เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๕ |
วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ความจริงกระผม/อาตมภาพต้องเดินทางไปร่วมงานวันเกิดของพระครูสุนทรวัชรกิจ, ดร. เจ้าอาวาสวัดถ้ำรงค์ เจ้าคณะตำบลถ้ำรงค์ อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี แต่ปรากฏว่าท่านแจ้งงดการจัดงานวันเกิดประจำปีนี้
พระครูสุนทรวัชรกิจ, ดร.นั้น เป็นเพื่อนร่วมรุ่นปริญญาเอกของกระผม/อาตมภาพ และเป็นเพื่อนท่านเดียวที่จบด็อกเตอร์ทางกฎหมายมาก่อน เมื่อมาอุปสมบทแล้ว ก็ได้เริ่มต้นเรียนใหม่ในทางพระพุทธศาสนา จากประกาศนียบัตรบริหารกิจการคณะสงฆ์ ปริญญาตรี ปริญญาโท มาจนจบปริญญาเอก ท่านเป็นผู้ที่มีความมานะพยายามสูงมาก โดยที่ท่านบอกว่า "ผมรู้แต่เรื่องกฎหมายอย่างเดียว ในเมื่อมาบวชแล้ว ก็ต้องรู้เรื่องของความเป็นพระ เรื่องของการบริหารจัดการคณะสงฆ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" ทั้ง ๆ ที่ท่านเองสามารถที่จะนำเอาวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านกฎหมาย ไปใช้ศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกทางพระพุทธศาสนาเลย แต่ท่านก็ไม่ทำแบบนั้น ท่านไปเริ่มเรียนตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกขึ้นมาทีละขั้น และโดยเฉพาะท่านเป็นผู้ที่มีความรักเพื่อนเป็นอย่างยิ่ง เพื่อนร่วมรุ่นทุกคน ถ้าหากว่าลำบากในเรื่องการเรียน ท่านพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษา พร้อมที่จะช่วยเหลืออยู่เสมอ จนพวกกระผม/อาตมภาพได้กล่าวเอาไว้ว่า ในเรื่องของการเรียนนั้น เราจะได้ความรู้เท่าไรก็แล้วแต่ แต่ว่าในความเป็นเพื่อนที่หาได้ยากแบบนี้ เหมือนอย่างกับพวกเราถูกหวยรางวัลที่ ๑ จึงมีความผูกพันรักใคร่กันมาโดยตลอด แม้ว่าจะจบการศึกษามาหลายปี ถึงเวลาอีกฝ่ายหนึ่งมีการงานอะไร ก็พยายามปลีกตัวไปช่วยกันอยู่เสมอ แต่ว่าปีนี้ท่านประกาศงดจัดงานวันเกิด อาจจะเป็นเพราะว่าภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ นั้น ยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ นอกจากท่านจะเป็นบุคคลที่เพื่อนพระสังฆาธิการรักมากแล้ว ยังเป็นบุคคลที่ญาติโยมเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะญาติโยมที่ต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ หรือว่าฮ่องกง เพราะว่าท่านเป็นพระหมอดูที่ดูได้แม่นยำมาก ๆ สามารถแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องของญาติโยมได้มาก จึงทำให้มีผู้มีจิตศรัทธามากตามไปด้วย ในเมื่อไม่ต้องไปงานของเพื่อน วกกลับมายังที่พักแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เริ่มเตรียมจัดกระเป๋าเพื่อที่จะเดินทางไปยังประเทศลาว จากการนิมนต์ของคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม เจ้าของบริษัทเอ็นซีทัวร์ ซึ่งระยะหลังนี้หาทางให้กระผม/อาตมภาพได้ไปเที่ยวฟรีอยู่บ่อย ๆ |
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพมีกฎเกณฑ์กติกาเฉพาะตัวว่า เรื่องของการเดินทางไปต่างประเทศนั้น ไม่แน่ว่าเราจะสามารถทำประโยชน์ได้คุ้มค่า ดังนั้น..แม้ว่าจะเป็นเงินส่วนตัวที่ญาติโยมถวายมา กระผม/อาตมภาพก็จะไม่นำมาใช้อีลุ่ยฉุยแฉกในเรื่องแบบนี้ ถ้าจะให้ไปต่างประเทศนั้น ต้องมีผู้ปวารณาจ่ายเงินค่าเดินทางให้ทั้งหมด กระผม/อาตมภาพถึงจะยินดีเดินทางไปด้วย
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลังจากที่มีเจ้าภาพจ่ายมาหลายงาน ระยะหลังนี้ ทางบริษัทเอ็นซีทัวร์ โดยคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม ก็ได้มอบตั๋วเดินทางให้ฟรีมาติดต่อกัน รวมงานนี้ก็ถือว่าเป็นงานที่ ๒ ที่ ๓ ไปแล้ว คราวนี้การเดินทางนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย การเดินทางไม่ว่าจะในประเทศหรือว่าต่างประเทศก็ตาม ก็คล้ายคลึงกับการเดินธุดงค์ของพระภิกษุสงฆ์ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าสำหรับบุคคลที่เริ่มฝึกปฏิบัติธรรมนั้น บางทีพอเริ่มจำเจในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง จิตใจก็เริ่มผ่อนคลาย ปล่อยวาง ขาดความระมัดระวัง สติก็จะไม่แหลมคมรอบคอบเหมือนเดิม ดังนั้น..องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกำหนดธุดงควัตร ๑๓ ประการขึ้นมา โดยเฉพาะการอยู่ป่าเป็นวัตรนั้น ก็เพื่อที่จะเคี่ยวกรำให้ท่านทั้งหลาย ได้ไปพบไปเจอสถานที่ซึ่งแปลกแยกไปจากเดิมอยู่เสมอ ทำให้เราต้องระมัดระวังจดจ่ออยู่ตลอดเวลา ว่าจะมีสิ่งหนึ่งประการใดเป็นอันตรายต่อตัวเองหรือไม่ !? ถ้าหากว่าจิตใจของเราจดจ่ออยู่ตลอดเวลา สติก็จะอยู่ในลักษณะของผู้ตื่น มีการระมัดระวังรักษากำลังใจเป็นปกติ เพราะไม่แน่ใจว่าเรื่องของสัตว์ร้ายก็ดี เรื่องของภูติผีปีศาจก็ดี หรือว่าอันตรายอื่น ๆ จากการเดินทางก็ตาม จะเข้ามาถึงตัวเราเมื่อไรก็ไม่รู้แน่ !? เมื่อมีการจดจ่อ ตั้งสติระมัดระวังอยู่เสมอจนเคยชิน ต่อไปถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนหมู่มาก ท่านก็สามารถที่จะรักษาใจของตนเองให้มั่นคง ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ได้ เหมือนอย่างกับตอนที่ท่านกำลังธุดงค์ในลักษณะของการเดินป่าอยู่ |
ส่วนอีกประการหนึ่งที่กล่าวถึงว่าจะเป็นผลเสียก็คือว่า สภาพจิตของเรา ถ้าหากว่าเดินทางท่องเที่ยวโดยประการเดียว ก็จักเสพเสวยสิ่งต่าง ๆ เข้าทางตา และเข้าไปถึงใจ ถ้าระมัดระวังไม่เป็น ก็จะยินดียินร้ายมากจนเกินไป ทำให้กำลังใจของเราเสียหายได้..!
ในเมื่อได้พบได้เห็นในสิ่งที่น่ายินดีจากการเดินทาง ถ้าเป็นพระภิกษุสามเณร หรือว่าญาติโยมของวัดท่าขนุน กว่าที่จะมีสิทธิ์ได้ลาเพื่อที่เดินทางอีก ก็กินระยะเวลาต่ำสุด ๑ เดือนขึ้นไป ในช่วงนั้น ถ้าจิตของท่านมีการดิ้นรนอยากที่จะไปอีก ขอให้รู้ว่ากำลังใจของเราเสียแล้ว เพราะว่าอยากจะไปเสพเสวยสิ่งต่าง ๆ ซึ่งสภาพจิตของตนเองยินดีและพอใจ ทำให้ตกอยู่ในอำนาจของราคะ ซึ่งทำให้ท่านทั้งหลายจะต้องมาเดือดร้อนในการขจัดออกทีหลัง ถ้าไม่รู้ตัวก็มีแต่จะสร้างความเสียหายใหญ่ให้ เป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง ดังนั้น..การที่เราเดินทาง ไม่ว่าจะในประเทศหรือว่าต่างประเทศก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เราต้องตั้งใจเอาไว้ก็คือ เราไปเพื่อพบเจอกับความยากลำบาก เมื่อพบเจอแล้ว สภาพจิตของเรามั่นคง ไม่หวั่นไหว หรือว่ายินดียินร้ายไปตามสภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ถ้าสภาพจิตของเรามั่นคงไม่หวั่นไหว สามารถรักษาใจได้ตลอดการเดินทาง ก็แปลว่าท่านทั้งหลายมีกำลังใจมั่นคงพอ ที่จะสู้กับกระแสโลก กระแสกิเลสต่าง ๆ ในระหว่างที่ดำเนินชีวิตอยู่ได้ ถือว่าเป็นบุคคลที่ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ปฏิบัติธรรมแล้วสร้างกำลังใจของตนเองให้มั่นคง ถ้ารักษาความมั่นคงนี้เอาไว้ อย่างน้อยท่านก็จะมีสุคติเป็นที่ไป แต่ถ้าไม่ยินดียินร้าย ไม่หวั่นไหวกับสิ่งใด ๆ เลย ไม่มีสิ่งหนึ่งประการใดสามารถมาแผ้วพานกระทบใจของท่านได้ โอกาสที่ท่านจะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานก็มีสูงมาก |
แต่ถ้าหากว่าท่านยังยินดียินร้ายอยู่ ก็ต้องคอยพินิจพิจารณาว่า ตัวเรานั้นสามารถขจัดอาการยินดียินร้ายทั้งหลายนั้น ออกจากใจของเราได้เร็วเท่าไร ? ถ้าหากว่าขจัดออกไปได้เร็ว ไม่ตกค้างอยู่ในจิตในใจของเราเป็นระยะเวลานาน ๆ ก็ถือว่าท่านยังอยู่ในระดับที่ใช้ได้ แต่ถ้าหากว่าปล่อยให้ตกค้าง ถึงเวลาก็ห่วงหาอาลัย อยากจะไปอีก อยากจะเห็นอีก ก็แปลว่ากำลังใจของท่านยังใช้ไม่ได้ อยู่ในระดับที่ต้องฝึกฝนขัดเกลากันอีกมาก
และโดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่รักษากำลังใจไม่ได้นั้น อย่าลืมว่ากำลังของ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เรากระทำอยู่ทุกวันนี้ เราจะต้องสั่งสมไปจนถึงระดับที่กดทับกิเลสเอาไว้ได้ แล้วหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ กำจัดกิเลสออกไปจากใจของเรา การที่เราไปเสพเสวยสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วปล่อยให้ตรงเข้าสู่ใจของเราได้นั้น ก็แปลว่าเราสูญเสียกำลังที่สะสมเอาไว้ต่อสู้กิเลส เท่านั้นยังไม่พอ ยังปล่อยให้กองทัพกิเลสบุกเข้าไปยึดจิตยึดใจของเราได้เสียอีก..! จึงเป็นเรื่องที่เราต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง ว่าการปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ของเรานั้น มีความมั่นคงเพียงพอที่จะระงับยับยั้ง ไม่ให้รั่วออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ได้หรือไม่ ? ระมัดระวังให้สิ่งไม่ดีเข้ามาสู่ใจของเราได้หรือไม่ ? ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็ต้องเร่งรัดการปฏิบัติของเราให้หนักยิ่ง ๆ ขึ้น ถ้าสามารถทำได้ ก็ต้องระมัดระวังไว้ อย่าให้เราพลาด แล้วรักษากำลังใจของเราให้เพียงพอ จนกระทั่งสามารถตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เข้าสู่พระนิพพานได้ตามที่ปรารถนาเอาไว้ สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:36 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.