กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=116)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8380)

ตัวเล็ก 23-02-2022 20:03

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕



เถรี 24-02-2022 00:38

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕ วันนี้เช้าขึ้นมาก็เจอคำสั่งด่วนในกลุ่มไลน์ ให้ตั้งแต่รองเจ้าคณะอำเภอขึ้นไป เข้าร่วมพิธีปิดการอบรมบาลีก่อนสอบที่วัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) กระผม/อาตมภาพจึงไม่ได้บิณฑบาต วิ่งไปถึงวัดไร่ขิง หลวงพ่อเจ้าคุณแย้มถามว่า "ออกมากี่โมง ?" กราบเรียนว่า "ตี ๓ กว่าครับ ไม่อย่างนั้นจะมาไม่ถึง แล้วก็ไม่ทันเวลา"

ตรงจุดนี้บางท่านอาจจะเห็นว่าระยะทางไกลมาก ระยะเวลาก็กระชั้นชิด ก็อาจจะไม่ไปตามคำสั่งเลย คราวนี้ในส่วนที่กระผม/อาตมภาพกล่าวไปวันก่อนก็คือ ถ้าลำดับความสำคัญในตอนนี้ งานคณะสงฆ์ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง

ตรงจุดนี้ต้องยกให้เป็นคุณความดีของการฝึกหัดแบบทหารที่กระผม/อาตมภาพได้รับมา ซึ่งจะมีประโยคติดปากว่า "คำสั่งผู้บังคับบัญชาคือเสียงสวรรค์ ทหารต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้" เพราะถ้าหากว่ามีการลังเล สงสัย ดื้อรั้น ไม่ปฏิบัติตาม กองทัพนั้นอาจจะล่มสลายได้ เพราะว่าคำสั่งทหารเด็ดขาด แต่ไม่แน่นอน คือสั่งแล้วต้องทำ แต่ทำไปครึ่งหนึ่งแล้วอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในทันทีทันใด ตามสถานการณ์สู้รบเฉพาะหน้า

ดังนั้น...วัน ว. เวลา น. ซึ่งอันนี้เป็นศัพท์ทหาร วันเขาย่อว่า ว. เวลา เขาย่อว่า น. ก็คือนาฬิกา ตามคำสั่งทหารนั้นต้องแน่นอนที่สุด ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้าถึงเวลาแล้วเรายังไม่เคลื่อนทัพตามคำสั่ง เมื่อปืนใหญ่ปูพรมมา เราอาจจะตายด้วยฝีมือพวกเดียวกัน เพราะว่าเมื่อทางปืนใหญ่คำนวณว่าเราใช้ระยะเวลาเท่าไรในการเคลื่อนที่จนพ้นเขตอันตราย ก็จะเริ่มยิงถล่มเพื่อตัดทางถอยของข้าศึก หรือทำลายที่ตั้งของข้าศึก

คราวนี้งานอบรมบาลีก่อนสอบที่ผ่านมานั้น ดูแล้วหลายส่วนเหมือนกับการฝึกทหาร เพราะว่าบุคคลที่ฝึกทหารนั้น สิ่งที่ได้มาเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวอันแรกเลยคือบุคลิกภาพ จะมีบางสิ่งบางอย่างที่ตกค้างอยู่ให้เห็นเลยว่าคนนี้คือทหาร เพราะว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่เป็นเดือนเป็นปี ในเรื่องการฝึกอบรมบาลีก็เช่นกัน บุคคลที่ผ่านการอบรมแล้ว มีความมั่นอกมั่นใจในความรู้ของตนเอง การแสดงออกจะเป็นบุคลิกภาพของความมั่นใจในตนเอง ที่ยากจะหาอะไรมาลบล้างหรือปิดบังได้

เถรี 24-02-2022 00:40

อันดับต่อไปเลยก็คือคุณธรรม ถ้าถามว่าคุณธรรมของทหารมีอะไร ? อันดับแรก เชื่อฟังผู้บังคับบัญชาอย่างที่กล่าวไว้แล้ว ว่าไม่มีข้อแม้ อันดับต่อไป คือความอดทนอดกลั้นต่อทุกสถานการณ์

การฝึกอบรมบาลีก็เช่นกัน เพราะว่าการเรียนบาลีนั้น สำคัญที่สุดก็คือต้องเชื่อ ยิ่งการเรียนในประโยคแรก ๆ จะไปหาเหตุหาผลอะไรไม่ได้ทั้งนั้น เหตุผลและความรู้ความเข้าใจจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามระดับประโยคที่สูงขึ้นไป แรก ๆ นี่ต้องท่อง ต้องจำ ต้องเชื่ออย่างเดียวว่าตัวนี้คืออย่างนี้ คำนี้แปลว่าแบบนี้ สงสัยเมื่อไรจะผิดทันที

ข้อต่อไปคือความอดทน จะซ้ำกับคุณธรรมไหม ? ไม่ซ้ำ และต้องแยกออกมาต่างหากเลย โดยเฉพาะทหารของเรา ถ้าหากว่าใครท่องหนังสือตั้งแต่เด็ก ก็จะได้ยินคำว่า ท.ทหาร อดทน คือ ทนต่อความกดดันทุกอย่าง โดยเฉพาะความยากลำบากทางร่างกายและจิตใจ ลำบากกาย..พักเหนื่อยแล้วก็หาย แต่ครูฝึกมักจะสร้างสถานการณ์กดดันอย่างหนัก กินไม่พอ นอนไม่พอ แต่ต้องฝึกหนักในเวลาเดียวกัน เพื่อให้ถึงเวลาที่เผชิญกับสถานการณ์จริงแล้ว เราจะได้รู้สึกว่าไม่ได้หนักเกินกว่าที่ฝึกฝนมา

การอบรมบาลีส่วนใหญ่ก็คือครูต้องให้การบ้านเยอะมาก เพื่อสร้างความชำนาญให้เกิด สร้างความคุ้นเคยกับข้อสอบ ถ้าหากว่าดวงดี ก็อาจจะได้ตรงกับสิ่งที่ออกในข้อสอบเลย แล้วก็ต้องมีการกดดันด้วยระยะเวลาที่จำกัด

ดังนั้น...คุณธรรมคือขันติ ความอดทนข้อนี้ จึงต้องแยกออกมาจากคุณธรรมทั่วไป คุณธรรมของผู้อบรมบาลีก็คืออดทนอดกลั้นแล้วยังไม่พอ ต้องฝืนใจไม่กระทำทุจริตด้วย ต่อให้มีโอกาสก็ไม่ทำ ถ้าลักษณะอย่างนั้นก็คือลักษณะของการเป็นผู้มีศีล เพราะว่าคนเราจะล่วงละเมิดศีลก็ต่อเมื่อมีโอกาสอยู่ตรงหน้า แต่ศีลจะเป็นศีลได้ก็ต่อเมื่อมีโอกาสที่จะละเมิดอยู่ตรงหน้า แล้วเราสามารถหักห้ามใจของตนเองได้

เถรี 24-02-2022 00:43

ดังนั้น...สิ่งที่ได้จากงานอบรมบาลี จึงประกอบไปด้วยการพัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาคุณธรรมประจำใจ พัฒนาความอดทน และท้ายที่สุดคือพัฒนาความรู้ ได้ทบทวนบ่อย ๆ ได้ย้ำบ่อย ๆ มีความเข้าใจมากขึ้น จดจำได้มากขึ้น มั่นใจในความรู้ของตนเองมากขึ้น

แบบเดียวกับทหารที่ต้องฝึกฝนพัฒนาตัวเองจนกระทั่งบรรลุถึงจุดสูงสุด ก็คือเป็นผู้ที่พร้อมด้วยความรู้ความสามารถ ความรู้ในที่นี้ก็คือการรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรบ ความสามารถในที่นี้ก็คือสมรรถภาพทางร่างกายอย่างหนึ่ง กับความสามารถในการนำเอาสิ่งที่เรียนรู้มาไปงานได้จริงอีกอย่างหนึ่ง

การเรียน ถ้าหากว่าเป็นกระผม/อาตมภาพแล้วถือหลักที่ว่า เรียนแล้วต้องรู้ รู้แล้วต้องสามารถบอกคนอื่นต่อได้ พวกท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งฆราวาส หลายท่านเรียนเก่ง แต่ไม่มีความสามารถในการถ่ายทอดบอกกล่าวคนอื่น หรือถึงสามารถพูดออกไปได้ก็ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะว่าจัดระบบความคิดไม่เป็น

แล้วที่แน่ ๆ บางท่าน อย่างท่านหมื่น (พระสรวิชญ์ ธีรธมฺโม) มักจะคิดว่าคนอื่นรู้เหมือนกับที่ตัวเองรู้ ก็เลยพูดจาประมาณว่า "ไม่มีหัวไม่มีท้าย" บางคนฟังแล้วเครียด ก็ "เรื่องนี้กูรู้แล้ว กูก็เลยพูดแค่นี้" แล้วคนอื่นจะตรัสรู้ตามมึงไหม !!?

ดังนั้น...สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่ไปดู ไปรู้ ไปเห็นจากงานฝึกอบรมบาลี ถ้าหากว่าใครสามารถหยิบฉวยเอามาให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองได้ ก็จะพัฒนาทั้งบุคลิกภาพ ทั้งคุณธรรม ทั้งความอดทน ทั้งความรู้ ถึงจะสมกับงบประมาณที่ท่านเจ้าคุณแย้ม หรือถ้าเรียกกันเต็ม ๆ ก็พระเดชพระคุณพระเทพศาสนาภิบาล เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดไร่ขิง (พระอารามหลวง) ทุ่มเทงบประมาณลงไปใน ๑๕ วันนี้ เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด ๔ ล้าน ๖ แสนบาท..! แม้ว่าจะมีพวกกระผม/อาตมภาพที่ร่วมเป็นกรรมการ ช่วยทำบุญคนละเล็กคนละน้อย ท่านเองก็ยังต้องจ่ายเกินครึ่ง..!

ดังนั้น...ในเรื่องของผลการสอบที่ถือว่าเป็นสัมฤทธิผลของการอบรมเราไม่ต้องพูดถึง มีได้มีตกเป็นปกติ แต่สิ่งที่พูดถึงก็คือการพัฒนาตัวเองของผู้เข้ารับการอบรมทั้ง ๔ ด้านที่ได้กล่าวมา จะเป็นคุณสมบัติที่ติดตัวไปตลอดชีวิต และถ้าสามารถถ่ายทอดให้คนอื่นต่อไปได้ ก็จะเป็นกุศลแก่ตัวเองเป็นอย่างยิ่ง

เถรี 24-02-2022 00:45

บางท่านอาจจะคิดว่ากระผม/อาตมภาพเองวิ่งไปไกล เหนื่อยขนาดนั้น ทั้ง ๆ ที่สามารถขาดได้ เพราะว่าไปหลายครั้งแล้ว บางท่านก็ไปแค่วันเปิดครั้งเดียวเสียด้วยซ้ำไป แต่ในเมื่อมีคำสั่งผู้บังคับบัญชาระบุมาว่าให้ไป ก็ต้องไป

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าท่านสามารถพัฒนาให้เป็นคุณสมบัติของตัวเอง ก็คือ "รับคำสั่ง ทำทันที ไม่มีปัญหา" หน่วยงานนั้นจะเจริญรุ่งเรืองและเข้มแข็งมาก แต่กว่าจะไปถึงระดับนั้นได้ สำคัญที่สุดตรงผู้นำ ผู้นำเป็นที่เชื่อถือศรัทธามากเท่าไร ถ้าผู้นำเป็นที่เชื่อถือศรัทธา คนก็จะยินดีทำตาม

แต่ขณะเดียวกัน เราจะอาศัยผู้นำอย่างเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยระบบด้วย ถ้าเราเชื่อถือศรัทธาในระบบ เราก็จะยินดีและทุ่มเทให้ เหมือนกับทหารที่พร้อมจะเสียสละชีวิตเพื่อสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะว่าโดนหล่อหลอมมาให้เชื่อถือศรัทธาในระบบเหล่านี้

ท่านทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรม ต้องไม่ลืมว่ากฎเกณฑ์กติกาข้อแรกของการเป็นพระอริยเจ้าก็คือ ความเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพในพระธรรมเจ้าจริง ๆ เคารพในพระสงฆ์จริง ๆ เราจะเคารพอย่างจริงจังเที่ยงแท้ได้ ก็ต้องเห็นประโยชน์อย่างแท้จริงว่า พระพุทธเจ้ามีคุณอย่างไร ? พระธรรมมีคุณอย่างไร ? พระสงฆ์มีคุณอย่างไร ?

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราจะเห็นอย่างแท้จริงได้ ก็อยู่ที่เราปฏิบัติธรรมแล้วเกิดผล เมื่อผลของการปฏิบัติปรากฏขึ้น เราสามารถที่จะอาศัยปัญญาสืบสาวขึ้นไปได้ว่า ผลที่เกิดขึ้นนี้มาจากอะไร ? มาจากหลวงปู่หลวงพ่อเมตตาสั่งสอนเรา หลวงปู่หลวงพ่อเอามาจากไหน ? เอามาจากธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้

จึงต้องลงมาสรุปตรงที่ว่า ท่านทั้งหลายจะทุ่มเทให้กับการปฏิบัติอย่างชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก อย่างชนิดที่ไม่เบื่อไม่หน่ายได้ ก็ต้องเริ่มเห็นผลจริงของการปฏิบัติในระดับใดระดับหนึ่ง ซึ่งตรงจุดนี้ กระผม/อาตมภาพเองไม่เอามาก แค่เข้าถึงปีติในการปฏิบัติข้อใดข้อหนึ่งก็พอแล้ว

จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมที่ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:51


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว