กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=125)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8987)

ตัวเล็ก 06-10-2022 19:42

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๕
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๕



เถรี 06-10-2022 23:54

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ วันนี้กระผม/อาตมภาพได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ ไปร่วมงานทอดผ้าป่าสมทบทุนการศึกษา เนื่องในโอกาสครบ ๙๒ ปีชาตกาล พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ (ไพบูลย์ กตปุญฺโญ ป.ธ.๘) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี

แต่ด้วยความที่มีหน้าที่สำคัญ ก็คือดูแลสนามสอบนักธรรมชั้นตรีสนามหลวงของคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิ
กระผม/อาตมภาพจึงไม่ได้อยู่ฉันเพล ตีรถกลับมาทันเวลาเปิดสนามสอบพอดี คาดว่าบรรดาพระภิกษุสามเณรทั้งหลายที่เข้าสอบ เห็นหน้ากระผม/อาตมภาพเข้า คงจะรู้สึกเหมือนพระมาโปรด..!

เรื่องของความเชื่อถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ท่านอย่าลืมว่า คำว่าศรัทธาคือความเชื่อ เป็นต้นกำเนิดของศาสนาเลย ถ้าไม่มีศรัทธา ศาสนาก็ไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ได้

ส่วนปสาทะ ความเลื่อมใสนั้น เป็นการพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง ก็คือสูงกว่าศรัทธามาก ตอนแรกอาจจะเชื่อเท่านั้น แต่พอคลุกคลีกันไปนาน ๆ พบเห็นคุณงามความดีของอีกฝ่ายหนึ่งมากขึ้น ไม่ว่าจะด้านหนึ่งด้านใดก็ตาม เกิดความเลื่อมใส ในเมื่อศรัทธาเลื่อมใสแล้วก็จะเกิดความเคารพขึ้นมาจากใจ

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายอาจจะเห็นตั้งแต่รุ่นเก่า ๆ ว่า ถ้าหากว่าในเรื่องของการเรียนนักธรรม ไม่ว่าจะเป็นชั้นตรี ชั้นโท หรือว่าชั้นเอก กระผม/อาตมภาพมั่นใจว่า อาจจะเป็นผู้เดียวของจังหวัดกาญจนบุรี ที่สามารถเฉลยข้อสอบปากเปล่าได้ทุกระดับชั้น..!

ในเมื่อสั่งสมกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า จนกระทั่งถึงรุ่นปัจจุบันนี้ บรรดาเจ้าอาวาสหรือว่ารุ่นพี่ ๆ ก็คงบอกกล่าวแก่พระที่เข้าสอบกันว่า "ถ้าหากว่าได้ติวกับพระอาจารย์เล็ก อย่างไรก็สอบได้" แต่คราวนี้มีปัญหาตรงที่ว่า ถ้า
กระผม/อาตมภาพไม่อยู่ ทุกคนก็ใจคอไม่ค่อยจะดี

เถรี 06-10-2022 23:58

เรื่องพวกนี้เกิดจากการค่อย ๆ สั่งสมมาทีละเล็กทีละน้อย การสั่งสมความดีทุกประการก็เหมือนกับน้ำทีละหยด กว่าที่เราจะรู้ตัว บางทีก็เต็มตุ่มเต็มไหไปแล้ว แต่ในระหว่างที่สั่งสมอยู่นั้น ถ้าเราตั้งใจมาก บางทีเราก็อาจจะรู้สึกว่า ทำไมถึงช้าเหลือเกิน ? ตรงนั้นเป็นการเอาอารมณ์ใจที่ประกอบไปด้วยความอยากเข้าไปประเมิน สมมติว่าน้ำหยดทีละหยดด้วยความสม่ำเสมอ แต่เราไปตั้งหน้ารอคอย ก็จะรู้สึกว่าช้ามาก

เรื่องที่พวกท่านทั้งหลายกังวลกันอยู่ก็คือว่า บางท่านรู้สึกว่าตนเองพยายามรักษาศีล ปฏิบัติธรรมมา บางท่านก็ถึงขนาดเป็นสิบปี บางท่านก็หลายปี แล้วก็จะมานึกน้อยใจว่า เราทำมานานขนาดนี้ ทำไมยังไม่เห็นหน้าเห็นหลังเสียที ?

ตรงจุดนี้ ขอให้ท่านนึกถึง สมมติว่าท่านจะไปเชียงใหม่ เดินทางจากกาญจนบุรีจะไปเชียงใหม่ ถ้าหากว่าวิ่งตรงก็ต้องผ่านบ้านโป่งของราชบุรี เข้านครปฐม เข้ากรุงเทพฯ ขึ้นไปปทุมธานี อยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท นครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก ไล่ขึ้นไปจนถึงลำปาง ลำพูน เชียงใหม่

คราวนี้ท่านทั้งหลายอยู่ที่กาญจนบุรีแล้วเล็งเป้าไปที่เชียงใหม่เลย ก็จะรู้สึกว่าไม่ถึงเป้าหมายที่ตนเองตั้งใจไว้สักที แต่ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายดูไปทีละขั้นว่าเราผ่านที่ใดไปบ้าง ตอนนี้เราอาจจะไปถึงกำแพงเพชร
ถึงตากแล้วก็ได้

วิธีดูย้อนหลังก็ดูว่า ก่อนหน้านี้ที่เราจะรู้ในเรื่องของบาปบุญคุณโทษ เราอาจจะเป็นบุคคลที่ไม่มีศีลเลยแม้แต่ข้อเดียว ศีล ๕ ข้อละเมิดสมบูรณ์ครบถ้วนเหมือนสุปติฏฐิตเทพบุตร หลังจากนั้นเมื่อเรารู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ก็พยายามที่จะปรับปรุงแก้ไขตนเอง จากคนที่ไม่มีศีล ก็รักษาศีลได้บ้าง รักษาไม่ได้บ้าง ขาดตกบกพร่อง

หลังจากเพียรพยายามไปอีกระยะหนึ่ง เราก็สามารถรักษาศีลทุกสิกขาบทได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่ก็รู้สึกว่าหนักมาก

เถรี 07-10-2022 00:00

พอเพียรพยายามไปอีกระยะหนึ่ง จะรู้สึกว่าศีลไม่ใช่เรื่องหนักใจสำหรับเรา บางท่านคล่องตัวถึงขนาดรู้ตัวทันทีว่า ขยับตัวไปนี่ศีลจะขาดหรือเปล่า ?

จากบุคคลที่ไม่มีศีลเลยก็มีศีล แล้วมาฝึกสมาธิภาวนา แรก ๆ ก็ไม่รู้เลยว่าสมาธิคืออะไร จับลมหายใจพุทเข้า ไม่ทันจะโธออก ก็ฟุ้งซ่านแล้ว

ปัจจุบันนี้ให้เรานั่งกรรมฐาน ๓๐ นาที ๑ ชั่วโมง มีฟุ้งซ่านอยู่บ้าง แต่ก็นั่งได้ ก่อนหน้านี้นั่งนานอย่างนั้นไม่ได้ ก็แปลว่า ถ้าเราค่อย ๆ พินิจพิจารณาไป เราจะเห็นความก้าวหน้าของตนเองเป็นลำดับ ๆ ไป

ถ้าหากว่านึกถึงภาษิตจีน เขาบอกว่า "มองต่ำเราเหลือ มองเหนือเราขาด" ก็คือ เราลองดูว่าประชากรไทย ๖๐ กว่าล้านคน มีที่ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลปฏิบัติธรรมสักกี่คน ? จะเอาจริง ๆ จัง ๆ สักล้านคนยังยากเลย แล้วเราเป็นหนึ่งในจำนวนนั้นที่ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีล ปฏิบัติธรรม ก็แปลว่ากำลังใจของเรายังดีกว่าคนอีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้เริ่มลงมือรักษาศีลเลย เพราะฉะนั้น..ถ้ามองต่ำนี่เราเหลือ คือมีมากกว่าเขา

แต่ถ้ามองเหนือแล้วขาด ก็คุณเล่นไปมองเอาเป้าหมายสูงลิบโลกไปเลย อย่างครูบาอาจารย์ หลวงปู่หลวงพ่อในอดีต อย่างนี้เราขาดแน่นอน ขาดมากด้วย

แต่ถ้าไปนึกถึงภาษิตจีนอีกบทหนึ่ง บอกว่า "คนอื่นขี่ม้า เราขี่ลา" อย่าเพิ่งน้อยใจ คนที่เดินเท้ามีอีกเยอะแยะ ไอ้ที่ยังไม่ได้เริ่มเลย ยังนั่งทอดหุ่ยอยู่ก็มากมาย ก็แปลว่าต่อให้เราขี่ลา ค่อนข้างจะไปได้ช้า แต่เราก็ยังมียานพาหนะเป็นหลักเป็นฐานแล้ว เราจะไปไล่กวดม้าไม่ได้หรอก แต่เราไปของเราได้

เพราะฉะนั้น..ถึงแม้ว่าจะมองเหนือ คือคนที่สูงกว่าแล้วเราขาด ให้มองในลักษณะที่ว่า เราต้องทำให้ได้อย่างนั้น เอาเป็นเป้าหมายในชีวิตของเรา แล้วเพียรพยายามไปให้เต็มกำลังที่เราทำได้

เถรี 07-10-2022 00:04

พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านสอนอยู่เสมอว่า เหมือนกับเราตั้งใจปีนต้นไม้ ถ้าตั้งใจว่าจะขึ้นให้ถึงยอด เราก็ต้องตะกายสุดกำลัง ต่อให้ไม่ถึงยอด อย่างน้อย ๆ กิ่งล่าง ๆ นั้น เราไปถึงได้แน่ แต่ถ้าหากว่าเราตั้งเป้าเอาไว้ต่ำ ดีไม่ดีกิ่งล่างก็ขึ้นไปไม่ถึง

ดังนั้น..ไม่ว่าจะมองต่ำเราเหลือ มองเหนือเราขาด หรือว่าการที่เราลืมพินิจพิจารณาตัวเราเอง ว่ามีความก้าวหน้าอะไรขึ้นมาบ้าง จากคนที่ฟังธรรมไม่รู้เรื่อง ศีลหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ตอนนี้ส่วนหนึ่งถึงขนาดบวชพระ บวชเณร บวชชี บวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมกันบ่อย เป็นความก้าวหน้าที่เห็นได้ชัด เพียงแต่เราลืมไป เพราะว่าไปตั้งเป้าว่าชีวิตนี้ต้องไปพระนิพพานให้ได้ ไม่ได้ดูว่าระหว่างทางมีอะไรบ้าง เราผ่านอะไรไปบ้าง ดังนั้น..ให้เรามองเป้าหมายใกล้ ๆ ก่อน

อย่างตัวกระผม/อาตมภาพเองตั้งเป้าไว้แค่ปฐมฌานเท่านั้น ไม่ได้ต้องการสูงกว่านั้นเลย เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าถ้าเป็นปฐมฌาน เราทรงตัวได้จริง ๆ แค่ทบทวนศีลให้บริสุทธิ์ ใช้ปัญญาเพียงเล็กน้อย เราก็สามารถเข้าถึงความเป็นพระโสดาบันได้

ถ้าสามารถใช้กำลังของปฐมฌานกด รัก โลภ โกรธ หลงลงไปได้ เราสามารถเข้าถึงความเป็นพระสกทาคามีได้


กระผม/อาตมภาพเห็นว่า ถ้าเราปิดอบายภูมิด้วยอำนาจของพระอริยเจ้าระดับโสดาบันได้ ที่เหลือไม่มีอะไรหนักใจแล้ว จะเกิดอีกกี่ชาติก็อยู่ระหว่างเทวดากับมนุษย์ หรือไม่ก็พรหมกับมนุษย์ ถ้าหากว่าอย่างแย่ที่สุดก็เกิด ๗ ครั้ง อย่างกลางก็ ๓ ครั้ง ถ้าเลิศหน่อย ก็ครั้งเดียวจบ..!

เถรี 07-10-2022 00:06

ดังนั้น..เป้าหมายในชีวิตที่กระผม/อาตมภาพตั้งเอาไว้ไม่ได้สูง ต้องการแค่พระโสดาบันเท่านั้น ตอนช่วงนั้นกำลังใจถึงขนาดบอกกับตัวเองว่า ถ้าต้องเหนื่อยยากทุกข์ทรมานไปจนถึงอายุ ๑๒๐ ปี แล้วเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ ถือว่าคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม เพราะว่าตัดการเวียนว่ายตายเกิดลงไป จนเหลือแค่เต็มที่ก็ ๗ ชาติ

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายตั้งเป้าสูงสุดไว้ที่พระนิพพาน ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ว่าให้ขยับเป้าหมายลงมาอยู่ในระยะที่ใกล้ไว้ เป้าหมายไกลเราเอาแน่ เหมือนกับการวางแผนระยะยาว แต่การวางแผนระยะกลางของเราคืออะไร ? เราจะทำเพื่อความเป็นพระอริยเจ้าระดับไหน ? แผนระยะสั้นก็คือเราจะทบทวนศีลของตัวเองอย่างไรให้บริสุทธิ์บริบูรณ์อย่างไร ? เราจะสร้างสมาธิของเราให้เกิดระดับไหน ?

ฉะนั้น..หลักการบริหารที่คนสมัยใหม่เขานิยมใช้ เราก็สามารถเอามาปรับใช้กับการปฏิบัติธรรมของเราได้ อย่ามองเป้าหมายที่ไกลเกินแบบแผนระยะยาว คิดว่าจะอยู่ครองอำนาจ ๒๐ ปี ให้มองแค่ว่าจะรักษาเก้าอี้ตอนนี้ไว้ได้หรือเปล่าดีกว่า ชักจะไปไกลแล้ว..!

จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:14


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว