริฐ
๔. นางสาวศศมน ยงยุทธ

สุดท้ายนี้ ขอขอบพระคุณ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพื่อเป็นธรรมทาน ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงอภิบาลประทานพรให้ท่านพบสัมมามรรคา เดินตามรอยพระพุทธองค์สู่นิพพาน ขออนุโมทนาผลบุญกุศลนี้โดยถ้วนหน้ากันทุกท่าน เทอญ

(นายฐานุพงศ์ สิรสุขสวัสดิ์)
ผู้ตรวจราชการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ลัก...ยิ้ม 04-06-2010 11:11

บทนำ
 
บทนำ
ธรรมสาสน์บอกกล่าวเตือนสติ


ข้อเขียนของข้าพเจ้าได้เขียนจากประสบการณ์ส่วนตัว มีความมุ่งหมาย ดังนี้

๑. ไม่มีเจตนาจะโอ้อวดหรือแอบอ้าง เพื่อประโยชน์ของตนเองแต่อย่างใดทั้งสิ้น เป็นการแสดงผลของวิบากกรรมเท่านั้น เนื้อหาสาระไม่เกินจากความเป็นจริง มีแต่ขาด เพราะส่วนที่ไม่บังควรก็จะไม่เขียนไว้ จะบอกกล่าวเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์ที่ได้พบเห็นจริง ได้พิสูจน์แล้ว และสมควรรู้เท่านั้น

๒. ขอให้อ่านคำนำให้จบก่อนจึงอ่านเนื้อความจาก “อัศจรรย์โลกใบนี้” เมื่ออ่านแล้ว “อย่าเชื่อ” อย่างสุดโต่ง (หมดใจ) จะทำให้ลุ่มหลงและอย่า “ไม่เชื่อ” อย่างสุดโต่ง (หมดใจ) จะทำให้ตำหนิติติง กลายเป็นวิบากกรรมและเสียโอกาสในการรับรู้

๓. ขอให้ท่านผู้อ่านใช้วิจารณญาณ พิจารณาอย่างเป็นกลาง เก็บส่วนที่เป็นประโยชน์ ละส่วนที่ไม่เกิดประโยชน์

๔. ขอให้ทำจิตเป็นอิสระมีเสรีภาพเป็นของตนเองก่อนจึงอ่าน แล้วมีความเป็นกลางไม่ปรุงแต่ง หรือมีจิตวิจารณ์ก่อนการพิสูจน์

๕. ข้าพเจ้า “ขอท้า” ทุกท่านที่สงสัยในข้อเขียนนี้ได้ “พิสูจน์” แต่ให้พิสูจน์ด้วยตนเอง ให้เห็นด้วยตนเอง ให้รู้ด้วยตนเอง ด้วยการตั้งมั่นที่จะรู้ แล้วลงมือเจริญกรรมฐาน ทำให้ศีลบริสุทธิ์ ให้เกิดสมาธิจิตที่เป็น “สัมมาสมาธิ” จนบังเกิดฌาน(ที่ตั้งแห่งความสงบเพื่อการหยั่งรู้) ได้ญาณ(การหยั่งรู้) แล้วท่านจะพบความจริงที่อยากรู้ ข้อเขียนของข้าพเจ้าเป็นเพียงแนวทาง ให้ผู้อยากรู้ได้พิสูจน์ด้วยตนเองเท่านั้น ท่านอย่ามัวสงสัยอยู่เลย เอาตัวเอาใจเข้าไปสิ จะพบกับความจริง

๖. ข้อเขียนนี้ถือเป็นปัจจัย เพื่อนำไปสู่ข้อเขียนที่ข้าพเจ้ากำลังลงมือบันทึก เรื่องการสร้างฌานหรือคู่มือการสร้างพลังอำนาจจิต เพื่อสร้างพลังอำนาจจิต อันเป็นปัจจัยแห่งความสุขของชีวิต เป็นการบอกกล่าวว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงสนใจศึกษาด้วยเหตุผลอะไร มีแรงดลใจมาจากไหน มีผลอย่างไร จากการเจริญกรรมฐาน

๗. ข้อเขียนของข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ใครมาหลงงมงาย เพียงแต่บอกกล่าว อย่าหลงผิดคิดว่า โลกใบนี้มีแต่สิ่งที่เรารู้ แต่มีอีกมากที่เราไม่รู้ “ในที่นี้ไม่มีใครเป็นผู้วิเศษ หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เท่านั้นเป็นของวิเศษ หากใครปฏิบัติให้เข้าถึงกฎธรรมชาติ” แม้แต่ตัวของข้าพเจ้า ก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนทุก ๆ คน เพียงแต่ได้โคจรไปพบความเร้นลับเพียงบางส่วนบนโลกใบนี้ ยังมีอีกมากที่ยังไม่ได้พบ

เหมือนนักวิทยาศาสตร์กำลังทดลองค้นคว้า ที่พบมีเพียงน้อยนิด ยังมีอีกมากมายที่ต้องค้นต่อ เราอย่ารู้แต่ภาษาโลก เราควรรู้ภาษาใจด้วย ภาษาใจคือภาษาธรรม

๘. อย่าทุกข์กับการอ่านเรื่องราว อย่าหยุดอ่านกลางคัน ฝืนอ่านให้จบ จะพบความจริง พบสุข เมื่อพิจารณาส่วนที่เป็นประโยชน์ นำไปปฏิบัติ ทดลอง แก้ไขภาวะจิตของตนเองด้วยตนเอง ถ้าจะถามว่าจริงหรือ ? ต้องตอบว่าลองดูสิ ! แต่ละประโยคในแต่ละหน้า มีความหมายที่สำคัญ จงพิจารณาให้เข้าใจถ่องแท้ จดจำ นำเป็นแนวทางในการฝึกอบรมจิต


:860e2a45::860e2a45::860e2a45:

ลัก...ยิ้ม 07-06-2010 09:26

โลกใบนี้

เป็นพิภพที่เป็นแหล่งกำเนิดสัตว์ที่มาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตหลายแสนชนิด ที่มีนาม รูป และยังเป็นที่สถิตของนามรูปละเอียด เป็นมิติเร้นลับ บุคคลธรรมดาเข้าไม่ถึง สัมผัสไม่ได้ เรียกว่าพิภพของโอปปาติกะวิญญาณ ซึ่งอยู่ปะปนกันในโลกนี้

เป็นโลกที่ดีที่สุด เป็นสถานที่ก่อให้บังเกิดมหาบุรุษเอกของโลก พระองค์แล้วพระองค์เล่า คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งบังเกิดอริยบุคคล อริยสงฆ์เป็นจำนวนมาก บังเกิดนักปราชญ์ราชบัณฑิตอีกเหลือคณานับ พร้อม ๆ กับเกิดคนพาลสันดานหยาบ คนถ่อยทรชนอีกมหาศาลสืบต่อกันมา ไม่มีสิ้นสุด

เป็นดินแดนที่เพาะเมล็ดพันธุ์ของสัตว์โลกทั้งดีชั่วอยู่ปะปนกัน เป็นเครื่องคานอำนาจต่อกัน ตามโอกาสแล้วแต่บุญกุศลของแต่ละบุคคล หรือที่เรียกว่า ตามวิบากกรรม ที่ทำมาแต่อดีตเป็นเครื่องกำหนดวิถีชีวิตของแต่ละบุคคล

ยุคใดมีผู้มีบุญวาสนามาปฏิสนธิ มีอำนาจ บ้านเมืองจะสงบร่มเย็น ทวยราษฏร์มีสันติสุขกันทั่วหน้า การปกครองบ้านเมืองจะอยู่ด้วยคุณธรรม

ยุคใดไม่มีผู้มีบุญวาสนามามีอำนาจ ยุคนั้นจะบังเกิดทุกข์ยากกันทุกหย่อมหญ้า ประชาราษฏร์เศร้าหมอง เต็มไปด้วยความทุกข์ แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น มีความอำมหิต ประทุษร้ายต่อกัน ก็จะบังเกิดทุกข์ยากเย็นเข็ญใจ อยู่ร่วมกันด้วยความหวาดระแวง หวาดกลัว หาความสงบไม่ได้

สิ่งมีชีวิตแบ่งเป็นสองสถานะ คือ สิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณเข้าครอง ได้แก่ สัตว์มนุษย์ สัตว์เดรัจฉานตัวเล็กตัวน้อย จากมองเห็นจนมองไม่เห็น กับสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีจิตวิญญาณเข้าครอง ได้แก่ พืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งมวล

โลกใบนี้ จึงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้อย่างสมบูรณ์ และสมดุลย์ตามธรรมชาติในตัวของมัน เพื่อให้สัตว์โลกค้นหา ศึกษาค้นคว้า แสวงหาสังคมสันติ อย่างมีอิสระตามวิถีแห่งกรรม

ทุกคนเกิดมามีกรรมเป็นเครื่องพิพากษากำหนด ตามแรงแห่งกรรมจากอดีตในการเวียนว่ายตายเกิด ทุกคนจึงมีความเสมอภาคที่การเกิด แต่ต่างสภาพในการดำรงชีวิต มั่งมี ยากจน แตกต่างกันไป มีสุข มีทุกข์ในการดำรงชีวิต ผิดแผกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงตามวาระของกฎของกรรม

บ้างเกิดเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ บ้างเกิดเป็นสัตว์ขั้นต่ำ สัตว์เล็กสัตว์น้อย ล้วนมาเกิดตามคำพิพากษาในกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น ไม่ละเว้น เรียกว่ากรรมที่ได้กระทำมาทั้งกุศลและอกุศลมากำหนดสถานภาพ บอกความจริงในกฎของกรรม หรืออาจเรียกได้ว่า กรรมมาบอก กระแสกรรมทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ รับรู้แก้ไข สำนึกผิดถูก แสวงหาความจริงแท้ ทรงชี้หนทางแห่งชีวิตที่ประเสริฐแก่สัตว์โลกที่อยู่ในโลกใบนี้มาแต่อดีต ซึ่งยังคงเป็นอมตะปรากฎอยู่จนถึงปัจจุบันและในอนาคต

ผู้ใดปฏิบัติได้ตรงตามธรรมชาติตามคำสอนผู้นั้นจะพบความจริงแท้แน่นอน ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ต้องกระทำด้วยตนเอง มิใช่จากคำบอกเล่า ใช้วิธีเข้าทดลอง พิสูจน์ ค้นหา จึงจะพบ จึงจะเห็นตามความเป็นจริงทุกประการ

ลัก...ยิ้ม 07-06-2010 17:32


ข้าพเจ้าได้ปฏิสนธิมาในโลกใบนี้เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ มีนามรูปหรือปฏิสนธิจิตวิญญาณ มีความรู้สึกนึกคิด มีความหิว มีความรู้สึกร้อนหนาว มีความทะยานอยาก มีชีวิตจิตใจ มีความเจ็บ มีความปวด มีความต้องการปัจจัยพื้นฐานเหมือนกับทุก ๆ คน ไม่มีอะไรแตกต่างกัน นอกจากกระแสแห่งกรรม ที่กำหนดให้ดำเนินไปตามที่กรรมกำหนด จึงต้องดำเนินชีวิตที่ทั้งสุขและทุกข์ สมหวัง ผิดหวัง เศร้าโศก เสียใจ ดีใจ ปะปนกันไป เฉกเช่นทุก ๆ คน แต่หนักเบาแตกต่างกันไป

ข้าพเจ้าได้เขียนเรื่องชีวิตของข้าพเจ้า ไม่ใช่โอ้อวด ทะนงตนหรืออวดอ้าง ยกตนข่มผู้อื่นก็หาไม่ เพียงแต่จะบอกกล่าว เตือนตน กันลืมในประสบการณ์ที่ประสบพบเห็นมา ท่านที่ได้อ่านโปรดทำใจให้เป็นกลาง อย่าเชื่อหรือไม่เชื่อ อย่าตำหนิให้เป็นวิบากกรรม เรื่องนี้บังเกิดเฉพาะตน ทุกคนมีประสบการณ์ที่มีความแตกต่างกัน เหมือนกันเพียงบางส่วน ขอให้ท่านจงใช้สติปัญญาพิจารณาเนื้อความเหล่านี้ ก็อาจจะเกิดประโยชน์กับท่านอยู่บ้าง

อาจทำให้ท่านที่ได้อ่าน เกิดแรงบันดาลใจให้ได้ศึกษาทดลอง เพื่อความกระจ่างสว่างในจิตใจ อาจเป็นเหตุที่ทำให้ค้นพบความจริงในชีวิตของตนเอง ค้นพบตนเอง ข้าพเจ้าได้เขียนขึ้นมาด้วยแรงบันดาลใจจากการรำพึงในจิตสำนึกที่อยากรู้ว่า

“โอ้..เราเป็นใครหนอ? เรามาจากไหนหนอ? มาทำไมหนอ? มาทำอะไรหนอ? มาเพื่ออะไรหนอ? แล้วเราจะไปไหนหนอ? จะไปอย่างไรหนอ?"


โอ้ อนิจจัง! ชีวิตไม่เที่ยงหนอ
โอ้ ทุกขัง! ชีวิตนี้มีแต่ทุกข์หนอ
โอ้ อนัตตา! ชีวิตไม่มีตัว ไม่มีตนหนอ


ข้าพเจ้าขอเน้นไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งว่า ท่านที่ได้พบ ได้อ่าน จะโดยจงใจหรือด้วยความบังเอิญ หรือด้วยกระแสอันใดก็ตาม ขอให้ท่านอย่าเชื่อจนสุดโต่ง เพราะจะทำให้ลุ่มหลงในสิ่งที่ท่านมิได้พบเห็น หรืออาจกล่าวได้ว่า ท่านไม่อาจกลับมาจากสถานที่ที่ท่านมิได้ไป ท่านจะไม่รู้จริงแท้ในสิ่งที่ท่านไม่ได้พบเห็นด้วยตนเอง แต่ท่านย่อมจะพบเห็นได้ หากท่านได้ปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ทำจิตใจให้เป็นกลาง ลงมือทดลอง ความจริงก็จะค่อย ๆ ปรากฏ

หากท่านปฏิเสธตั้งแต่ต้น ท่านจะเสียโอกาสอันงามที่จะได้พบความจริงทั้งมวล และทำให้ชีวิตนี้ ท่านจะมีแต่ “วิจิกิจฉา” คือ ความลังเลสงสัยอยู่เป็นเนืองนิตย์ตลอดไป และท่านจงอย่าได้ปฏิเสธจนสุดโต่ง เพราะจะทำให้ท่านไม่ได้คิดศึกษาทดลอง ได้เพียงแต่คิดว่าไม่จริง ๆ งมงาย ๆ แล้ว ตำหนิติติงจนเกิดวิบากกรรมเป็นอกุศลวิบาก เป็นโทษ มีความขัดแย้งในจิต เป็นทุกข์กับสิ่งที่ไม่สมควรนำมาเป็นทุกข์

เมื่อสงสัย บัณฑิตย่อมต้องศึกษา ค้นคว้าหาความจริง ตามแนวทางที่ถูกต้อง ทดลองด้วยการเอาชีวิตทั้งชีวิต คือ เอาทั้งกายและใจเข้าทดลองเสียก่อน ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ จึงค่อยปฏิเสธ ข้าพเจ้าจะเขียนเฉพาะที่ข้าพเจ้าพบเห็น และแม่ผู้ให้กำเนิดได้บอกเล่าบางส่วนเท่านั้น นอกจากนั้น มาจากประสบการณ์ของผู้อื่นที่ท่านได้บอกเล่า ตามที่ท่านทั้งหลายได้ศึกษา แต่ไม่ได้เขียนไว้ อาจจะตรงกันหรือขัดแย้งกัน ย่อมเป็นสาระของแต่ละประสบการณ์ ย่อมไม่ถูก ย่อมไม่ผิด ขอท่านจงใช้ปัญญาพิจารณาเอาเองเถิด เพียงแต่ขอให้ท่านที่ได้อ่านแล้ว ยังคงประโยชน์ค้นหาความจริงเอาเองด้วยตัวของตัวเอง เท่านี้ก็เพียงพอต่อเจตนาของข้าพเจ้าแล้ว

ลัก...ยิ้ม 08-06-2010 07:59

แม่เล่าว่า
 
แม่เล่าว่า


แม่เป็นผู้หญิงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง เหมือนผู้หญิงทั่วไปที่ได้ปฏิสนธิขึ้นมาในโลกนี้ มีรูปร่างพร้อมจิตวิญญาณสามัญทั่วไปอย่างคนทั้งหลาย แม่ได้ปฏิสนธิในครรภ์ของผู้เป็นยาย และยายได้ใช้ผนังหน้าท้องรองรับทารกน้อยเพศหญิงอยู่ ๙ – ๑๐ เดือน จึงลืมตาดูโลก เห็นแสงสี มีการปรุงแต่งด้วยอายตนะทั้งภายในและภายนอก เจริญวัยตามปกติ

แม่เกิดในสกุลของคนจีนแต้จิ๋ว ที่เราเรียกท่านว่า “ก๋ง” และหญิงไทย (ยาย) ที่เราเรียกว่า “แม่เฒ่า” เกิดในตำบลเฉียงพร้า อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฏร์ธานี แม่เป็นลูกคนแรกในจำนวนพี่น้อง ๓ คน มีน้องเป็นเพศชายทั้งคู่ ก๋งเป็นเจ้าของเหมืองดีบุก แม่บอกว่า(เนื่องจากข้าพเจ้าเกิดไม่ทัน)....

ก๋งและแม่เฒ่าเป็นคนใจบุญ มีกงสีในเหมือง เลี้ยงชาวบ้านในละแวกนั้นทุกวัน หุงข้าวเป็นกระทะให้คนงานเหมือง ชาวบ้านคนใดที่ต้องการกินก็ไปกินได้โดยไม่ห้าม ในกงสีจะมีการทำบุญเลี้ยงพระทุกอาทิตย์ไม่ขาด ทั้งสองท่านจึงเป็นที่รักและเคารพของชาวบ้านโดยทั่วหน้า

ท่านเป็นคนใจบุญ มีน้ำใจโอบอ้อมอารีกับทุก ๆ คน กิจการเหมืองมีความเจริญด้วยดีมาตลอด ท่านได้เลี้ยงดูเด็กชายกำพร้าคนหนึ่ง ตั้งแต่เล็กจนโตด้วยความรักเหมือนลูกหลาน จะเห็นว่าข้าพเจ้าไม่เอ่ยนามในที่นี้ เพื่อจะได้ไม่เป็นวิบากต่อกันต่อท่านผู้อ่านทุกท่าน (เด็กคนนี้จะมีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงในครอบครัวของข้าพเจ้าต่อไป)

ลัก...ยิ้ม 08-06-2010 17:31


แม่ในวัยสาวเป็นคนสวยสง่างามกว่าหญิงชาวบ้านทั่วไป จึงเป็นที่หมายปองของบุรุษเพศทั้งหลาย แต่ก๋งกับแม่เฒ่าได้ตกลงให้แม่ได้แต่งงานกับชายจีนไหหลำเป็นช่างทอง ในที่สุดแม่ก็อยู่กับพ่อจนมีลูกทั้งสิ้น ๗ คน รวมทั้งข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้อง แม่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ในการปฏิสนธิของลูกทั้ง ๗ คน บางคนบังเกิดเหตุอัศจรรย์มาบอกกล่าวล่วงหน้า บางคนก็ไม่มี

พี่คนแรก ขณะที่แม่หลับไปได้มีเสียงผู้หญิงมาเรียกแม่ว่า “คุณหญิง ๆ ขอฝากเด็กผู้หญิงไว้ในครรภ์สักคนได้ไหม ?” แม่บอกว่าได้ “แต่มีข้อแม้ว่า เด็กคนนี้มีของคู่บารมีติดมาด้วย ให้เก็บรักษาไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้น เด็กคนนี้จะอยู่ไม่ได้” แม่ก็รับปากรับคำ

จากนั้นแม่ก็ตั้งท้องอยู่เก้าเดือนเศษ วันหนึ่งขณะที่แม่ไปอาบน้ำที่บ่อน้ำแบบชาวบ้านอันเป็นกิจประจำวัน แม่เกิดปวดท้องขึ้นมา คลอดทารกเพศชายตัวเล็กมีอาการครบ ๓๒ ประการ ที่แปลกคือ ทารกน้อยมีท่อนบนเป็นสีเหลือง ท่อนล่างเป็นสีเขียวตัวเล็กมาก แม่ตกใจเลยเอากิ่งไม้ไปแตะตัวทารก ปรากฏว่าทารกน้อยใช้มือเกาะกิ่งไม้นั้น แม่เลยเอากิ่งไม้ปักไว้ที่ปากบ่อ (เป็นบ่อดินแบบโบราณ)

เมื่อแม่อาบน้ำเสร็จก็กลับบ้าน โดยลืมหยิบเอากิ่งไม้ที่มีเด็กทารกเกาะอยู่กลับไปด้วย เมื่อถึงบ้านพัก ก็เล่าให้แม่เฒ่า(ยายของข้าพเจ้า)ฟัง แม่เฒ่าบอกให้แม่รีบกลับไปเอามา แต่เมื่อแม่กลับไปที่บ่อน้ำก็ไม่พบทารกเพศชายเสียแล้ว คงเหลือแต่กิ่งไม้เท่านั้น

อีกสามวันต่อมา แม่ปวดท้องคลอดทารกหญิงที่มีผิวพรรณงดงาม เป็นที่ปลื้มปีติของทุกคน เป็นลูกคนแรก เป็นหลานคนแรกของครอบครัว จึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อยู่มาเจ็ดวัน แม่ได้ยินเสียงเรียกจากผู้หญิงคนเดิมว่า “คุณหญิง ๆ ! จะเอาลูกที่เกิดมากลับไปแล้ว ให้ของดีคู่บุญ(ทารกเพศชาย)มาแล้วเอาไว้ไม่ได้ ขอเอากลับไปก่อน” แม้ว่าแม่จะขอร้องประการใด ตลอดจนรับผิดก็แล้ว แต่ก็ไม่ได้รับความยินยอม พี่ของข้าพเจ้าเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น จึงเป็นที่เศร้าโศกเสียใจกับทุกคน ทารกเพศชายที่หายไปนั้น เรียกกันว่า “ลูกกรอกคู่บารมี"

ลัก...ยิ้ม 09-06-2010 09:30


พี่คนที่สองก็เช่นกัน ขณะที่แม่นอนอยู่ก็มีเสียงผู้หญิงมาเรียกเช่นเดิม “คุณหญิง ๆ ! จะขอฝากทารกชายไว้ในครรภ์ จะเอาไหม ?" แม่ตอบว่า "เอา" "แต่มีเงื่อนไขว่า จะมีของดีติดตัวมา เก็บไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นจะขอกลับเหมือนเดิม.." ตอนสิบเดือน แม่ปวดท้อง ได้คลอดทารกเพศชายหน้าตาดี ผิวพรรณงาม ในขณะที่ทารกเพศชายคลอดออกมาหรือที่เรียกว่าตกฟากนั้น ไก่ที่เลี้ยงไว้เกิดขันขึ้นพร้อม และได้ออกไข่มาฟองหนึ่ง ที่น่าประหลาดคือเป็นไข่ฟองใหญ่กว่าปกติ ไข่ไก่ฟองนั้นมีขนาดเท่าไข่ห่าน

*แต่ด้วยบุญหรือบาปอย่างไรก็สุดที่จะคาดคิด* ครบเจ็ดวัน ตามประเพณีจะต้องโกนผมไฟของเด็กชายผู้เป็นพี่ของข้าพเจ้า พ่อไม่ทราบเพราะแม่ไม่ได้บอกพ่อไว้ พ่อจึงเอาไข่ใบนั้นมาต้มทำการรับขวัญบุตรชาย เสร็จพิธีตกกลางคืนก็มีเหตุการณ์เช่นเดิม แม่ขอร้องด้วยความรักลูก จนได้รับความยินยอม หญิงผู้นั้นบอกว่า "เด็กจะลำบากทุกข์ยากจะเอาหรือไม่ ?" แม่ตอบว่า "เอา" พี่ชายคนโตจึงมีชีวิตอยู่ เป็นเด็กฉลาด แต่ตกทุกข์ยากแสนสาหัส จนกระทั่งจบชีวิตเมื่อไม่นานมานี้

พี่คนที่สาม คนที่สี่เป็นผู้หญิง พี่คนที่ห้าเป็นผู้ชาย ไม่มีอะไร เป็นไปตามปกติ มีชีวิตอยู่ทุกคน

พี่สาวคนที่หก เป็นพี่ที่ต่อจากข้าพเจ้า ก่อนจะปฏิสนธิลงครรภ์ คืนหนึ่งได้มีผู้หญิงมาเรียกแม่เช่นเดิม “คุณหญิง ! ขอฝากเด็กไว้ในครรภ์สักคนได้ไหม ?" แม่บอกว่า "ได้" ผู้หญิงท่านนั้นยื่นแหวนทองคำหัวเป็นพลอยประดับเพชรให้ แม่รับแหวนวงนั้นมาแต่กลับทำหลุดมือ หัวพลอยหลุดออกจากวงแหวน ผู้หญิงท่านนั้นจึงบอกว่า "เด็กอายุจะสั้นนะ อายุ ๓๕ ปีก็จะเสียชีวิต.."” แม่บอกว่าไม่เป็นไร พี่สาวมีอายุ ครบ ๓๕ ปีก็เสียชีวิตจริงตามที่บอกไว้ พี่คนนี้สวยน่ารัก มีจิตใจงดงาม เสียสละ เป็นที่พึ่งให้กับพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนจนกระทั่งเสียชีวิต

ลัก...ยิ้ม 09-06-2010 15:25

คนที่เจ็ดคือตัวข้าพเจ้า คืนหนึ่งมีผู้หญิงมาเรียกแม่เช่นเดิม "คุณหญิง ! จะฝากเด็กชายให้จุติลงครรภ์สักคนได้ไหม ?" แม่ตอบด้วยความดีใจว่า "ได้" ผู้หญิงท่านนั้นก็หยิบลูกแก้วใส ส่องประกายสว่าง ยื่นมาให้แม่ แม่ยื่นมือไปรับ แต่ผู้หญิงท่านนั้น ยังไม่มอบให้ บอกให้ "ไปเอาพานทองพร้อมด้วยผ้าขาวมาปูพานเสียก่อน" แม่ได้ยินเช่นนั้นก็ไปหาพานทองมา แต่กลับหาผ้าขาวมาปูรองพานไม่ได้ ได้แต่ผ้าขนหนูสีเหลืองผืนเล็กที่ยังไม่ได้ใช้ แม่ถามว่า "ผ้าขาวไม่มีจะใช้ได้ไหม ?" มีคำตอบว่า "ใช้ได้ แต่เกิดมาจะลำบากนะ จะเอาไหม ?" "เขามาบำเพ็ญบารมี"

แม่ตอบว่า "เอา"
พร้อมยื่นพานไปรับลูกแก้วลูกนั้น แต่ผู้หญิงท่านนั้นก็ยังไม่วางลูกแก้ว ได้บอกแม่ต่อไปว่า "มีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่งคือ ขอเพียงฝากไว้ในครรภ์ เมื่อจุติแล้วจะมาเลี้ยงเอง คุณหญิงไม่ต้องให้ดื่มนมจากเต้าของคุณหญิงนะ" เมื่อแม่รับปากแล้ว ผู้หญิงท่านนั้นก็วางลูกแก้วลงในพาน แม่เลยถามว่า "แล้วจะเอาลูกแก้วไปวางไว้ที่ไหน ?" ได้รับคำตอบว่า "หน้าพระ" พร้อมชี้มือไปยังโต๊ะหมู่ที่วางพระพุทธรูป แม่ก็เอาไปวาง ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าอยู่ที่หน้าพระ

จากนั้นแม่ก็ตั้งครรภ์ ๙ – ๑๐ เดือน ก็ได้จุติเด็กชายขาวสวย ผิวพรรณมีน้ำมีนวล มีราศี เป็นที่ยินดีแก่แม่ พ่อและพี่ ๆ เป็นอย่างยิ่ง ด้วยความรักที่มีต่อลูก ถึงเวลาแม่ก็ให้น้ำนมเพราะกลัวลูกหิว แม่ได้ลืมคำบอกกล่าวว่าอย่าให้นม ผู้หญิงท่านนั้นจะมาให้นมเอง เลี้ยงเอง

ลัก...ยิ้ม 10-06-2010 10:59

แม่สองภพ

ข้าพเจ้ามีแม่สองภพ จะจริงหรือไม่ เป็นอย่างไรก็ตาม ได้บังเกิดกับข้าพเจ้าแล้ว โดยเหตุผลกลใดก็ตาม ปรากฏว่าน้ำนมจากเต้านมของแม่แห้งสนิท ต่างกับแม่ลูกอ่อนทั่วไปที่คลอดลูกใหม่ เต้านมจะเต่งตึงมีน้ำนมเต็มเต้า เพื่อให้ลูกได้ดื่มกินประทังความหิวโหย

แม่ไม่มีน้ำนมให้ข้าพเจ้าได้ดื่มกินแม้แต่หยดเดียว แม่บอกว่ามีอยู่สองสามหยดก็มีกลิ่นเหม็นบูด แต่ข้าพเจ้ามีชีวิตสมบูรณ์ตลอดหกเดือนก่อนให้อาหารหยาบได้ แม้แม่จะพยายามทุกวิถีทางจะให้อาหาร กลัวลูกตายเพราะไม่ได้กินนม จึงไปซื้อนมกระป๋อง (สมัยก่อน) นำมาชงใส่ขวดให้ดื่ม ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมดื่ม

แต่ได้มีผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง ผิวขาว มีกลิ่นหอมกรุ่น สวยสง่างามมาก มาให้นมข้าพเจ้ากินจนครบหกเดือน เป็นนมที่หอมหวาน เด็กแรกเกิดจะรู้สึกรับรู้กลิ่นรสได้อย่างไร นี่แหละเป็นสิ่งที่น่าแปลก เหนือเหตุเหนือผล

ข้าพเจ้าเหมือนจำความได้ตั้งแต่เกิดและก่อนเกิด ตามปกติย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่นี่คงเป็นเรื่องไม่ปกติธรรมดา จึงบังเกิดเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้กับตัวข้าพเจ้า ดวงวิญญาณที่มาฟูมฟักเลี้ยงดูข้าพเจ้า ตั้งแต่แรกเกิดจนเจริญวัย ไม่ได้ห่างกายข้าพเจ้าเลย คือ แม่ในภพก่อน ติดตามมาดูแลด้วยความรักความห่วงใย เฝ้าอบรม ให้กำลังใจยามท้อแท้ต่อชีวิต พร่ำสอนสั่ง บังคับให้อยู่ในเส้นทางปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ให้ออกนอกเส้นทาง แม้จะลำบากแค่ไหนก็ตาม มาตอนหลังข้าพเจ้าจึงทราบว่า ผู้หญิงท่านนั้นที่เลี้ยงดูข้าพเจ้าคือ สมเด็จพระเทพมารดรนามว่า “พระแม่อทิติ” หรือ “อทิติพระเทพมารดร” พระมารดาแห่งองค์เทพทั้งมวล

ข้าพเจ้าจึงมีแม่สองภพ คือ แม่ในภพปัจจุบันและแม่ในภพอดีตที่ตามมาเลี้ยงดู ข้าพเจ้านับเป็นผู้พอจะมีบุญวาสนาอยู่บ้าง ที่เกิดมาแล้วมีเทวดาชุบเลี้ยง ซึ่งจะเป็นคำตอบส่วนหนึ่ง และต้องค้นหาต่อไปอีก จากคำรำพึงของข้าพเจ้าที่ว่า ข้าพเจ้าเป็นใคร ? มาจากไหน ? มาทำไม ? แล้วจะไปไหนหนอ ?

ลัก...ยิ้ม 10-06-2010 15:49

แม่ตายไป ๕ วันแล้วฟื้น

ก่อนข้าพเจ้าจะมาปฏิสนธิในครรภ์ของแม่ หลังจากแม่ได้ให้กำเนิดพี่ ๆ สามคนแล้ว แม่ก็เจ็บออด ๆ แอด ๆ มาตลอด จนถึงวันหนึ่งแม่ได้เสียชีวิตลงอย่างกระทันหัน

แม่เป็นลูกผู้หญิงคนเดียวของครอบครัว จึงเป็นที่รักและหวงแหนของทุกคน ทำให้เกิดความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แม่ถูกผูกตราสังนำเข้านอนในโลง สมัยก่อนไม่มีการฉีดยาเพื่อกันไม่ให้ศพเน่าเหม็นเหมือนปัจจุบัน เพียงแต่ใช้ผ้าขาวห่อหุ้มร่างกายของแม่ แม่เฒ่า(ยาย) ทำใจยังไม่ได้ จึงไม่ให้ปิดฝาโลงศพ เพียงแต่ให้ใช้ผ้าขาวคลุมปากโลงเอาไว้ ได้ทำบุญสวดอภิธรรมตามประเพณี

*ในงานศพคืนที่ห้า ภายในโลงศพมีเสียงดังเหมือนการขยับตัวและเคาะโลง จึงทำให้หลายคนไปเปิดผ้าคลุมโลงศพดู ปรากฏเห็นแม่กำลังดิ้นเพราะมือถูกผูกตราสัง ตัวถูกห่อด้วยผ้าขาว เป็นที่ตกอกตกใจทั้งพระและผู้ช่วยงานเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นดังนั้น ทุกคนจึงช่วยกันแก้มัดและยกแม่ขึ้น นำร่างแม่ออกมาจากโลงศพ*

แม่ขอน้ำดื่มเพราะกระหายน้ำมาก เมื่อแม่ได้ดื่มน้ำแล้ว จึงถามว่าพระท่านมาทำอะไร ? คนมากันมากมายเพื่อมาทำอะไร ? ทุกคนตอบว่ามางานศพ แม่ถามว่าศพของใคร แม่ได้รับคำตอบว่าศพของแม่ แม่จึงร้องไห้เป็นที่น่าเวทนา ทุกคนพากันปีติยินดีที่แม่ฟื้นขึ้นมา

ลัก...ยิ้ม 11-06-2010 12:01

แม่เล่าว่าแม่นอนหลับไป มีคนเอาวอมารับ (วอ คือ คานหาม) มีเครื่องดนตรีดีดสีตีเป่า มีคน ๔ คนหามวอ พวกเขาให้แม่ขึ้นไปนั่ง คนเหล่านั้นแต่งตัวสวย แม่ถามว่าจะพาไปไหน ก็ไม่มีใครให้คำตอบ ต่างพาเดินไปเรื่อย ๆ พร้อมเครื่องมโหรีตีนำ แม่บอกว่า แม่รู้สึกเหมือนเป็นเจ้าหญิงอย่างนั้น

เมื่อพาเดินไปถึงที่แห่งหนึ่งเป็นแม่น้ำ มีไม้กลม ๆ พาดทอดข้ามฝั่ง คนหามจึงให้แม่ลง คนหามข้ามกันหมดแล้ว แต่แม่ข้ามไม่ได้ พอเหยียบไม้ที่ทอดข้ามฝั่ง ไม้ก็จะหมุนอยู่ตลอดเวลา จนคนที่ข้ามไปแล้วต้องมาช่วยกันประคองข้ามไปจนได้ ก็ขึ้นวอเดินทางไปเรื่อย ๆ สองข้างทางสวย จนเพลิดเพลินกับการเดินทาง ถึงไหนไม่อาจรู้ได้

ไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง มีคนนั่งอยู่มากมาย รู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง ทักทาย ถามไถ่ ก็ไม่มีใครพูดด้วย ทำเหมือนไม่ได้ยิน ต่างคนต่างอยู่กับการกินอาหารของตน จัดเป็นสำรับ ๆ เฉพาะตน แม่รู้สึกหิว ไปขอคนรู้จักกิน แต่ก็กินไม่ได้ จับไม่ได้ มันร้อน ผู้ที่นำแม่มาบอกว่า *"เป็นของคนอื่น กินไม่ได้ เพราะเป็นของที่เขาเคยทำบุญไว้* เขาได้ทำบุญกุศลกับสมณะชีพราหมณ์ ทำทานกับคนตกทุกข์ได้ยากมาเมื่อมีชีวิต" คนพวกนั้นบอก แล้วชี้ให้แม่ไปกินส่วนที่เป็นของแม่ แม่เดินไปเห็นมีแต่น้ำขันเดียว แม่จึงถามว่า "ทำไมมีแต่น้ำขันเดียว" คนนำแม่มาบอกว่า "เพราะตอนที่อยู่ในโลกมนุษย์เมื่อยังไม่ตาย ไม่เคยทำบุญด้วยตนเอง มีแต่คนอื่นทำให้ทั้งสิ้น เราเคยถวายน้ำให้พระเดินทางมาขอดื่ม ๑ ขัน จึงมีแค่นี้" "เราตายแล้วไม่รู้หรือ?" แม่เถียงว่าไม่จริงแม่ยังไม่ตาย ใจหนึ่ง แม่ก็คิดว่าเราตายแล้วจริง ๆ

เมื่อได้ดื่มน้ำ ๑ ขันแก้กระหายแล้ว คนที่นำแม่มาก็พาแม่ไปพบคน ๆ หนึ่ง แต่งตัวแปลก มีคนนั่งอยู่ข้าง ๆ ที่นั่งเป็นบัลลังก์ มารู้ภายหลังว่าเป็นยมบาล ผู้ตัดสินความเมื่อตายจากโลกมนุษย์ ชายผู้นั้นถามชื่อ นามสกุล แม่บอกชื่อสกุลแล้ว ชายผู้นั้นหันไปถามชายผู้ที่นั่งอยู่ทางขวามือให้ตรวจดูรายชื่อ ชายผู้นั้นได้ตรวจดูรายชื่อไม่พบในบัญชีตาย ยมบาลบอกว่าเอาตัวผิดมา จึงสั่งให้รีบเอาแม่กลับมาส่งด่วน เดี๋ยวร่างถูกทำลายเสียก่อน

แล้วสั่งว่าให้ไปดูบัญชีตายของมนุษย์ ให้ดูคนที่รู้จักสามคนที่ต้องตายตามวัน เวลา สถานที่ และเหตุที่ตาย เดี๋ยวจะไม่เชื่อว่าได้ลงมาในยมโลกซึ่งเป็นที่ตัดสินผลกรรมของมนุษย์ ก่อนส่งวิญญาณไปสู่ภูมิของกรรมที่ได้ทำมา แม่ได้ดูชื่อคนที่จะต้องตายในไม่นานนี้สามคน (ขอไม่เอ่ยชื่อให้เป็นวิบากกรรม) จากนั้นมีคนนำทางพาแม่ไปดูคนที่ทำกรรมชั่ว ที่ได้รับการทรมานเพราะผลของการกระทำ แม่บอกว่ามันน่ากลัว น่าเวทนา น่าสงสารยิ่ง ถูกทรมานต่าง ๆ กัน เป็นกลุ่ม ๆ เป็นเหล่า ๆ ตามผลของการกระทำชั่ว

คนทั้งสามได้ตายตามที่แม่ได้ดูจากบัญชีรายชื่อทุกคน ทั้ง ๆ ที่แม่ได้บอกกับเจ้าตัว ลูกหลานให้ระวัง แต่กฎแห่งกรรมไม่มีใครอาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งไม่ปรานีใคร จากนั้นมาแม่เป็นผู้กลัวบาป แม่จะไม่กระทำกรรมชั่ว แม่ถือศีลทำแต่กรรมดี ทำบุญ ทำแต่ความดีตลอดจนสิ้นชีวิตของแม่ แม่เป็นคนกลัวบาป แม่จะสอนอยู่เสมอ เล่าให้ลูก ๆ ฟังตลอดเวลา เพราะแม่ไม่ต้องการให้ลูกของแม่เป็นอย่างที่แม่ได้เห็น
ข้าพเจ้าเขียนเล่าเรื่องนี้จากคำบอกเล่าของแม่ เพื่อเตือนสติแก่ผู้คิดประพฤติทำกรรมชั่ว ผู้ที่ไม่กลัวบาป

ลัก...ยิ้ม 14-06-2010 10:44

วิบากกรรมของครอบครัว

ก่อนข้าพเจ้าเกิดลืมตาดูโลก ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วแต่ข้างต้นว่า ครอบครัวของข้าพเจ้าอยู่ในฐานะดี แต่ด้วยบาปเคราะห์ของคนในครอบครัว ที่ได้กระทำมาจากอดีตชาติหนไหนไม่อาจรู้ได้ มาดลจิตดลใจให้ก๋งเกิดความเบื่อหน่ายในธุรกิจเหมืองแร่ จึงคิดขายเหมือง แล้วอพยพครอบครัวเข้ากรุงเทพฯ

เมื่อตกลงกันแล้วจึงขายเหมือง เมื่อดำเนินการขายสิ้นสุด รับเงินค่าเหมืองแร่เสร็จ ได้แบ่งที่ดินจำนวน ๗๐ ไร่ให้กับเด็กผู้ชายที่เลี้ยงไว้เหมือนลูกหลาน เพราะกลัวจะทุกข์ยากลำบาก แบ่งสมบัติเป็นที่เรียบร้อย ตกกลางคืนวันนั้น เด็กคนนี้ได้นำพรรคพวกมาปล้นเอาเงินที่ขายเหมืองไปหมดสิ้น ทำให้สิ้นเนื้อประดาตัว ก๋งเสียใจมาก ตรอมใจจนเสียชีวิตหลังจากนั้น ๗ วัน

ครอบครัวต้องเสียหัวเรือหลัก ระส่ำระสายทำอะไรไม่ถูก หลังจากจัดงานศพของก๋งเสร็จสิ้น แม้ที่ดินจะฝังร่างตามประเพณีก็ไม่มี จึงต้องเผาตามประเพณีไทยในที่สุด เป็นที่สงสัยว่า ตอนต้นได้เกริ่นไว้ว่า ก๋งเป็นผู้มีใจบุญสุนทาน สร้างกุศลไว้มากมาย เป็นผู้มีน้ำใจอันประเสริฐ เป็นรากฐานอันดีให้กับทางญาติ ลูกหลาน ทั้งเป็นผู้มีฐานะมั่นคง ในการดำรงชีวิตชั่วลูกชั่วหลานก็ใช้ไม่หมด ทำไมจึงประสบเคราะห์กรรมเช่นนี้

ได้เขียนยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อแสดงว่า กฎแห่งกรรมจากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีจริงตอบสนองจริง ตามกฎของการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อันเป็นสัจธรรม เป็นความจริงอันเที่ยงแท้แน่นอน ไม่ว่าจะเกิดในชาติภพใด ผลกรรมที่ได้กระทำมาในอดีต ก็จะตามมาแสดงตัวพิพากษาได้ในทุก ๆ ภพ ทุก ๆ ชาติ และมีความเที่ยงธรรม เที่ยงตรงเสมอ ไม่ยกเว้น แม้ในภพนี้จะทำแต่ดี แต่ในอเนกชาติอาจทำไม่ดีไว้ ในชาติปัจจุบันจึงต้องมาใช้หนี้กรรมนั้น ทุกผู้ทุกคนที่เวียนว่ายตายเกิด ไม่เลือกชั้นวรรณะ

ไม่เว้นแม้แต่ก๋งผู้ทำแต่กรรมดีในชาตินี้ เราจึงพึงสังวรไว้เสมอ เพื่อความไม่ประมาทในกรรม การกระทำทุกอย่างย่อมไม่มีวันเสื่อมสูญ ไม่สิ้นกระแส เมื่อมีการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลก จะเกิดในโลกใบนี้หรือโลกใบไหน ๆ ก็หนีไม่พ้น กรรมดี กรรมชั่ว ทำกรรมดีย่อมสุขสบายในทุกภพทุกชาติ ทำความชั่วย่อมได้รับทุกข์เช่นกัน เขียนบอกไว้เพื่อเตือนสติตนเองและผู้ได้พบอ่านว่า อย่าประมาท อย่าหลงผิดคิดชั่ว อย่าทรนงต่อกระแสกรรม

ลัก...ยิ้ม 15-06-2010 07:34

การอพยพถิ่นฐาน

เมื่อเสาหลักของครอบครัวล้มลง ครอบครัวขาดที่พึ่ง ขาดกำลังใจ มีแต่ความเศร้าโศก ทรัพย์ที่เคยมีอยู่ก็หมด ยังคงมีเหลืออยู่บ้าง ก็ต้องแบ่งกันครอบครอง พี่น้องแยกกันไป แม่ย้ายไปอยู่ที่บ้านส้อง ตำบลเวียงสระ อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ไปสร้างบ้านเล็ก ๆ อยู่ในสวนที่เป็นมรดก ห่างตลาดประมาณ ๕ กิโลเมตร

พ่อกับแม่เป็นคนอดทน ขยันขันแข็งหาเลี้ยงลูก ลูกที่โตพอช่วยทำมาหากินได้ ก็ไปเป็นลูกจ้างหาเงินช่วยครอบครัว ณ บ้านหลังนี้ข้าพเจ้าได้ลืมตามองโลกอาศัยอยู่จนอายุ ๓ ขวบ พ่อแม่ก็ย้ายเข้ามาเช่าบ้านอยู่ในตลาดเพื่อสะดวกในการทำมาหากิน พ่อแม่ช่วยกันทำของขายข้างสถานีรถไฟ ขายขนม ข้าวหมูแดง (ใส่กระทงขาย) ไก่ย่าง ขายก๋วยเตี๋ยวเลี้ยงชีพมาตลอดเวลา อายุ ๔ ขวบ วิบากตามมาทันซ้ำเติมครอบครัวอีกครั้ง ไฟไหม้ตลาด บ้านที่เช่าอยู่ถูกไหม้ไปด้วย สิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีอะไรเหลือเป็นครั้งที่สอง

พ่อกับแม่ต้องไปขออาศัยโรงสีข้าวอยู่เป็นห้องเล็ก พอมีที่นอน ๔ คน คือ พ่อ แม่ พี่สาวและข้าพเจ้า ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างเหลือล้น เพราะห้องพักเต็มไปด้วยฝุ่นจากรำข้าวในโรงสี ทำให้เกิดอาการคันตามเนื้อตามตัว ได้รับความทุกข์ยากเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ส่วนพี่ ๆ แยกกันไปเป็นลูกจ้างในร้านต่าง ๆ

ลัก...ยิ้ม 15-06-2010 09:36

ผลกรรมตามสนอง

หากจะไม่เขียนเรื่องนี้ อาจมีผู้สงสัยกฎแห่งกรรมอีก คนที่ก๋งเลี้ยงไว้อุปถัมภ์เหมือนลูกคนหนึ่ง ตอนหลังได้นำพวกมาปล้นทรัพย์ที่ได้จากการขายเหมืองแร่ จนก๋งเสียใจจนถึงกับเสียชีวิตในที่สุด

*ในเดือนต่อมา ได้ประสบเคราะห์กรรมที่ได้กระทำไว้ ได้ขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บลูกมะพร้าว พลาดตกจากต้นมะพร้าวเสียชีวิต ชดใช้กรรมที่ได้กระทำมาเช่นกัน* จะด้วยเหตุผลอันใดขอท่านผู้มีปัญญาได้พิจารณามองหาเหตุผลตามกฎแห่งกรรมดู น่าจะเข้าใจ ผู้ประทุษร้ายต่อผู้มีพระคุณประดุจดังพ่อแม่ ย่อมเป็นบาปหนักหนา

พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า “บุคคลใดประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ บุคคลนั้นย่อมได้รับโทษทัณฑ์ในปัจจุบัน ๑๐ ประการ” เขาผู้นั้นได้กระทำกรรมชั่วต่อผู้มีพระคุณ จึงได้รับโทษตามกฎที่ได้แสดงผลให้ปรากฏ เพื่อรักษากฎอย่างมั่นคงต่อการกระทำนั้น จึงน่าจะเป็นคติเตือนใจแก่คนรุ่นหลัง

ท่านผู้ได้พบอ่านจะเห็นว่า ข้าพเจ้าไม่ได้เอ่ยชื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งในข้อเขียนนี้ เพื่อไม่ให้เกิดวิบากกรรมต่อกัน จนเป็นเจ้ากรรมนายเวรสืบต่อ ๆ กันไป จนติดภพชาติไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีอโหสิกรรมต่อกัน ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้ ครอบครัวของข้าพเจ้าได้ให้อภัยเป็นอโหสิกรรมแล้ว ทุกคนไม่ผูกติด คิดอาฆาตพยาบาทต่อกันอีกต่อไป

เพียงแต่จะบอกกล่าวว่า บาปบุญคุณโทษนั้นมีจริง ภพต่าง ๆ มีจริง กระแสกรรมมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกมีจริง ทุกคนเกิดด้วยแรงแห่งกรรม เรามีกรรมเป็นถิ่นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เราเป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นปัจจัย เป็นพื้นฐานของชีวิต มีกรรมเป็นเครื่องบอกกล่าวถึงผลการกระทำในอดีตของเราที่ได้กระทำอยู่อย่างนั้น จมอยู่อย่างนั้น หมกมุ่นอยู่อย่างนั้น จึงมีสุข มีทุกข์ มีความสำเร็จ สมหวัง ความผิดหวัง มีฐานะร่ำรวยหรือยากจน มีหน้าที่การงานดี มีผู้เคารพนบน้อม มีหน้ามีตาในสังคม มีสุขภาพสมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์ มีพวกพ้องบริวาร ทุกข์ยากอับจน ล้วนแต่กรรมเป็นเครื่องกำหนด มาบอกความจริงทั้งสิ้น

*หากใครมีจิตตื่นสว่าง มีปัญญามองเห็นวัฏฏะสงสาร แก้ไขด้วยการสร้างแต่คุณงามความดี เพิ่มพูนบุญวาสนาบุญญาธิการของตัวเอง ด้วยตนเอง ด้วยความสำนึกละอายเกรงกลัวต่อการกระทำกรรมชั่ว ประพฤติกระทำแต่กรรมดีตลอดที่มีโอกาส ที่มีร่างกายเป็นเครื่องรองรับการกระทำดีนั้น* เมื่อรู้ว่าการกระทำกรรมดีมีคุณ กระทำกรรมชั่วมีโทษ แล้วเราจะกระทำกรรมใด ขอจงพิจารณาให้ถ่องแท้เถิด จงหมั่นขอขมากรรมที่ได้สร้างเอาไว้ ให้อกุศลกรรมนั้น ๆ เป็นอโหสิกรรมอยู่ทุกเมื่อ เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต

ลัก...ยิ้ม 16-06-2010 08:47

ชีวิตในปฐมวัย

ชีวิตคนเราเป็นสิ่งซ่อนเร้นน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเกิดมาเป็นสัตว์โลกอันประเสริฐ นับว่าเป็นผู้มีบุญวาสนา ถึงแม้ว่าจะมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ล้วนแต่เป็นครู เป็นอุปกรณ์ในชีวิตของเรา หรือเรียกตามหลักจิตวิทยาว่าประสบการณ์ของชีวิต

เรามีจิตเป็นเครื่องกำหนดทั้งสุขและทุกข์ จิตที่เข้มแข็งย่อมไม่หวั่นไหวต่อสถานะที่ปรากฏ จิตที่อ่อนแอย่อมหวั่นไหวเป็นทุกข์เป็นสุขตลอด ข้าพเจ้าก็ไม่แตกต่างจากสามัญชนทั้งหลาย ที่ต้องการความสุขสบาย สะดวก มีฐานะ มีหน้ามีตา มีพวกพ้อง ต้องการคำยกย่อง แต่มันย่อมเป็นไปไม่ได้ทั้งหมดแน่นอน แค่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ถือว่ามีบุญวาสนาดีอยู่แล้ว เพราะสามารถสร้างภูมิ ภพชาติที่ดีได้

พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “ บุคคลทำกรรมใดย่อมได้รับผลของกรรมนั้น จะแบ่งกรรมนั้นให้ผู้อื่นมิได้ บุคคลทำกรรมดีย่อมได้รับผลของกรรมดี บุคคลใดทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลของกรรมชั่ว และบุคคลใดมีความละอายเกรงกลัวต่อการกระทำกรรมชั่ว ก็เหมือนบุคคลผู้นั้นเดินเข้าป่า รู้ว่าในป่ามีอสรพิษ จะไม่ย่างเท้ากล้ำกรายไปให้อสรพิษนั้นมากัด ตรงกันข้ามบุคคลที่ไม่เกรงกลัวก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ทั้งที่เห็นพวกบินไปตายในกองไฟ แต่ก็ยังบินเข้าไปตายในกองไฟนั้น"

และพระองค์ยังตรัสไว้ว่า “สิ่งที่บังเกิดได้ยากในโลกนี้มี ๕ ประการ” คือ

๑. การบังเกิดของพระพุทธเจ้าประการหนึ่ง
๒. การได้มาเกิดเป็นมนุษย์ประการหนึ่ง
๓. การได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้พบพระพุทธศาสนาประการหนึ่ง
๔. การได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว ได้นับถือพระพุทธศาสนาประการหนึ่ง
๕. การได้นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ได้บวชและปฏิบัติธรรมประการหนึ่ง

ขอให้พึงคิดและพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จึงเห็นว่า เราทุกคนมีบุญหนักหนาแล้ว ที่กรรมให้โอกาสมาเกิดเพื่อมาสร้างความดี มาแก้ไขในสิ่งผิดพลาดในอดีต มาแก้ตัว มาใช้หนี้วิบากกรรม แม้เพียงเศษกรรมเพียงเล็กน้อยให้หมดสิ้นไป

เสมือนร่างกายมีบาดแผลเพียงเล็กน้อยอยู่ หากบาดแผลนั้นยังไม่หาย ก็ย่อมมีความเจ็บปวดระคายเคืองเช่นนั้นร่ำไป ฉันใดก็ฉันนั้น เหล็กที่จะแข็งกล้า จะคม ก็ต่อเมื่อนำมาเผาไฟให้ร้อนแดงจนได้ที่ แล้วนำมาทุบตี นำไปเผาใหม่ ทุบใหม่จนได้รูปที่ต้องการ จึงนำไปเผาแล้วชุบให้เหล็กกล้าแข็ง จนนำไปใช้งานตามต้องการ ทุกข์วิบากจะช่วยให้คนเกิด มีจิตใจที่มีความเข้มแข็ง เกิดความแข็งแกร่งเช่นกัน


:cebollita_onion-09::cebollita_onion-09::cebollita_onion-09:

ลัก...ยิ้ม 16-06-2010 14:33

ขอให้ศึกษาประวัติศาสตร์ขององค์พระโพธิสัตว์ ทุก ๆ พระองค์ล้วนแต่พบชีวิตที่ตกยากลำบาก ใช้หนี้วิบากกรรมเสวยทุกข์ ตกระกำลำบาก มาบำเพ็ญจิตให้เข้มแข็ง อดทนสร้างบารมี แม้พระอริยเจ้าเกือบทุก ๆ พระองค์ จะเกิดในที่ลำบากเป็นส่วนใหญ่ ทุกข์ยากจึงจะแสวงหาหนทางแห่งความสงบ พ้นทุกข์ บำเพ็ญบารมี จนบรรลุธรรมอันวิเศษ

แล้วเราจะไปท้อถอยต่อปัญหาชีวิตทำไม แม้บางพระองค์จะเกิดในครอบครัวที่มีฐานะ ก็ต้องละทิ้งฐานะไปบำเพ็ญเรียนรู้ทุกข์ ไม่มีเว้น

แม่เป็นคนที่น่าสงสาร แม่เป็นคนอดทน ไม่พูด ไม่บ่น ไม่ว่า ไม่กล่าวให้ลูก ๆ ต้องเสียใจ แม่กล้ำกลืนอดทน แม่แอบร้องไห้เพราะไม่มีแม้กระทั่งข้าวให้ลูกกิน ต้องขอยืมข้าวชาวบ้าน ชาวบ้านที่สงสารนำข้าวสารมาให้ครั้งละหนึ่งกระป๋องนม หุงข้าวต้ม ต้องแบ่งกิน ๓ มื้อ ๔ คน กับข้าวก็ไม่มี อยู่กันด้วยความรันทด

แม่ต้องออกไปขายข้าวโพดคั่วตามงานวัดต่าง ๆ ในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง ทิ้งให้ข้าพเจ้าอยู่กับพ่อเพื่อเรียนหนังสือ พี่ ๆ ต้องแตกฉานซ่านเซ็นไปทำงานตามถนัดเหมือนเด็กทั่วไป บางครั้งข้าพเจ้าก็ตามแม่ไปช่วยขายด้วย ตั้งแต่หัวยังไม่พ้นโต๊ะที่วางขายของ ร้องเรียกคนมาซื้อ แต่น่าประหลาด ทุกครั้งจะขายดี คั่วข้าวโพดใส่ถุงไม่ทัน แต่แม่ไม่ค่อยยอมให้ไปด้วยเพราะต้องขาดเรียน ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เมื่ออายุ ๕ ปี ข้าพเจ้าเป็นเด็กซุกซนตามประสาเด็ก แม่ไม่อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ไปโรงเรียนเช่นกัน เกโรงเรียนว่าอย่างนั้นเถอะ ทั้งพ่อและแม่ก็ไม่รู้

ลัก...ยิ้ม 16-06-2010 17:09

ขายของที่สถานีรถไฟ

ด้วยความรู้สึกรักและสงสารแม่ ไปรับซาละเปาไปขายข้างรถไฟที่จอดรับส่งผู้โดยสารใบละ ๕๐ สตางค์ ร้านให้ค่าขายใบละ ๕ สตางค์ ขายดิบขายดี สนุก เพราะเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ผู้คนเห็นแล้วอาจเกิดความเมตตาสงสาร ช่วยกันซื้อ ได้เอาเงินมาให้พ่อ พ่อก็ดุ เอาให้แม่เมื่อแม่กลับมาก็ถูกดุ แม่กอดรัดด้วยความสงสาร ปลอบประโลมไม่ให้ทำ

แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ฟังแอบหนีไปทำ หนีโรงเรียนตลอดเวลา เช้ามืดก็จะนำเอาน้ำใส่ถังเล็ก ๆ เพื่อนำไปขายข้างขบวนรถไฟที่มาจอดที่สถานี ขบวนรถไฟจะถึงสถานีสว่างพอดี น้ำแช่ดอกมะลิหอมเย็นชื่นใจขายถังละ ๒๕ สตางค์ วันหนึ่งขายได้หลายถัง ได้เงินมาช่วยทางบ้าน

แม้จะอายุยังน้อย แต่ความรักที่มีต่อแม่ ความสงสารแม่ ทำให้ข้าพเจ้านั้นเกิดความรันทดตามประสาเด็ก แต่ก็มีแม่ในโลกทิพย์คอยเสด็จมาปลอบ อบรม ให้กำลังใจทุก ๆ คืนที่นอน (ท่านไม่ห้ามที่ข้าพเจ้าทำงาน) ท่านจะมาให้นอนหนุนตัก แล้วบอกให้อดทนต่อสู้ อย่าท้อถอย แม่ยังอยู่เคียงข้างลูก คอยคุ้มครองรักษา ดูแลตลอดเวลา ไม่ต้องกลัว เป็นเช่นนี้ทุกคืน ให้ต่อสู้ ให้ทำงานไปทุกครั้ง จิตเป็นสุข อบอุ่นชุ่มชื่นด้วยความเมตตา และกลิ่นหอมจากผิวกายของแม่ท่าน รวมทั้งทั้งประกายตาที่มีความปรานี ตลอดจนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสวยและรอยยิ้มของความเป็นแม่

นอกจากนั้น ยังขายทุกอย่าง เช่น เงาะ ทุเรียน ไข่ต้ม อาจเหลือเชื่อ ตัวเล็กนิดเดียวแต่ทำงานเกินอายุ ต้องรับผิดชอบดูแลตนเอง ถูกฝึกตั้งแต่เล็กจนโตมีการเตรียมการ สร้างความอดทน จะโดยกรรมหรืออะไรก็ตาม ก็ทำให้ข้าพเจ้ามีความแข็งแกร่งในจิตใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ

ลัก...ยิ้ม 17-06-2010 08:29

จากอ้อมอกแม่ ไปอยู่วัด ๑๙ ปี

พี่สาวซึ่งไปมีครอบครัวอยู่จังหวัดปัตตานี ได้กลับมาเยี่ยมพ่อและแม่ ได้มาพบเห็นข้าพเจ้าทำแต่งาน ไม่ยอมไปโรงเรียน เห็นว่าไม่เป็นเรื่องแน่ ตอนนั้นอายุประมาณ ๗ ขวบ จึงขอพ่อกับแม่ว่าจะรับตัวไปอยู่และเรียนหนังสือที่ปัตตานี ได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดตานีนรสโมสร ด้วยความซุกซนจนพี่สาวก็ดูแลไม่ไหว เกเรจนพี่ต้องให้ไปอยู่วัดตานีนรสโมสร

จากนั้นมาชีวิตเริ่มผันผวน พี่สาวได้นำข้าพเจ้าไปฝากให้อยู่วัดกับพระสุรพงษ์ ท่านได้รับข้าพเจ้าให้อยู่กับท่าน ท่านเฝ้าอบรมบ่มนิสัย ทั้งดุและบางครั้งก็ต้องลงโทษหนักด้วยการเฆี่ยนตี ท่านให้ช่วยกันทำงานทุกอย่างภายในวัด เช้าตามท่านไปบิณฑบาต กลับมาจัดที่ให้พระฉัน กินข้าวแล้วไปโรงเรียน (โรงเรียนอยู่ในวัด)

ตอนเย็นหากินกันเองกับเพื่อนเด็กวัด มีอยู่หลายคน อาจารย์ท่านเป็นคนดุแต่ใจดี เวลาโกรธมือคว้าอะไรได้จะขว้างใส่ทันที ท่านมีหวายสำหรับทำโทษเด็กวัดที่ทำผิดกฏระเบียบของวัด ท่านทำโทษแต่ละครั้งเลือดออกซิบ ๆ แล้วใช้น้ำเกลือราด ปวดแสบมากแทบขาดใจ แต่มารู้ภายหลังเพื่อไม่ให้แผลเน่าเปื่อยเป็นหนองนั่นเอง ทุกคนกลัวท่านมาก

ให้ทำงานทุกเย็นก่อนกินข้าว ทำสวนครัวไว้ทำอาหารเย็นกินกัน ปลูกผักทุกอย่างในที่ว่าง ขนทรายไปถมที่ลุ่มทุกวัน กลางคืนเข้ากรรมฐานเป็นกฏของวัด สวดมนต์ ดูหนังสือ ๑ ชั่วโมงแล้วเข้านอน เป็นเช่นนี้ทุกวัน มีเวรถูพื้น ขัดส้วม กวาดลานวัด เป็นกิจอยู่เช่นนี้ เราอยู่กันอย่างมีระเบียบ แบบชีวิตต้องสู้ทั้งเจ็บปวด น้อยใจ รัดทดหดหู่ ในจิตใจต้องต่อสู้กับอำนาจกระแสจิตในทางที่ดี และทางที่ร้ายอย่างสับสน

ลัก...ยิ้ม 17-06-2010 14:57

ในช่วงปิดภาคเรียน พวกเราทุกคนจะต้องทำงาน เพื่อหาเงินมาซื้อเสื้อผ้า อาหารเย็น เช่น การรับไสไม้กระดานฝาบ้าน ไม้พื้น ไม้ระแนง ได้ตารางเมตรละ ๒๐ สตางค์ ขี่สามล้อรับจ้าง เป็นคนงานก่อสร้างตึกได้ค่าแรงวันละ ๒๐ บาท พายเรือข้ามฟาก ขายลอตเตอรี่ ส่งหนังสือพิมพ์ตามบ้านตอนเช้า เป็นเด็กเก็บเงินรถประจำทาง เมื่อมีงานประจำปีก็จะต่อยมวยหาเงิน รับซักเสื้อผ้า รับทำความสะอาดบ้าน แบกของในตลาดสด ที่เขียนมาเสียยืดยาว เพื่อให้มองเห็นความลำบาก เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นในประสบการณ์ชีวิต

ช่วงที่โตมากขึ้น อาจารย์จะให้กลับเยี่ยมบ้าน ดีใจมาก คิดถึงพ่อแม่ใจจดใจจ่อ ช่วงนี้ฐานะครอบครัวแม่พอจะดีขึ้น แม่ขายข้าวแกง ขายดี ข้าพเจ้ากลับบ้านไปทำขนม ใส่หาบขายที่สถานีรถไฟเช่นเดิม ทำลอดช่องสิงคโปร์ ทับทิม รวมมิตร ใส่กระป๋องนมขาย ได้กำไรพอสมควร กลางคืนจะทำขนมตั้งโต๊ะขาย ทำไข่หวาน ขนมบัวลอย น้ำแข็งไส ตอนเช้าก่อนทำขนมหาบไปขาย จะทอดปาท่องโก๋ขายหน้าร้านกาแฟ ได้กำไรมากในช่วงปิดเทอม ทำงานหาเงินช่วยเหลือแม่ ตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ อายุประมาณ ๑๑ ปี

แม่ภูมิใจและรักข้าพเจ้ามากควบคู่กับความสงสาร แม้จะห้ามไม่ให้ทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อฟัง *ตกกลางคืนแม่จะเอาข้าพเจ้ามาสวมกอดด้วยความรัก มองดูจากประกายตาของท่าน ทำให้มีความสุข ในจิตเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น อย่างยากจะหาคำใดมาบรรยายได้*

ท่านที่ได้อ่านอย่าได้สงสัยเลย เป็นเรื่องจริงในปฐมวัยทั้งสิ้น มันเกิดกับชีวิตคน ๆ หนึ่ง ที่ถูกสร้างให้จิตใจเต็มไปด้วยความอดทนต่อสู้ชีวิต สร้างความแข็งแกร่งในจิตใจ จนประสบความสำเร็จในการพัฒนาจิตให้เข้มแข็ง อดทน อดกลั้น ต่อสู้ กระทำความดีมาตลอด


:a03cbf1e::a03cbf1e::a03cbf1e:

ลัก...ยิ้ม 18-06-2010 08:39

กลัวผี

ผีเป็นทัศนะความเชื่อในจิตสำนึกของเด็กเกือบทุกคน เป็นความกลัวอย่างขึ้นสมอง อาจารย์ท่านจะกำจัดความกลัว โดยการให้เอาผ้าขาวที่ห่อศพเต็มไปด้วยน้ำเหลือง เหม็นอย่างร้ายกาจมาต้มแล้วซัก ให้เอาไปห่มนอน

เบื้องต้นทำให้บังเกิดความกลัวจนนอนไม่หลับ สะทกสะท้านอยู่เป็นเวลานาน แต่ก็ยังกลัวไม้หวาย (ไม้ที่ใช้ทำโทษเด็กที่ทำผิด) มากกว่า จึงต้องทนทรมานจนจิตค่อยสงบ เมื่อรู้ว่าไม่มีอะไร เพราะกลัวถึงที่สุดแล้ว มันก็จะไม่กลัว

นอกจากแก้ความกลัวด้วยการให้ห่มผ้าห่มศพ ท่านก็ให้ไปนั่งบนเชิงตะกอนหลังจากเผาศพใหม่ ๆ ความกลัวบังเกิดขึ้นอีกเพราะความเงียบในยามดึก มันวังเวง เยือกเย็นจับจิต กลัวจนเหงื่อแตกทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวเย็น จนกระทั่งหายกลัวไปเอง

อุบายเช่นนี้ช่างโหดเหลือเกิน แต่เมื่อผ่านไปได้ เกิดประโยชน์ต่อชีวิตเรา คุ้มค่าต่อการเสี่ยงจากภาวะจิตจะแตก ทำให้เกิดวิกลจริตไป ดีที่จิตใจเข้มแข็ง ทำให้ไม่กลัว ในที่สุดความกลัวผีจางหายไปจากจิตใจโดยสิ้นเชิง


: :onion_yom: :onion_yom::cebollita_onion-08::conion-04: :cebollita_onion-09:

ลัก...ยิ้ม 18-06-2010 10:52

กลับมากลัวผีอีกครั้ง

จิตนี้เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงแท้ เพื่อให้เป็นเรื่องเดียวกันจึงยกมากล่าวเสียในช่วงนี้ จะได้ไม่ข้ามไปข้ามมา เมื่อครั้งได้พบอาจารย์ทางกรรมฐาน ได้ติดตามไปศึกษาธรรมกับท่านคือ หลวงพ่อริม รัตนมุณี ท่านเป็นพระอริยสงฆ์องค์หนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าจะกล่าวถึงในบทต่อ ๆ ไป

คืนหนึ่งท่านพาข้าพเจ้าไปในป่าช้า วัดป่าสามัคคีระบือธรรม อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๗ ท่านถามว่า "กลัวผีไหม ?" ข้าพเจ้าตอบทันทีด้วยความมั่นใจว่า "ไม่กลัว" ท่านบอก "ดีแล้ว" คืนนั้นท่านพาเดินไปในป่าช้าหลังวัด ที่อยู่ห่างตัวเมืองเป็นที่เงียบสงัด ในเวลาเที่ยงคืนพอดี ท่านบอกให้นั่งบนเนินดินที่เป็นที่ฝังศพผีตายทั้งกลม บอกให้นั่งสงบจิตเจริญกรรมฐานอยู่ที่นี่ อย่าไปไหน หลวงพ่อจะทำธุระด้านโน้น..ประเดี๋ยวจะมา แล้วท่านก็เดินจากไป ความเงียบ อากาศที่หนาวเย็นจับใจ เสียงสัตว์ต่าง ๆ ออกหากิน เดินกระทบใบไม้แห้ง ทำให้ตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา

ความเงียบมันเพิ่มความวังเวงทีละน้อย ๆ ความกลัวค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ นึกถึงหลวงพ่อไปไหน ? นี่คือ มโนสำนึกในจิตที่บังเกิดขึ้น แต่ที่สำคัญกองดินที่นั่งอยู่ มันฟูขึ้นทีละน้อย ๆ ทำให้ยิ่งกลัวมากขึ้น ข่มและบังคับจิตเกือบไม่อยู่ เมื่อคิดว่านี่คือ หลุมฝังศพผีตายทั้งกลม มันยิ่งเพิ่มความน่าหวาดกลัวมากขึ้น แต่ก็พยายามข่มจิตไม่ให้กลัว ช่วงต้นมันดื้อ เอาไม่ลง จึงต้องกำหนดตาย ตัวเรานี้ก็อาศัยซากศพอยู่ไม่เห็นมีอะไร (ร่างกายของเรา) เอาเหตุผลเข้าหักล้างความกลัว จึงค่อย ๆ สงบลงได้บ้าง แล้วค่อย ๆ สงบเกือบสนิท หลวงพ่อริมเดินกลับมาถามว่า "กลัวไหม ?" ตอบว่า "กลัว..แต่หายกลัวแล้ว" ท่านบอก "ดีแล้ว..ไม่มีอะไร รู้จักตัวเองแล้วหรือยัง ? เห็นตัวเองแล้วหรือยัง ?"

"หมายถึง จิตที่มันแสดงออกต่าง ๆ นั่นแหละตัวเรา นอกจากนั้น จิตที่มีความโลภ โกรธ หลง นั่นแหละตัวเรา จำไว้..หากทำลายมันได้ จิตก็จะสงบ สว่าง พบความสุขโดยปราศจากสิ่งผูกพัน ได้เห็นแล้วถึงวิธีบังคับจิต ให้จำเอาไว้ ทำให้ชำนาญ" ธรรมของหลวงพ่อที่สอนนั้นง่าย สั้น เห็นจริง รู้จริง ได้จริง เข้าใจจริง ไม่ต้องอธิบายหากได้ปฏิบัติ และหลวงพ่อบอกว่า “อย่าทำตัวเป็นข้าวสาร ให้ทำตัวเป็นข้าวเปลือก

ลัก...ยิ้ม 18-06-2010 16:07

พบพระอริยสงฆ์ในวัยเด็ก

พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ (เรียกตามภาษาใต้) เทพเจ้าของชาวปักษ์ใต้แห่งวัดสวนขันธ์ แม่ได้พาไปกราบไหว้ขอพรพ่อท่านปีละหลายครั้ง

พ่อท่านเป็นพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ศีลบริสุทธิ์ ทรงด้วยอภิญญาธรรม สามารถรู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้า ทั้งมีวาจาสิทธิ์ ท่านมีเมตตากับทุกคน ไม่เลือกชั้นวรรณะ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ชรา ช่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับทุกคน มีทุกข์ท่านจะช่วยอย่างเสมอภาคกันทุกคน ทั้งช่วยเหลือชุมชนให้พัฒนา ช่วยพัฒนาวัดต่าง ๆ ให้เจริญรุ่งเรือง ทั้งได้แสดงกฤษดาอภินิหารต่าง ๆ นานา ให้เป็นประจักษ์กับสายตาของทุกคน แสดงความกรุณาอันสมควรแก่กิจของสงฆ์ จิตเต็มเปี่ยมไปด้วยองค์ธรรม

ท่านพูดน้อย กล่าวเฉพาะหลักธรรมที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช้คำพูดที่ไม่ดี ให้อภัยกับทุกคน ให้โอกาสกลับตัวเมื่อทำผิด ทุกคนที่ท่านให้คำอบรมจะกลับใจเป็นคนดี สิ่งที่ท่านมอบให้กับทุกคนที่ไปหาคือ น้ำมนต์และชานหมาก ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของทุกคน

ที่สำคัญพรอันทรงศักดิ์สิทธิ์จากปากของท่าน สิ่งที่ร้ายจะกลายเป็นดีกับทุกคน ที่ป่วยก็จะหาย ที่ติดขัดก็จะปลอดโปร่ง ที่มีอุปสรรคก็จะผ่านไป ค้าขายไม่ดีก็จะดี คนเกลียดกันก็จะรักกัน คนตกทุกข์ก็จะพ้นทุกข์ คนไม่มีโชคก็จะโชคดีกันทุกคนที่ไปหา บุคคลใดได้พบถือว่าเป็นคนมีวาสนา พ่อท่านมรณภาพเมื่อพุทธศักราช ๒๕๑๒ ร่างกายของท่านยังอยู่จนปัจจุบันแข็งเป็นหิน (สังขารท่านไม่เน่าเปื่อย)

ลัก...ยิ้ม 21-06-2010 08:44

ข้าพเจ้าได้รับความรักและเอ็นดูจากพ่อท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านมักนำข้าพเจ้าไปนั่งบนตักของท่าน ใช้มือลูบหัว เป่าหัว ลงอักขระให้ เป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่แม่พาไปกราบท่าน พร้อมกล่าวให้พรวิเศษอันทรงศักดิ์สิทธิ์

จากวาจาสิทธิ์ที่เลื่องลือไปทั่วประเทศ ใคร ๆ ก็อยากไปกราบขอพรอันวิเศษ ขอชานหมากอันเป็นของวิเศษยิ่งจากมือท่าน จึงเป็นที่เคารพของคนทั้งประเทศ แม้ขัดข้องอันใด บนบานกับท่านก็มักจะได้ผล หากเราตั้งมั่นและเป็นคนดี

ข้าพเจ้าได้ไปกราบท่านตั้งแต่เล็กจนโต ได้ใกล้ชิด นวดแก้เมื่อยให้ท่านเมื่อได้พบ ได้ปรนนิบัติดูแล และกระทำเช่นนี้เสมอ เคารพนับถือท่านเสมือนครูบาอาจารย์องค์แรกของข้าพเจ้า พรที่ท่านให้ไว้ เป็นไปตามที่พ่อท่านได้เปล่งวาจาให้พรทุกประการจนถึงทุกวันนี้ พ่อท่านสถิตอยู่ในใจของข้าพเจ้าตลอดมา


:6f428754::6f428754::6f428754:

ลัก...ยิ้ม 21-06-2010 13:54

ก๋งห่วงใยแม่

หลังจากก๋งเสียชีวิตลง ด้วยจิตที่เป็นห่วงแม่อันเป็นลูกผู้หญิงคนเดียว ทั้งเป็นที่รักดั่งดวงตาดวงใจ วิญญาณของก๋งคงวนเวียนมาหาแม่ มาบอก มาช่วยเหลือแม่ตลอดเวลา ไม่ได้ห่างไกลตัวแม่เลย

แสดงให้เห็นว่า ด้วยผลบุญที่ก๋งได้บำเพ็ญบารมีทานศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้ถวายข้าวพระทุกอาทิตย์ที่กงสีในเหมืองแร่ ทั้ง*เลี้ยงดูผู้คน ทุก ๆ คนในตำบล* มีจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ตลอดชีวิต เมื่อก๋งเสียชีวิตแล้ว ดวงวิญญาณของก๋งไม่ได้ไปอบายภูมิ ไม่เป็นสัมภเวสี แต่ไปสู่เทวภูมิ เป็นโอปปาติกะเทพ จึงได้มาหาแม่ คอยช่วยเหลือด้วยความเป็นห่วง ไม่ถูกกักขังอยู่ในอบายภูมิเป็นแน่
ด้วยความเป็นห่วงมาบอกในนิมิต ให้ไปซื้อที่ดิน ที่มีสินแร่ มาให้ตัวเลขเพื่อซื้อหวยใต้ดิน และบอกแม่ว่าจะมาอาศัยอยู่กับเต่า พรุ่งนี้เห็นแล้วให้เลี้ยงเอาไว้ด้วย

ลัก...ยิ้ม 21-06-2010 14:14

ในวันรุ่งขึ้นก็มีลูกเต่าเดินเข้ามาในบ้าน แม่เห็นก็จับเลี้ยงไว้ในกะละมังจนกระทั่งโต จากนั้นมาแม่ก็มีโชคลาภ ค้าขายก็ดี มีชีวิตที่ดีขึ้น สุขสบายขึ้นตามลำดับ ขณะนั้นข้าพเจ้าอายุมากพอสมควร อายุย่างเข้า ๑๕ -๑๖ ปีแล้ว

*แต่ด้วยผลกรรมซ้ำเติมอีกระลอก น้องชายของพี่เขยมาเห็นก็คิดจะขโมยเต่าที่สถิตวิญญาณของก๋งไปฆ่ากิน ก๋งได้มาบอกแม่ว่า ถูกเอาไปขังไว้ ให้แม่รีบไปช่วย แต่แม่ไปช่วยไม่ทัน เต่าถูกเผานำเนื้อไปกินเสียแล้ว


ก๋งบอกว่าต่อไปจะมาไม่ได้แล้ว ให้ดูแลตัวเองให้ดี จะต้องกลับไปภพที่จะจุติแล้ว* ผู้ที่นำเต่าไปกินก็เกิดเจ็บป่วยปางตาย แม่ต้องขอให้ยกโทษจึงจะหายจากการป่วย นับเป็นเรื่องแปลก

แต่เป็นเรื่องจริงในครอบครัว ซึ่งมีเกร็ดสาระอีกมากมาย แต่จะขอละเว้นเอาไว้บ้าง บางเรื่องไม่สมควรเปิดเผย บางเรื่องไม่เป็นประโยชน์ให้เจริญปัญญา จึงไม่ขอเขียนเล่าไว้ในที่นี้ เพียงแต่จะให้รู้ บอกเหตุ การเวียนว่ายของวิญญาณและการปฏิสนธิในภพภูมิ ตามแรงของกระแสกรรมเท่านั้นว่ามีจริง ปรากฏได้ เห็นได้

ลัก...ยิ้ม 21-06-2010 17:54


ท่านที่หลงผิดคิดว่า สิ่งที่ยังไม่บังเกิดให้พบเห็นนั้นไม่มี ไม่เป็นอย่างที่ท่านคิด ท่านคิดผิดแล้ว *และจะเป็นตัวบดบังความอยากรู้ โอกาสที่จะได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่ไม่มี จะทำให้จิตใจคับแคบ

อย่างในอดีต วิวัฒนาการความเจริญทางด้านวัตถุยังมีเพียงเล็กน้อย ดั่งตัวอย่างเช่น โทรเลขต้องต่อสาย ใช้มือเคาะตามรหัสสื่อสาร โทรศัพท์สมัยก่อนใช้มือหมุน ทีวีสมัยก่อนมีแต่ภาพสีขาวดำ ต่อมาก็มีเป็นภาพสี

ในปัจจุบันมีวัฒนาการก้าวหน้ากว่าเดิม ได้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ เป็นระบบต่าง ๆ จนกลายเป็นอาชีพ สร้างความร่ำรวยให้แก่ผู้ที่ไม่เชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ มีอยู่แค่นั้น จึงทำการค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง ค้นพบรายละเอียดลึกลงไป ความลับในธรรมชาติถูกเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวไกลไปเรื่อย ๆ เพราะความไม่คับแคบ เปิดใจกว้าง ไม่ปิดประตูตัวเอง ความรู้จึงยังไม่จบเท่านี้ ยังมีวิวัฒนาการต่อไปไม่สิ้นสุด ฉันใดก็ฉันนั้น ความอยากรู้จริง อยากเข้าใจจริง อยากค้นพบจริงด้วยตนเอง ก็จะเป็นแรงผลักดัน ให้นำตัวเข้าไปทดลองค้นหาอย่างจริงจัง อย่างเอาเป็นเอาตาย

แล้วท่านก็จะพบ “เหตุ” พบ “ผล” จากการทดลอง โลกของจิตวิญญาณเป็นวิทยาศาสตร์ที่ละเอียดอ่อน ลึกซึ้งกว่าโลกวิทยาศาสตร์ทางวัตถุมากนัก รู้จริง รู้สิ้นสุด รู้หมดจด แต่โลกของวิทยาศาสตร์ทางวัตถุรู้ไม่จริง เพราะรู้ไม่สิ้นสุด รู้เฉพาะขณะนั้น ที่จริงยังต้องค้นต่อ ๆ ไป ก็จะพบไปสิ่งใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ บางครั้งค้นจนตายแล้วก็ยังไม่จบ ไม่พบความจริงขั้นสุดท้ายได้ อันเป็นความแตกต่างอย่างมีเหตุผล มีความถ่องแท้ ขอจงทำใจให้กว้างไว้เถิด
*

ลัก...ยิ้ม 22-06-2010 08:37

อุปนิสัยพื้นฐาน

ข้าพเจ้าตั้งแต่เล็กมีจิตฝักใฝ่ชอบผจญภัย ชอบป่าเขาลำเนาไพร เถื่อนถ้ำที่เร้นลับ ชอบไปค้นหาความจริง ชอบปีนป่ายที่เสี่ยง ๆ อยู่เสมอ ชอบสอดรู้สอดเห็นในสิ่งแปลก ๆ แต่มีจิตใจที่เยือกเย็น มีจิตสำนึกในความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีคุณ เคารพนับถือครูบาอาจารย์ มีจิตใจรักประเทศชาติบ้านเมือง มีความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง รักความเป็นธรรม เที่ยงตรง ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรม ศีลธรรมตลอดมา

แม้จะซุกซนเกเรตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วไปอยู่บ้างก็ตาม ไม่เคยทำบาป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือประพฤติชั่ว ยกเว้นไม่เจตนา แม้แต่รับราชการก็มีความซื่อสัตย์สุจริตตลอดมา รักความสงบ ชอบปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เด็ก ๆ ไม่ชอบพูดมาก ไม่โกรธเคืองผู้อื่น ให้อภัยผู้อื่นเสมอมา เป็นคนอดกลั้น อดทน ไม่ชอบเรื่องจุกจิกในชีวิต เป็นคนยืดหยุ่นกับชีวิต


:d16c4689::d16c4689::d16c4689:

ลัก...ยิ้ม 22-06-2010 10:43

ระลึกชาติตอนเด็ก

เรื่องการระลึกชาติ เป็นเรื่องที่กล่าวขานกันมานาน เป็นที่กังขาในความเชื่อและความเป็นไปได้ ความเป็นไปไม่ได้ ยังหาจุดลงตัวไม่ได้ เพราะไม่ได้เกิดกับทุกคนและไม่ได้เกิดบ่อย

บางคนเกิดเพราะมีสัญญาจำได้ หมายรู้จากสัญญาเดิมที่ติดตัวมา บางคนเกิดจากการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิจนจิตสงบเกิดรูปฌาน ปรากฏตามนิมิตรู้เห็นย้อนอดีต ในการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏะ จนถึงชาติปัจจุบันต่อเชื่อมกับชาติในอดีต ไม่ลืมสัญญาเดิมจึงรู้เห็น

โดยปกติการเวียนว่ายกลับภพกลับชาติ จะลืมสัญญาเดิมหมดสิ้น มาได้สัญญาใหม่ในชาติปัจจุบันที่มีการผัสสะ เกิดสังขารเข้าปรุงสร้างใหม่ ความรู้จึงเกิดจากการได้พบได้เห็น ได้ศึกษาร่ำเรียน การได้พบปะสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ สร้างอุปทานยึดมั่นในสัญญาใหม่ ทิ้งสัญญาเดิมในทุกชาติทุกภพโดยสิ้นเชิง และบังเกิดอวิชชา (ความลุ่มหลง) ในภพชาติใหม่

ด้วยความลุ่มหลงในอวิชชา ก็จะพาให้เกิดสังขารปรุงแต่งตามความเห็นของตน ทำให้เกิดวิญญาณ ความรู้สึกต่าง ๆ ในอารมณ์ นามรูปก็จะบังเกิด พร้อมอายตนะเครื่องสัมผัส ก็จะปรากฏเวทนาความสุข ความทุกข์กาย เกิดโสมนัสพึงใจ เกิดโทมนัสไม่พึงใจ เกิดตัณหาความทะยานอยาก เกิดตามอุปาทาน การยึดมั่นถือมั่นในสัญญาใหม่ ติดในสมมุติบัญญัติปรากฏชัดในจิตอย่างแจ่มชัด จึงบังเกิดความเศร้าโศก เสียใจ โศกาอาดูรเข้าครอบงำ

จะเห็นว่าทุกอย่างจะปรากฏขึ้นมาได้ จะต้องมีเหตุปัจจัย จึงจะมีผลให้เห็นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย จะเกิด ณ จุดใด กระแสจะวิ่งขึ้นลงจนถึงอวิชชา คือ ความไม่รู้ในกฏเกณฑ์ธรรมชาติ คือ อริยสัจ ๔ ไม่รู้ตามความเป็นจริง

จิตจึงปรุงแต่งไปเรื่อย ๆ ใช้ตัวรู้จากความรู้สึกของตนเองคือ อารมณ์ ได้แก่ ความรู้ในจินตมยปัญญา สุตมยปัญญา เป็นเครื่องมือในการตัดสิน จึงหมดโอกาสที่จะรู้จะเข้าใจ เพราะจิตปฏิเสธแต่เบื้องต้น จึงเกิดความคับแค้น ทำให้เศร้าหมองตลอดการดำรงชีวิต เพราะขาดจิตอันประณีตคือ ภาวนมยปัญญา

ลัก...ยิ้ม 22-06-2010 16:43

การระลึกชาติมีจริงหรือไม่นั้น สำหรับตัวข้าพเจ้าแลเห็นว่า มีจริงตามเหตุปัจจัยของการเกิดจึงมีชาติ

เรื่องการระลึกชาตินั้น ข้าพเจ้าได้เกิดเหตุการณ์กับตัวเอง ในขณะที่เป็นเด็กวัดอยู่ ได้อธิบายไว้แล้วในตอนต้นว่า การมาอาศัยอยู่ที่วัด ทุกคนต้องสวดมนต์ ทำกรรมฐาน ฟังการอบรมธรรมเพื่อการดำรงชีวิตจากพระอาจารย์ผู้ให้การอบรม

ขณะที่ได้นั่งสมาธิอยู่นั้น จิตสงบเป็นเอกัคตารมณ์อยู่ในอุเบกขานั้น ได้ปรากฏภาพนิมิตบอกกล่าวถึงการเวียนว่ายตายเกิดมาหลาย ๆ ชาติ ทั้งดำรงอยู่ในโลกมนุษย์ นับชาติไม่ได้ จำไม่หมด และไปใช้กรรมในภพอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภพมนุษย์ แต่เป็นในโลกทิพย์ มีกายละเอียด ทั้งได้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มากชาติ

แต่วุฒิภาวะในตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรมาก ช่วงนั้นเอาแต่ซนไปตามประสาเด็ก* คิดว่าฝันไป แต่สัญญาความจำนั้นติดตราตรึงใจ ติดอยู่ในห้วงจิตสำนึก* ได้เก็บภาพโบราณสถาน ภูมิทัศน์รอบ ๆ บ้านนั้น เห็นปราสาทราชวัง เห็นบุคคลในอดีต มีบิดามารดาในอดีต มีชื่อสกุลบุคคลที่เป็นบิดามารดาอันยาวนาน หลายยุคหลายสมัย จนจำไม่หมด

แต่สิ่งที่ปรากฏนั้นเมื่อเจริญวัย มีวุฒิภาวะแล้ว ข้าพเจ้าจึงอยากพิสูจน์ความเป็นจริง ในนิมิตที่ยังจดจำได้ว่า จะจริงแท้ เป็นจริงหรือไม่ อันเป็นจุดเริ่มต้นในการพิสูจน์ความจริงให้บังเกิดขึ้น

ลัก...ยิ้ม 23-06-2010 09:23


พุทธศักราช ๒๕๑๘ ในขณะที่รับราชการเป็นครูโทอยู่วิทยาลัยพลศึกษา จังหวัดมหาสารคาม อยู่ใกล้จังหวัดนครพนม นึกได้ว่าเคยเกิดที่นั่น ในอดีตเมื่อพุทธศักราช ๘ ได้เคยร่วมสร้างพระธาตุพนม ที่นั่นเรียกว่าภูขี้เถ้า เป็นที่ตั้งพระธาตุพนมในปัจจุบัน ข้าพเจ้าเกิดที่นั่นและได้สร้างพระธาตุนาคู

เมื่อมีโอกาสได้ไปสักการะพระธาตุพนม ได้สอบถามชาวบ้านว่า "พระธาตุนาคูมีไหมในจังหวัดนี้" เขาตอบว่า "มี อยู่ที่ตำบลนาราชควาย อำเภอเมือง" จึงขอร้องให้พาไปดูหน่อย ต้องขอบคุณคุณลุงคนนั้น ที่ท่านใจดีและพาไป

เป็นทางเข้าไปจากถนนใหญ่เข้าหมู่บ้าน เลยออกไปเป็นทางเกวียน ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ ๕ กิโลเมตร ก็พบสถานที่ตั้ง สภาพแวดล้อมที่พบเห็น สระน้ำก็ดี คูเมืองก็ดี พระธาตุก็ดี อยู่ในสภาพเดิมทุกประการ จากนิมิตที่เห็นยังไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะผ่านไปยี่สิบกว่าปีที่เห็นในนิมิต

ต้องขอบอกกล่าวอีกนิด นิมิตที่เห็นนั้น ได้เห็นหญิงชาวบ้านคนหนึ่งอายุประมาณ ๕๐ ปีเศษ ๆ ในตอนนั้นมายืนรอข้าพเจ้าอยู่ก่อนแล้ว และพูดว่า "ทำไมท่านไม่มาเอาสมบัติ ได้มาเฝ้าอยู่นานแล้ว"

เมื่อลงจากรถเข้าไปบริเวณพระธาตุ ผู้หญิงชาวบ้านคนนั้นได้ออกมาต้อนรับ อายุนั้นประมาณ ๗๐ ปีเศษ ๆ มากราบที่เท้า ร้องไห้รำพึงรำพันเป็นภาษาอีสาน พอจับใจความได้ว่า "ทำไมท่านเพิ่งจะมา คิดว่าจะไม่ได้พบกันแล้ว ได้มาเกิดเฝ้าทรัพย์ของท่านอยู่ เอาไปสิ" ข้าพเจ้าถามว่า "ยายเป็นใคร รู้ได้อย่างไรว่าจะมาวันนี้" ยายตอบว่า "เป็นข้าเก่า ถูกส่งให้มาเฝ้าทรัพย์ของท่านอยู่ ที่รู้ได้เพราะเมื่อคืนได้ฝันเห็นว่าท่านจะมาในวันนี้ เห็นรถวิ่งเข้ามา จึงรีบมาหา เพราะบ้านของยายอยู่ใกล้ ๆ พระธาตุ ห่างไปประมาณ ๕๐ เมตรเท่านั้น"

ยายขอให้มาเอาสมบัติไปเสีย ตัวยายจะขอกลับแล้ว ข้าพเจ้าได้สนทนาหลายเรื่อง ฟังรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ยายนั่งพับเพียบ พูดจาด้วยความเคารพ ได้บอกกับยายว่า "ไม่เอาสมบัติ ขอไว้ให้เป็นสมบัติแผ่นดิน" ยายร่ำไห้ อ้อนวอนขอให้เอาไป แต่ข้าพเจ้าก็ปฏิเสธอย่างแข็งขัน

ยายจึงเดินเข้าไปในองค์พระธาตุ นำเอาแหวนรูปพญานาค ประดับด้วยทับทิมทั้งวง ข้าพเจ้ารับไว้และได้สนทนาอยู่อีกพักหนึ่ง ข้าพเจ้าเข้าไปในองค์พระธาตุ เป็นพระธาตุลักษณะปราสาท เข้าไปไม่เห็นมีอะไร มีแต่อิฐโบราณชำรุดมากแล้ว ยายไปเอาแหวนจากตรงไหนไม่ทราบ เพราะตอนนั้นไม่คิดว่าจะไปเอาแหวนมาให้ จึงไม่ตามเข้าไปด้วย จากนั้นจึงลากลับ ยายก็ร้องไห้และก้มกราบที่เท้า ๓ ครั้ง

ลัก...ยิ้ม 23-06-2010 15:00


สิ่งที่ปรากฏกับตัวข้าพเจ้าตอนเข้าสู่เขตองค์พระธาตุ บังเกิดอาการขนลุกขนพอง หนาวเหน็บทั้ง ๆ ที่อากาศร้อนจัด เกิดความปีติเหมือนได้กลับบ้าน ทำให้รำพึงอยู่ในใจว่า "จริงหนอ! สิ่งที่ระลึกรู้ในนิมิต ไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้ว มันเป็นจริงตามที่ได้เห็น ได้พิสูจน์แล้ว"

และตั้งใจว่าจะขอพิสูจน์ต่อไป จากนิมิตเท่าที่จำได้ จะต้องไปดูให้เห็นกับตาด้วยตนเองเท่าที่มีโอกาส เช่น ที่จังหวัดสุโขทัย จังหวัดนครศรีธรรมราช พระนครศรีอยุธยา เชียงราย ลพบุรี เป็นต้น

ทุกสถานที่ที่ได้ไปพิสูจน์ ทุกสถานที่ไม่มีผิดเพี้ยนจากที่ได้เห็นในนิมิต เป็นการระลึกชาติในการเวียนว่ายตายเกิดของข้าพเจ้า แต่ขอสงวนที่จะบอกรายละเอียด ขอเล่าที่จังหวัดนครพนมนี้เท่านั้น

นี่เป็นเหตุปัจจัย ให้ข้าพเจ้าสนใจมุ่งมั่น ค้นคว้า เร่งปฏิบัติกรรมฐานอย่างต่อเนื่อง เอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติเจริญภาวนา ให้จิตมีพลานุภาพ

ส่วนแหวนอันล้ำค่าวงนั้นได้ใช้อยู่พักหนึ่ง ผู้ที่เคารพรักท่านหนึ่งอยากได้จึงให้ผู้นั้นไป “จะหวงแหนในสิ่งที่เราไม่ได้เอามาและเราไม่ได้เอาไปทำไม” คิดได้เช่นนี้จึงยกให้เขาไป เพราะแหวนวงนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงกับเรา อดีตเป็นของเรา เราเคยใช้ เกิดมาก็ไม่ได้เอามาด้วย ตอนตายก็ไม่ได้เอาติดตัวไป ยังเป็นสมบัติอยู่โลกนี้จนทุกวันนี้ เป็นเครื่องยืนยันความจริง ในสัจธรรมข้อนี้อย่างเด่นชัด

มันเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจคนที่ไม่ได้ประสบกับตนเอง เพราะจะพิสูจน์ในสิ่งที่เขาไม่รู้ได้อย่างไร เหมือนบอกกล่าวอธิบายสีต่าง ๆ ให้คนตาบอดฟัง สีแดงก็ไม่รู้ สีเหลืองก็ไม่รู้ สีอะไรก็จะไม่เข้าใจ เพราะไม่เห็น ไม่อาจบอกอธิบายให้คนที่อยากพิสูจน์ให้เข้าใจได้ เพราะคนที่อยากนั้นเหมือนคนตาบอด

ลัก...ยิ้ม 24-06-2010 09:28

พบสิ่งเร้นลับ ทรัพย์แผ่นดิน

ในตอนเด็กข้าพเจ้าชอบซุกซน ด้วยอำนาจใดไม่อาจตอบได้ ได้พาให้ไปพบสมบัติแผ่นดิน ช่วงนั้นชอบขี่จักรยานไปวัดช้างไห้ ไปช่วยทำรูปหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ไปตำว่านผสมสัดส่วน สมัยนั้นพุทธศักราช ๒๔๙๗ เส้นทางลำบาก บางครั้งต้องเดินจากบ้านนาประดู่ เดินไปทางรถไฟที่ผ่านหน้าวัด

ช่วงระหว่างทางตรงนั้น ได้พบบึงน้ำใส บึงนั้นกว้างและ ลึก ห่างจากทางรถไฟไกลพอสมควร เดินผ่านกลางแดดทำให้เกิดความเหนื่อยล้า จึงอยากอาบน้ำในบึง ก็ลงไปอาบและดำน้ำเล่น

ได้พบโอ่ง ๓ ใบ ถูกรัดและห่อหุ้มไว้ด้วยรากไทร (เหมือนเอาแหจับปลามาหุ้มเอาไว้ มิให้หาย แต่ต่างตรงที่เป็นรากไทรเท่านั้น) ในโอ่งทั้ง ๓ ใบมีสมบัติอยู่เต็ม เป็นทองรูปพรรณทั้งหมดทั้ง ๓ โอ่ง ประดับเพชรพลอย มีทั้งสร้อยคอ เข็มขัด กำไลมือ กำไลเท้า แหวน และอื่น ๆ อีกมากมาย ข้าพเจ้าได้ไปเกาะขอบโอ่งทั้ง ๓ ใบ ล้วงลงไปพบสิ่งดังกล่าวมหาศาล

แต่น่าเสียดายเอาออกไม่ได้เลย ประหลาดที่พอจะเอาออก มันลื่นเหมือนปลาไหล เอาพ้นขอบปากโอ่งไม่ได้ พยายามอย่างไรก็เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง ตอนนั้นคิดแต่สนุกอย่างเดียวตามประสาเด็ก
ได้ไปเล่นอยู่ประมาณ ๔ ครั้งเท่านั้น และไม่สนใจอีก เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วได้ไปวัดช้างไห้ ได้แวะไปดูที่เดิม ปรากฏว่าบึงน้ำแห่งนั้นแห้งสนิท โอ่งทั้ง ๓ ใบก็ไม่มีให้เห็นอีก


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:43


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว